จอมกระบี่เหินบุรุษ ตอน จักจั่นบนหอน้อย 5 เวลาผ่านไปได้สองสามวันหลังจากการไปเยือนบ้านสกุลหม่าของหนานเฟยสิง หลังจากกลับไปหนานเฟยสิงได้แต่ครุ่นคิดถึงคำสองคำบนกระดาษที่ได้จากที่เกิดเหตุ กวงหง แต่คิดอย่างไรมันก็คิดไม่ออกจนกระทั่งสองวันก่อน ในขณะที่องเฮ้ยโส่วกำลังจะเดินทางเพื่อไปติดต่อขอความช่วยเหลือจากหนี่อ้ายเหรินคนรักเก่าของมัน มันจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้องเฮ้ยโส่วที่เปรียบเสมือนพี่น้องคู่ใจทราบ
หนานเฟยสิงคิดทบทวนคำพูดของมันกับองเฮ้ยโส่วเมื่อสองวันก่อน
เจ้าคุ้นๆชื่อ กวงหง บ้างไหมองตี่ตี๋ มีใครในละแวกนี้มีชื่อนี้หรือไม่
กวงหง กวงหง เท่าที่ข้ารู้ไม่มีใครในบ้านสกุลหม่ามีชื่อนี้ องเฮ้ยโส่วกล่าวตอบกลับพร้อมกับจัดแจงม้าคู่ใจที่ชื่อ เจ้าอืด เพื่อเตรียมเดินทางไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
ข้าเจอกระดาษใบหนึ่งในห้องของหม่าต้าหู่ วันเดียวกันกับที่ชายชุดดำโจมตีข้าจากด้านหลังที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง มันเขียนเป็นอักษรสองคำว่า กวงหง นี่ข้าคิดหัวแทบแตกแล้วยังไม่ทราบหมายความว่าอย่างไร แต่ดูคลับคล้ายเป็นชื่อของคน หนานเฟยสิงทอดถอนใจเฮือกใหญ่เหมือนต้องการลดอาการหงุดหงิดจากการคิดไม่ออกนั้น
อ้อ ข้านึกได้เรื่องหนึ่ง ชาวบ้านรอบๆกล่าวว่าหม่าต้าหู่เคยมีลูกชายคนหนึ่ง แต่มันหายออกจากบ้านไปสี่ห้าปีแล้ว แล้วก็ไม่เคยเห็นกลับมาหรือมาเกี่ยวข้องอันใดกับสกุลหม่าอีกเลย องเฮ้ยโส่วทำสีหน้าเรียบเฉยขณะพูดเหมือนว่านี่ไม่ได้เกี่ยวข้องสลักสำคัญอะไรกับคดี
หนานเฟยสิงรับฟังรู้สึกได้ความรีบถามองเฮ้ยโส่วต่อ
หม่ากวงหงหรือ? ชื่อนี้หรือเปล่า? นี่อาจจะเป็นเบาะแสก็ได้ เจ้ารู้ไหมว่ามันหายไปไหน และมันอายุเท่าไหร่ตอนจากบ้านไป
ข้าก็ไม่รู้ชื่อของมัน ข้ารู้เท่าที่สอบได้จากชาวบ้าน พวกนั้นเพียงแค่พูดตัดพ้อถึงลูกที่จากไปของผู้ตาย แล้วไม่ได้กลับมาดูศพพ่อของตนก็เท่านั้น เห็นว่าทะเลาะอะไรกันสักอย่าง ตอนมันออกจากบ้านไปน่าจะสักสิบสี่สิบห้าปีกระมัง
ถ้านับถึงตอนนี้มันก็คงจะเป็นหนุ่มอายุราวสิบแปด สิบเก้าได้แล้วกระมัง หนานเฟยสิงใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด
คำพูดและความคิดของมันเลื่อนลอยอ้อยอิ่งจนกระทั่งมันเดินทอดน่องผ่านความชุลมุนของตลาดกลางเมืองลั่วหยางมาสู่สถานที่ๆเคยมาเมื่อคราวก่อน หอหมื่นอาชาพันลี้ มันพลันสลัดความคิดคำนึงถึงบทสนทนาระหว่างมันกับองเฮ้ยโส่วออกจากหัวไป เดินย่ำๆเข้าไปสู่สถานที่ๆมันเหมือนอยากมาเพราะมีคนที่มันคิดถึงอยู่ และเหมือนไม่อยากมาเพราะกลัวบางสิ่งบางอย่างจะเป็นไปตามข้อสันนิษฐาน
