แค่วิพากย์วิจารณ์ ev หรือพูดถึงข้อจำกัดต่างๆของรถ ev ท่านก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นพวก anti ev แล้วค่ะเราก็งงๆนะ ทั้งรถน้ำมันและรถ ev ก็มีข้อดีข้อด้อยที่ต่างกัน แค่ทำไมในลัทธิคนที่ใช้รถในกลุ่มนั้น ถึงต้องพยายามยัดเยียดว่ามันจะต้องเหมาะกับทุกคนด้วย ล่าสุดเจอถกเถียงกันเรื่องใช้รถน้ำมันเพราะไม่อยากเสียเวลารอเติมไฟ เพราะธุรกิจเค้าเป็นเงินเป็นทอง
ผู้ใช้ ev รายหนึ่งก็มาตอบทำนองว่า ถ้ามีสมองมากพอ สามารถนั่งทำงานในรถก็ได้ บางทีทำงานได้มากกว่าอีก บลาๆๆๆ
เรางงกับตรรกะมากๆ ไม่เข้าใจจริงๆค่ะ
ทำไมคนส่วนใหญ่ ชอบมอง Car Journallist ว่าเป็นพวกต่อต้าน EV กันนะ
เรื่องนี้ไม่เข้าใจอย่างแรง อะไรทำให้คนจำนวนมากคิดแบบนี้ โดยเฉพาะคนที่มอง และ เทิดทูน รถยนต์ไฟฟ้า ราวกับบริษัทเขามาโปรด ทั้งๆที่เขาก็ขายของให้ไม่ใช่แจกให้
ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ พูดในฐานะคนเป็น Car Journalist และ Testdriver ไว้อย่างชัดเลยๆว่า
ไม่เห็นมี Car Journalist คนไหน รายใด
ที่ผมรู้จักเป็นพวกต่อต้านรถยนต์ไฟฟ้าเลยสักคน
แต่ใช่ครับ เราก็ไม่ใช่พวกอวยรถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน
และหลายคนที่ท่านเห็น ตามสื่อว่า อาจจะเป็นแบบนั้น
บางท่าน รวมถึง ผมก็หนึ่งในนั้น ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันอยู่
แค่เขาอาจไม่เปิดเผย ก็เท่านั้น
พวกเราหลายคน เป็นพวกที่เขาเรียกว่า Early Adopt หรือ จะพูดว่า ผู้มาก่อนกาลเสียด้วยซ้ำ
เพราะอะไรน่ะหรือ ?
เพราะเราหลายคน เริ่มทดสอบรถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ 2018
ด้วยรุ่น BYD e6 โดยมี บริษัทหนึ่ง เอารถมาให้เราได้ทดสอบกัน
ปีเดียวกัน บริษัทตู้ชาร์จเอกชน รายแรก EA Anywhere
ก็ยังจัดทริปรถยนต์ไฟฟ้าครั้งแรก
ก่อนที่รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายเช่นทุกวันนี้อีก
เมื่อก่อน ตอนไปชาร์จ มีแต่คนเดินเข้ามาคุยมาถาม
เดี๋ยวนี้ เหมือนพอรถ EV มีการใช้อย่างแพร่หลาย
ก็ดู มีผู้รู้ ตามโซเชี่ยล เยอะแยะไปหมด
ความเป็น สื่อเป็นเราไม่ใช่ นักอวยครับ
เราจะต้องพูดความจริง บอกความจริง
อะไรดี คือ ดี
อะไรต้องพิจารณา คือ พิจารณา
จริงอยู่ที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ในวันนี้เยอะขึ้น
แต่พอเทียบสัดส่วน ยอดขายรถยนต์ทั้งประเทศแล้ว
