เด๋วนี้มีแต่หมออุบาศว์ๆ อีคิวต่ำๆ วี้ดๆคนไข้ ปสดมากค่ะ

เพ้อเจ้อ มั่วมาก

เขารับคนจบ ป.ตรี วิทยาศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาเรียน เกณฑ์เขามีอยู่ คือต้องจบได้ GPA 3.0 ขึ้น และมีการใช้ข้อสอบวัดผลของเขา รับปีหนึ่งไม่ได้เยอะ ไม่ได้รับพร่ำเพรื่อ

เขาผลิตไปหลายปีแล้วพวก NT แล้วก็มีคนเป็นใหญ่เป็นโต ช่วยเหลือสังคมมากมาย อย่าไปด้อยค่าเขาให้มาก บางคนเขาคะแนนดีที่ไปเรียนคณะวิทย์หรือวิทย์สุขภาพมา เขาก็พัฒนาตัวเอง แล้วจนเข้าเรียนหมอได้ อาจารย์แพทย์บางคนก็มาจาก NT ยังเป็นหมอ เป็น ศ. ก็ยังมี ทำไมต้องไปด้อยค่าคนอื่นด้วยคำพูดแบบนี้

นี่ก็หมายถึงคนจบ ปริญญาตรี สายสุขภาพ นั่นแหละ
ที่ส่วนใหญ่ติด New Track ก็เพราะไม่สามารถสอบแข่งขันในระบบ กสพท ได้ เพราะการแข่งขันสูงกว่า
แต่ระบบ New Track แข่งกันในหมู่คนจบปริญญาตรีเท่านั้น
เว้นซะแต่บางที่ๆ แข่งขันสูงจริง และต้องยื่นผลทดสอบทางภาษอังกฤษ เช่น โรงเรียนแพทย์ชั้นนำ

แล้วมันมีผลต่อการผลิตแพทย์ยังไงว่ะ กูไม่เข้าใจ ทำไมต้องยกเอาเรื่องคะแนนสอบมาดิสเครดิสพวกเรียน NT ว่ะ

เพราะที่อเมริกา จะเรียนแพทย์ได้ ต้องผ่านการเรียนปริญญาตรี ทางวิทยาศาสตร์ เช่น คณะวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณะสายวิทย์

หรือถ้าไม่จบ ป.ตรี ก็ต้องเรียนหลักสูตร Pre-medical program (เรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐาน 3 ปี) ที่ครอบคลุมหน่วยกิตวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานก่อน

เขาจึงจะอนุญาตให้สมัครสอบเข้า Medical School หรือเรียน Medical Program ได้

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เขามีการวิจัยแล้วว่าคนที่จะเรียนแพทย์นั้น จะต้องมี maturity มีวุฒิภาวะทางอารมณ์นิ่งพอ มีความเสถียรทางอารมณ์ ซึ่งต้องผ่านการเรียน ป.ตรี หรือ Premed มาก่อน

เมื่อมาเรียนต่อ Medical program ก็จะเรียนอีก 4 - 5 ปี ขึ้นอยู่กับว่าเข้า Medical School ที่ไหน แต่ถ้านับรวมเวลากว่าจะจบแพทย์ที่อเมริกา ก็ต้องเรียน 7 - 8 ปี (อันนี้ยังไม่เรียนเฉพาะทางนะคะ)

ระบบนี้ในอเมริกายังตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร และที่สำคัญแพทย์ไทยก็ได้อิทธิพลการแพทย์ อ่านหนังสือตำราของแพทย์อเมริกาเขียนอีกที

แถมยัง follow เทคโนโลยีเขา ต้องหาทางไปเรียนเฉพาะทางกับอเมริกาด้วยซ้ำ ดังนั้น จะไปปรามาศว่าคนเรียนจบ ป.ตรี มาแล้ว ไม่เก่งไม่ได้นะคะ

เพราะแพทย์อเมริกาก็รับคนจบ ป.ตรี แล้วมาเรียนต่อแพทย์อีกทีเท่านั้น

นอกจากอเมริกาแล้ว ตอนหลังหลายประเทศก็เริ่มมาใช้ระบบนี้ เช่น ออสเตรเลีย แต่ก่อน รับคนมาเรียนแพทย์ตั้งแต่แรกเลย แล้วเรียนแพทย์ 5 ปี แบบอังกฤษ

