แต่ยังไงหมอฟันก็ยังไม่ตกงานหรอกค่ะ แค่หางานทำยากขึ้น ตอนนี้เริ่มมีการโอนย้ายสถานีอนามัยจากกระทรวงสาธารณสุขไปไว้กับองค์การบริหารท้องถิ่น อบจ.อบต.ไหนพอมีสตังค์ก็สร้างศูนย์ส่งเสริมสุขภาพของตัวเอง จ้างบุคลากรทางการแพทย์ไปอยู่ รวมถึงหมอฟันด้วย เกิดเป็นทางเลือกใหม่ขึ้นมา ถ้าไปสมัครที่ไหนก็แห้ว เงินจะเปิดคลีนิคของตัวเองไม่มี ก็มีอันนี้แหละรองรับ

มันมีด่านสำคัญสำหรับม.เอกชนค่ะ คือต้องสอบเอาใบประกอบโรคศิลป์ บางปีเข้าสอบกันเป็นร้อยคนแต่สอบผ่านแค่นิดเดียว เท่ากับว่าที่เรียนมาหกปีมีค่าแค่ปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิต เพราะถ้าคุณสอบเอาใบประกอบโรคศิลป์ไม่ได้ คุณก็ทำการรักษาคนจริงๆไม่ได้ ถ้าฝืนทำคือเป็นหมอเถื่อนผิดกฏหมาย แล้วการสอบไม่ใช่ง่ายๆ สอบแม้แต่วิชาเคมี 101 ที่เรียนตั้งแต่ปี 1 ใครจำได้มั่งอ่ะ?

เหมือนเคยมีประเด็นเรื่องนี้ด้วย เหมือนสมัยก่อน เคยมีคนว่า เอกชน ถึงสอบ ม.รัฐ ไม่สอบ เรียนจบได้เลย อะไรแบบนี้

แล้วตอนหลัง เขาให้สอบกันหมด ไม่ใช่เหรอ ทั้งรัฐ และเอกชน

แต่จะว่าไป ฉันว่า หมอฟัน ยังดีกว่า เภสัช นะ น้องกูจบมาสองคน หางานทำไม่ได้ทั้งสอบคน ไปสอบ รพ รัฐ ก็ไม่ผ่าน ทั้งคู่

ดีว่าบ้านมันรวย แม่มันก็เลยซื้อตึก ให้มันเปิด คนละที่ ก็เห็น พอขายได้นะ ประคองตัวไป อาศัย เปิดดึกถึงเที่ยงคืน ร้านอื่นปิดตั้งแต่ 2 ทุ่ม มันเลยขายได้นี้แหละ อีกอย่างประหยัดเรื่องค่าเช่า เพราะตึกตัวเองซื้อขาด ไม่งันกูว่าไม่รอด

เพราะร้านยาแถวบ้าน เจ๊งก็เยอะมากๆ ทั้งๆที่ ดูเหมือนจะกำไรดีนะ เคยถามน้อง มันก็บอกกำไรดี แต่ว่า ต้องอาศัยขายให้ได้ยอดขายเยอะๆ ถึงพอเห็นเงิน ถ้าขายได้ 2000 - 3000 ต่อวัน มันบอก บางที หักค่ากิน ค่าน้ำ ค่าแอร์ แล้วแทบไม่เหลือ

จะรวยต้องแบบร้านยาใหญ่ๆ ขายที่วันละ หลายหมื่น มันบอกแบบนั้นนะ รวยเลย

ส่วนหมอฟัน ฉันก็ว่าไม่แน่นะเธอ รพ เอกชน คลีนิค เขาคงไม่อยากได้เด็กจบใหม่ ประสบการณ์น้อยไปทำหรอก ไม่งัน คลีนิคหมอฟัน ไม่เยอะขนาดนี้

