อีกะเทยควาย อ่านไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดอีกแล้ว มันจั่วแล้วมันก็ให้คนอื่นเย็ดสดไปเรื่อยๆ

จะมา U U กับเหี้ยบ้านมึงสิ อีกะเทยชั้นต่ำสัตว์นรกส่งมึงมาเกิด

จั่วแล้วให้คนอื่นเย็ดสดได้ถ้าแดกยาต้านจนไวรัลโหลดเป็น undetectable ค่ะ U=U มึงกล่าวหาว่าเขาแพร่เชื้อมีหลักฐานอะไรว่านางไม่แดกยาต้าน? ตอบตรงนี้ให้ได้ก่อน ตัดสินคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลและข้อมูล เป็นการ stigmatized ผู้ติดเชื้อ=ตัวแพร่เชื้อเท่านั้น พฤติกรรมต่ำทรามค่ะ คนมีการศึกษาสูงเขาไม่ทำกัน และกฎหมายไม่ได้ระบุว่าจั่วแล้วห้ามมีเพศสัมพันธ์อีกเลยตลอดชีวิตนะหล่อน ศึกษาตัวบทกฎหมายด้วย แต่ถ้าจงใจแพร่เชื้อโดยไม่บอกคู่นอน นั่นคุกค่ะผิดกฎหมาย

แต่ไม่กันไวรัสตับ และโรค STDs ค่ะอิโง่ เขาไม่เรียก stigmatized เขาเรียก matter of concern คนเรา concern ได้ค่ะ อย่าโง่ให้มันมาก ศึกษาเรื่อง queer ให้ลึก ไม่ใช่สุดซอยแบบไร้จินตนาการ แบบนี่โง่ เถียงเหมือนพวก นศ ติ่งส้มเลยรำคาญ

อีควาย ปกป้องไปเถอะค่ะ 555

เพราะคิดชั่วๆ โง่ๆ แบบอีตุ๊ดควายแก่รี 1 นี่แหละค่ะ พ่อตุ๊ดมัน และแม่เหี้ยมันถึงจั่วตาย เพราะมั่นใจว่าแดกยาตัานแล้วไปร่านต่อได้ อีลูกกุลีชั้นต่ำเอ๊ย

.

จะไปคิดมากกันทำมัยคะ

สมัยนี้ลบกับลบยังกลายเป็นบวก

โรคกับโรคมันต้านกันได้อยู่แล้วค่ะลูก

.

.

.

.

.

จริงอีดอก มึงไม่ได้คิดถึงโรคอื่นเลยเหรอ หรือคิดว่าโรคติดต่อมีแค่ HIV ถ้าแบบนั้นความคิดมึงสั้นมาก

แต่มันจะมีช่วงเวลาที่ค่า CD4 ต่ำ
เพราะร่างกายมึงอ่อนแอ พักผ่อนน้อย ป่วย
มันคือช่วงคือ มึงจะแพร่ได้ค่ะ

อี ด อ ก ท อ ง

จั่วแล้วมึงก็ใส่ถุงดิวะ ค ว ย

หล่อนกำลัง stigmatized ผู้ติดเชื้อแบบมโนค่ะ เอาไวรัลโหลดมาโยงกับ CD4 แบบมั่วซั่ว การเทค ART ทุกวันจนไวรัลโหลต่ำเป็น Undetected แล้วทานยาสม่ำเสมอตรงเวลาทุกวัน จะทำให้ร่างกาย CD4 ต่ำยังไงเวลาป่วยคะ จงอธิบายมาในเมื่อยาโดสเท่าเดิมที่รับทุกวัน ป่วยจากแบคทีเรียหรือไวรัสตัวอื่นที่ไม่ใช่HIV แต่รับ ART ที่กด HIV โดยตรง แต่หล่อนอ้างว่าป่วยจากไวรัส, แบคทีเรียตัวอื่นมันจะไปรบกวนการทำงานของ ART ยังไงคะ ตอบกลไกข้อนี้มาก่อน หล่อนยังไม่เข้าใจกลไกการออกฤทธิ์ของยาต้าน แต่ตัดสินใจเองโดยมโนไปแล้วว่าถ้าป่วย ภูมิก็ต้องลด ของานวิจัยมายืนยันค่ะว่าทาน ART จนไวรัลโหล 0 ทุกวัน แต่ป่วยจากเชื้ออื่นโดยที่แดกยาตัวเดิมโดสเท่าเดิมจะทำให้ viral load มันพุ่งขึ้นมายังไง เพราะเชื้อ HIV มัน =0 มันก็ไม่ไปกวนเม็ดเลือดขาว แล้ว CD4 จะต่ำยังไง หล่อนตอบ