เพราะออสฯ ได้วัฒนธรรมต่างๆ จากอังกฤษที่มาตั้งรกรากที่ออสเตรเลีย ดังนั้น ที่อังกฤษ และออสเตรเลีย ดั้งเดิม ก็จะเรียนแพทย์ 5 ปี แล้วได้ปริญญา MBBS

ชื่อเต็มคือ Bachelor of Medicine, Bachelor of Surgery (มาจากภาษาลาติน Latin: Medicinae Baccalaureus, Baccalaureus Chirurgiae; MBBS)

ตอนหลัง ในออสเตรเลีย นำร่องโดย U เบอร์ 1 ของออสเตรเลีย อันดับโลก top 20 ของโลก อย่าง University of Melbourne เปลี่ยนแปลงการรับเข้าเรียนแพทย์แบบเดิม

ที่ผลิตแบบ MBBS มาเป็น MD โดยจะรับคนจบปริญญาตรีมาแล้ว มาเรียนต่อ MD อีก 4 ปี ซึ่งทำแบบอเมริกา เพราะเขาพบว่าผลิตแพทย์แล้วได้ประสิทธิภาพสูง มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ดี

ถามว่า ถ้าหากไทยลดการผลิตแพทย์มาเรียนแบบอังกฤษ คือเรียน MBBS หลักสูตร 5 ปี พวกเธอก็จะหาเรื่องมาด่าอีก ทั้งๆ ที่หมอไทยจำนวนมากไปเรียนต่อเฉพาะทางที่อังกฤษจำนวนมาก

แล้วก็ไปเอาเทคโนโลยีจากหมอที่อังกฤษมาใช้กับคนไทย แต่ก็เห็นไหมว่าทำไมอังกฤษเขาผลิตแพทย์มีคุณภาพได้ ทั้งๆ ที่เรียน 5 ปี

บ้านเรา มีคนยึดติดมากมาย ยึดติดกับการเรียนอัดแน่นเยอะๆ แล้วบอกว่าแล้วมันจะดี แล้วไม่ได้ประเมินเรื่องหลักจิตวิทยากับผู้ที่จะมาเรียนแพทย์ ทำให้เด็กที่มาเข้าเรียนหายไปจากระบบเยอะ

เพราะหลายคนพ่อแม่แค่อยากให้เรียนแพทย์ เพราะเห็นว่าสังคมเชิดชูและคนมองว่าเก่ง ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากเรียน

การผลิตแพทย์ New Track ในไทย เขาออกแบบมาเพื่อรองรับปัญหาที่แพทย์ที่เรียน 6 ปี หายไปจากระบบ หรือเรียนไม่จบระหว่างทางนี่แหละค่ะ

ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่แรก ๆ ด้วยซ้ำ ที่เริ่มมี New Track ผลิตทันตแพทย์ และแพทย์ในสมัยสัก 20 ปีก่อน ตอนนั้นดิฉันยังเด็กมากนะคะ แต่รู้ข้อมูลในฐานะผู้อยู่ในวงการเหล่านี้

ก็พบว่า ได้มีการเก็บข้อมูลคนที่เรียนหลักสูตร New Track จากธรรมศาสตร์ ก็ประสบความสำเร็จและไปเป็นหมอรับใช้ตามชุมชนต่าง ๆ ตาม รพ.รัฐจำนวนมาก ไม่หนีจากระบบ

ส่วน จุฬา มหิดล (ศิริราช) และนเรศวร ก็มีโครงการ New Track รับคนจบปริญญาตรี เพราะเขาเห็นแล้วว่ามารองรับปัญหาแพทย์หนีจากระบบได้

แล้วคนจบ ป.ตรี มาเรียน ก็มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ค่อนข้างดี เขาเก็บข้อมูลแล้ว เขาถึงเปิดรับ แล้วปีหนึ่งก็ไม่ได้รับมากมาย บางโรงเรียนแพทย์รับ 10 คน บางแห่งรับ 20 คน ก็ประมาณนี้

แล้วก็พบว่า รับมาแล้ว เรียนวิชาตั้งแต่ปี 2 ขึ้นไป พร้อมกับเด็ก ๆ ก็เรียนได้ดี ไม่สอบตก และส่วนใหญ่ เรียนได้คะแนนดีกว่าเด็กๆ หลายคนจบได้เกียรตินิยมเลย

แสดงให้เห็นว่าเขามีความรู้ดีพอจะเรียนได้ เขาผ่านการคัดเลือกมาดีแล้ว และให้โอกาสมาเรียน แล้วจบไปก็ไปทำงานเป็นแพทย์ตาม รพ.รัฐ หรือ รพ.ชุมชน เขาก็ทำงานได้ดี