สอบกันหมดแหละค่ะ แต่ข้อสอบคนละชุดคนละแบบกันนะคะ ของหมอฟันที่จบจากคณะทันตะของรัฐ ซึ่งได้รับการรับรองวิทยฐานะแล้วอย่างจุฬา มหิดล มช.ฯ พวกนี้ถ้าเรียนจบสอบผ่านทุกวิชาแล้ว ก็คือได้ใบประกอบโรคศิลป์โดยอัตโนมัติ แต่ตัองสอบเพื่อต่อใบประกอบทุก 5 ปี ข้อสอบก็อยู่ในเวบของทันตแพทยสภา เข้าไปทำในนั้นเลย

ส่วนพวกที่จบม.เอกชนคือเรียนจบแล้วต้องไปสอบเอาใบประกอบโรคศิลป์อีกทีค่ะ ไปนั่งสอบเหมือนสอบเอนทรานส์เลย แบบเดียวกับแพทย์ที่จบจากฟิลิบปินส์นั่นแหละ บางปีเข้าสอบสองร้อยคน สอบผ่านได้ใบประกอบโรคศิลป์แค่สิบสองคน

คนนี้ก็ตอนแรกเรียน ม.เอกชน ชื่อดัง แต่เหมือนจะไม่จบ แล้วก็ไปเรียนที่ฟิลิปปินส์ แล้วบอกว่าจบทันตะ จากฟิลิปปินส์จริงๆ นะ แต่ก็มีข่าวออกมาว่าไม่มีใบประกอบโรคศิลป์

ก็เลยเป็นข่าว ตามข่าวด้านล่างนี้เลยค่ะ

.

.

คูณ คณิน ปรากฏตัวแล้ว! ถูกฝากขัง อิดโรยแต่ยังหล่อเหมือนสมัยเป็นพระเอก

https://www.thairath.co.th/entertain/news/1402437

ไม่รู้ว่าคนในข่าวเป็นเช่นไรแล้วในปัจจุบันนี้

คอมเมนต์ในข่าว
https://today.line.me/th/v2/comment/article/ogZJ55

ข่าว
https://today.line.me/th/v2/article/ogZJ55?utm_source=copyshare

ตอนที่โดนจับคาคลีนิค นักข่าวแห่กันไปเป็นร้อย ทำยังกะคดีใหญ่โตระดับประเทศ ถ้าถามดิฉันก็คงได้แต่บอกว่าเสียดาย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนในสายวิชาชีพจะก้าวข้ามไปสายบันเทิง แต่เขาก็ไปได้ถึงระดับพระเอกของช่อง ชีวิตมีโอกาสมีทางเลือกมากกว่าเพื่อนร่วมวิชาชีพ แต่ทั้งหมดก็มลายหายสูญ ส่วนนึงก็มาจากตัวเขาเองด้วย ตอนนั้นกะเทยเอามาเม้าท์ในบอร์ดนี้ ล่อกันเป็นร้อยรีพายเลยค่ะ มีหมดทุกแง่ทุกมุม เป็นอุทาหรณ์ให้ใครหลายๆคนได้ดี

อ่านข่าวคูณไปเรื่อยๆ อุ๊ย!นักข่าวไปสัมภาษณ์คนนั้น ไปขอความเห็นคนนี้ ล้วนแต่ผู้ที่เรารู้จักเกี่ยวข้องทั้งนั้น เม้าท์ใครต่อไม่ได้เลยซักราย ไม่งั้นกูตายแน่ ก็ขอจบห้วนๆแค่นี้ล่ะค่ะ

........................

