We have no responsibility for the contents in this web community!

ถ้าเข้ามาแล้วพบว่ากระทู้ไม่เรียงตามวัน/เวลา ให้คลิ๊กตรงคำว่า Date/Time ที่อยู่ตรงแถบสีม่วงๆ นะครับ


ห้ามลงประกาศโฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ยกเว้นสปอนเซ่อร์!!!!!

*** ห้ามใช้เนื้อที่บอร์ดเพื่อแอบแฝงขายบริการทางเพศ ***


เพิ่มเพื่อน

RBR Section


Register
สมัครสมาชิก


What's RBR?
ต่ออายุสมาชิก

**** ส่วนบริการเข้าบอร์ดเฉพาะสำหรับสมาชิก RBR บอร์ด Devil และ บอร์ด Zombie ต้องการติดต่อสอบถาม ส่งเมลล์ที่ ryubedroom@yahoo.com เท่านั้น ****

กรุณาคลิ๊กที่นี่และ Bookmark ไว้ด้วยครับ

Palm-Plaza.com

Complete the form below to post a message

Original Message
"RE: นาคบาศ"
Posted by Cakuko on 12-May-12 at 08:21 PM
ต่อค่ะ

+++++


ไม่ไกลกันจากใต้ต้นรังอันเป็นถิ่นหลับนอนของพรานบุญแลยักษ์น้อยหน้าแฉล้มนั้น มีถ้ำลึกดำซึ่งเกิดขึ้นเมื่อองค์พรหมาเพิ่งร่ายพระเวทย์สร้างโลกทั้งสามขึ้น ถ้ำนี้เต็มไปด้วยมนต์ดำและอำนาจลึกลับมากมาย แลเป็นที่สิงสถิตย์ของนางรากษสผู้มีรูปกายสูงใหญ่ นางมีเส้นผมขดเป็นเส้นเชือกสากกักขฬะอันเต็มไปด้วยซากสัตว์แลกระดูกซึ่งนางได้กัดกินเป็นภักษาแทรกแซม อันทรวงอกของนางนั้นเล่าก็ย้อยหย่อนยานยาวจนยามเดินมันลากไปกับพื้นดินเป็นที่รำคาญยิ่งนัก นางจึงต้องยกขึ้นพาดกับไหล่ไว้

นางรากษสได้บำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลาหนึ่งพันปี ในช่วงเมื่อหนึ่งร้อยปีผ่านไป นางจักออกจากฌาณเพื่อล่าสัตว์ในหิมวันต์มาดับความหิวโหยอันสะสมไว้เป็นร้อยปีสักครั้งหนึ่ง ก่อนกลับไปเข้าฌาณบำเพ็ญตบะอีกรอบ แลคืนนี้ก็เป็นเวลาครบร้อยปีมาบรรจบ เมื่อพรานบุญปิดเปลือกตาแลหล่นลงสู่ห้วงลึกแห่งมนต์ของนิทราเทพ ก็เป็นเวลาที่นางรากษสได้ออกจากฌาณพอดิบพอดี

นางรากษสตนนี้มีนามว่ากาลคี อันว่าวิสัยรากษสแล้วไซร้ ย่อมใฝ่หาแต่ของสดของคาวใส่ปากท้องตนอยู่เป็นนิจ อันนางกาลคีนี้ก็มิได้แตกต่างไปจากรากษสตนอื่นแต่อย่างใด เมื่อนางออกจากฌาณ เปิดเปลือกตาแล้ว จมูกอันใหญ่แลงอง้ำของนางก็กระตุกและสอดส่ายหากลิ่นอันรัญจวนหอมหวานซึ่งพุ่งออกมาจากแหล่งเนื้ออันหอมหวานอย่างเดียวซึ่งนางได้เคยลิ้มลองไม่กี่ครั้ง เนื้อของอาหารจำพวกนี้มีรสอันโอชะหาใดเปรียบปาน จนนางยอมสละสัตย์ซึ่งได้วางไว้ก่อนบำเพ็ญเพียร

ก็เนื้อมนุษย์อย่างไรละ!

++++++++++

...ตื่นเถิดพรานบุญ...

สัมผัสแผ่วเบาลูบไล้กับผิวแก้มของพรานหนุ่ม ดวงตาเขาค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับประสาทโสตได้ตื่นขึ้น พรานผู้หนุ่มชันกายลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว พลางมือหนึ่งเอื้อมไปสำรวจกริชอันเหน็บไว้กับกายเป็นนิตย์ อีกมือยื่นไปทางร่างเล็กของยักษ์หนุ่มน้อยพร้อมปากพร่ำบ่นพระเวทย์ อันทำให้นาคบาศแบ่งตัวออกมาสู่มือเขาเป็นอีกสายหนึ่ง

ยักษ์หนุ่มน้อยลุกพรวดขึ้นมานั่งทั้งยังมีนาคบาศรัดรอบกาย ด้วยลักษณาการผุดลุกอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนั้น ยังผลให้บ่วงบาศอันเป็นทิพย์รัดแน่นเข้าไปอีก พรานบุญหันมามองด้วยได้ยินเสียงสูดปากอย่างเจ็บปวด มุมปากพรานหนุ่มแค่นยิ้มแล้วว่าพระเวทย์หนึ่งคำ ทำให้บ่วงนาคคลายตัวออกเพียงเล็กน้อยพอให้ไม่รัดแน่นจนเกินไป

พรานหนุ่มหันหน้าไปทางนั้นที ทางนี้ที หลับตาลงสักครู่หนึ่งแล้วมองจ้องฝ่าความสลัวแห่งแสงจันทร์ออกไปที่ความทะมึนทึบแห่งมหาไพรวัลย์ พยายามมองแทรกไม้ใหญ่ซึ่งขึ้นแซมกันหน้าทึบเพื่อหาอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาตกใจตื่นจากหลับ

...มีใครสักคนอยู่ที่นี่...