มันก็แค่ส่วนเดียวเท่านั้น ไม่ได้เยอะมาก
แต่ใช่ เราได้เห็นรถกลุ่มนี้มากขึ้น
จากเดิม นานๆจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าที จะวิ่งผ่านมา
ปัจจุบัน เห็นบ่อยขึ้น ทำให้มันดูเหมือนเยอะขึ้นมาก
และมีส่วนเสริม เรื่องตู้ชาร์จ การซ่อมบำรุง และอื่นๆอีกมาก
ที่เป็น Infrastructure ของการใช้ Eco System รถยนต์ไฟฟ้า
ทำให้สังคมเห็นว่า "โลกการใช้รถยนต์ไฟฟ้า"
เข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นแล้วจริงๆเข้าไปอีก
แต่กลับมาที่ "หน้าที่ในหัวโขนสื่อ"
มันยังมีบทบาท อีก 2 เรื่อง คือ เฝ้าระวัง และ กลั่นกรองข่าวสาร ด้วย
ผมไม่สามารถพูดแทน สื่อท่านอื่นๆได้
เพราะแต่ละคน มีความคิดแตกต่างกันไป
ซึ่งถ้าพูดในตัวผมเอง สาเหตุที่สื่ออย่างตัวผมเอง
หลายครั้งอาจทำตัวให้ คนรู้สึกว่า เอ็งมันพวกแอนตี้ รถ EV ชัดๆ
ตลกอ่ะ เพราะความจริงแล้ว เราก็เป็นใช้ EV จนบางทีต้องแปะรูปให้ดู
ว่าเราเองก็คือคนในสังคม EV เช่นกัน ไม่ใช่คนนอกเลยสักนิด
และนั่นอาจ ทำให้ผมอยู่ในโหมดเฝ้าระวัง Watch Dog กับ เทคโนโลยีตัวนี้ ยิ่งใช้เองก็ยิ่ง พบข้อดี-ข้อเสียมันเรื่อยๆ จนกล้าจะให้คำแนะนำ ว่า ควร /ไม่ควรอย่างไร
ใครมาถามผม ว่าควรใช้รถยนต์ไฟฟ้าไหม ?
ผมก็ต้องถามถึงพฤติกรรมการขับขี่ ไปจนถึง
วิธีการใช้รถทั้งหมดของบุคคลนั้นๆก่อนทุกครั้ง
แล้วถึงจะให้คำตอบว่า ควรใช้หรือไม่
ไม่ใช่ ว่า เอ้ย ซื้อเลย เว้ย จัดไป รถยนต์ไฟฟ้าดีที่สุด
แบบนั้น ไม่ใช่นักข่าวครับ เขาเรียก นักอวย
ทุกครั้งเวลาเราให้คำปรึกษา
เราจะเอาข้อมูลเขามาประมวลกับประสบการณ์ของเรา
ก่อนจะมอบคำตอบให้ ว่ามันเหมาะกับการใช้งานของเขาหรือไม่อย่างไร
คือการใช้ รถยนต์ไฟฟ้า มันก็มีจุดที่ไม่เหมาะกับใครบางคนจริงๆอยู่
ถ้าชีวิตเร่งรีบ ใช้ชีวิตเดินทางไกล แบบต้องทำเวลา ทำรอบ
หรือ แถวนั้นไม่ได้มีจุดชาร์จใกล้ๆ จะชาร์จที่บ้านก็ทำไม่ได้ เพราะอยู่คอนโด
แบบนี้ จะให้เราพูดได้หรือ ว่ารถยนต์ไฟฟ้า เหมาะกับเขามากๆ เวรี่กื๊ดด !
แต่ ผมไม่ใช่ คนขี้โกหก หรือ ประเภทว่า ดีเลย (เดี๋ยวรู้เลยย)
ผมจึงเลือกที่จะบอกเขาตามตรงว่าเหมาะไม่เหมาะอย่างไรมากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการรอชาร์จยังเป็นประเด็นสำคัญ
ที่ยังไม่สามารถปฏิเสธได้
เพราะยังไงคุณไม่มีเติมพลังงาน 30-80% ได้ในเวลา 5 นาทีแน่ๆ
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ ในเร็วนี้ๆ ...
