จริงอย่างที่ไม้พูด บางทีผมอาจจะเป็นคนอ่อนแอ
แต่คงไม่ใช่เพราะอารมณ์อ่อนไหวเปราะบาง ผมกระด้างขึ้นพอ ๆ กับไม้น่ะแหละ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
ความอ่อนแอที่ว่า หมายถึงตัวผมไม่สามารถละวางจากความพยาบาทได้ต่างหาก
และผมจะเดินหน้าต่อไป. . . จนกว่าจะล่าพวกมันครบทุกคน
.
.
.
“ตึง ตึง ตึง ตึง ตึง!”
“ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ!”
“ฉ่าง ฉ่าง ฉ่าง ฉ่าง !”
.
.
หืมห์. . . นี่มันเสียงบ้าที่ไหนอีก กระหึ่มจนหัวใจจะหลุดออกมาให้ได้ ผมอุตส่าห์อาฆาตคนในความฝันอยู่เพลิน ๆ ปาไปตีหนึ่งแล้วใครยังจะเฉลิมฉลองเฮลั่นจนผมต้องตื่นขึ้นมา
.
.
เสียงลำโพงชั้นดีกับมารยาทสังคมชั้นเลวแบบนี้ คงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกจาก “หลังเดิม”
.
.
.
ผมเดินออกไปหน้าบ้านทั้งเสื้อกล้ามขาสั้น ไปดูซิว่าเกินอะไรขึ้นกันแน่
.
.
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทันที แม่บ้านบัวยืนหน้าบอกบุญไม่รับในสภาพง่วงเหงาหาวนอน
“คุณเตอร์ก็นอนไม่หลับหรือคะ” เป็นคำถามที่ฟังดูแปลก ๆ ถ้าหลับลึกแล้วจะมาสถิตอยู่ต่อหน้าเธอได้อย่างไร เอาเถอะมันก็คงเป็นการทักทายที่ไม่หวังคำตอบตามรูปคำถาม
.
“ปาร์ตี้กันอีกแล้วเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ เลี้ยงสละโสด วันมะรืนจะแต่งกันแล้ว” เธอตอบพร้อมป้องปากหาว
บ้านถัดจากผมไปสองหลังเป็นของลูกชายผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง เขาอายุราวสามสิบ แยกตัวจากครอบครัวใหญ่ออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ตระกูลนี้จัดว่าร่ำรวยอยู่ทีเดียวเชียว แต่ความเกรงใจอันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติผู้ดีคงใช้เงินซื้อกันไม่ได้จริง ๆ ทุกครั้งที่เขาพาแฟนสาว ชู้บ้านเล็กบ้านน้อย หรือเพื่อนฝูงมาจัดปาร์ตี้ริมสระหน้าบ้านก็จะเปิดเครื่องเสียงสนั่นลั่นซอย ราวกับไซเรนเตือนให้หลบเครื่องบินทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลก จะเข้าพิธีวิวาห์กันอยู่รอมร่อ แทนที่จะหากิจกรรมที่เป็นมงคลต่อชีวิตคู่ กลับสร้างความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้านไม่สร่างซา
ผมใช้โทรจิตตรวจสอบรอบบริเวณ พบว่ามีอีกหลายชีวิตที่ยังนอนไม่หลับ อาจเพราะไม่อยากมีเรื่องกับบ้านหลังนั้น หรือไม่ก็คิดว่าปล่อยไว้เดี๋ยวก็จบ ๆ ไปเอง.
.
.
จากการพูดคุยกันจึงทราบว่าคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายของแม่บ้านบัวยังคงไม่กลับจากธุระต่างประเทศ ซึ่งผมคิดว่านานขนาดนี้อาจจะเสียชีวิตทั้งคู่ไปแล้วก็ได้ อย่างไรก็ตามทำให้แม่บ้านบัวต้องรับภาระดูแลลูกชายของสามีภรรยาคู่นั้น ซึ่งเด็กต้องไปโรงเรียนแต่เช้า แล้วต้องมาเผชิญกับมลภาวะทางเสียงกลางดึกขนาดนี้ย่อมไม่เป็นการดีแน่นอน
.
.
ผมตัดสินใจไปขอความร่วมมือให้บ้านนั้นเบาเสียงลดพร้อมกับน้าบัว
แต่เมื่อไปถึงก็พบว่ามีคนตัดหน้าก่อนแล้ว
.
.