สวัสดีหนานเฮีย เป็นท่านกลับมาเพราะติดใจเสียงดนตรีของหงฉานแล้วกระมัง ไม่ทราบว่าคราวก่อนมันขับกล่อมท่านจนลืมเรื่องควบขับไปได้ดั่งท่านหวังหรือไม่ เสียงหยาบใหญ่ที่พยายามบีบให้เล็กลงฟังดูคุ้นหูหนานเฟยสิงดังขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนตัวมาของบุคคลผู้หนึ่งที่อยู่ในชุดสีแดงรุ่ยร่ายพร้อมใบหน้าหนาเตอะด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างเคย
ฮา ฮา เป็นหนิงเหมิงล้อข้าเล่นแล้ว จระเข้ไฉนเลยมีหูฟังดนตรีจะมีก็เพียงดวงตาที่มองเหยื่อ กับลิ้นหยาบๆที่ใช้ลิ้มรสเพียงเท่านั้น หนานเฟยสิงฟังคำหนิงเหมิงพูดจาเสียดสีหยอกล้อตน ค่อยแสร้งเป็นหัวเราะตอบกลับอย่างยอกย้อนไม่แพ้กัน
หนิงเหมิงรับฟังใบหน้ายิ้มสดใสยังทำสีหน้าเอียงอายให้มันครั้งหนึ่งจึงกล่าวอย่างหยอกๆ หากท่านชมชอบข้าๆยินดีเป็นเหยื่อให้ท่านลิ้มลองแล้ว เชิญนายท่านด้านในก่อนข้าจะให้เด็กๆยกสุรามาให้
หนานเฟยสิงพยักหน้าพลางเดินตามหนิงเหมิงเข้าสู่ด้านในของหอหมื่นอาชาพันลี้ วันนี้บรรยากาศในร้านดูคึกคักมากเป็นพิเศษหนานเฟยสิงกวาดตามองไปยังอดละลานตาไม่ได้ แถมยังสังเกตเห็นเถ้าแก่ร้านค้าหลายร้านที่ตนเคยได้ยินชื่อเสียงนั่งร่ำสุราโอบกอดเด็กหนุ่มในร้านอย่างเปิดเผยจนทำให้มันต้องร้องอ้อขึ้นเนื่องจากหายสงสัยถึงรสนิยมของเถ้าแก่คนนั้นๆ
หนานเฟยสิงทรุดตัวนั่งลงบนเก้าหลังโต๊ะกลมตัวใหญ่ที่มีฉากกั้นอย่างดี นับได้ว่าหนิงเหมิงทราบสถานะของผู้มาเยือนว่าเงินถึงพร้อมจ่ายให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด มันจัดแจงให้หนานเฟยสิงนั่งในสถานที่ๆดีที่สุดแม้นไม่ใช่ห้องส่วนตัวเสียทีเดียวแต่ก็มีฉากกั้นมิดชิดแบ่งเป็นสัดส่วนจากภายนอกอย่างเห็นได้ชัด
เด็กหนุ่มคนหนึ่งยกสุราเข้ามาตั้งไว้บนโต๊ะให้มันพร้อมจอกอีกจำนวนหนึ่ง ท่านจะสั่งอาหารอันใดหรือไม่นายท่าน หนิงเหมิงใช้มือลูบปัดผมให้ดูเข้าที่เข้าทางจัดแจงบีบเสียงแหลมเล็กก้มถามความต้องการของลูกค้าชั้นดีผู้นี้
ไม่
ข้าต้องการพบหงฉาน หนานเฟยสิงรินสุราที่เพิ่งยกมาใส่จอกจากนั้นซดครั้งเดียวจนหมดพร้อมกล่าวบอกความต้องการอย่างตรงไปตรงมา
หนิงเหมิงสีหน้าซีดเผือดลงรอยยิ้มหายวับไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่นางจะปั้นหน้ายิ้มแหยๆใหม่อีกครั้งพร้อมกล่าวว่า เห็นทีวันนี้จะเป็นการยากเสียแล้วนายท่าน หงฉานติดแขกผู้อื่นอยู่ยังคงไม่อาจให้บริการท่านได้