ลิ้งค์ทางการเขาก็ยืนยันแล้วว่า U=U ค่ะ ไปรับยาต้าน ก็ต้องตรวจเลือดอยู่แล้ว ถ้าไม่ U ก็ไม่ปลอดภัย ถ้าตรวจแล้วพบว่า U แล้วแดกยาทุกวันไม่ขาดตกบกพร่อง ก็ปลอดภัยค่ะ U=U เลิก stigmatized ผู้ติดเชื้อซักทีนะคะ อัพเดทข้อมูลด้วย

https://www.health.harvard.edu/blog/uu-ending-stigma-and-empowering-people-living-with-hiv-2020042219583

https://www.hiv.gov/blog/science-validates-undetectable-untransmittable-hiv-prevention-message/

https://www.cdc.gov/globalhivtb/who-we-are/features/amplifying-undetectableuntransmittable.html

ถึงมาถ่ายทอดความรู้ผิดๆ ว่าแดกยาต้านแล้ว U = U แล้วจะไม่ติด

มึงไปทำกับเหี้ยที่บ้านมึงก่อนเนอะ ค่อยมาสอนคนอื่น

ความรู้ผิดๆ ผิดตรงไหนเอาปากกามาวงค่ะ หล่อนมีผลทดสอบทางวิทยาศาสตร์ หรืองานวิจัยตัวไหนที่ว่า U≠U ลิ้งค์ข้างบนมีให้อ่านแล้วนะคะ เขาวิจัยมาเป็นยี่สิบปี หล่อนมาพล่ามแต่ละรีไม่มีหลักฐานอะไรเลยโยงมั่วซั่วตลอด หยุด stigmatized ผู้ติดเชื้อได้แล้วค่ะ นี่ปี 2023 แล้ว ติดเชื้อแค่ดูแลตัวเองทานยาครบโดสจน Undetectable=Untransmittable ค่ะ หล่อนสงสัยมาก็ไปคุยกับสภากาชาดไทยก็ได้ค่ะ นี่ของไทยก็มีถ้าโง่มากอ่านแปลไม่ออก

https://th.trcarc.org/ข้อเท็จจริงของ-uu/

ข้อเท็จจริงของ U=U
ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย
7 กุมภาพันธ์ 2563

1. ข้อมูล U=U หมายความว่าอย่างไร และจะมีวิธีการตรวจสอบผู้ติดเชื้อที่อยู่ในภาวะ U ได้อย่างไร

U=U หรือ Undetectable=Untransmittable เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ได้จากการศึกษาวิจัย 3 โครงการใหญ่ที่ร่วมกันทำในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย เป็นการศึกษาที่วางแผนและดำเนินการอย่างรัดกุม มีการตรวจสอบจากหลายฝ่ายเพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือที่สุด ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่แล้วในวารสารการแพทย์ระดับชั้นนำ สองการศึกษาเป็นการติดตามคู่ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีผลเลือดต่าง (ฝ่ายหนึ่งติดเชื้อ อีกฝ่ายไม่ติดเชื้อ) ส่วนอีกการศึกษาเป็นการติดตามคู่ชายกับหญิงที่มีผลเลือดต่าง โดยฝ่ายที่ติดเชื้อได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจนมีปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดต่ำมาก คือต่ำกว่า 200 copies ต่อซีซีของเลือด หรือที่เรียกว่าตรวจไม่เจอ (undetectable) นักวิจัยติดตามคู่ที่ไม่ติดเชื้อทุก 1-2 เดือน ให้บันทึกความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ การใช้หรือไม่ใช่ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งนั้นๆ โดยทุกคนได้รับข้อมูลการใช้ถุงยางอนามัยอย่างดี พร้อมกับได้รับแจกถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นไปใช้ อีกทั้งสามารถขอรับ Pre-exposure prophylaxis (PrEP) และ Post-exposure prophylaxis (PEP) ถ้ามีความต้องการ มีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี และซิฟิลิส และการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆเป็นระยะๆ จากการติดตามคู่ที่มีผลเลือดต่างดังกล่าวเกือบ 2,000 คู่ ไปเป็นระยะเวลา 3,000 คู่-ปี (เฉลี่ยติดตามแต่ละคู่ไปประมาณปีครึ่ง) ไม่ปรากฎว่ามีใครติดเชื้อเอชไอวีจากคู่ของเขาเลย ทั้งๆ ที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยมากถึง 130,000 ครั้ง (เฉลี่ยปีละ 43 ครั้งต่อคน) แสดงว่าผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสจนตรวจไม่เจอเชื้อในเลือดแล้ว (Undetectable) จะไม่ถ่ายทอดหรือแพร่เชื้อให้ผู้อื่นแม้จะมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใข้ถุงยางอนามัยก็ตาม (Untransmittable) กล่าวคือ U=U หรือ ไม่เจอ=ไม่แพร่