ไม่มีหนีออกจากระบบ เขาถึงได้ผลิตขึ้นมา แล้วก็แก้ปัญหาแพทย์ขาดแคลนได้ ถึงได้ทำโครงการแพทย์ New Track ออกมา

ถ้าบอกว่า รับเข้ามาแบบคะแนนน้อย สู้เด็กที่ สอบผ่าน กสพท. ไม่ได้ อันนี้วัดจากคุณพูดเองหรือเปล่า ในฐานะคนที่เคยสอนเด็ก ๆ กลุ่มพวกนี้ขอบอกได้เลยว่า ไม่จริง

เพราะอย่างที่บอกว่าเขาเรียนได้ดีพอๆ กับเด็ก ๆ ที่เข้ามาแบบ กสพท. หรือเรียนดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะเคยมีประสบการณ์เรียนในมหาวิทยาลัยมาบ้าง แล้วก็พูดง่าย สอนง่ายด้วย

ถ้าบอกว่าคะแนนเขาสอบเข้าไม่ดี แล้วบอกว่าเขาไม่มีคุณภาพ แล้วเขาจะเรียนได้ดีหรือเหนือกว่าเด็ก ๆ กสพท. ได้อย่างไร อันนี้ฝากให้คิดนะ

เพราะเรียนวิชาเดียวกันตั้ง 5 ปี แค่ไม่ต้องเรียนวิชาปี 1 ถ้าคิดว่าเขาคะแนนน้อย จะเรียนไม่ได้ เพราะไม่ได้แข่งขันสูงเท่า แล้วเขาจะไปเรียนจบเรียนได้คะแนนดี หรือบางคนเกียรตินิยมได้อย่างไร

อันนี้ฝากให้คิด เพื่อว่าจะได้เข้าใจวัตถุประสงค์ของการเปิดสอนหลักสูตร New Track และอย่าลืมว่า ระบบนี้เอามาจากอเมริกาและบางประเทศชั้นนำด้วยนะ

เขียนเรียงความอะไรป้า หัดย่อความบ้างนะ อ่านเกิน 3 บรรทัดแล้วปวดหัวจี๊ดเลยว่ะ

ส่วนเรื่องเรียน ฉันยังไม่ได้บอกซักคำเลยค่ะท่านอาจารย์ขาว่าเค้าจะเรียนได้หรือไม่ได้

กูว่ามึงมีสันดานดูถูกคนอื่น แล้วก็มานั่งเขียนบรรยายว่าตัวเองคิดถูก
คนแบบมึงนี่แหละสังคมโคตรรังเกียจเลย กูเดาว่าชีวิตจริงมึง loser แถมทำอะไรก็ไม่เจริญ

อันนี้น่าจะมีเฉพาะคนสิ้นคิดนะถึงคิดต่ำๆ แบบนี้ได้

สรุปคือ ของไทย มันไปลอกเขามาแบบ ครึ่งๆกลางๆ

ของเขา บังคับเรียน วิทย์ก่อน แล้วคอยมาเรียนแพทย์

ของไทย เลือกแพทย์เลย ต่อมา ดัจจริต จะรับ NT แบบ ตปท อีกเลยมาเปิดอีกแบบ

มึงก็พูดเอง ว่า การแข่งขัน มันต่างกัน ยังแถ ว่าคนเรียน NT เก่งน้อย ถ้าเก่ง ทำไม ไม่เลือกเรียนแต่แรก ที่เป็นแบบ นี้เพราะ มันสู้เขาแต่แรกไม่ได้ไง เลยเลือกแบบ NT คู่แข่งน้อยกว่า

มันก็ตามที่บอกนั้นแหละ คือเก่งสู้เขาไม่ได้ เลยมา NT

อี ม. ก็เหมือนกัน ดัดจริต จะมีสองแบบ ถ้าคิดว่า แบบ NT ดี มึงก็ยุบแบบ ดังเดิมที่เลือกแต่แรกไปเลย แต่นี้ มีสองแบบ หลักๆก็เพื่อหาเงิน นั้นแหละ

และอีกอย่าง การเปิด NT ได้ แสดงว่า กำลัง การผลิตแพทย์ ของ ม. นั้นๆ มันยังมี แต่กั๊ก ไม่เปิดแบบปรกติ แต่มาเปิด NT เพราะเงินดีกว่าหรือเปล่า

แล้ว กูขอถามหน่อย แบบปรกติ กับแบบ NT นี้มันเรียนรวมกัน ตัดเกรด รวมกันเปล่า หรือแยก