คุณรปภ. นี่เองที่กำลังเจรจากับคนในบ้านหลังนั้น คงจะได้รับโทรศัพท์จากสมาชิกหมู่บ้านทั้งหลายให้ช่วยจัดการให้เรียบร้อยโดยที่ตัวเองขอซุกหัวหลบอยู่ในบ้าน โยนภาระให้เป็นหนังหน้าไฟชัด ๆ
.
.
“โธ่พี่ ผมไม่ได้บอกว่าให้เลิก แต่ช่วยเบาเสียงหน่อย บ้านอื่น ๆ เค้าบอกผมมา”
“ไหน! มึงพามาเลย ไอ้หน้าไหนสั่งกู! เดี๋ยวแม่งเจอเหนี่ยว! เอิ๊ก!” ชายเจ้าของบ้านสวมกางเกงขาสั้นตัวเดียวออกมายืนเอ็ด ทั่วตัวแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ข้างในยังมีคนอีกเจ็ดแปดคนเมาเต้นกันอีรุงตุงนังข้างสระน้ำ บ้างก็ลงไปแหวกว่ายแหกปากในสระเป็นที่สนุกสนาน ถ้ามองจากที่ไกล ๆ คงนึกว่ากำลังจะจมน้ำตายและตะโกนขอความช่วยเหลือ
“วันเดียวเองทนไม่ได้รึไง! น้ำใจคนไทยไง! รู้จักป่าว!”
“เท่าที่ผมได้ยิน มันไม่ใช่น้อยนะครับ เดือนละสองสามหนได้” ในที่สุด ผมก็เข้าไปมีส่วนร่วม
“อ้าวเฮ้ย! ไอ้หนุ่ม! บ้านที่ขับบีเอ็มสีดำป่ะ เข้ามาดื่มกันก่อน! เอิ๊ก!” ตามประสาคนเมา เขากวาดมือเชิญให้เราเข้าไปภายในเมื่อต้อนวัวต้อนควาย แต่ไม่มีใครตอบรับ
“ขอบคุณครับ ขอรับไว้แต่น้ำใจ” ผมหงายฝ่ามือตั้งปฏิเสธ “หลายคนต้องไปทำงานแต่เช้านะครับ เด็ก ๆ ก็ต้องไปโรงเรียน”
“เฮ้ย เป็นเด็กเป็นเล็ก! มาสั่งสอนผู้ใหญ่ได้ไง!” เขาตวาด
“จะกินจะดื่มไม่ว่าหรอก แต่เบาเสียงลงหน่อยพ่อคู้น เอ็ดตะโรเป็นงานบวชงานโกนตามบ้านนอกไปได้” แม่บ้านบัวเสริม
“พวกมึงไสหัวกลับไปให้หมด! กูรำคาญ เดี๋ยวยิงไส้แตก!!”
“ผมมาเตือนกันเองดี ๆ นะครับคุณ ดีกว่าให้เพื่อนบ้านแจ้งตำรวจนะครับ” รปภกล่าว ประโยคดังกล่าวเข้าหูแฟนสาวของเจ้าของบ้านและเธอตรงปรี่เอาเรื่องทันที เธอยังอายุน้อยแต่งหน้าจัดจ้าน สวยแบบไร้ราศีเหมือนออหรี่ คิดว่ารสนิยมทางสังคมคงไม่ห่างจากใบหน้าเท่าไหร่นัก
“อียามนี่มึงระวังตัวไว้!” เธอเอาเหล้าเหลือค่อนแก้วสาดหน้ารปภ “อย่ามาอวดดีอ้างตำรวจ มึงไม่รู้เหรอผัวกูลูกใคร” พูดไม่ทันขาดคำก็แสดงกิริยาต่ำดั่งที่คาดไว้ ยามหนุ่มอยู่ในฐานะที่ต้องยอมอ่อนข้อแม้จะเป็นการหมิ่นเกียรติก็ตาม
“คนมีการศึกษาน่าจะพูดกันดี ๆ ได้นะคะ” แม่บ้านบัวกล่าว
“แหม! พูดยังกะพวกมึงมีการศึกษา คนใช้ ยาม อีกตัวยังไม่จบตรี กล้าพูดเนอะ!” หญิงสาวชี้กราดเรียงตัว
“แต่ดูแล้ว ผมว่าพวกเขาวางตัวและใช้คำพูดมีการศึกษากว่าคุณอีกนะ” ผมย้อนกลับ
“มึงอย่าลามปามแฟนกู!” ฝ่ายชายเอ่ย
“มึงรู้ไหมกูลูกใคร!!”