และชั้นก็ไม่ได้มีเชื้อ HIV ไม่มีคู่ที่ติดเชื้อ แต่ไปรับ PrEP เป็นประจำ ตรวจเลือดทุกสามเดือน ระหว่างตรวจก็เม้ามอยกับหมอพยาบาล ขอความรู้ต่างๆค่ะ เอกสารแพลมเฟต อะไรมีให้อ่านตลอด

เธอจะหาว่าเอารูปคนอื่นมาใช้ก็สุดแต่จะคิดอคติไปเถอะ เพราะชั้นมีข้อมูลมาให้ตลอด หล่อนไปมีอะไรเลยนอกจากความมโน หยุดซักทีกับการตราบาป stigma ผู้ติดเชื้อค่ะ

https://www.unaids.org/sites/default/files/media_asset/eliminating-discrimination-guidance_en.pdf

Gaslighting อีกแล้วนะคะ กระทู้นี้ U=U ค่ะ พูดถึงเชื้อ HIV หล่อนเอาตับอักเสบกับ STDs ตัวอื่นมาโยงมั่วคนละประเด็น

หล่อนสิตรรกะแปลกๆ การมีเพศสัมพันธ์มันต้องพูดถึงโรคมี่ติดต่อในการร่วมเพศอื่นๆด้วย ยาต้าน prep กับความคิด u=u มันเอาไว้ให้คู่รักที่อยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี กับ อุบัติเหตุเชิง medical เป็นหลัก มันเลยสามารถถอดเอาโรคติดเชื้ออื่นๆ ออกจากบริบทได้ แต่ว่าในกระทู้นี้พูดถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบสุ่ม จะมาถอดเอาโรคติดเชื้อทางเพศอื่นๆออกไม่ได้ โง่จริงๆ

Gaslighting อีกแล้ว หล่อนกลับไปอ่าน รี 4, 5, 6, 10,17 ก่อนค่ะ นั่นคือการ stigmatized ผู้ติดเชื้อว่า แพร่เชื้อ HIV ค่ะ เราเอาตรงนี้ก่อน หล่อนอย่าหลงประเด็นเอาเรื่องอื่นมายีฟู ตอนนี้ที่เป็นสาระให้ความรู้เรื่อง U=U ก่อน ถ้าเข้าใจตรงกันกับข้อมูลที่ต้องการจะให้ทราบแล้วค่อยไปประเด็นต่อไปว่า PrEP PEP แล้ว U=U คือเกี่ยวกับเชื้อ HIV อย่างเดียวไม่เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นนะคะ ป้องกันตัวด้วย โอเคเป็นเรื่องที่สอง ต่อจากประเด็น U=U ซึ่ง รี 4, 5, 6, 10,17 บอกจั่วแล้วแพร่เชื้อ นั่นคือ HIV อย่างเดียวในความหมายของรีนั้นๆ ให้เข้าใจก่อนจะไปเรื่องที่สองค่ะแน่นอนว่าต้องครอบคลุมเรื่องโรคอื่นด้วย ซึ่งก็เห็นด้วยค่ะ