แล้วรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถชาร์จ เร็ว 30-80% ในเวลา 15-20 นาที โดยไม่ต้องรอนาน หรือ เดินทางได้ 500 กม. ต่อการชาร์จในการขับขี่จริง
ก็ไม่ใช่ ตัวเลขที่เคลมแบบ Not Ever Dam Close หรือ Will Less Than Publish ว่าง่ายๆคือไม่ได้ใกล้การใช้งานจริงด้วยซ้ำ
เพราะหลายครั้งเวลาคุณลองไปถามคนที่ใช้งานจริง เค้าก็มักจะต้องลบเลขระยะทางในการใช้งานอย่างน้อยราวๆ 10-30% จากเลขที่เคลมอยู่เสมอๆ
และที่สำคัญไม่แพ้กัน คือรถไฟฟ้าดีๆ เริ่ดๆ
มันก็ยังไม่ได้มาพร้อมกับราคามหาชนที่คนทั่วไป
จะซื้อหรือคบหากันง่ายๆ เว้ย
อีกอย่าง คนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าโดยมาก ทั้งตัวผมเอง
และ หลายคนที่รู้จักส่วนใหญ่ล้วน "เป็นการซื้อรถไฟฟ้าเพิ่ม" จากที่มีในโรงรถ ไม่ได้ เป็นการซื้อเพื่อทดแทนคนเดิม
ส่วนกรณี ซื้อทดแทน รถคันเก่าคันเดิม ก็น่าจะมีบ้าง
แต่เขาก็มักจะมีรถยนต์สันดาปฯไว้สำรองหนึ่งคันอยู่แล้วในยามจำเป็นอยู่ดี
ไม่ได้เอารถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นรถหลัก คันเดียวของบ้านไปเลยแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเทียบสงกรานต์กับปีใหม่ที่ผ่านมา
เราเลยจะเห็นว่า หยุดยาวครั้งนี้ ปัญหาเรื่องที่ชาร์จน้อยลงเยอะมาก
เพราะ คนเริ่มปรับตัว หรือ อาจจะเข้าใจแล้วว่า
ในการเดินทางไกล รถน้ำมัน ยังคงตอบโจทย์มากกว่า
หยุดยาวครอบครัวสุขสันต์หรรษา ชีวิตแค่แย่งกันกิน แย่งกันเที่ยวก็เหนื่อยแล้ว ต้องมานั่งแย่ง ที่ชาร์จรถอีกรึ ขอผ่านดีกว่า
ในแง่ของการกลั่นกรองข้อมูล
ด้วย Automotive Journalist อย่างเราจับรถปีหนึ่งหลายสิบคัน เราขับรถมาแล้วทุกประเภท ก็คงจะยกเว้น พวกสิบล้อ กับ รถตักดิน เอาไว้บ้าง
ดังนั้น ข้อมูลจากการทดสอบ เรามีหนาพอสมควร
โดยเฉพาะ ค่าเดินทางเฉลี่ย
รถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบัน ผมชาร์จ ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้ตู้ DC ตก kW ละ 7.70 บาท บางตู้ 9 บาท 10 บาท ก็มี
ผมใช้ MG4 รุ่น X ล็อตผลิตจีน แล้วซื้อเป็นคันแรกๆนับตั้งแต่เปิดตัวด้วย
ค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายพลังงานต่อระยะทาง ตกกิโลเมตรละ 1.2 บาท สำหรับตู้ หน่วยละ 7 บาท และมากกว่านี้ ในตู้ที่มีค่าชาร์จแพงขึ้น โดยเฉพาะในช่วง On Peak และถ้าชาร์จบ้าน ก็จะลดลงเหลือเพียงกิโลฯละ 40 สตางค์ เท่านั้น
กลับกัน รถสันดาป ถ้าขับเดินทางไกล อย่าง Mazda 3 เครื่อง 2.0 ขับดีๆ เนียนๆ 15 กม./ลิตร เท่ากับว่าค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายพลังงานต่อระยะทางอยู่ที่กิโลเมตรละ 2.6 บาท ซึ่งมันแพงแล้วใช่ไหม ?