หนานเฟยสิงทำหน้าเรียบเฉยไม่กล่าวอันใดมันวางจอกเหล้าลงแล้วใช้มือล้วงลงไปที่ผ้าคาดเอวจากนั้นหยิบเงินขึ้นมาสามสี่ก้อนแล้ววางไว้บนโต๊ะ
หนิงเหมิงเห็นเงินบนโต๊ะก็ตาลุกวาวเป็นประกายเข้าใจความหมายและความต้องการของหนานเฟยสิงเป็นอย่างดี มันรีบเก็บเงินบนโต๊ะกวาดเข้าอกเสื้ออย่างไม่รีรอพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า แหม แหม แหม เป็นหนานเฮียมีน้ำใจข้าน้อยจะให้เด็กๆขึ้นไปชมดูที่ด้านบนว่าหงฉานใกล้จะรับแขกเสร็จสิ้นแล้วหรือยังเพราะนี่ก็ผ่านมาเกือบจะสองชั่วยามแล้วคาดว่าน่าจะใกล้ได้เวลา
หนิงเหมิงกวักมือไวๆเรียกเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังยกสุราจะขึ้นไปที่ชั้นสองกระซิบกระซาบข้างหูมัน มันพยักหน้าตอบรับสองสามครั้งแล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไป เพียงไม่นานหลังจากนั้นเด็กคนนั้นก็เดินกลับลงมาพร้อมกับกล่าวกับหนิงเหมิงว่า ท่านจี้ยังคงฟังดนตรีของหงฉานอยู่ คาดว่าน่าจะอีกนานแล้วหนิงเจ่เจ้
หนิงเหมิงรับฟังทำหน้าบูดบึ้งรีบไล่เด็กยกสุราผู้นั้นไปให้พ้นตาพร้อมกับปั้นยิ้มกล่าวกับหนานเฟยสิงซึ่งกำลังยกจอกสุราดื่มเอาๆเหมือนกำลังย้อมตนเองให้เมามาย
เอ่อ หนานเฮีย
ข้าได้ยินแล้ว เงินนั่นเจ้าเก็บไว้เถิดไม่ต้องคืนถือว่าเป็นค่าความพยายามของเจ้า ข้าเป็นแขกไม่ควรทำให้เจ้าของสถานที่อึดอัดใจ การค้าก็คือการค้า หนานเฟยสิงยกมือทำท่าปัดๆเหมือนไม่อยากใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้น
หนิมเหมิงยิ้มอย่างลี้ลับวูบหนึ่งค่อยกล่าว
หามิได้ๆ การค้าก็คือการแลกเปลี่ยนไหนเลยหนิงเหมิงจะรับเงินท่านได้ฟรีๆโดยมิมีใดตอบแทน เอาเป็นว่าที่หนึ่งไม่ว่างก็ยังมีที่สอง สาม สี่ แม้ว่าหงฉานเป็นหนึ่งในจักจั่นสิบสองสี แต่ว่าจักจั่นน้อยของหนิงเหมิงที่เหลือก็หาได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าไหร่ไม่ แถมยังไม่เล่นตัวเหมือนอย่างหงฉานอีกด้วย ข้าใคร่คิดให้หนานเฮียช่วยลดตาลงชมสักคราแล้ว
หนิงเหมิงกล่าวจบพลางกวักมือเรียกเด็กหนุ่มคนเดิมจากนั้นกระซิบกระซาบให้มันฟังสองสามคำมันก็พยักหน้ารับอีกจากนั้นจึงเดินออกไป
ไม่นานนักมีเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านอีกสามคนเดินตามมันกลับบมาหาหนิงเหมิงที่โต๊ะที่หนานเฟยสิงนั่งอยู่ เด็กหนุ่มทั้งสามคนนี้อายุอานามล้วนไม่น่าเกินสิบแปด บุคลิกท่าทางของแต่ละคนล้วนมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทั้งสิ้น มันทั้งสามยืนเรียงหน้ากระดานเอามือไพร่หลังอยู่ต่อหน้าหนานเฟยสิง
