หลายคนเข้าใจว่ายาเพร็พ (PrEP) คือ "ยาวิเศษ" ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ความเข้าใจผิดที่อันตรายมาก
หลายคนเข้าใจว่ายาเพร็พ (PrEP) คือ "ยาวิเศษ" ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ แต่ความเข้าใจผิดที่อันตรายมาก คือการที่ผู้ที่ติดเชื้อ HIV อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ตัว (ตามข่าวมีถึง 40%) ไปกินPrEP โดยหวังว่าจะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ ซึ่งความจริงแล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยป้องกัน แต่ยังอาจสร้าง "เชื้อดื้อยา"
PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือยาสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ HIV กินเพื่อป้องกันการติดเชื้อล่วงหน้า โดยตัวยาที่ใช้ใน PrEP ส่วนใหญ่ประกอบด้วยยาต้านไวรัส 2 ชนิด การกิน PrEP อย่างสม่ำเสมอจะทำให้ในกระแสเลือดมีระดับยาที่สูงพอที่จะสกัดกั้นเชื้อ HIV ไม่ให้เข้ามาฝังตัวและแบ่งตัวในเซลล์เม็ดเลือดขาวได้ เปรียบเสมือนการสร้าง "เกราะป้องกัน" ไว้ล่วงหน้าในร่างกาย หัวใจสำคัญของ PrEP คือ ใช้สำหรับ "ป้องกัน" ในผู้ที่ "ยังไม่ติดเชื้อ" เท่านั้น
เมื่อติดเชื้อ HIV แล้ว เกิดอะไรขึ้นในร่างกาย?
เมื่อเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายและเริ่มการติดเชื้อแล้ว เชื้อไวรัสจะแทรกตัวเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 และใช้กลไกของเซลล์ในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว การติดเชื้อได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้วในร่างกาย การรักษาผู้ที่ติดเชื้อ HIV จะใช้ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy หรือ ART) ซึ่งเป็นการใช้ยาต้านไวรัสอย่างน้อย 3 ชนิดขึ้นไป ทำไมต้องใช้ยาหลายชนิด? เพราะเชื้อ HIV มีความสามารถในการกลายพันธุ์สูงมาก การใช้ยาเพียง 1 หรือ 2 ชนิด จะไม่สามารถหยุดยั้งการแบ่งตัวของไวรัสที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้ทั้งหมด เชื้อบางส่วนที่รอดไปได้จะเกิดการกลายพันธุ์และพัฒนาความสามารถในการทนทานต่อยาเหล่านั้น หรือที่เรียกว่า "การดื้อยา" ดังนั้น สูตรยาต้านไวรัส จึงเปรียบเสมือน "กองทัพ" ที่ประกอบด้วยทหารจากหลายหน่วย (ยาหลายชนิด) เข้าโจมตีเชื้อไวรัสในหลายๆ จุดพร้อมกัน ทำให้เชื้อไวรัสไม่สามารถแบ่งตัวและกลายพันธุ์ได้ทัน และถูกควบคุมปริมาณลงจนเหลือน้อยที่สุด (จนตรวจไม่พบในเลือด)
ปัญหาเมื่อผู้ติดเชื้อ HIV (โดยไม่รู้ตัว) กิน PrEP
เมื่อผู้ที่ติดเชื้อ HIV ไปแล้วแต่ไม่ทราบสถานะของตนเอง และเริ่มกิน PrEP ซึ่งมีตัวยาต้านไวรัสเพียง 2 ชนิด ซึ่งไม่แข็งแกร่งพอที่จะควบคุมเชื้อ HIV ที่แบ่งตัวอย่างมหาศาลในร่างกายได้ ผลคือเชื้อไวรัสยังคงแบ่งตัวต่อไปได้ เมื่อเชื้อไวรัสแบ่งตัวภายใต้แรงกดดันของยาที่ไม่แรงพอ เชื้อจะค่อยๆ เรียนรู้และเกิดการกลายพันธุ์เพื่อเอาชนะยาเหล่านั้น ทำให้เชื้อ HIV ในร่างกายของบุคคลนั้นกลายเป็น "เชื้อดื้อยา" ต่อตัวยา 2 ชนิดที่อยู่ใน PrEP เมื่อบุคคลนั้นได้รับการตรวจและพบว่าติดเชื้อในภายหลัง การรักษาจะซับซ้อนขึ้นทันที เพราะยาพื้นฐาน 2 ชนิดที่อยู่ใน PrEP ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในสูตรยาต้านไวรัสหลายๆ สูตร จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป แพทย์จะต้องเลือกใช้ยาสูตรที่ซับซ้อนขึ้น หรือยาที่มีราคาสูงขึ้นเพื่อทำการรักษา ที่น่ากังวลคือ บุคคลนั้นสามารถแพร่ "เชื้อ HIV ที่ดื้อยา" ไปสู่ผู้อื่นได้ หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้ที่รับเชื้อไปก็จะได้รับเชื้อที่ดื้อยาไปตั้งแต่ต้นซึ่งอาจป้องกันไม่ได้ด้วย PrEP อีกต่อไป ทำให้การป้องกันไม่ได้ผล และ การรักษาบุคคลนั้นๆ ยากขึ้นตามไปด้วย
https://www.facebook.com/photo/?fbid=24476886708591254&set=a.410485375658057