แต่พอมาดู อย่าง Civic EL+ ผมขับรวมๆในเมือง ได้ราวๆ 21.1 ก.ม./ลิตร
ค่าเดินทางจากการเติม 95 ได้ 1.89 บาท/กม.
และจะถูกกว่านี้ ถ้าเติม E20 และขับในโหมด Eco
สำคัญสุด รถสันดาป ทั้ง 2 นั้น ไม่เสียเวลาเดินทาง
เพราะพลังงานหมด แวะปั้ม รวมเติมจ่ายเงิน เผื่อเวลาออกใบกำกับภาษีด้วยเลย รวมๆยังอยู่ที่ ไม่เกิน 10 นาที เท่านั้น ก็เสร็จภารกิจทั้งหมดแล้ว
ไม่ต้องมาคิดว่า ไปแวะชาร์จแล้ว จะทำอะไรต่อดี เลยสักครั้ง เว้นแต่คุณจะหิวข้าว หรือปวดท้องจริงๆ
หลายคนอาจไม่คิด แต่ "เวลา" ก็คิอ ทรัพยากรหนึ่งในชีวิตเรา
เราจะใช้เวลานั่นทำอะไร
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มันจะดีถ้าเราชาร์จไปด้วย
แล้วเรา มีอารมณ์ทำกิจกรรมไปด้วยระหว่างรอ
เช่น ทานข้าว ,เข้าห้องน้ำ, ทานกาแฟ
ระหว่างที่เราทำกิจกรรมอื่น เราชาร์จรถไปด้วย แบบนี้ดีครับ ไม่เสียเปล่า
แต่ด้วยความเรากลั่นกรองข้อมูล เลยเอาเวลาที่ต้องเสียไปมาคิดด้วย
พอคิดแบบนี้ดีๆอีกที ก็จะพบว่า รถยนต์ไฟฟ้าใช้เดินทางได้ แค่ในกรณีที่ถ้าคุณไม่รีบมีเวลา เหลือเฟือ เลยมักเห็นคนแก่ ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเยอะ มาก เพราะเขาไม่ได้รีบนี่
กลับไปที่ตัวอย่าง ผมเสียค่าเดินทาง 1.1 บาท ต่อกิโลเมตร ใน MG 4 ต้องแวะชาร์จทุกๆ ราวๆ 250 กม./ครั้ง สมมุติเดินทาง กทม.-เชียงใหม่ ราวๆ 600 กม.
เท่ากับว่าเราต้องจอด อย่างน้อย 2 ครั้ง เอารถที่ชาร์จเร็วๆ ก็ต้องมีอย่างน้อย ครั้งละ 20-30 นาที / ครั้ง เอาแบบการใช้งานจริงนะ ขับ โหมด Normal เดินทางความเร็วปกติ ไม่เหนียมคันเร่ง หรือแม้กระทั่งเหนียมแอร์ เพราะเดินทางกลางวัน
ดังนั้น การเดินทางไกล ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าไปได้ ถ้าชีวิตคุณไม่รีบ และมีเวลา สามารถทิงนองนอย เอนจอยไปกับเส้นทางได้เรื่อยๆ
ส่วนตัว จึงมักบอกกับคนที่สนใจ เสมอว่ารถยนต์ไฟฟ้า เหมาะการเป็นรถยนต์ใช้งานในเมืองมากกว่าเดินทางไกล
ด้วยชาร์จบ้าน ค่าเดินทางถูกสุด วิ่งไปเหอะ
ที่ไหนอย่างไรก็ได้ ขอให้กลับมาชาร์จบ้าน
ส่วนการชาร์จ DC ขอแค่เป็นทางเลือก เอาพอกลับบ้านเท่านั้น
เพราะอาจต้องเสียเวลารอคิวชาร์จก่อนหน้า
ทำให้เสียเวลาชีวิตในแต่ละวันมากขึ้นไปอีก