หนิงเหมิงเห็นหนานเฟยสิงละลานตากับเด็กหนุ่มตรงหน้าก็พลอยโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกรีบตรงรี่เข้าไปแนะนำเด็กหนุ่มแต่ละคนให้แก่หนานเฟยสิงได้รู้จัก
เป็นอย่างไรหนานเฮีย ที่สอง ลงไปไม่ใช่ว่าจะร้ายกว่าที่หนึ่งสักกี่มากน้อย
หนานเฟยสิงลอบร้องคำแม่เล้าอันร้ายกาจรู้จักหาทางประจบสอพลอเอาตัวรอดจากสถานการณ์ยากลำบาก มันชมเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านทั้งสามปนกับฤทธิ์สุราทำให้รู้สึกร้อนลุ่มขึ้นเป็นกำลัง
เด็กหนุ่มทั้งสามคือ ลวี่ฉาน (จักจั่นเขียว) ป่ายฉาย (จักจั่นขาว) และ จินฉาน (จักจั่นทอง) ยืนถอดเสื้อเปลือยช่วงบนสวมกางเกงเรียงตามสีฉายาของตน ยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ไล่ลำดับจากสูงไปต่ำ ลวี่ฉาน มีบุคลิกประเปรียวด้วยร่างกายสูงผอมเกร็งแต่สมส่วน มันดูคล้ายขายาวกว่าคนทั่วไป มันจึงใส่กางเกงเอวสูงขึ้นมากกว่าคนปรกติเพื่อให้ดูว่าตนเองมีขาที่สั้นลงเล็กน้อย ป่ายฉานหน้าตาสะอาดสะอ้านจิ้มลิ้มรูปร่างไม่ใหญ่ไม่เล็กสันทัดดวงตากลมโตผมเผ้าถูกมัดไว้อย่างเรียบร้อย ส่วนจินฉานมีผิวสีเหลืองคิ้วเข้มหนาริมฝีปากหนาดวงตาคมลับกับสันคิ้วและจมูกที่ได้รูป นับได้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสามมีจุดเด่นแตกต่างกันแม้ความหล่อเหล่าจะน้อยกว่าหงฉานมาก แต่ถ้านับในเรื่องจุดเด่นบุรุษทั้งสามนี้ก็นับได้ว่าหล่อเหลาควรเมืองแล้ว
หนานเฟยสิงรับชมพร้อมดวงตาเป็นกระกายสดใส นับว่าสรรพคุณไม่เกินเลยคำพูดท่านเลย หนิงเจ่เจ้
หนิงเหมิงรับฟังก็หัวเราะเบาๆพร้อมกับจับแขนของหนานเฟยสิงให้ลุกขึ้นชมเด็กหนุ่มทั้งสามใกล้ๆ หนานเฟยสิงลุกขึ้นตามคำเชิญชวนของแม่เล้าจากนั้นจึงเดินวงรอบๆเด็กหนุ่มทั้งสามที่เอามือไพร่หลังอยู่
หันหลังให้ข้าชมหน่อย
จักจั่นน้อย หนานเฟยสิงกล่าวพลางรินสุราลงในจอกของมันจากนั้นถือเดินตรงไปที่เด็กหนุ่มทั้งสามซึ่งหันหลังโชว์บั้นท้ายงอนงามให้แก่มัน มันมุ่งตรงไปที่ลวี่ฉานที่ยืนทำสีหน้าเรียบเฉยอยู่เหมือนไม่ได้ใส่ใจหรือต้องใจหนานเฟยสิงแต่อย่างใด แต่มันก็หาใส่ใจไม่เพราะเด็กคนนี้แม้ว่าจะดูประเปรียวชาญสนามรักแต่ว่าส่วนสูงออกจะมากเกินรสนิยมของมันไปสักหน่อยมันจึงผ่านเลยไป
จักจั่นขาวคนนี้ดูน่ารักดี
มันเดินไปที่ด้านหลังของป่ายฉานที่มีส่วนสูงน้อยกว่ามันนิดหน่อย จากนั้นค่อยก้มหน้าลงใช้ปลายจมูกไล่ที่ซอกคอของเด็กหนุ่มผิวขาวเนียนจนทำให้เด็กหนุ่มผู้นั้นขนลุกขึ้นอย่างไม่อาจยับยั้ง