หาไม่แล้ว ใครจักเป็นคนมาลูบใบหน้าของเขากันเล่า หรือเป็นนางผีป่าเทวดาไพร ออกมาล้อเล่นแสงจันทร์แลหยอกล้อเขาเล่นด้วยเห็นเป็นมนุษย์จ้อยต้อยต่ำ อย่ากระนั้นเลย เขาต้องระวังตนมากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว เขาชะล่าใจเกินไปที่ย่อหย่อนต่อการระแวดระวัง ก็ราตรีนี้มิใช่ราตรีแห่งมนต์แสงจันทร์ดอกฤา

แม้จะระแวงในใจ หากพรานหนุ่มก็มิได้ตัดสินลงไปว่าผู้ที่ใช้มืออันอ่อนนุ่มลูบไล้ใบหน้าตนนั้น จักหวังร้าย มือนั้นลูบไล้ราวเป็นสัญญาณเตือน ราวกับร้อนใจแลหวังให้เขาได้หาทางตั้งรับกับ...

โครม!

พลันมหาป่าหิมพานต์ก็แตกตื่นราวกับฟ้าถล่ม พรานบุญสะดุ้งกายขึ้นสุดตัว เขากระชับบ่วงบาศมั่นในมือ อีกมือหนึ่งกำกริชแน่น ฉวยว่ามีสิ่งใดพุ่งเข้ามาจู่โจม เขาจักกระซวกกริชลงอาคมนี้ให้จมคอหอยมันทีเดียว

เสียงนั้นเป็นเสียงคำรามอย่างกระหายเลือดของสัตว์อะไรสักอย่าง ผสมปนเปไปกับเสียงต้นไม้ถูกถอนราก แลกิ่งไม้ถูกหักโค่นแล้วโยนไปหล่นโครมกับพื้นดิน เสียงสกุณานกป่าอันอาศัยคาคบไม้หลับนอนต่างร้องตื่นตกใจแลกระพือปีกผึบผับโผผินขึ้นสู่เวิ้งฟ้ากว้างกลางคืน อีกฝูงสัตว์อันหากินยามค่ำคืนก็ดี แลฝูงสัตว์อันหลับนอนแล้วในโพรงใต้ดิน หรือในโพรงของต้นไม้ใหญ่ต่างๆ ก็ดี มีอันต้องพลิกตื่นขวัญผวา พากันวิ่งหนีกระเจิงแตกตื่นกันไปในทุกทิศทางจนเป็นอันวุ่นวาย และผงคลีคลุ้งขึ้นปกปิดแสงจันทร์กลายเป็นม่านให้โลกแทบจะกลายเป็นดำมืด

ในความสลัวรางที่ยังหลงเหลืออยู่ พรานหนุ่มหันไปมองยักษ์หนุ่มน้อยที่ติดพันธนาการจากบ่วงบาศ แล้วในอกเกิดจิตสงสารเสียเต็มประมาณ เมื่อฝูงสัตว์ป่าหลากพันธุ์วิ่งกระจัดกระจายหนีตายกันมาทางนี้ ยักษ์น้อยจะขยับกายก็เป็นอันติดขัดไปเสียหมด จนต้องนั่งนิ่งอยู่กับที่ด้วยแววตาเบิกโพลงแลหวาดผวา

ด้วยจิตใจข้างในอ่อนยวบกับสิ่งที่เห็น พรานหนุ่มรวบตัวยักษ์หนุ่มน้อยมากอดไว้กับอกตน เอาตัวเข้าขวางทางเท้าแห่งสัตว์ป่า โดยการจับบ่วงบาศแกว่งให้หมุนเป็นวงกลมจนเกิดประกายสีเขียวขึ้น พ่อยักษ์น้อยออกแรงขัดขืนหากก็จนแล้วซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้าน ด้วยว่ากำลังขวัญผวา พรานบุญเห็นกับตาตนเองว่าที่หน่วยตาโตดำขลับดังตาเนื้อทรายนั้น มีน้ำใสเอ่อล้น ปากเล็กเม้มแน่นขบกันจนห้อเลือด สัตว์ป่าที่เสียขวัญว่ิงหนีตายกันมา สัมผัสถึงพิษร้ายแห่งพญานาคาก็หลีกไปเสียอีกทาง ปล่อยให้พื้นดินที่สองร่างยืนอยู่นั้นเป็นราวกับเกาะเล็กๆ ท่ามกลางสายน้ำอันไหลหลากบ้าคลั่ง ยักษ์น้อยผู้อยู่ในอ้อมกอดของพรานบุญนั้นกายสั่นเทา ซุกหน้าเข้ากับอกของเขา แลซุกอยู่เช่นนั้นมิยอมผละออกขณะคลื่นสัตว์ป่ากำลังถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ

เนิ่นนานทีเดียวกว่าพวกสัตว์ป่าจะค่อยๆ ลดจำนวนลง แลหายไปในที่สุด ปล่อยให้พื้นที่บริเวณนั้นตกอยู่ในความเงียบราวกับว่าสรรพชีวิตได้ตายไปจากโลกนี้เสียแล้ว จากนั้น พรานบุญผู้มีประสาทหูแม่นยำนักก็สดับถึงเสียงคำรามดังกระหึ่ม เสียงนั้นเป็นเสียงคล้ายสัตว์ป่าดังกล่าวมาแล้ว หากครานี้เหมือนจะใกล้เข้ามาทุกขณะ แลยิ่งใกล้ พรานบุญก็ยิ่งรู้สึกว่าพื้นดินที่ตนเหยียบสะเทือนเลื่อนลั่นจนต้องเซล้ม พาเอายักษ์น้อยตัวบางล้มทับกันลงไปคลุกกับดินเปื้อนฝุ่น พรานบุญแม้นั่งกับพื้นดิน ทว่าหูยังเงี่ยฟังเสียงคำรามหิวโหยนั้นไม่ขาด ต้นไม้รอบๆ หักราบลงด้วยสัตว์ใดร่างใหญ่โตซึ่งกำลังย่างกายเข้ามาใกล้ พรานบุญเกิดอาการหัวใจเต้นระทึกราวกับจะกระโจนออกมาจากอก เมื่อเห็นเงาร่างอันมหิมาเอื้อมเอาแขนอันใหญ่รวบต้นไม้ยักษ์หลายต้นเข้าด้วยกัน แล้วกระชากโดยแรงจนหลุดออกจากพื้นดินไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ร่างยักษ์ปักหลั่นราวกับภูผายืนตระหง่านตัดกับแสงจันทร์อยู่ตรงหน้า พรานบุญรับรู้ว่ายักษ์น้อยเรือนกายสั่นสะท้านยิ่งขึ้น ความเปียกแห่งหยดน้ำอุ่นซึมผ่านเนื้อผ้าหยาบที่เขาสวมใส่เข้าไปสัมผัสกับผิวกาย แลเขารับรู้ว่ายักษ์น้อยกำลังร้องไห้ด้วยความกลัว

ยักษ์กลัวยักษ์!