ยิ่งถ้าคุณอยู่คอนโด แต่ทุกวันทำงานเหนื่อยล้ามากๆ
อยากกลับบ้านไปพักผ่อนเร็วๆ เวลาแค่ 5 นาที ยังมีค่าเลยครับ
ถ้าต้องมาเสียเวลารอชาร์จไฟเป็นครึ่งชั่วโมงอย่างน้อยๆ
กว่าจะถึงบ้านคงไม่ได้พักผ่อน มีแต่อาบน้ำนอน แค่นั้น
แทบไม่มีเวลาดูซีรีย์ก่อนนอนบนเตียงนุ่มๆที่ห้องเลยสักนิด
จะบอกว่า งั้นดูซีรีย์ในรถระหว่างรอชาร์จก็ได้
แต่ความอิ่มเอม มันไม่มีทางเท่ากันหรอกครับ เชื่อสิ
ส่วนใครจะบอก ธุรกิจรถน้ำมัน ไม่ต่างจาก ตะวันตกดิน
แต่อย่าลืมว่า ตะวันตกดิน มันก็กลับขึ้นมาใหม่ในวันถัดไป
ลองดูสิ มองความจริงรอบๆ ทำไมบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า อย่าง BYD
ล่าสุดยังต้องแนะนำ เทคโนโลยี DM-i ในไทย
ทำไม GWM ที่รุกตลาดในไทย ให้เป็นที่รู้จักด้วยตัวเอกอย่าง รถยนต์ไฟฟ้าในเครือ ORA กลับยังถือหาง รถยนต์สันดาปพลังลูกผสมแบบ xEV อยู่, แม้แต่ MG ที่ตอนนี้ขายรถยนต์ไฟฟ้าได้เป็นดิบดี ก็ยังทำรถยนต์สันดาปขายอยู่ และมีรุ่นใหม่ ออกมาเรื่อยๆ
บริษัทพวกนี้เขาเข้าใจว่า ลูกค้า มีความหลากหลาย จะขายของอย่างเดียวแบบเดียว แล้วทำให้ทุกคนชอบไม่ได้ มันต้องมีของหลายๆแบบ หลายอย่างๆ ให้ลูกค้า
เขาจึงไม่ได้ ยึดโยงกับความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ยกเว้น เทสล่า แบรนด์เดียว ที่ขายแต่รถยนต์ไฟฟ้า แต่ก็จะสังเกตว่า ต้นทางของบริษัทนี้ก็ยังแตกไลน์ ธุรกิจพลังงานสะอาด สำหรับที่อยู่อาศัยออกมาด้วย
รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ แย่!! .. แต่ ทุกอย่างมันมีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง
ผมยังย้ำคำเดิม รถยนต์ไฟฟ้า เหมาะที่สุด ! กับการใช้ขับในเมือง
ขับจากบ้านที่ทำงาน จะใช้เดินทางได้ ก็ต่อเมื่อคุณไม่รีบ และรู้จักวางแผน
รวมถึงต้องทำใจได้ ถ้าต้องเจอความดราม่าบ้าๆบอๆ เรื่องสถานีชาร์จ ตราบใดที่จำนวน สถานีชาร์จ ยังขยายตัวน้อยกว่าจำนวนยอดส่งมอบรถ ที่ออกมา เดือนละพันคันตอนนี้ และหากยอดขายมันโตแบบก้าวกระโดดจริง ก็จะยิ่งแย่งกันชาร์จมากขึ้นไปอีก
มันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แต่กับรถสันดาป ไม่ว่าจะสันดาปปกติ หรือไฮบริด คุณสามารถใช้งานมันได้ไม่มีปัญหา
ปัญหาเดียว คือ ต้องเติมน้ำมัน ที่ตอนนี้มีค่าพลังงานแพงมาก
