สัญชาตญาณ​ลึกๆ​ ของมนุษย์/สัตว์​ คือ​ "ความกลัว"
เริ่มจากกลัวภัยธรรมชาติ​ จนถึงกลัว​ในสิ่งที่มองไม่เห็น​
สมัยก่อนจึงเกิด​ "Solf​ Power" นั่นคือวิทยาศาสตร์​
เพื่อเป็นเครื่องมือ​ มาทำลายล้าง..​ความเชื่อ​ของมนุษย์
ที่อาจทำให้​ "มนุษย์สูญพันธุ์" ได้หากงมงายกับสิ่งผิด

.

.

อิแก่นี่มั่ว สมัยก่อน magic ก็ ทำหน้าที่เป็นศาสตร์ที่อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แค่สมัยใหม่ วิทยาศาสตร์ มาแทนที่ความเชื่อ พยายามอธิบายธรรมชาติเอาชนะธรรมชาติ แต่ตัวมันเองก็คือ ลัทธิใหม่แบบนึง

ขอให้คะแนนความคิดแค่ 3/10

เงินมือค่าใช้จ่ายในชีวิตมาตั้งนานแล้ว เพราะมันจำเป็น ไม่มีเงิน มึงก็ไม่มีแดกไม่มีใช้จ่ะ
ถึงเป็นสิ่งอุปโลกแต่เป็นความจริง

แต่พวกรูปเคารพ มึงไม่ไหว้ มึงก็ไม่ตายค่ะ และมันไม่มีความจริงที่เป็นสากลด้วย
อีกอย่างจะแก้ผ้าต่อหน้าก็ได้

ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมบางอย่างของแสงในหลักควอนตัม เป็นต้น ซึ่งยังอธิบายไม่ได้
อะไรที่ยังหาคำอธิบายไม่ได้ ไม่ได้แปลว่า มันไม่มี เพียงแต่เราอาจเชื่อและเข้าใจไม่ถูกต้อง เท่านั้นเจ้าค่ะ

หรือถ้ากรณีกำลังใจเข้มแข็งมากแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้รูปวัตถุอย่างเดียวก็ได้ ก็ทำจิตให้เข้าถึงอุปจารสมาธิ แล้วใช้กำลังของมโนมยิทธิขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าพระองค์จริงบนพระนิพพานได้เลย

อานิสงส์การนึกถึงพระพุทธเจ้านี่ไม่ใช่น้อยนะ แค่นึกถึงอย่างเดียวยังไม่ได้ไหว้นะ ไปสวรรค์กันเกินล้านล้านคน นับเป็นล้านไม่ได้ ต้องนับจำนวนกันเป็นโกฏิ

ตัวอย่างท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้เคารพพระพุทธเจ้า แต่ตอนจะตายป่วยหนักมาก ใครก็รักษาไม่ได้แล้ว เขาปล่อยให้นอนรอตาย ท่านเห็นพระพุทธเจ้าเดินผ่านบ้านไป ก็นึกในใจว่าพระพุทธเจ้านี่คนเขาว่าเก่ง มาช่วยรักษาเราให้หายหน่อยได้ไหม นึกขอให้พระพุทธเจ้ามารักษาตัวเองนะ ไม่ใช่นึกเคารพ แค่นี้ก็ตาย ตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ได้เพราะอานิสงส์นึกถึงพระพุทธเจ้านี้

แล้วลองคิดดูถ้าเราไหว้เรากราบพระพุทธรูปซึ่งเป็นรูปแทนองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจเคารพ นี้อานิสงส์จะเกิดขนาดไหน