ขอถามหน่อยคะ การสอบ ใบประกอบโรค เขามี สอบปีละกี่ครั้งคะ มีทุกเดือน หรือปีละครั้ง หรืออย่างไงคะ

อีกอย่างขอถามหน่อยนะคะ แบบนี้ก็เหมือนไม่แฟร์ กับคนเรียนเอกชน ซิคะ เพราะ ม.รัฐ มันได้ใบเลย แต่เอกชนต้องมาสอบเอาอีกที

ถ้าจะอ้างว่า มันไม่ได้มาตรฐานถึงให้สอบ ถ้างัน ทำไม ถึงยอมให้เปิดสอนแต่แรก เพราะสาขา พวกนี้ จะเปิดได้ มันต้องได้การรับรองจาก สภาวิชาชีพ ก่อนไม่ใช่เหรอคะ ฉันว่า มันก็ควรจะแฟร์ๆนะ ถ้าได้ก็ได้กันหมด ถ้าจะให้สอบ ก็ควรให้สอบกันหมด

อีกอย่างขอถามหน่อย แบบนี้ พวกที่จบ แต่สอบไม่ผ่าน ก็เท่ากับว่า ทำคลีนิค ทำงาน รพ ไม่ได้เลยใช่ไหม แบบนี้จบมาสอบไม่ผ่าน มันทำอะไรไม่ได้เลยใช่ไหมคะ เท่ากับเรียนฟรี ดิ

ฮู้ย...ยิงคำถามเป็นซีรีย์ขนาดนี้ จะเปิดคณะสอนเองเหรอคะเจ๊ ต้องเข้าใจก่อนนะคะว่าประเทศเราไม่ได้บังคับว่ามาตรฐานต้องผ่านก่อนถึงจะเปิดสอนได้ ม.เอกชนน่ะเปิดสอนไปวางหลักสูตรไปเรื่อยๆ มีนักศึกษาปีหนึ่งแล้วค่อยเริ่มเขียนหลักสูตรปีสอง บางมอเด็ดกว่านั้น รับเด็กเข้าเรียนทันตะแต่ยังไม่มีเก้าอี้ทำฟันเลยซักตัว จะไปขอใช้สถานที่ของรพ.รัฐในจังหวัดตัวเอง อ้าว?อีกมอนึงเค้ามายึดใช้แล้ว คณบดีต้องตระเวณไปจังหวัดข้างเคียง พยายามตีซี้กับหัวหน้ากลุ่มงานทันตกรรม ขอเอานักศึกษามาลงฝึก บางทีลืมตัว เดินเข้ามาชี้ๆเลยว่าจะใช้ยูนิตทำฟันตัวนี้ๆๆนะ จนโดนผอ.โรงบาลส่งสายตาอำมหิตใส่ถึงได้สติ รีบยกมือไหว้ปลกๆ

บางมอเปิดสอนหลายสาขาวิชาชีพจนเบลอ ไม่ได้ส่งหลักสูตรไปขอให้สภาวิชาชีพรับรองวิทยฐานะ ทางสภาทวงไปกี่รอบก็ตีมึน จนสุดท้ายก็โดนประกาศให้เป็นสถานศึกษาที่ไม่ได้รับการรับรอง ผลที่ตามมาคือเด็กที่จบจากที่นี่ไม่ถือว่าเคยเรียนอะไรมาทั้งนั้น ก็หลักสูตรยังไม่รับรองจะรับรองคนได้ไง เรื่องใบประกอบวิชาชีพจึงลืมไปได้เลย คงยังไม่ลืมข่าวที่วิทยาลัยพยาบาลแห่งนึงโดนประกาศไม่รับรอง เด็กที่เข้าเรียนจึงเสียเงินเสียเวลาในชีวิตไปเปล่าๆปลี้ๆเป็นปี

เด็กที่เข้าเรียนม.เอกชนมาจากไหน? ที่ต้องมาเอกชนเพราะคะแนนสอบแตดแพ้ดหีแพ้ดสู้คนอื่นไม่ได้ เข้ามหาลัยของรัฐไม่ได้ใช่มั้ย มาตรฐานของเด็กก็ด้อยกว่าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มาเจอม.เอกชนที่ยังไง๊ยังไงอาจารย์กับเครื่องไม้เครื่องมือก็สู้ม.รัฐที่มีงบประมาณหลวง support อยู่ไม่ได้ ยื่นหลักสูตรไปให้สภาวิชาชีพพิจารณากี่ครั้งก็ตกเกณท์ หาอาจารย์มาสอนได้ไม่ครบจำนวน ยูนิตทำฟันไม่สมดุลย์กับจำนวนนักศึกษา จนต้องบากหนัาขอไปเรียนร่วมกับนักศึกษามหาลัยของรัฐ ซึ่งก็โดนปฏิเสธตรงๆว่าอย่าเลย มาเรียนกับเด็กระดับหัวกะทิแบบนี้ ยังไงเด็กของมึงก็ตามเค้าไม่ทันหรอก