ยักษ์ใหญ่โยนต้นไม้ในกำมือไปอีกทาง พรานบุญได้ยินเสียงโครมห่างไกลออก โลมาในกายลุกชันตั้งขึ้น เสโทผุดออกมาราวกับเปียกน้ำ จดจ้องไปที่ร่างอันมหึมาตระหง่านตรงหน้า กลิ่นสาบสางลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ

“มนุษย์!”

ร่างนั้นตะเบ็งเสียงเอ่ยออกมา พรานบุญรู้สึกราวกับว่าแก้วหูตนเหมือนจะร้าว แลยะยิบของอากาศรอบกายก็เหมือนกับจะแตกกระเซ็นเป็นแก้วกระจก

“เนื้อมนุษย์อันโอชา! ข้ามิได้ลิ้มรสมนุษย์มานานกว่าห้าร้อยปีแล้ว วันนี้เป็นลาภปากเหลือเกิน” เสียงนั้นเป็นเสียงแห่งสตรีโดยแท้ หากมิใช่น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างเพศแม่ มัันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจแลโหดเหี้ยม อันเจือไว้ด้วยความหิวกระหายในเลือดแลเนื้อแห่งสรรพชีวิตอื่น

“จงมาเป็นภักษาแห่งเราเสียเถิด มนุษย์หนุ่ม!”

นางเอ่ยออกมาแล้วหัวร่อเสียงดังก้องสะท้อนไปทุกทิศแห่งป่าใหญ่ นางเอื้อมมือมาหวังจะหยิบจับเอาร่างพรานบุญไปกินเสีย หากก็ต้องหวีดร้องออกมาเมื่อพรานบุญฟาดบ่วงบาศซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นแส้ไปเสียแล้ว ใส่มือของนาง “น่ารำคาญเสียจริง คิดฤาว่าเส้นด้ายน้อยนิดเพียงนี้จะทำอะไรเราได้ จงยอมให้เรากินบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนเราจะโกรธา”

“ยักษ์แก่หนังเหี่ยว กลับไปที่อยู่ของเจ้าเสีย อย่ามายุ่งกับพวกเรา”

“ที่นี่เป็นที่อยู่ของเรา เจ้าเป็นมนุษย์ ไยมาที่นี่เล่า มิรู้หรือไรว่าชาติพันธุ์ของเจ้าเป็นอาหารอันโอชะของยักษา และรากษส”

“เจ้าเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น จะกลายเป็นบาปติดตามเจ้าไปทุกชาติภพ”

นางหัวร่อออกมาด้วยเสียงอันน่าขยะแขยงยิ่งนัก “เรา...นางรากษสกาลคี เกิดมาในปูมโลกนี้นานกว่าสามพันปี มิเกรงกลัวดอกต่อบาปอันมิอาจเอื้อมถึงเราได้ อย่าพูดจาให้เปล่าประโยชน์เลย มาเป็นอาหารให้เราเสียดีกว่า”

“นาคบาศ!”

พรานบุญว่าเสียงดัง แลโยนบ่วงนาคาขึ้นไปในอากาศ มันพลันกลายกลับเป็นหอกอันสะท้อนกับแสงจันทร์ แล้วพวยพุ่งเข้าใส่นางรากษสร่างราวกับภูเขาตนนั้น นางทำเสียงในลำคออย่างรำคาญ สะบัดมือปัดป้องเพียงทีเดียวหอกของพรานบุญก็แตกกระจายกลายเป็นภัสมธุลีในชั่วกระพริบตา เขาอ้าปากค้าง แลตกตะลึงไปชั่วขณะ ด้วยว่าอาวุธวิเศษอันจักสามารถประมือกับนางยักษ์ได้นั้น มีเพียงนาคบาศกันนี้เท่านั้น หันมองที่นาคบาศซึ่งมัดยักษ์น้อยไว้ก็เหลือเพียงเส้นบางๆ ซึ่งพันธนาการจำเลยไว้ หากเอามาใช้เสียแล้วก็เกรงว่าเจ้ายักษ์น้อยจะหนีไป หรือไม่ก็ร่วมมือกับนางยักษ์ใหญ่ฆ่าเขาแล้วกินเสีย

เขายอมได้เสียที่ไหนกัน!

แล้วพรานบุญก็ดึงเอาร่างยักษ์น้อยที่ก้มหน้าอยู่กับดินมากอดกระชับไว้ราวกับหวงแหนเป็นที่สุด นางรากษสกาลคีเห็นดังนั้นก็หัวร่อออกมาอีก “อะไรกัน เจ้ากอดใครอยู่นั่น”

“อย่า...กลัวแล้ว” เสียงเล็กๆ ดังออกมาจากร่างในอ้อมอกพรานบุญ ยังผลให้พรานหนุ่มประหลาดใจนัก ด้วยว่ายักษ์กลับกลัวซึ่งยักษ์ด้วยกันเอง!

“หือ” นางรากษสกาลีนิ่งไป นางหรี่ตาอันปูดโปน แล้วจมูกอันยาวงอโง้งก็สูดอากาศโดยรอบ พลันนางเอ่ยออกมาอย่างหลากใจ “นี่มัน...กลิ่น...สวรรค์?”

“อย่า...เรากลัวแล้ว” ยักษ์น้อยในอกพรานหนุ่มละลำ่ละลัก

“อ้ายมนุษย์หนุ่ม ส่งเจ้าคนนั้นมาให้เรา”

บัดนั้นเอง นางรากษสก็ยื่นมือมาหวังจักคว้าเอาร่างยักษ์ตัวเล็กในอ้อมกอดของเขาไป พรานบุญกระโจนออกจากที่แห่งนั้น เท้าวิ่งสุดแรง โดยโอบอุ้มเอายักษ์ตัวน้อยนั้นไปด้วย นางรากษสคำรามราวกับกริ้วโกรธเหลือทน นางฟาดมือไปทั่วจนกระทั่งต้นไม้รอบๆ ล้มระเนระนาดกลายเป็นปราการขวางพรานบุญมิให้วิ่งหนีไปทางใดได้อีก ต้องหยุดอยู่ที่กำแพงซากต้นไม้นั้นหันมาประจันหน้ากับสตรีร่างมหึมา

“ส่งมันมาให้เรา” นางระเบิดเสียงคำรามเหี้ยมโหด “ส่งมันผู้เป็นหน่อเนื้อสวรรค์มาให้เราเดี๋ยวนี้!”