ส่วนเรื่อง PrEP อีกประเด็นตอบไปแล้วหลายรอบแล้ว ไม่กันโรคอื่นนะคะ จบนะคะ

หล่อนจะมา gaslighting เอาประเด็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคอื่นมาโยงกับ PrEPไม่ได้ค่ะ เพราะไม่มีใครเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา และเนื้อหาที่พยายามสั่งสอนอยู่นี่คือผู้ที่มีเชื้อ HIV แต่ทานยาครบโดสจนไวรัลโหลดต่ำกว่าจะเจอได้ ก็จะไม่แพร่เชื้อ ที่ทั่วโลกมีการวิจัยสนับสนุน ยังไม่มีใครพูดถึง PrEP หรืออวดอ้างสรรพคุณว่ากันได้หมด ไม่มีค่ะ เอามาโยงทำไมคะ คาดหวังอะไร?

PrEP 211 ทานสองเม็ดก่อนมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2 ชั่วโมง แล้วทานอีกเม็ด วันรุ่งขึ้นตอนเวลาที่ทานสองเม็ดเมื่อวาน แล้ววันต่อมาก็เหมือนกัน อีกเม็ด จบ cycle

และอย่าลืมนะคะว่าเพื่อป้องกันเชื้อ HIV ไม่กัน STDs อื่นๆ ดังนั้นใช้ถุงยางหรือเซฟเซ็กส์กันด้วยค่ะ ย้ำอีกรอบ เพื่อป้องกันเชื้อ HIV ไม่กัน STDs อื่นๆ ดังนั้นใช้ถุงยางหรือเซฟเซ็กส์กันด้วยค่ะ

https://www.cdph.ca.gov/Programs/CID/DOA/CDPH%20Document%20Library/PrEP211_101019_ADA.pdf

ถ้าผู้ป่วยกินยาตรงเวลาทุกวันจน VL>200

โอกาสแพร่เชื้อไม่น่าจะถึง1% ต่ำมากๆๆๆๆๆๆ

เห็นใน Pantip ผัวเมีย มาถามในนั้นบ่อยอยู่กับผัวมาห้าปี สิบปี
ไม่รู้ว่าผัวหรือเมียเป็นเอดส์พอไปตรวจตัวเองเสือกไม่ติด ทั้งที่เย็ดสดกันตลอด

ถ้า VLต่ำ มันแพร่เชื้อไม่ได้ แล้วส่วนมากคนที่รู้ตัวว่ามีเชื้อ HIV กินยาตลอด
ไม่มีทางที่ VLจะพุ่งนอกจากดื้อยาหรือไม่กินยา
ส่วนพวกอันตรายคือพวกไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อแล้วร่านไปทั่ว พวกนี้แหละอันตรายที่สุด
เพราะปริมาณไวรัสในเลือดค่อนข้างสูงอาจจะหลักแสนหลักล้าน แข็งกลับไวรัสตับอักเสบไปเลย

ก็ใช่ไงคะ นี่คือองค์ความรู้ที่ตั้งใจจะเผยแพร่ว่าถ้าจั่ว แต่รักษาตัวแดกยาตลอดครบโดสแล้วเทคยาพร้อมไปตรวจตลอดจนตรวจแล้ว VR มันต่ำจน detected ไม่ได้ มันก็ไม่แพร่ค่ะ CD4 ก็ไม่บ้ง เพราะไม่มีอะไรไปกวนมัน ดังนั้นจะป่วยโรคอื่นล้านแปดสิ่ง CD4 หล่อนก็จะเลเวลปกติค่ะ เพราะไม่มี HIV ไปกวนมัน ถ้าดูแลรักษาตัวตลอดแดกยาตรงเวลาไม่ข้ามโดสก็จะ U=U ไม่สร้างความเสี่ยงให้สังคมจาก HIV (ย้ำว่าแค่ HIV นะคะ STDs ใดๆอื่น ความเสี่ยงก็คือยังเท่าคนปกติทั่วไป ดังนั้นเลิก stigmatized คนติดเชื้อ HIV สิ่งอื่นก็คือคนปกติค่ะความเสี่ยงด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆก็เท่ากับคนปกติทั่วไปที่พวกหล่อนมาพยายามด้อยค่าไง) แล้วอีที่มาอวดภูมิก็ยังลืมโรคไปอย่างนะคะ HVP ค่ะ เราไม่รู้ว่าคู่นอนเราหรือตัวเราจะเอาควยเข้าหีเมื่อไหร่ ถ้ามีโอกาสก็ไปฉีดค่ะ วัคซีนมีแล้ว มะเร็งปากมดลูกจากควยคือเปอร์เซ็นต์เยอะนะ ลดได้ลด

