ปัญหาหนี้สินเป็นเงาตามตัวของครูไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง **ครูบรรจุใหม่** และ **ครูอัตราจ้าง** วงจรนี้มักเริ่มต้นขึ้นด้วยความจำเป็นทางการเงินที่บีบคั้น ทำให้การเริ่มต้นอาชีพครูต้องเผชิญกับภาระหนี้สินตั้งแต่ก้าวแรกครูบรรจุใหม่ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชนชั้นกลางระดับล่างหรือครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ซึ่งขาดการสนับสนุนทางการเงินจากครอบครัว ในช่วงที่ต้องรอเงินเดือนตกเบิก 3 เดือน นอกจากนี้ ครูหลายคนที่เคยเป็น ครูอัตราจ้าง มาก่อน ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยค่าจ้างอันน้อยนิดเพียง 5,000-6,000 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ทำให้ต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ เพื่อประทังชีวิต
ไม่เพียงแค่ค่าครองชีพเท่านั้น ครูจำนวนมากยังต้องแบกรับภาระค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ หากโรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล การหาซื้อ รถมอเตอร์ไซค์มือสอง หรือแม้กระทั่ง รถยนต์มือสอง ราคา 70,000-80,000 บาท เพื่อใช้เดินทางไปสอนหนังสือ ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากความหวังว่าจะได้บรรจุเป็นข้าราชการครู ไม่ว่าจะด้วยการสอบหรือด้วยสิทธิ์โรงเรียนถิ่นทุรกันดาร
ก่อนหน้าที่จะมีการแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ฉบับใหม่ที่ตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 1% ตลอดระยะเวลาผ่อนชำระ ครูบรรจุใหม่จำนวนมากตัดสินใจกู้เงินจากสหกรณ์เพื่อนำไปปิดบัญชี กยศ. เหตุผลคือดอกเบี้ยของสหกรณ์อยู่ที่ประมาณ 6% ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ย กยศ. ที่เพิ่มขึ้นปีละ 1% และอาจสูงถึง 15% ในปีสุดท้าย นอกจากนี้ การกู้เงินจากสหกรณ์ยังได้เงินปันผลทุกปี ทำให้โดยรวมแล้วภาระดอกเบี้ยถูกกว่า กยศ. มาก
ปัญหาหนี้สินที่ครูไทยต้องเผชิญตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพเป็นสิ่งที่บั่นทอนขวัญกำลังใจและอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาได้ การแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยมีแนวทางที่เป็นไปได้ดังนี้:
ปรับเงินเดือนครูอัตราจ้างให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ: การจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมจะช่วยให้ครูอัตราจ้างไม่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ
จัดหากลไกช่วยเหลือทางการเงินสำหรับครูบรรจุใหม่: การมีเงินช่วยเหลือระหว่างรอเงินเดือนตกเบิกจะช่วยให้ครูเริ่มต้นอาชีพได้อย่างมั่นคง โดยไม่ต้องก่อหนี้ตั้งแต่แรก
หากสามารถแก้ไขปัญหาทั้งสองประเด็นนี้ได้ จะช่วยให้ครูไทยเริ่มต้นอาชีพด้วยการไม่เป็นหนี้ และมีกำลังใจในการพัฒนาการศึกษาของชาติได้อย่างเต็มที่