“ไม่”

“เราจะกินเจ้าทั้งสองเสียให้อิ่มท้อง”

“ไม่ กินเราคนเดียวเถิด นางยักษ์ผู้ประเสริฐเอย” พรานบุญคุกเข่าลงกับพื้นโดยมียักษ์น้อยกายสั่นเทาเกาะตัวแลซุกหน้าอยู่กับอก

“เจ้ามิรู้หรือไรว่าเจ้าคนที่เจ้ากอดอยู่นั้นมันมีประกายทิพย์อยู่กับตัว หากเราได้กินเข้าไป พลังฌาณเราจักเพิ่มขึ้นนับเท่าพันทวี”

“ไม่ นางผู้ประเสริฐเอย เรามิรู้ดอกว่าเจ้ากล่าวถึงอะไรอยู่ แต่เด็กน้อยผู้นี้เป็นชาติพันธุ์ยักษาเช่นเดียวกับท่าน ไฉนท่านจักทำร้ายกัดกินเขาได้ลงคอ จงมีเมตตาด้วยเถิด ละชีวิตเขาให้เป็นทาน แลกินข้าเป็นภักษาเถิด”

“เงียบเสียงไปเสีย” นางเอ่ยอย่างรำคาญเต็มทน “ชั้นแรกเราได้กลิ่นเจ้าก็นึกว่าจักได้ลิ้มรสอันโอชะของเนื้อมนุษย์ แต่ไม่นึกเลยว่าพอมาปะเจ้าเข้าเราจะเจอะเข้ากับผู้มีประกายทิพย์แห่งสวรรค์เช่นนี้ นับว่าเป็นลาภปากแห่งเราโดยแท้”

“เจ้าคนนี้เป็นยักษ์น้อย ไฉนท่านจึงว่ามันเป็นสิ่งมาจากสวรรค์”

“มันเป็นยักษ์แน่แท้ละ เราได้กลิ่นมันแล้ว ณ บัดนี้ หากมันก็มิใช่ชาติยักษาโดยบริสุทธิ์! ส่งมันมาบัดเดี๋ยวนี้”

“ไม่” พรานบุญผู้หนุ่มยืนกรานเสียงแข็ง มิยอมปล่อยร่างสั่นเทาจากกายตนแต่อย่างใด “เราไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายคนผู้นี้หรอกนะ”

“อย่างนั้นก็จงกลายเป็นอาหารของเราเสียเถิด”

นางรากษสเอ่ยเช่นนั้นแล้วไซร้ ก็เอื้อมมือมาจะคว้าเอาร่างทั้งสองไปกินเป็นอาหาร ทว่าในขณะที่มือยักษ์กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้นั้น พรานบุญก็ปักกริชอาบอาคมลงบนเนื้อหยาบกร้าน นางคำรามด้วยรำคาญออกมาหนึ่งครั้งแล้วรวบเอาตัวพรานบุญแลยักษ์น้อยไว้ในอุ้งมือ ยกขึ้นไปในอากาศ

แรงบีบนั้นรุนแรงจนขยับตัวแทบมิได้ พรานบุญรู้สึกราวกับว่าอากาศในร่างกำลังถูกรีดออกจากตัว ยักษ์หนุ่มน้อยหน้าแฉล้มดวงตาเบิกกว้าง น้ำตาไหลจากหน่วยตาเป็นทางยาว บัดนี้ราวกับมันไม่เป็นตนเอง ราวกับว่ายักษ์น้อยผู้หยิ่งทะนงตนจะสูญเสียสติไปเสียแล้ว

นางรากษสยกมือเข้าไปใกล้กับปากตน ยังผลให้พรานบุญมองเห็นทรวงอกยาวยืดย้อยหย่อนซึ่งนางได้พาดไว้กับไหล่ทั้งสองข้าง พร้อมกับคมเขี้ยวในปากซึ่งแหลมคมและมีซากเน่าเปื่อยเกาะติด แลกลิ่นเน่าเหม็นลอยออกมาจากกลุ่มฟันเหล่านั้น แรงบีบนั้นแรงขึ้นจนร่างพรานบุญเบียดแนบชิดและดันเข้ากับร่างของเจ้ายักษ์น้อยราวกับจะกลายเป็นร่างเดียวกัน แล้วในขณะที่อนุสติของพรานบุญเริ่มเลือนลาง เขาก็พลันรู้สึกถึงมืออ่อนนุ่มลูบไล้ใบหน้าตน

แสงสว่างวาบเปล่งประกายขึ้นต่อสายตาจ้าจนพรานบุญต้องปิดตาทันที นางรากษสร้องออกมาสุดเสียงด้วยเจ็บด้วยปวด เขารู้สึกถึงอุ้งมือใหญ่ยักษ์คลายออก แล้วร่างตนหล่นตกคว้างอยู่กับอากาศ ร่างยักษ์น้อยที่เกาะอยู่กับตัวเขาสั่นสะท้าน พร้อมกับร้องออกมาเบาๆ ว่า

“เสด็จแม่!”

มีแสงอุ่นเข้ามาโอบรอบกายของเขา กลิ่นหอมหวลตลบอบอวลไปหมดรอบตัว ลมเย็นแลแสงสว่างกระจ่างตาส่องประกายระยิบระยับไปทั่วจนเขาหลับตาลงอีกรอบ พรานบุญรู้สึกเต็มตื้นในอกอย่างอธิบายไม่ได้ เขากอดกระชับร่างเล็กๆ ที่ยังคงซุกอยู่กับอกตนให้แน่นเข้าไปอีก และรู้สึกถึงการโอบกอดตอบรับ พร้อมกับหน้าน้อยๆ นั้นถูไถกับอกของเขา

แลเมื่อเด็กน้อยนั่นเอ่ยเรียก “เสด็จแม่” อีกรอบ ก็ได้ผละตนออกจากการซุกในอกของพรานบุญ เขากำลังจะเอ่ยห้าม หากก็พบว่าเปลือกตาตนหนักอึ้งเหลือทน จนต้องยอมอ่อนให้กับมนต์แห่งนิทรารมย์ไปในที่สุด