แถไปเรื่อย คนทั่วบ้านทั่วเมืองรู้แล้วว่า undetected =untrans ที่เขากังวลคือ 1) เอายามา abuse คิดว่าไม่แพร่แล้วก็ไม่ต้องป้องกันสดได้ (ซึ่งจะติด STDs กับไวรัสตับ ซึ่งถ้าหล่อนศึกษาเรื่องนี้จะพบว่า คนติดเชื้อ STDs เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ) 2) หล่อนก็ assume ว่าเขากินยาจน u=u เหมือนกับที่กะเทยเขา assume ว่า อาจไม่ได้กินก็ได้ อันนี้เป็นเรื่องความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมของผู้มีเชื้อ และการตั้ง concern ไม่ใช่ stigmatized เลย stigmatized คือ การไม่อยากไปใช้ชีวิตกับเขา ไม่รับทำงาน

ลองเทียบเคียงเรื่องอื่น เช่น คนทั่วไปยอมรับว่า ผู้สูงอายุก็มี capability มีคุณค่า ฉันตั้งคำถามการบริหารงานของอิลุงสองลุงว่าไม่ดี ล้าหลัง conservative แบบนี้คือฉัน stigmatized คนแก่ด้วยปะ the whole is more than the sum of its part ค่ะ

หล่อนมา gaslighting อีกแล้วจับแมวชนอัลปากา ถ้าเป็นอย่างที่หล่อนว่าจริงว่า คนทั่วบ้านทั่วเมืองรู้แล้วว่า undetected =untrans ตาม statement ของหล่อนก็จะไม่มีรี 17 ค่ะ หรือรีอื่นๆที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นที่ดิชั้นดข้ามาให้ความรู้ว่าอย่า stigmatized ผู้มีเชื้อว่า จั่ว=แพร่ เพราะไม่มีหลักฐานว่าคนๆนั้นรับยาต้านจน U=U หรือไม่ หล่อนไม่เห็นผลเลือดคนที่กล่าวหาจะมาสรุปเหมาไม่ได้ว่าแพร่ นี่คือหลักฐานยืนยันว่าหล่อนแค่มโนค่ะ
https://www.palm-plaza.com/CCforum/DCForumID3/245793.html?33#17
ตามนี้ นี้คือรีที่รู้แล้วแบบที่ statement หล่อนว่า คนทั่วบ้านทั่วเมืองรู้แล้วว่า undetected =untrans เหรอคะ อธิบายรีนี้หน่อย

อย่าพยายามยีฟูชุดความรู้ U=U เอาแค่นี้ก่อนค่ะ ให้คนทั่วไปรู้จักและยอมรับก่อนจะไปขั้นที่สองค่ะ หล่อนจะมา false statement แล้วโจมตี U=U โดยเหมารวมกับอย่างอื่นไม่ได้ คนละประเด็น หล่อนบูดและแปลกๆตั้งแต่แรกค่ะ น่าสงสัยมากดิชั้นไม่เห็น IP แต่ เวลายามนี้มีแต่คนแปลกๆค่ะ

