พวกสัตว์นรกคลั่งชาติชั้นต่ำ ตลาดล่าง พากันโยง จับแพะชนแกะไปไกลเลยค่ะว่า เป็นแผนการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับกัมพูชา ยิ่ง นายกอุ๊งอิ๊ง มานั่งเป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรม พวกเหี้ยนี่ยิ่งคลั่งหนัก อีคลั่งหน้าด้าน อยากจะได้แต่ของชาวบ้านแบบหน้าด้านๆ กรมศุลฯไทย ยึดวัตถุโบราณ 43 ชิ้น ที่แอบนำเข้าจากสิงคโปร์เมื่อปี 43 ทั้งหมดมีลักษณะตรงกับศิลปะเขมร คาดว่าเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของเขมร ที่ถูกขโมยออกมาในช่วงสงครามกลางเมือง เขมรส่งคำร้องต่อไทย พร้อมเอกสารหลักฐานเพื่อขอคืนโบราณวัตถุทั้งหมดมานานแล้ว
มีการตรวจสอบด้วยกรมศิลป์ ที่มีมาตรฐานตรวจสอบวัตถุโบราณที่เป็นสากล ตรวจสอบเสร็จ ครม.ได้มีมติในปี 52 และ 58 ให้ส่งคืน 23 ชิ้นแรก ที่พิสูจน์แล้วว่ามีต้นกำเนิดในเขมร ส่วนที่เหลืออีก 20 ชิ้น ยังคงอยู่ในความดูแลของไทย ตรวจสอบเพิ่ม ย้ำว่า อยู่ในการดูแล ไม่เท่ากับ เป็นของไทย
จาก 43 ชิ้น คืนไปแล้ว 23 ชิ้น เหลืออีก 20 ชิ้น ได้รับการตรวสอบจากกรมศิลป์ต่อ จนถึงช่วงปี 67 ตั้งผู้เชี่ยวชาญหลายชุด ร่วมตรวจสอบทั้งในเชิงโบราณคดี ศิลปกรรม และข้อกฎหมาย ได้ข้อสรุปว่าโบราณวัตถุทั้งหมดมี แหล่งกำเนิดในเขมร อย่างชัดเจน
และตรงนี้สำคัญมาก การคืนโบราณวัตถุครั้งนี้เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่ทำกันไว้เมื่อในสากล ซึ่งกำหนดให้ชาติต่างๆ ต้องคืนโบราณวัตถุที่ต่างได้มาโดยมิชอบ เมื่อมีหลักฐานพิสูจน์แหล่งกำเนิดอย่างชัดเจน มันคือการสร้างความชอบธรรมบนเวทีโลก
มึงอย่าลืมนะ ไทยเอง เราก็ต้องการทวงคืนของโบราณของสยาม ที่กระจัดกระจายในต่างประเทศเหมือนกัน
ที่ผ่านมาไทยทวงกลับโบราณวัตถุของชาติตัวเองจากพิพิธภัณฑ์ในสหรัฐฯ และยุโรป เช่น หัวพระพุทธรูป ศิลาชิ้นสำคัญ และจิตรกรรมฝาผนังบางส่วน รวมแล้วเป็นพันรายการในช่วงระยะเวลา กว่า 40 ปีที่ผ่านมา
เราทวงคืนกลับมาสำเร็จได้ ก็เพราะเรายืนอยู่บนหลักเดียวกับที่ปฏิบัติในครั้งนี้ คือ พิสูจน์แหล่งกำเนิด และคืนวัตถุที่มิใช่ของตัวเองตั้งแต่ต้น ซึ่งหากเราไม่คืนกรณีนี้ สมบัติเราที่ยังอยู่ในพิพิธภัณฑ์เมืองนอก ในอนาคตจะทวง จะขอคืน เป็นปัญหาแน่
ดังนั้น ใช้ข้อเท็จจริงนำหน้า อย่าใช้แต่ความเกลียดชังและอคติ รักชาติไม่ผิด แต่อย่าคลั่ง-อย่าบิด แล้วทำให้คนเข้าใจอะไรแบบผิดๆ เหมือนเรื่องนี้ และเรื่องก่อนหน้า
อะไรที่ไม่ใช่ของมึง มันก็ไม่ใช่ ยอมรับความจริง อย่าอยากจะได้แต่ของๆคนอื่นเขา หน้าด้าน หน้าไม่อาย