++++++++++

“เช็ดน้ำตาเสียเถิด สุรีย์ลูกแม่”

พรานบุญเปิดเปลือกตาแลรู้สึกถึงไอร้อนแห่งเปลวไฟใกล้ร่างตน เขาได้ยินเสียงแตกปะทุของกิ่งไม้ไหม้ไฟ พร้อมกับเสียงของคนสองคนคุยกัน เสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงสะอื้นไห้ ส่วนอีกเสียงเป็นเสียงก้องกังวาลอ่อนหวานนุ่มนวล ปลอบประโลม

“ลูกอยากไปอยู่กับเสด็จแม่”

“อย่ายึดติดเลย สุรีย์เอ๋ย ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของไม่เที่ยง แม้แต่องค์พรหมาผู้สร้างไตรโลกยังมีแตกดับเพื่อเกิดใหม่หลังไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก จงคิดเสียว่า เรามาสู่โลกนี้ ก็ไม่มีอะไรมาด้วย ก็เหมือนเรามิได้ผูกติดกันไว้ สุรีย์เอย...แม้แม่จะอยู่กับเจ้ามิได้ แต่เจ้าก็จงรู้ไว้ว่า แม่เฝ้ามองเจ้าจากเบื้องบนเสมอ เจ้ามิได้อยู่ลำพัง แม้ยามเจ้าหลับใหล แม่ยังแอบลงมาขับกล่อมแลปัดไล่ยุงร้ายให้เจ้าได้”

“ทำไมลูกจึงขึ้นไปอยู่ที่วิมานกับเสด็จแม่มิได้เล่า”

“มันเป็นกฏของสวรรค์ท่าน สุรีย์บุตรรัก” เสียงหวานกังวาลนั้นดังสืบไป “แม่ฝ่าฝืนกฏแห่งสวรรค์ไปลอบรักกับจอมยักษ์แห่งนครกลางหาว จนเกิดลูกขึ้นมา คนสองเลือด สองเผ่าพันธุ์นั้น ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากใคร แต่แม่ก็มิได้ทิ้งลูก สุรีย์ แม่อยากให้เจ้าเข้มแข็ง และ...สานสัมพันธ์ซึ่งกำลังเกิด โอ้...นั่นปะไร แม่กำลังกังวลอยู่ว่าเขาจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่ สุรีย์มิได้ยินเสียงเขาขยับตัวล่ะหรือ เขาตื่นจากหลับใหลแล้วกระมัง”

แสงเรืองรองส่องสว่างลอยใกล้เข้ามา แล้วคลองจักษุก็พาดผ่านไปจับเข้ากับดวงหน้าอ่อนหวาน ใสกระจ่างราวกับอาบไว้ด้วยแสงจันทร์ยามเดือนเพ็ญ นางมีกลิ่นหอมรวยระรินออกมาจากกาย และนางมีแสงประจำกายเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อนยอดตอง

“เป็นเช่นไรบ้าง พรานบุญเอ๋ย”

“ท่าน...เป็นใคร”

“เราคือผู้ที่ทนเห็นเจ้าถูกคร่าชีวิตมิได้อย่างไรละ”

“ท่านช่วยชีวิตเราไว้”

“เราแค่...พาเจ้า...ออกมาจากที่แห่งนั้น” นางมีรอยยิ้มขี้เล่นระริกไหว พร้อมกับแววตาเจ้าเล่ห์เต้นรำ

“เราต้องขอบคุณท่านมาก” พรานหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ไฟในกองกำลังลุกเรือง ไออุ่นไหลหลั่งเข้ามาสู่กาย ความง่วงงุนหายไปจากกายพรานบุญ คนร่างเล็กขยับกายเข้ามายืนอยู่ใกล้สตรีนางนั้น และมองเขาด้วยแววตานิ่งสงบ

“ดูเหมือนนางรากษสกาลคีจักได้ดื่มกินเลือดเนื้อสัตว์ป่าจนอิ่มหนำ แลได้กลับไปยังถ่ินฐานถ้ำอันเป็นที่บำเพ็ญเพียรแล้ว บาดแผลของนางคงจักทำให้นางสิงสถิตย์อยู่ในถ้ำนั้นอีกสักสามหรือสี่ร้อยปีเห็นจะได้ เจ้ามิต้องเป็นกังวลไปหรอกนะพรานบุญ”

“เสด็จแม่...” คนร่างเล็กเอ่ยเสียงสั่น

“สุรีย์ แม่เห็นจะต้องไปเสียที”

“ไม่ อย่าทิ้งลูกไป”

“สุรีย์เอย เจ้ายังต้องเติบใหญ่แลพานพบกับสิ่งใหม่ในโลกอีกมาก จงออกไปเรียนรู้ จงก้าวเดินต่อไป ออกไปจากหิมวันแห่งนี้ และศึกษาโลกกว้าง แต่จำไว้ว่าอย่าทำร้ายมนุษย์ แลจำไว้ว่าจิตเมตตาย่อมนำพาให้ความดีเข้ามาสู่ตัวเรา สุรีย์ลูกรัก...แม่รักเจ้าเสมอ แลแม่จักอยู่ข้างเจ้าทุกยามที่เจ้านึกถึงแม่ จำไว้...แม่เฝ้ามองลูกเสมอ”

“แม่...”

แสงสว่างวาบราวกับมีใครเอาแสงมาสาดส่องเข้ากับดวงตา จนพรานหนุ่มต้องเอามือป้องสายตาไว้ พอแสงหายไป ที่แห่งนั้นก็เหลือเพียงความสว่างสีเหลืองส้มจากไฟในกองไฟเล็กๆ นั่นเท่านั้น

“ยักษ์เจ้าน้ำตา”

พรานบุญเอ่ยออกมาเรียบๆ สายตาจ้องอยู่กับเปลวไฟซึ่งกำลังจับระบำพลิ้วไหวประดุจดังองค์ตรีเนตรผู้เต้นระบำทำลายล้างจักรวาล คนกำลังมีคราบน้ำตาเปื้อนแก้มขาวเนียนหันขวับมามองตาเขียว

“เจ้าว่าอะไรนะ”

“ร้องไห้กระซิกอย่างกับสตรี อย่างนี้จะมิให้เราว่าฉงนกับเพศเจ้าได้อย่างไร”

“เจ้าสามหาวมาก อยากตายหรือไง”

“ขนาดถูกนางยักษ์ร่างใหญ่จับจะกลืนลงท้อง เรายังรอดมาได้ ประสาอะไรกับยักษ์ตัวน้อยกระจ้อยร่อยเช่นเจ้า เราหาได้เกรงไม่”

“จะลองดูทีหรือ!”