“เรากลับกันก่อนเถอะครับ” รปภหนุ่มแอบสะกิดให้ผมถอยทัพ แต่ผมไม่สน
“ลูกใครก็ไม่อาจทราบได้ครับ รู้แต่ว่า น่าเศร้ามากที่อายุขนาดนี้ยังไม่สามารถพึ่งพาตนเพื่อปกป้องตัวเองได้”
“ไอ้เหี้ย!” ชายหนุ่มโกรธคลั่งพุ่งเข้าชก แต่ผมเอี้ยวหลบอย่างง่ายดายทำให้เขาล้มกระแทกพื้น
เพื่อนในกลุ่มชักรำคาญที่การเจรจาไม่สิ้นสุดเสียที เดินตุปัดตุเป๋หอบสังขารเมากริ่มเข้าร่วมวงวิวาทะด้วย
“เอาปืนมาอวดแม่งดิ!” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ว่าที่เจ้าบ่าวเดินหายไปในบ้านชั่วครู่
“คุณเตอร์คะ น้ากลัวค่ะ กลับบ้านใครบ้านมันกันดีกว่า” น้าบัวพลอยวิตกจริตไปอีกคน ใจจริงอยากเผยความสามารถให้เห็นกันโจ่งแจ้งไปเลย เธอจะได้สบายใจว่าเลือกยืนข้างผมยังไงก็เป็นฝ่ายชนะ กองทัพขี้เมานี่จะทำอะไรผมได้
“ไอ้สัตว์! เกะกะบ้านคนอื่น กลับไป๊!”
“คนจะมันส์กันอย่าเสือก!”
“เดี๋ยวรอปืนมาก่อนเถอะมึง” ว่าที่เจ้าสาวชี้ขู่ และไม่นานนักหนุ่มเจ้าของบ้านขี้เมาก็ออกมาพร้อมปืน
.
.
.
“ไหน! ใครจะปากดีอีก!” แม่บ้านบัววิ่งหนีเตลิดไปแล้ว ส่วนรปภพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายใจเย็นลง
.
.
.
“กูฆ่าคนไม่ติดคุก! มึงจะลองมั้ย!” เพื่อนบ้านเจ้าอารมณ์หันลำกล้องมาตรงหน้าเต๋อ ทว่าก็ไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีแสดงอาการร้องขอชีวิตหรือแสดงอาการลุกลี้ลุลนให้เห็นแต่อย่างใด
.
.
.
เต๋อมองหน้าผู้ร่วมปาร์ตี้ฝ่ายอริ
.
.
“หนึ่ง”
.
“สอง” เขานับจำนวนและจดจำใบหน้าไล่ทีละคน
“สาม . . . สี่ . . . ห้า”
“นับหาพ่อมึงเหรอ! นับเหี้ยอะไร!” ใครคนหนึ่งด่าถามด้วยความหงุดหงิด
“หก เจ็ด . . .”
.
.
“กูถามว่ามึงนับอะไร!!”
ชายหนุ่มไม่แยแสแม้จะอีกฝ่ายพร้อมเหนี่ยวไกได้ตลอดเวลา
“แปด. . .”
.
.
“เอาละ. . .ผมจำพวกคุณได้หมดแล้ว. . .” เต๋อหันหลังกลับและสะกดจิตให้รปภ ที่อยู่ด้วยเลิกสนใจเช่นกัน กลุ่มนักดื่มเจ้าสำราญต่างฉงนที่ฝ่ายตรงข้ามบทจะจบก็จบเอาดื้อ ๆ
แต่แล้วก็มีคนหนึ่งจุดประเด็นขึ้นมาแหวกวงเงียบ
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน กลับบ้านมึงไปเลย!” ได้ยินดังนั้น คนที่เหลือจึงพากันโห่ไล่ไสส่งเต๋อและรปภ
“ควย! นึกว่าจะแน่! แม่งป๊อด”
“กลัวจนเยี่ยวราดเลยมั้ง ฮ่า ๆ ๆ”
กลุ่มชายหญิงเจ้าสำราญทะนงตนว่าเป็นผู้กุมชัยชนะ จริงอยู่ท่าทีของเต๋อนั้นคนทั่วไปคงตีความว่าเป็นหนีเพื่อรักษาชีวิต
.
.
.
.
ที่ความจริงยิ่งกว่านั้นคือเขาได้หมายหัวเหยื่อเรียงตัวไว้แล้ว
.
.
“อวยพรให้งานแต่งเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตคุณนะครับ รวมถึงเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วย” เต๋อกล่าวไว้เช่นนั้นก่อนเดินลับสายตาไป ท่ามกลางเสียงโห่ฮาและร้องรำทำเพลงอย่างไม่แยแส