ไม่มีใครเขาเป็นกะเทยแบบป้าหรอกนะ

อีตุ๊ดแก่นี่สันดานขี้อิจฉาริษยา ถ้ามันแข่งน้อย ทำไมมึงไม่ไปสมัครเรียนและเรียนให้จบล่ะอีควาย

ตัดรวมกัน ค่าเทอมเท่ากันจ้า
ปีหนึ่งรับปีละ 10 คน มันจะได้เงินสักกี่บาท ค่าเทอมเท่ากัน
ที่เขาผลิตเพราะมันเป็นความต้องการของกระทรวงสาธารณะสุข เขาถึงอนุมัติให้เปิดจ้า

เขามีการควบคุมคุณภาพอยู่แล้ว
พวกแพทย์ถ้าไม่ได้แพทยสภารับรองหลักสูตรเปิดไม่ได้จ้า
แล้วการผลิตแพทย์ต้องเป็นไปตามความต้องการของกระทรวงด้วย
ไม่ใช่อยากรับเพิ่มก็รับได้นะ เธอต้องเข้าใจใหม่จ้า

By the way อันนี้ตัวอย่างหลักสูตรแพทย์ จุฬาฯ เรียน 6 ปี ได้ 2 ปริญญา
เธอไม่ไปด่าอีกเหรอว่าไม่มีคุณภาพ

จุดเด่นจากหลักสูตรเดิม (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ที่มุ่งเน้นพัฒนาให้นิสิตเป็นแพทย์ในแบบของตนเอง
สามารถเรียนควบข้ามระดับข้ามศาสตร์และจบการศึกษาสองปริญญา (Dual Degree)
ภายใน 6 ปี โดยมีวิชาเลือกในหลักสูตรมาถึง 32 หน่วยกิต

แล้วมีหลักสูตร New Track จุฬาฯ ด้วยจ้า

หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิตนานาชาติ ใช้เกณฑ์รับสมัครอย่างไร
สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาในหลักสูตรดังกล่าว มีเงื่อนไขและเกณฑ์การรับสมัคร โดยอ้างอิงจากทางเว็บไซต์ www.md.chula.ac.th ดังนี้

จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือกำลังศึกษาอยู่ในปีสุดท้าย (จบภายในเดือน มิ.ย.2021) คณะหรือสาขาใดก็ได้
TOEFL iBT 85 หรือ IELTS 7.0+ (อายุคะแนนภายใน 2 ปี)
คะแนนสอบ MCAT (อายุคะแนนภายใน 2 ปี)
CV หรือ Portfolio
Statement of Purpose (SoP)
จดหมายรับรอง หรือ Two recommendation letters (ส่งตรงไปยังคณะฯ)
ใบแสดงรายวิชาและผลการเรียน เป็นใบที่ออกจากทางมหาวิทยาลัย
การสัมภาษณ์แบบหลายช่องทาง (Multiple mini interviews หรือ MMIs)
จำนวนการรับนิสิต/ปีการศึกษา : 40 คน/ปีการศึกษา

เรียนเมื่อไร : เริ่มเรียนตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2021

ไม่ได้ว่ารับด้วยเกณฑ์ง่ายๆ หรอกนะคะ
อย่างจุฬา ทำ New Track เป็นการผลิตแพทย์ที่เน้นคุณภาพสูงนะคะ เพื่อไปทำงาน ตปท.ได้จ้า

https://www.houseofgriffin.com/blog/cu-medi/

จริงๆมันก็ดีนะ สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัย คือ สถานที่ของคนทุกวัย เมื่อก่อนมันคงทำได้ยาก เพราะกลุ่มใหญ่ก็ไม่พ้นเด็กวัย 18 -22 เรียนเพื่อไปประกอบอาชีพ

แต่ก็เป็นโจทย์ที่สำคัญว่าจะดึงดูดคนยุคใหม่พร้อมกับควบคุมคุณภาพได้แค่ไหน เพราะเท่าที่ดูเด็กๆค่อนข้างใจร้อน อยากจบเร็วๆ อยากประสบความสำเร็จในชีวิตเร็วๆ แต่การเรียนบางอย่างต้องใช้เวลา ฝึกทักษะ ประสบการณ์กว่าจะเก่งได้ หลักสูตรแบบ 1 ปี 2 ปี ไม่ต้องเข้าเรียน หรือเรียนสัปดาห์ละวัน ก็แอบคิดนะว่ามันจะเวิร์คจริงรึนั่น