>รีบนคะ แล้วกรณีหมออาวุโสท่านนั้น เธอคิดเห็นยังไง
>ที่เป็นคู่กรณีกับหมอธนี
>
>แบบนั้น เรียกข้ามฟีลด์ไหม ให้ข้อมูลถูกต้องไหม
>รอฟังความเห็นนะคะ ทั้งคู่พูดเรื่องประเด็นวัคซีนโควิด ซึ่งประชาชนและหมอ ก็มีสิทธิคิดและวิเคราะห์ได้ทั้งคู่ ตามหลักฐานทางการแพทย์และหลักการทางการแพทย์
แม้ว่าทั้งคู่ไม่ใช่หมอมะเร็ง แต่ก็น่าจะวิพากษ์ได้จากหลักฐานการค้นคว้าผลงานตีพิมพ์ทางการแพทย์และแนวทางการเก็บข้อมูลสาธารณสุขจาก case report ทั่วโลก
นอกจากนี้ก็อาจจะอาศัยประสบการณ์จากงานวิจัยที่ใกล้เคียงมาอธิบายหรือมาวิพากษ์ได้
โดยปกติในสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ รวมถึงการแพทย์ เขาจะไม่เทียบจากแค่วุฒิการศึกษาหรือใครเคยเป็นอาจารย์สถาบันใด
เขาจะเทียบกันในเรื่อง ประวัติการเผยแพร่งานวิจัยลงวารสารวิชาการระดับนาชาติ เพราะถือว่าการทำงานวิจัยเผยแพร่ใน International Journals ทำได้ยากกว่าการทำสื่อออนไลน์ออกมา
ในแวดวงวิชาการ เวลาจะรับใครเข้าทำงานเป็นอาจารย์จึงยึดถือประวัติ publications (การตีพิมพ์ผลงานวิจัย)
นอกจากนี้ การตีพิมพ์งานวิจัยจำนวนมาก จะทำให้ได้มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งวิชาการ เช่น ผศ. รศ. และ ศ. โดยเฉพาะตำแหน่ง ศ. ต้องมีผลงานวิจัยมากพอถึงเป็นได้
อันนี้ใช้เป็นหลักทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ
ดังนั้น ใครที่ contribution ต่อวงการการแพทย์มากกว่ากัน และได้รับการยอมรับระดับนานาชาติมากกว่า ก็จะดูจากประวัติการตีพิมพ์งานวิจัยนั่นเอง
(1) ประวัติของ หมอธนีย์ จบด้านโรคปอดและเกี่ยวกับการปลูกถ่ายปอด
จบหมอจากศิริราช แล้วไปเป็น Residency ด้านอายุรกรรม ที่อเมริกา ณ สถาบัน Albert Einstein Medical Center ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย
แล้วค่อยไปเรียนต่อเฉพาะทางด้าน โรคปอดและวิกฤติบำบัด จาก Department of Medicine, School of Medicine, Emory University อเมริกา
มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ + หนังสือค่อนข้างน้อย รวมแล้วไม่ถึง 15 เรื่อง
เมื่อกี้ลองเช็คจากฐานข้อมูลวารสารสากล คือฐานข้อมูล SCOPUS (ซึ่งนิยมใช้อ้างอิงทั่วโลกและใช้ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ทั้ง Times Higher Education, QS และ U.S. News)
พบว่ามี 11 เรื่อง ดังนี้
https://www.scopus.com/authid/detail.uri?authorId=56731003100
แล้วในจำนวนนี้ก็ไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารเฉพาะทางการแพทย์ดังๆ ทุกอันนะ และบางอันลงในวารสารวิทยาศาสตร์ด้านอื่น
ทำให้จึงไม่สามารถถูกโปรโมตเป็นระดับ Associate Professor และ Professor ได้
จะเห็นว่าการที่คุณหมอเขาตีพิมพ์งานวิจัยมาน้อยมาก เพราะไม่ได้อยู่ในแวงวงการทำงานวิจัยในสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัยแล้ว
การจะมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ได้ ต้องเข้าไปทำวิจัยด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเข้าห้องแล็บ หรือการอยู่กับ case คนไข้ เก็บข้อมูลเก็บตัวอย่างต่างๆ ด้วยตัวเอง
กรณีหมอธนีย์ มีบทบาท contribution ตรงนี้น้อย แต่มาเผยแพร่ช่องทางออนไลน์ให้ความรู้ประชาชนก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
แต่จะสังเกตว่า คุณหมอก็ต้องไปอ่าน papers งานวิจัยหรือหนังสือทางการแพทย์ก่อนมาทำคลิปแน่นอน เพราะไม่งั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความรู้นึกได้ขนาดนั้น
เพราะหลายเรื่องก็นอกสาขาที่หมอเขาชำนาญ และจะเห็นว่าหลายครั้งหมอเขาก็เอา papers งานวิจัยมาอ้างอิง
จากข้อนี้ แสดงให้เห็นว่าการที่มีคนทำวิจัยและตีพิมพ์เผยแพร่ออกมาเป็น papers ได้ จะยากกว่าคนไปนั่งอ่าน papers ของคนอื่นนะ
เพราะกว่าจะได้ลงในวารสารวิชาการได้ ต้องผ่านขั้นตอนการกลั่นกรองมากมาย จากผู้ทรงคุณวุฒิ ถึงจะลงได้ เรียกแบบนี้ว่า peer review process
ไม่ใช่แค่อยากพูดหรืออยากเขียนอะไร แล้วส่งไปเขาจะรับ แต่จะต้องมีระเบียบวิธีการวิจัยที่เข้มข้นและถูกต้อง จะมีผู้ทรงคุณวุฒิในสายวิชานั้น ๆ มาอ่านและมารับรอง แล้วบอกให้แก้ไข
ต้องแก้จนกว่า reviewers จะพอใจ ซึ่ง reviwers นี่จะมีหลายคน อย่างน้อย 2 คน แต่มักจะมี 3 คน หรือบางวารสารอาจจะมี 5 คน
( reviewers หมายถึง ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินบทความแบบ annonymoous คือเราจะไม่ทราบว่าใคร เพื่อป้องกันเรื่อง bias ระหว่างผู้แต่ง/นักวิจัยกับผู้ประเมิน)
ประวัติของลุงหมอคนนั้น
(2)
เท่าที่เช็คดู ลุงหมอคนนั้น เป็นศาสตราจารย์ ด้านอายุรกรรมระบบประสาทและสมอง และเคยเห็นหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญโรคอุบัติใหม่
การศึกษาก็ถือว่าโดดเด่นอยู่ไม่น้อย จบแพทย์จุฬา และไปเรียนเฉพาะทาง Fellowship in Neurology/Neurology & Neuroimmunology
ที่ Johns Hopkins University School of Medicine ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนแพทย์ top 10 ของโลก ไม่ได้ด้อยกว่า Harvard แน่นอน และถือว่าเขาไปเรียนยากมาก
เคยมีผลงานตีพิมพ์ทั้งในด้านโรคระบบประสาทและสมองมากกว่า 100 เรื่อง และมีผลงานด้านโรคอุบัติใหม่ที่เกี่ยวกับไวรัส และแบคทีเรีย อีก > 50 เรื่อง
ที่น่าสนใจ คือมีประวัติลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์เบอร์ต้นๆ ของโลก เช่น The Lancet ซึ่งถือว่าใครลงได้นี่คือปรมาจารย์ขั้นเทพแล้ว เพราะแม้แต่หมอฝรั่งเก่งๆ หลายคนก็ยังลงไม่ได้
นอกจากนี้ก็ยังมี The Lancet ในเครือ เช่น
The Lancet infectious diseases, The Lancet Neurology เป็นต้น