“ก็ถ้าเจ้าเสกร่างให้ใหญ่โตดุจภูเขาเลากาได้เหมือนเช่นนางยักษ์ตนนั้น เราก็จักกลัวแลร้องขอชีวิต”

“เจ้า! ระ...เรา...ไม่”

“อะไรเล่า อึกอักอยู่ได้ เอาสิ ลองแปลงกายให้สูงใหญ่เท่าต้นรังยักษ์นั่นให้เราดูเป็นขวัญตา”

“เรา...เรื่องอะไรเราต้องทำให้เจ้าดู”

“ก็หากทำไม่ได้ นั่นแสดงว่าเจ้ามิเป็นเพียงยักษ์เจ้าน้ำตา หากยังเป็นยักษ์ขี้แพ้อีกด้วย!”

“เจ้าว่าเราขี้แพ้!”

“หากไม่ขี้แพ้แล้วไฉนเจ้าซุกอยู่แต่กับอกเราตอนโดนนางยักษ์นั่นโจมตี?”

“...”

ยักษ์น้อยจนต่อคำพูด ได้แต่นิ่งอั้นตันอกอยู่ตรงนั้น อ้าปากราวกับจะเอ่ยคำใดออกมาอีก แต่แล้วก็หุบปากไว้ตามเดิม เสมองไปที่กองไฟลุกร้อนเต้นแรง

“นางคือแม่ของเจ้า” พรานบุญเอ่ยขึ้นอีก

สุรีย์ยักษ์น้อยก้มหน้า ถอนปัสสาสะเฮือกหนึ่ง แล้วทรุดกายลงนั่งตรงหน้ากองไฟอีกฝั่งหนึ่งจากพรานบุญ มือเล็กขาวซีดจับเอาท่อนฟืนอันเล็กมาหักเล่นโยนเข้ากองไฟให้เปลวให้พระเพลิงลามเลียแลกลืนกินกลายเป็นถ่านแดงต่อไป “เราเป็นมีเลือดสองเผ่าอยู่ในตัว”

“ยักษากับ?”

“...นางเทพอัปสร”

“นึกแล้วว่านางงามเกินกว่าจักเป็นมนุษย์หรือผีป่านางไพรใดๆ”

“นางเป็นผู้รับใช้ของพระโสมเทพแห่งจันทรา ในค่ำคืนเช่นนี้นางจะแรงฤทธิ์ นาง...แม่...จึงลงมาช่วยเราไว้ได้ เจ้าจงสำนึกตนไว้เสีย”

“เรารู้รำลึกถึงพระคุณของนางเสมอ”

“แม่ลอบรักกับจอมยักษ์แห่งนครกลางหาวจนเกิดเรา” ราวกับว่ายักษ์น้อยสุรีย์ได้หลงลืมตนไปชั่วขณะ หรืออาจจะเป็นมนต์แห่งเปลวอัคคีที่กำลังเต้นระบำด้วยจังหวะเคลื่อนไหวอ่อนช้อยก็มิอาจรู้ได้ ด้วยว่ายิ่งจดจ้องเข้าไปในเปลวสีส้มอมแดงนั้น สุรีย์ก็ยิ่งปล่อยให้เรื่องราวแห่งชาติกำเนิดตนหลั่งไหลออกมาราวน้ำในนทีบ้าคลั่ง ปล่อยให้มันลอยเข้าสู่โสตแห่งพรานป่าผู้ที่ตนถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันต่ำกว่า “...แลนำเรามาทิ้งไว้ที่หิมพานต์”

“ทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว?”

“ถูกต้อง เห็นแล้วหรือยังว่าเรานั้นเก่งกล้าเพียงใด เราอยู่ในป่านี้ตั้งแต่เล็กจนบัดนี้โดยมิได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายใดๆ เลย อย่างนี้เจ้าจักเรียกเราว่าขี้แพ้ได้อย่างไร จงเปลี่ยนคำพูดเจ้าใหม่เสีย”

“แต่เจ้าก็กลัวนางยักษ์นั่นจนยอมซุกกับอกและ...กอดเรา”

“นั่นมัน...”

“...เจ้าร้องไห้ด้วย”

“ก็...”

“...เจ้าตัวสั่นราวลูกนกตกน้ำเย็น”

“เราไม่...”

“...ยอมรับมาเถิดว่าเจ้ากลัว...ถูกกิน”

“ถูกละ เรากลัวจะถูกจับกิน! ก็แล้วทำไมเราจักไม่กลัวเล่า ก็นางเป็นรากษสที่คอยรบกวนป่าแห่งนี้มานับพันปี แค่รังสีฆ่าฟันที่ออกมาจากร่างนางก็ทำเอาเรายืนแทบไม่ติดพื้น เจ้าเองเถิด ก็กลัวมิแพ้กว่าเราดอก!”

“เรากลัวจริง แต่มิได้กลัวนาง”

“เจ้าว่าอะไรนะ”

“ความจริงแล้ว เรากลัว...ว่าเจ้าจะ...หนีจากเราไป” คำที่พูดออกมานั้นเบาอย่างยิ่ง จนสุรีย์ยักษ์น้อยต้องมองหน้าอย่างจะอยากให้พรานบุญทวนคำ แต่ฝ่ายนี้กลับส่ายหน้าแล้วจับท่อนไม้ยัดใส่เปลวไฟ “ถ้ำนี่ไม่มีสัตว์ร้ายซินะ”

“เป็นถ้ำที่แม่เคยลงมาบำเพ็ญเพียรบ่อยครั้ง เป็นถ้ำที่อาบด้วยแสงทิพย์ สัตว์ร้ายเข้ามาใกล้มิได้ดอก”

“ฉะนั้น เราคงจักนอนหลับตาได้อย่างสบายใจเสียที”

“แต่เจ้าเพิ่งตื่นนะ”

“ตอนนางยักษ์จักจับเจ้ากินเป็นอาหารนั้น เราเสียกำลังต่อสู้กับนางจนเหนื่อยล้าไปหมด เราก็ต้องการนอนหลับพักผ่อนกายาให้สบายจิตสบายใจ”

