ผมเคยบวช ตอน 20 ต้นๆ และจะหาโอกาสกลับไปบวชอีกที่วัดที่ต่างจังหวัดมีความสุขมากเวลาบวช ใจสงบ ร่มเย็นเป็นสุข วัดวาอาวาสอบอุ่นเหมือนเป็นบ้าน
หลวงพี่หลวงลุงหลวงน้า ก็เมตตาให้ความเอ็นดูเหมือนเป็นลูกหลาน ก็ช่วยงานวัดไป
ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับกามราคะ ทำใจให้ว่างจากกิเลส นั่งสมาธิ พิจารณาร่างกายเป็นของสกปรก
ร่างกายเต็มไปด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ขี้ ฉี่ เหงื่อ เลือด น้ำหนอง น้ำลาย ฯลฯ
ร่างกายแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวมีเงิน เดี๋ยวหมดเงิน
่ีร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นของต้องสลายตัว ต้องทิ้งสักวันหนึ่ง วันนั้นอาจเป็นคืนนี้ก็ได้
มันเป็นสุขที่ใจ ใจสงบ ใจไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ใจเย็นสบาย ใจเราดี
แล้วก็ได้แผ่เมตตา ข้าพเจ้าจงเป็นสุข ผู้อื่นสัตว์อื่นจงเป็นสุข
ฉันต้องการความสุขเช่นไร ขอผู้อื่นจงมีความสุขเช่นนั้นด้วยกันทุกคน
เงินที่ญาติโยมถวายมาช่วยงานบวชก็ได้นำไปปิดทองพระประธานขนาด 4 ศอก 1 องค์
ตอนเช้าเดินบิณฑบาตนะ ตามต่างจังหวัดก็เป็นท้องนา มีหมอกอ่อนๆลอยเหนือยอดหญ้า
พระอาทิตย์แสงยังอ่อนๆ เหมือนยังกับสวรรค์บนโลกมนุษย์
ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า พี่น้อง แถวนั้นคอยอยู่ข้างทางแถวบ้านตัวเอง คอยใส่บาตร
ก่อนบวชก็ไปเป็นนาคอยู่นานนะ ใส่ชุดขาว ท่องบทขานนาคขอบวช
ฝึกห่มจีวร จำศีลของพระ นวโกวาท ช่วยหลวงพี่ท่านทำงานวัด
บวชเสร็จกลับออกมาได้ 1 สัปดาห์ กลับไปนุ่งขาวอยู่วัดต่ออีก
มันมีความสุขใจ ร่มเย็นบอกไม่ถูกเลย ผ้าเหลืองนี้เย็นมาก
เป็นของคู่ควรกับผู้มีบารมีมากแล้ว บารมีแก่กล้ามาแล้ว ถึงได้เห็นคุณของผ้าเหลือง
ผู้ที่มีบารมียังอ่อนอยู่ มันก็ยังไม่ปรารถนาจะพ้นจากกามหรอก
เหมือนหนอนที่กินนอนอยู่ในกองขี้ มันก็ว่ามันสุขมันสบายดีแล้ว จะออกจากกองขี้ไปทำไม
แต่ผู้ฝึกฝนอบรมจิตใจ ทรมานกิเลสในใจตัวมาดีแล้ว มันปรารถนาจะละกาม
เห็นว่ากามนี้เป็นของสกปรก ของน่าเกลียด เห็นโทษของกาม
มันก็ใกล้ความพ้นทุกข์ ถึงพระนิพพาน เท่านั้นแหละ