ในขณะที่หนานเฟยสิงกำลังเหมือนเชยชมป่ายฉานเบาๆเป็นเชิงหยอกเอินนั้น ลวี่ฉานเบือนหน้าหนีไปด้านข้างอีกทางเหมือนไม่อยากพบเห็นภาพหนานเฟยสิงเชยชมเพื่อนร่วมงานของมัน มันกำมือที่ไพร่หลังอยู่แนบแน่นเหมือนพยายามอดทนต่อแรงหึงหวงของภาพตรงหน้า
หนิงเหมิงสังเกตเห็นอาการนั้นของลวี่ฉานอย่างชัดเจน นางส่ายหัวแล้วเดินมาด้านข้างของหนานเฟยสิงเหมือนใช้ร่างกายใหญ่โตของตนปิดบังหมัดที่กำแน่นของลวี่ฉานจากนั้นพลางกล่าว
ท่านคงถูกใจจักจั่นขาวน้อยตัวนี้ของข้าแน่แท้แล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าให้เด็กๆไปเตรียมห้องให้แก่ท่าน
หนานเฟยสิงโอบกอดป่ายฉานจากทางด้านหลัง เหล่ตามองหนิงเหมิงเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้แก่นาง
ถ้าเช่นนั้นเจ้าสองคนที่เหลือก็แยกย้ายไปรับแขกเถิด แล้วอย่าให้เสียลูกค้าเป็นอันขาด จินฉานเจ้าไปช่วยลวี่ฉานดูแลแขกด้วย หนิงเหมิงจ้องหน้าลวี่ฉานที่กัดฟันกรอดจากนั้นกล่าวด้วยเสียงหนักแน่นเหมือนออกคำสั่ง ก่อนจะไล่มันออกไปจากตรงนั้นเพราะรู้นิสัยหึงหวงจนเสียงานของมันดีก่อนไปจึงยังฝากจินฉานให้ดูแลไม่ให้มันกระทำการอันเป็นผลเสียต่อการค้า
โครม
โครม
.
ท่านจี้โปรดปล่อยประละเว้นหงฉานด้วย
. ท่านจี้ข้าน้อยขอร้องท่านโปรดละเว้นข้าน้อยด้วย เสียงตะโกนร้องขอความเห็นใจดังลั่นลงมาจากชั้นสองของหอหมื่นอาชาพันลี้ ตามมาด้วยเสียงอึกทักคึกโครมเหมือนคนกำลังต่อสู้กัน
หนิงเหมิงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นทำหน้าทำตาลนลานถกกระโปรงผ้าแพรรุ่ยร่ายของตนก่อนจะหันมากล่าวกับแขกคนอื่นๆ ไม่มีอะไรนายท่าน เชิญตามสบายไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน จากนั้นมันจึงวิ่งตรงยังบันไดทางขึ้นชั้นสอง
หนานเฟยสิงได้ยินเสียงของหงฉาน คล้ายคืนสติจากความเมามายและกำหนัดรีบปล่อยตัวป่ายฉานจากอ้อมกอดคว้ากระบี่บนโต๊ะจากนั้นไล่ตามหนิงเหมิงไปติดๆ
ลวี่ฉานยังไม่ได้เดินจากไป มันมองหนิงเหมิงกับหนานเฟยสิงหันหลังผ่านไปแล้วกระชากตัวป่ายฉานที่ยืนข้างๆเข้ามาหาตนเองอย่างไร้สติแล้วจึงพูดด้วยความโมโห วันนี้เจ้าคงคิดว่าพลาดโชคดีไปกระมัง
ป่ายฉานทำสีหน้าละอาจากนั้นพูดตอบกลับลวี่ฉานไปอย่างหน่ายๆ มันคืองานเจ้าก็รู้ เจ้าเกือบทำพวกเราเสียการใหญ่
ลวี่ฉานสะบัดหน้าเล็กน้อยเหมือนไม่ยอมรับคำครหาจากนั้นกล่าว วันหนึ่งข้าจะฆ่ามันด้วยมือข้าเองข้ารับรอง เจ้าจะระริกระรี้ไปนอนกับมันก็รีบทำเถอะ
ป่ายฉานผลักหน้าอกเปลือยเปล่าของลวี่ฉานออกด้วยความโมโหในคำพูดของมัน