เมื่อยักษ์สุรีย์ได้ยินคำ ใบหน้าผ่องแผ้วแฉล้มสล้างนั้น ก็คล้ายกับจะแดงเรื่อขึ้นมาด้วยความอับอาย จึงเงียบอยู่เช่นนั้น มิได้กล่าวคำอะไรออกมาอีก

เมื่อพรานบุญผู้หนุ่มมองเห็นพวงแก้มสีขาวนั้นแต้มด้วยแดงแห่งวัยอันเยาว์ ก็ให้เกิดแรงสะท้านในอก เป็นจิตปฏิพัทธ์ต่อร่างผอมบางนี้ จนเผลอปล่อยใบหน้าให้เกิดมีรอยยิ้มแตะต้อง ฝ่ายยักษ์ครึ่งอัปสรเห็นใบหน้านั้นมีเลศนัย ก็ตะเบ็งเสียงแหวออกมา “อะไร!”

“มองดูแล้ว เจ้าเองก็...”

“ก็อันใด”

“...งดงามมิแพ้พวกนางเทพกินนรีเลยนะซิ”

“เจ้าพรานป่าบ้าใบ้!”

“เราว่าเรามิให้เจ้าเป็นทาสรับใช้แล้วละ เจ้าเป็นอย่างอื่นน่าจะเหมาะสมกว่า”

“อะไร!” ใบหน้านั้นกำลังแดงก่ำ

“ก็เป็น...” พรานหนุ่มหยุดค้างไว้เช่นนั้น มิได้เอ่ยต่อ ปล่อยให้ฝ่ายกำลังเดือนปุดต้องเต้นเหย็ง สาวเท้าเดินอ้อมกองไฟมาใกล้ราวกับจะขืนเอาคำตอบออกจากปากพรานบุญให้จงได้ จนพรานบุญผู้หนุ่มต้องเอามือปิดหู หลับตาหยีด้วยอาการแสร้งว่ารำคาญเสียเต็มประดา “...หยุดส่งเสียงดังเสียที เราจะหลับจะนอน”

“บอกเรามาก่อนสิ เจ้ากำลังจะพูดอะไร”

“อย่ากวนน่า เราจะนอน เดี๋ยวก็เอานาคบาศมัดไว้เสียหรอก เราอุตส่าห์ใจดี ปล่อยเจ้าเป็นอิสระแล้วนะ” บัดนี้บ่วงนาคบาศของจอมนาคาชมพูนิต ผูกติดอยู่กับเอวของพรานบุญ เมื่อมองตามมือที่ชี้บ่งถึงอาวุธร้ายเช่นนั้น ยักษ์หนุ่มน้อยก็หุบปากเงียบ นั่งลงบนพื้นข้างกองไฟใกล้ๆ กับพรานหนุ่มนั่นเอง

ครู่หนึ่งมีความเคลื่อนไหวข้างกองไฟ แลเสียงยักษ์หนุ่มน้อยร้องแหวออกมาอีก “ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ เจ้ามนุษย์สามหาว”

“อย่าเสียงดังน่ารำคาญนักซิ เราหนาว อยากจะนอนเสียเต็มทน”

“เจ้าก็นอนไปซิ จะมา...มา...มากอดเราทำไม!”

“อย่าทำดังว่าเจ้าไม่เคยซุกอกเราอย่างนั้นแหละ”

“ก็นั่นเรากำลังกลัวจนมิรู้จะทำอันใดต่างหากเล่า เจ้าอย่ามาถือเอาว่าเรา...พิศวาศเจ้า!”

“เงียบน่า เสียงเจ้าทำเราปวดหูหมดแล้ว สุรีย์...นิ่งเสียทีซิ”

“อย่ามาเรียกชื่อเรา!”

“อย่าทำดังว่าเจ้าเป็นมนุษย์สาวน้อยหน่อยเลย เราเพียงอยากกอดเจ้าให้ได้ไออุ่นเท่านั้น อย่าได้คิดไกล”

“ใครจักไปคิดไกลกับเจ้ากัน เจ้ามนุษย์จอมเจ้าเล่ห์!”

หากว่ามีเทวาอารักษ์สถิตย์อยู่ ณ ถ้ำแห่งนั้น คืนนั้นพวกท่านก็คงจักต้องหลบลี้ออกไปจากที่คุ้นเคยด้วยว่าเป็นเวลานานทีเดียวกว่าเสียงร้องแหวของยักษ์น้อยใบหน้าพริ้มเพราจะเงียบไปด้วยเหนื่อยอ่อน โดยการดิ้นรนจะให้หลุดจากอ้อมกอดแข็งแกร่งของพรานหนุ่มผู้เริ่มรู้สึกถึงพลังแห่งวัยอันเจริญพันธุ์ แลเทพาอารักษ์ผู้หลบลี้เสียงดังแหวหนวกหูนั่น ก็ได้ปล่อยให้ร่างสองร่างนอนกอดกันอาศัยไออุ่นแนบแน่นทดแทนความอุ่นจากเปลวไฟที่เริ่มมอดเวลาล่วงเข้าสู่วันใหม่

++++++++++

พรานบุญพลิกตื่นฟื้นจากหลับในตอนเช้าของวันใหม่ ด้วยว่ามีแสงจากพระอาทิตย์เทพ ส่องผ่านช่องโปล่งที่ใดสักแห่งของเพดานถ้ำเข้ามา พร้อมกับเสียงสกุณาร่าร้อง พรานบุญตื่นขึ้นมาโดยมีเพียงความทรงจำเลือนลางของความฝันอันแปลกประหลาด อันมีจอมนาคาชมพูนิตยืนทำใบหน้ายิ้มอย่างรู้ทันอะไรสักอย่าง จอมนาคได้กล่าวว่า ท่านจักขอบ่วงนาคบาศกลับคืนไป แม้ว่ามันจักถูกทำลายไปเสียแล้วครึ่งหนึ่งจากนางรากษสกาลคี ด้วยว่ามันมิใช่สิ่งจำเป็นต่อพรานบุญอีกต่อไปแล้ว นาคบาศเป็นอาวุธมีชีวิต แลนาคบาศจะอยู่กับผู้ที่มีความปรารถนาเท่านั้น หากความปรารถนานั้นได้รับการเติมเต็มเสียแล้ว นาคบาศก็ละทิ้งไปอยู่กับเจ้าของดั้งเดิมทันที พรานบุญในฝันได้เอ่ยถามออกไป แลได้รับคำตอบกลับมาจากจอมนาคชมพูนิตว่า