ก็ด้วยเหตุทั้งหลายทั้งปวงที่ร่ายมา จึงเป็นเหตุให้เด็กมอเอกชนต้องสอบเอาใบประกอบโรคศิลป์หลังเรียนจบ เพราะเค้าไม่แน่ใจไงคะว่าเด็กมันได้เรียนอะไรมาบ้าง จึงต้องขอตั้งด่านทดสอบเป็นครั้งสุดท้าย ครั้นจะให้สอบกันถี่ๆทุกเดือน มันก็หายากนะที่ในช่วงแค่เดือนเดียวจะทำให้เกิดพัฒนาการขั้นสุด ไอคิว.พุ่งปรู้ดปร้าดท้อปฟอร์มขึ้นมาได้ กลายเป็นเตียบ่อกี้ที่จู่ๆเดินไปสดุดคัมภีร์เก้าอิม มันก็หนังกำลังภายในไปหน่อย

ไม่ใช่อะไรนะคะ ทุกวันนี้เหมือนเรียนจบมาเพื่อเปิดธุรกิจดัดฟันอะค่ะ เปิดเยอะมากๆจนเกร่อ เปิดแข่งทำโปรมาชนกัน

แต่เฉพาะทางคือขาดแคลนจัด "ต้องรอคุณหมอท่านนี้เข้านะคะ ท่านจะเข้ามาวันที่ xx เดี๋ยวจะทำใบนัดให้ค่ะ"

คือความเจ็บปวดอ่ะมันรอได้เหรอ ถ้ามีเงินก็ไปเอกชนแล้วสิค่ะ

จัดฟันค่ะไม่ใช่ดัดฟัน ฟันคนแข็งจะตาย เอาอะไรไปดัดล่ะคะ

โดยส่วนตัวนะชั้นชอบหมอมหิดลมาก มาบ้านนอกคอกควาย เจอแต่หมอโง่ๆ รำคาญ

เอกชนที่ไหนคะ 500บาท เพิ่งไปขูดหินปูนเมื่อปีที่แล้ว รพ รัฐ ประมาณ 2000บาท สวยๆคะ

คนที่แนะนำว่ารอให้เรียนเฉพาะทาง โดยเฉพาะให้เรียนเฉพาะทางทันตกรรมจัดฟัน เพื่อจะได้มาเปิดคลินิก สวย ๆ รวย ๆ ชิค ๆ นี่คือคนคิดแบบคนนอกวงเกินนะคะ

แม้ดิฉันจะไม่ได้เรียนทันตแพทยศาสตร์ แต่จะบอกว่า คนจะไปต่อเฉพาะทางสาขาทันตกรรมจัดฟันได้ นี่คือต้องผ่านด่าน ดังนี้

1. เรียนจบเกียรตินิยม อย่างน้อยก็อันดับ 2 ขึ้นไป แต่ถ้าได้เกียรตินิยมอันดับ 1 คือ มีโอกาสมากกว่ามาก ๆ แต่ถ้าไม่ได้จบระดับเกียรตินิยม ต้องมีโพรไฟล์อะไรบางอย่างโดดเด่น และมีอาจารย์ดันค่ะ

2. แม้คุณจะมีเกรดดีเยี่ยมในข้อ 1 แต่ก็ใช่ว่าจะได้รับการตอบรับเข้าเรียนทันตกรรมจัดฟันง่าย ๆ นะคะ เพราะหลักสูตรนี้ (ส่วนใหญ่ชื่อ วท.ม. ทันตกรรมจัดฟัน) จะเปิดรับคนมาเรียนน้อยมาก