1) หล่อนว่าคนอื่นตรรกะแปลกๆ แต่ไม่พิจารณาตนเอง ยืนยันเป็นกระต่ายขาเดียว u=u โดยไม่ situate เข้ากับบริบทของโรคติดเชื้อทางเพศอื่นๆ การที่หล่อน assume คนอื่น stigmatized โดยไม่มีหลักฐานตัวหล่อนเองก็ไม่มีหลักฐานว่าเขาก็กินยาต้านจน U=u แล้วทำไมคนอื่นตะ concern ไม่ได้ ใครเขาจะ concern ออะไรก็เรื่องของเขาสิ
2 การที่หล่อน assume ว่าคนอื่นไม่รู้ u=u ไม่ได้เป็นการไปด้อยค่าหรือดูถูกคนอื่นรึไง เขาอาจจะรู้ แต่แค่ concern ผู้มีโรคดังกล่าวบางคนอาจไม่ได้ดูแลตัวเองกินยา การที่ว่าคนอท่นไม่รู้เรื่องนี้ หล่อนก็stigmatized คนอื่น ไม่ต่างจากที่หล่อนว่าเขา stigmatized ผู้มีโรค
3) ไม่ได้โจมตี u=u เลย คนละเรื่อง ฉันก็ยอมรับ u=u เป็น fact ไปย้อนอ่านดูที่ตอบทุกอัน ไม่เคยปฏิเสธ แค่บอกว่ามันต้อง situate เข้ากับโรคอื่นๆ ด้วย อย่า abuse การใช้ยา จุดประสงค์ของ u=u ที่มันเกิดขึ้นบนพื้นฐานของคู่ความสัมพันธ์คู่นอนที่เชื่อใจกันว่าฉัน Undetected ก็จะ unstrans นะ ไม่ได้เกิดเพื่อรองรับการไปมีเพศสัมพันกับใครก็ได้
4) เวลายามนี้มีแต่คนแปลกๆ ตัวหล่อนก็ตอบในเวลายามนี้ ก็แสดงว่าแปลกเหมือนกัน? การอ้างตัวเองว่ามีศีลธรรมหรือความรู้สูงส่งกว่าคนอื่น ขณะที่ไม่รับฟังความคิดคนอื่นว่าต้องการจะสื่ออะไร ปัดความเห็นต่างทั้งหมดว่าแปลก ว่าปั่น ว่าบูด สุดท้ายตัวเองก็ไป stigmatized คนอื่นๆ ในประเด็นอื่นๆอยู่ดี

การที่โฟกัส U=U โดยไม่กล่าวถึงโรคอื่นคือต้องให้คนเข้าใจและเลิก stigmatized ผู้มีเชื้อที่ U=U ก่อนว่าจะแพร่เชื้อค่ะ หากยังขาดความเข้าใจตรงนี่จะไปต่อยังไง แล้วก็มาเหมารวมว่าจั่วแพร่เชื้อ แล้วหล่อนก็เอาคนติดเชื้อมาซ้ำเติมว่า STDs อื่นก็แพร่ได้นะ ทั้งๆที่ การแพร่ STDs อื่น คนทั่วไปมีความเสี่ยงเท่าเทียมกัน ไม่ได้ส่งเสิรมให้มีเชื้อแต่ U=U คือมีพฤติกรรมเสี่ยงได้ ไม่เคยพิมพ์ค่ะ ผู้มีเชื้อ HIV เสี่ยงกว่าอย่างไร จากรายงานวิจัยไหนคะ หล่แนก็แค่ stigmatized ผู้มีเชื้อว่าสุ่มเสี่ยงโรคกว่าโดย assumed เอาเแงไม่มีผลงานวิจัยมาอ้างอิง เอาแค่ U=U ให้เข้าใจก่อนมาปั่นค่ะ พยายามแถไปก็แค่นั้น เพราะชั้นตอบมามีข้อมูลตลอด

ไม่มีใครทานทีเป็นกำนะคะ daily PrEP วันละเม็ด หรือ 2-1-1 เท่านั้นค่ะ

ย้ำว่าให้อยู่กับหัวข้อ U=U อย่าตราบาปผู้มีเชื้อ HIV ค่ะ U ไม่เจอไวรัลโหลด = ไม่แพร่ HIV
ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ โอกาสความเสี่ยงเท่ากับคนปกติ ก็เซฟเซ็กส์ทุกครั้งนะคะ

แล้วมีรีไหนที่พิมพ์บอกว่ากันได้ 100% คะ?