ที่น่าสนใจอีกอันคือลุงมีชื่อเป็นนักวิจัยร่วมในการศึกษาเชื้อ SAR-COV2 หรือเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด แล้วได้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อดังอย่าง Nature Communications
นี่ก็นับว่าถือว่าลุงก็โพรไฟล์โดดเด่นไม่ใช่น้อย และวารสารข้างต้นที่กล่าวมา หมอทั่วๆ ไปหรือแม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ หลายแห่งก็ตีพิมพ์งานวิจัยไม่ได้ง่ายๆนะ
เพราะ rejection rate สูงมาก คือถ้างานวิจัยไม่ดีจริง จะโดนปฏิเสธไม่ให้ได้ลงตีพิมพ์
จากประสบการณ์ด้านการวิจัย ก็ต้องถือว่าลุงหมอคนนั้นประสบการณ์งานวิจัยและ contribution ในวงการแพทย์เยอะกว่า และถือว่าตีพิมพ์ในวารสารยากๆ ได้มากกว่า
ต้องยอมรับว่าแกเก่งระดับท็อปแน่นอน
ส่วนตัวไม่เคยเห็นแกไปว่าหมอธนีย์นะ มีแต่หมอธนีย์ไปจิกกัดหมอลุงแก่คนนั้น หมอธนีย์ก็อาจจะพูดในแง่ผลงานวิจัยใน papers ที่หมอธนีย์พยายามไปสืบค้นมาอ่านและให้ความรู้
แต่หมอธนีย์ไม่มีประสบการณ์ทำวิจัยตรง โดยเฉพาะการได้เป็น first author หรือ corresponding author ยังน้อยกว่าหมอลุงแก่คนนั้น
ถ้าพูดกันในแง่ประสบการณ์งานวิจัยและคนทำวิจัยจริงๆ หมอลุงแก่คนนั้น ก็ภาษีดีกว่า
แต่ในแง่สื่อออนไลน์ หรือ social plateform หมอลุงแก่คนนั้นอาจจะไม่สู้หมอหนุ่ม 40 ต้นๆที่มีการทำ YouTube ออกมาแล้วคนติดตามเยอะกว่า
แต่ถ้าเอาตามเรื่อง academic contribution หมอธนีย์สู้ลุงหมอแก่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อยนะ อันนี้พูดจากคนในวงการจริงๆ
หมอธนีย์ ถ้าในภาพรวมก็ดีในแง่การออกมาให้ความรู้ประชาชนผ่านช่องทาง YouTube ที่คนทุกระดับเข้าถึงได้ แต่บางเรื่องก็ต้องระวังด้วย เพราะมันเป็นดาบสองคมเช่นกัน
โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านยังอ่อนประสบการณ์ในการวิจัย และหากจะว่าไปตามตรง คุณหมอก็ต้องเผื่อเรื่องว่าในเรื่องการแพทย์และชีวภาพ มันจะไม่มีอะไร 100%
มันจะมีอะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎหรือทฤษฎีเปะๆ หลายอย่างเหมือนกัน การจะด่วนสรุปอะไรเลย ก็ต้องระวัง หรืออาจจะต้องพูดแค่ว่า ณ ข้อมูลปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้
ส่วนกรณีลุงหมอนั้น แกก็อาจจะพูดในมุมมองของคนมีประสบการณ์การทำวิจัยมามาก และเรียนด้าน Neuroimmunology มาด้วย (ภูมิคุ้มกันระบบประสาท)
อย่างไรก็ดี ลุงหมอก็ไม่ควรด่วนสรุปเช่นกัน เพราะมันต้องรอข้อมูลอีกหลายเคส แม้ว่าบางเคสที่แกยกตัวอย่างมา จะมีรายงานผลข้างเคียงวีคซีน mRNA หลายราย
แน่นอนว่า mRNA vaccine มีเคสรีพอร์ทมาพอสมควรแล้วว่ามีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อหัวใจและโรคบางอย่าง แต่ยังไม่มีรายงานเรื่องมะเร็งออกมาชัดเจนเลยนะ หมอไม่ควรพูดให้คนตื่น
ก็มองแบบกลางๆ ทั้งสองฝั่งนะ