บางมหาวิทยาลัยรับแค่ 3 คน ต่อ 2 ปี หรือ ถ้ามากหน่อยก็ 5 คน ถ้ามหิดล จะรับเยอะหน่อยสัก 8 - 10 คน

บางมหาวิทยาลัย 3 ปี เปิดรับทีละ 5 คน เพื่อรอให้คนเรียนชุดเก่าจบไปก่อนนะคะ ดังนั้น คนที่จะได้ที่นั่งเข้าเรียนด้านนี้ ก็ต้องมีโพรไฟล์โดดเด่นมาก

3. มีอาจารย์ดัน เช่น ดันเพื่อหมายตาให้มาเป็นอาจารย์สอนในคณะทันตแพทยศาสตร์ ถ้าไม่มีอาจารย์ดัน โอกาสของคุณจะได้น้อยมาก ต้องแบบโพรไฟล์ประมาณเกียรตินิยมอันดับ 1

แล้วก็สอบได้คะแนนเหนือคนอื่น แล้วก็มี connection ภาพรวมดี แม้ไม่มีอาจารย์บางท่านดัน ก็จะมีโอกาสค่ะ

.......

มีน้องที่รู้จักคนหนึ่ง จบทันตแพทย์ ม.รัฐ ภูมิภาคแห่งหนึ่งมีชื่อเสียงด้านทันตะพอสมควร เพราะคณบดีและอาจารย์บางท่านก็ไปจบจาก Harvard Dental School มา

น้องคนนี้จบเกียรตินิยมอันดับ 1 ของคณะ จะได้ทุนอานันทมหิดลด้วยนะคะ แต่น้องไม่ขอรับ เพราะน้องไม่อยากเรียนต่างประเทศ ฝันอยากเป็นหมอฟันด้านจัดฟัน

แต่พอปฎิเสธปุ๊บ อาจารย์ในคณะไม่ดันเลยค่ะ และไม่รับเข้าเรียนหลักสูตร วท.ม. ทันตกรรมจัดฟัน ในปีนั้น ซึ่งรับแค่ 3 คน ทั้งประเทศ

โดยไปรับคนจบ เกียรตินิยมอันดับ 2 จาก ม.เชียงใหม่ มา 1 คน แทนน้องที่ปฏิเสธรับทุน เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ที่มอ

ส่วนอีก 2 คน ก็เป็นเด็กดันในคณะที่เพิ่งจบรุ่นเดียวกัน ก็จบเกียรตินิยมอันดับ 1 ทั้ง 2 คน แต่ว่าไม่ได้เกรดสูงสุด ก็สรุปว่ารับเรียน 3 คน แล้วก็ไม่เปิดอีก 3 ปี

แล้วน้องคนที่ปฏิเสธรับทุน ก็พยายามหาที่เรียนด้านจัดฟันในไทย ซึ่งไปสมัครจุฬา ก็ไม่ได้

เพราะจุฬา ก็มีเด็กเขาเอง โพรไฟล์เจ๋งๆ ก็หลายคน แล้วก็รับคนจากมหิดลมาเรียนด้วยนิดหน่อย ปีหนึ่งจุฬาก็รับแค่ 5 - 8 คนเอง

น้องก็ไปหาสมัครที่ ม.เชียงใหม่ ก็ไม่ได้อีก เพราะทางเชียงใหม่ เขาก็เตรียมคนของเขาไว้เช่นกัน ปีนั้นเปิดรับ 5 คน คือไม่ได้เลย

ตลอดระยะเวลา 3 ปี น้องไม่ได้ที่เรียนด้านจัดฟันเลย จนถอดใจ พ่อแม่น้องซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็เลยมาคุยกับดิฉันว่า จะให้ลูกไปเรียนเมืองนอกดีไหม แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก

ทีนี้ ปีที่ 4 น้องดันโดนเรียกจากมหิดล ซึ่งเป็นอันดับสำรองอันดับ 1 ไว้ เพราะมีคนหนึ่งที่มหิดล สละสิทธิ์ เพราะหมอผู้หญิงนางนี้นางได้ผัวหนุ่มญี่ปุ่นงานดี

แล้วนางก็ได้แต่งงาน แล้วผู้ญี่ปุ่น กึ่ง ๆ บังคับให้ไปเป็นภรรยาที่แสนดีที่ญี่ปุ่นด้วย เดี๋ยวจะเลี้ยงดูเอง นางก็เลยไป ตามคำเรียกร้องผัว ไม่งั้นผัวจะเลิกค่ะ

แล้วก็เหมือนไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ Tokyo Medical and Dental University ค่ะ แรก ๆ ได้ยินว่าเป็นนักวิจัยช่วยผัว แตผัวบอกให้อยู่บ้านเฉย ๆ เลี้ยงลูกไปดีกว่า

เดี๋ยวผัวมีหน้าที่หาเงิน ดูแล และกลับบ้านมา ก็ให้ผัวตอกหีให้แฉะแล้วหล่อนก็เลี้ยงลูกก็พอนะจ๊ะ นางก็ happy ระดับหนึ่ง

ส่วนน้องที่รู้จัก ที่ปฏิเสธรับทุน ก็ได้เข้าไปเรียนที่มหิดล แบบงง ๆ โชคดีมาก เพราะไม่งั้นพ่อแม่น้องก็คงจะไปกู้เงินมาส่งไปเรียนเมืองนอก ตอนแรกก็เล็ง ๆ ที่อเมริกาไว้

น้องก็ไปสอบภาษาอังกฤษ พวก TOEFL ไว้แล้ว ได้คะแนนดี ก็จะได้ไปแล้ว ก็ไปเรียนมหิดลแทน ตอนนี้ยังเรียนไม่จบนะคะ เห็นว่าหาเคสก็ยากแสนยาก

น้องบ่นประมาณว่า นี่คิดถูกหรือคิดผิดที่อุตสาห์อดทนรอ 4 ปี ตระเวนสอบเพื่อได้เรียนทันตกรรมจัดฟัน ไม่เลือกเรียนด้านอื่น ที่เปิดเฉพาะทางให้เรียนมากกว่า

เพราะพอจะหาเคส ก็หายาก ไม่ค่อยมีคนให้ยอมมาเป็นเคสกับหมอฝึกหัด แล้วต้องเก็บข้อมูลวิจัยต่อเนื่องไงคะ ตอนนี้เรียน 3 ปี แล้วยังไม่รู้ว่าจะจบกี่ปี เพราะต้องทำ paper จบด้วย

น้องบอกว่าอาจจะเรียน 5 ปี มั้ง หลักสูตรนี้ นึกว่าจะเรียน 2 - 3 ปี ที่ไหนได้ ลากยาวไป 5 ปี นึกว่าเรียนแพทย์เฉพาะทาง ได้ วว. ที่ปกติเรียน 3 - 4 ปี

เห็นไหมคะ จะเรียนจัดฟัน ไม่ใช่นึกอยากเรียนก็เรียนได้นะคะ

ไว้ว่าง ๆ จะมาแชร์ประสบการณ์อื่น ๆ อีกค่ะ

แล้วน้องคน

สาว MD อยากมีผัวเป็นวิศวะหุ่นล่ำจัง
____

จริงๆแล้วคลีนิคก็เหมือนธุรกิจอื่น คือ งานกรรมกรในห้องแอร์
ผู้บริโภคมีตัวเลือกเยอะ หมอขูดหินปูนอย่างเดียว ยิ่งทำงานยาก

ส่วนหมอที่ทำอะไรยากๆ ส่วนใหญ่ท่านอุทิศให้กับงานวิจัยค่ะ
สรุปหมอแต่ละคนมีความสุข enjoy life ต่างกัน

.

“จะตกงาน” ——> “จะไม่มีตำแหน่งในงานราชการ”