แบบนี้เรียกว่าแถชิมิคะไม่มีข้อมูลมาหักล้างซักอย่างมโนใส่ร้ายคนอื่น พอให้หามาว่าเคยอวดสรรพคุณรีไหน หาไม่เจอก็แก้เขินมาด่าว่าโง่เฉยเลย แปลกๆนะหล่อน

เฮ้อ ดูๆแล้วก็ปลง ความจริงนางก็น่ารักอยู่นะ เคยเห็นตั้งแต่ตอนยังไม่มีเรื่องจั่ว

คนเรานี่วาสนาไม่เหมือนกันเลยจริงๆ เด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน บางคนได้ดิบได้ดีมีคนเลี้ยง ถ่ายรูปกินดีอยู่ดีมีแต่ของแพงๆลงโซเชี่ยล

จะเรียกว่าแถได้ไงคะ เรียกว่าถามไม่ตรงคำตอบดีกว่า ตล๊ก ตลก

ควาย “ STIs increase infectiousness of people living with HIV by increasing the viral concentration in the genital tract, and by increasing the potential for HIV acquisition in people at risk for HIV”

Reference: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6715951/

หล่อนคะ ที่ยกมาได้อ่านไหมนั่น เฮ้ออ ไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรแล้ว ในรายงานมันเกี่ยวกับอะไร มีตรงไหนเขียนถึงไวรัลโหลด Undetectable แล้วแพร่เชื้อ STDs STIs ได้มากกว่าคะ วงมาซิ เพราะมันคนละรายงานค่ะเธอ

ขอยาดม…

ไม่เห็นทำคลิปออกมา

แล้วก็โรคอย่างอื่นอีก อย่าง HPV พวกเธอว่าตุ๊ดรากหญ้าพวกนี้ยอมเสียเงินค่าวัคซีนหลายพันหรือคะ ถ้าติด HPV ก็เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งทวารหนัก
แล้วก็กามโรคอย่างซิฟิลิส หนองใน หรือตับอักเสบซีในพวกชอบไฮหรือเย็ดกันเลือดตกยางออก

ป้ากะเทยให้ความรู้ เขาไม่เก็ต เขา defend แต่ u=u ป้สเขานอกจากทานยาเพรพ คงต้องทานยาจิตเวชระงับประสาทอีกแขนงไหมคะ อิอิ

ให้ความรู้ based on evidences ค่ะ ตามผลงานวิจัย แต่ที่พวกเธอยกตัวอย่างมา based on อะไรบ้างคะถามหาหลักฐานอะไรไม่มีซักชิ้น คิดเองว่ากินยาไม่ครบ ไม่กินบ้าง พวกเธอแค่ต้องการสร้างตราบาปให้แก่ผู้มีเชื้อก็แค่นั้น ทั้งๆที่ไม่ได้หรือไม่เคยถามเขาเลยว่ากินยาครบไหม รับยาต้านหรือเปล่า หรือปล่อยตามเลย ไวรัลโหลดเท่าไหร่ มโนเองหมดทั้งนั้น

กูอ่านมาละเพลียอิแก่นี่ จะให้พูดก็พูด การยกงานวิจัย u=u มันมาจากการควบคุมตัวแปรในชีวิตจริงหลายตัว แต่นี่มันชีวิตจริงตัวแปร เช่น พฤติกรรมผู้ใช้ยา อะไรพวกนี้ คนเขาก็มีสิทธิ์เอาเข้ามาพิจารณา based on การที่คนจั่ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่จั่วอาจไม่ได้ป้องกันที่ดีพอ เช่น ไม่กินยา ไม่ใส่ถุง ก็เลยจั่ว คนทั่วไปก็มีสิทธิ์คิดเอาตัวแปรนี้เข้ามาร่วมพิจารณาได้ว่า อาจไม่ดูแลตัวเองได้ดีพออีกหรือเปล่าหลังจั่วแล้ว ค่ะอิแก่

อ่อ ฝากไว้เผื่อจะมาปั่น gaslighting อีก ที่พิมพ์มาไม่มีรีไหนแนะนำให้ใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงนะคะ ไม่เคยพิมพ์ ไม่เคยสนับสนุนให้มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันแม้จะเทค PrEP พิมพ์บอกตั้งแต่รีแรกแล้ว > แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนรวมถึงหล่อนก็ต้องป้องกันตัวเองด้วย PrEP PEP หรือใช้ถุง ตามนี้ค่ะ แค่เลิกตราบาปผู้มีเชื้อในร่างกาย ความเสี่ยงมันมีหมดไม่ใช่ตราบาปคนมีเชื้อแล้วป้ายให้เป็นผู้ร้ายของสังคม