“เจ้าได้เจอสิ่งที่มีค่ากว่านาคบาศแล้ว มันจะเป็นสิ่งคล้องใจเจ้าตลอดไป แม้ตอนนี้เจ้าจะยังมิรู้ว่ามันคือสิ่งใด หากมินานดอก เจ้าจะรู้ว่า...มันอยู่ใกล้ๆ เจ้านี่เอง”

++++++++++

ในตอนเช้าวันหนึ่ง ขณะพระอาทิตย์ได้ขับราชรถเทียมม้าไฟข้ามผ่านน่านฟ้าเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก พระองค์ก็ได้เห็น จุดเล็กๆ สองจุดเคลื่อนไหวอยู่ ณ ท่ามกลางทะเลหญ้าสีเขียวของเนินสูงก่อนถึงป่าใหญ่นอกเมืองพาราณสี เมื่อเพ่งมองไปด้วยความใคร่รู้ พระองค์ก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้มจำนรรจาของบุรุษร่างเล็กผอมบาง กับมนุษย์ร่างใหญ่บึกบึน

บุรุษร่างใหญ่ถามบุรุษร่างเล็กว่า “วันนั้นที่เจ้าเข้ามาหาเรา เจ้ามาด้วยเหตุอันใดกันแน่”

“เราจะมาเอานาคบาศ” บุรุษร่างเล็กเอ่ยตอบด้วยเสียงกระแทก และรั้นขึ้นจมูก

“มิใช่จะมาทำอย่างอื่นหรือ” อีกคนเอ่ยถามกวน

“เจ้ากล่าวบ้าใบ้อีกแล้วรึ หยุดคิดเรื่องอะไรลามกโสมมได้แล้ว เราเพียงเข้าไปเพื่อจะแย่งชิงบ่วงบาศมาเท่านั้น มิได้มีจุดประสงค์อื่นใด”

“ทำไม”

“เพราะบ่วงนาคบาศเป็นอาวุธมีชีวิต และมันเป็นอาวุธแห่งพระเวทย์ มันย่อมร้องเรียกสิ่งมีชีวิตแห่งพระเวทย์อื่นๆ เข้ามาหาตัว”

“และเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตพระเวทย์?”

“เราเป็นบุตรแห่งนางเทพอัปสร เจ้าลืมไปแล้วหรือ”

“อ้า นั่นซิ”

“เจ้าหยุดกวนเราเสียที นี่ถ้าเสด็จแม่มิได้ให้เรามากับเจ้า เราก็คงจะหักคอเจ้ากินเป็นอาหารอยู่ที่หิมวันต์นั่นแล้ว”

“อย่าว่าให้เราเห็นขันหน่อยเลย ยักษ์น้อยเอย แรงจะออกจากอ้อมกอดเรา เจ้ายังมิมี แล้วประสาอะไรกับจะมาจับเราหักคอ ตื่นจากฝันหวานของเจ้าก่อนเสียเถิด!”

เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงบทสนทนาของสิ่งมีชีวิตอันเล็กกระจ้อยร่อย มิได้มีความสำคัญอันใดต่อพระองค์ พระอาทิตย์ก็ขับรถม้าต่อไปนำแสงสว่างไปสู่โลกอันกว้างใหญ่ในอีกซีกหนึ่ง ปล่อยให้สองร่างเดินลงเนินสูงเข้าสู่ป่าใหญ่ไพรดก และเดินทางถึงกระท่อมน้อยชายป่าของพรานบุญหนุ่ม ซึ่งตั้งอยู่หน้าผาอีกทีหนึ่ง และมองเห็นตัวเมืองพาราณสีอยู่ไกลๆ และแสงสีทองที่กำลังล้อเล่นกับแสงตะวันนั้นก็คือปราสาทขององค์ราชาผู้ครองนคร

นับแต่นั้นมา พรานบุญก็เลิกแล้วซึ่งการเสพเนื้อสัตว์อย่างจริงจัง แลการจับสัตว์ป่าเข้าไปขายในเมืองก็กลายเป็นเพียงอาชีพในอดีตที่ถูกละทิ้งไปเสียแล้ว ทำไมน่ะหรือ พรานบุญหันมาประทังชีพด้วยผักแลผลไม้ป่าตามอย่างยักษ์น้อยหน้าตาแฉล้มแจ่มจันทร์นั่นอย่างไรละ! แลกระท่อมน้อยชายป่าซึ่งเคยมีเพียงหนุ่มวัยฉกรรจ์อาศัยอยู่เพียงลำพัง ก็มีเสียงใสๆ ของยักษ์น้อยตนนั้นคอยกล่อมให้หัวใจได้ชุ่มฉ่ำดุจน้ำฝนหล่อเลี้ยงพื้นดินแห้งแล้ง จนงอกงามขึ้นมาด้วยพฤกษาหลากพันธุ์

จบ.

+++++

หวังว่าคงจะสนุกนะคะ หากพบคำผิดหรือประโยคแปลกประหลาด บอกกันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล.ปรับแต่งตัวอักษรไม่เป็น

Click here to go back to the previous page Go back   Click here to see help FAQ     
Conferences Post form
Your Message
Name*:
Subject*: Upload Pics อัพโหลดรูปภาพ
Message*:
 
HTML Ok
Use [] in place of <>

HTML Reference
 
Images Ok
 
Click on a smilie to add it to your message.
 
Check if you DO NOT wish to use emotion icons in your message
RBR User*: ใส่ Username และ Pass RBR ในกรณีที่โพสแล้วติดแอดมิน
RBR Pass*: ***ผู้ที่ใช้พาส RBR ป่วนหรือโพสผิดกฎบอร์ดจะถูกยึดพาส***
 

 

Palm-Plaza.com All rights reserved.

*** ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง
ห้ามโพสข้อความ รูปภาพ ไฟล์ที่มีลิขสิทธิ์ ที่สร้างความเสียหายให้แก่บุคคลอื่น
ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link "แจ้งลบข้อความ" ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือแจ้งมาได้ที่ ryubedroom@yahoo.com



Copyright Palm-Plaza,Inc. All Rights Reserved.