แต่ ถ้ามามอง Efficient จากแหล่งกำลัง ที่มีการพัฒนาต่อเนื่อง และยังพัฒนาอยู่ ไม่มีคำว่าแบตเสื่อมในอนาคต (ยกเว้นรถไฮบริด ที่ก็มีการรับประกัน) และสามารถซ่อมบำรุงได้ โดยไม่ต้องพึงแต่ศูนย์ ในอนาคต
ความสบายใจ หรือ Peace of Mind นี่แหละครับ
ที่ทำให้รถสันดาป ยังอยู่ได้
ไม่ต้องนั่งกังวลใจว่า ขับวันนี้ ฉันจะดวงซวยเจอดราม่าไหม
บางทีจอดชาร์จ คันข้างๆเดินมากระแทกหัวปลั้ก
กลายเป็น กูจอดรถแช่ไว้เฉยๆเป็นครึ่งชั่วโมง
ดีไม่ดี ถ้าเจอคนอยากชาร์จไฟต่อมาเห็น
เดี๋ยวเขาก็หาว่าเราเอารถมาจอดกั๊กช่องไว้เล่นๆอีก
กลายเป็นจำเลยสังคมไม่รู้ตัว
หรือในการขับ ฉันต้องระวังเวลาขึ้นลูกระนาดหรือเปล่า
ต้องระวังหลุมดาวอังคาร ที่มีอยู่มากมายบนถนนเมืองไทยมั้ย
หรือขับๆไป แล้วจะเจออาการแบตฯวาร์ป
จนต้องไปหาที่ชาร์จฉุกเฉิน หรือ ไม่ก็ได้กินข้าวลิงกลางทางหรือเปล่า
รวมถึงระยะยาว เรื่องแบตเตอร์รี่ เรื่องค่าเสื่อมของตัวรถ
ค่าประกันที่พุ่งสูงขึ้นและอีกมากมาย
เหล่านี้แหละครับ คือ สิ่งที่ทำให้ รถสันดาปยังอยู่ได้
ส่วนใครจะบอกว่า สื่อยึดโยงกับรถสันดาป
ก็รถสันดาป มันมีจำนวนรุ่นมากกว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะให้
เทสแต่รถยนต์ไฟฟ้าวนไป แบบสื่อที่เขาทำเฉพาะทาง เขาทำไม่ได้
ขนาดสื่อไอที ที่บอกอว่าเข้าใจรถยนต์ไฟฟ้าดีๆ
เขาก็ยังมีแก็ดเจ็ทอย่างอื่นให้รีวิวเลย
ไม่ต้องมานั่งจับเจ่ากับรถยนต์อย่างเดียวเหมือนเรานี่
ที่สำคัญ คือในตลาดรถยนต์ประเทศไทยเรามี ค่ายรถยนต์ ญี่ปุ่น จีน ยุโรป เกาหลี ต้องไปให้ครบ เพราะเราคือ "สื่อยานยนต์" แม้บางค่ายเขาไม่ต้อนรับ ก็อาจละไว้บ้าง
แล้วเวลาเราพูดความจริง เกี่ยวกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ในขณะที่เราขับสันดาป เป็นอาจิน หรือ ต่อให้เราขับ และมีรถยนต์ไฟฟ้าใช้งาน
มันก็เลย ทำให้ภาพ ที่คนภายนอกชอบมองว่า สื่อยานยนต์ แอนตี้ รถยนต์ไฟฟ้า
ทั้งที่เปล่าเลย ... ความเป็นสื่อ คือ พูดความจริง ตามข้อเท็จจริง รวมถึง กระตุกฉุกให้คิด เหมาะไม่เหมาะ อย่างไร ก็เอาไปไตรตรอง ใช้ การ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แล้ว มันจะได้ผลลัพธ์
แต่พูดไป ก็เหมือนแก้ตัว
งั้นก็เอาสะดวก ตามที่คิดแล้วกันครับ
