วันนี้เป็นวันพระใหญ่ วันอาสาฬหบูชาที่เป็นวันกำเนิดพระรัตนตรัย องค์ประกอบครบ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
พระพุทธ ในทีนี้หมายถึงพระพุทธเจ้า และพระธรรมของพระพุทธเจ้า
หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม เป็นจริงตามกฎธรรมชาติ
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหลักธรรมของพระพุทธองค์ได้
คนที่มีหน้าที่สืบทอดพระธรรมของพระองค์ เพื่อเผยแพร่ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า คือพระสงฆ์
ซึ่งในอดีต พระสงฆ์เกือบทั้งหมด เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
และพระพุทธเจ้าท่านได้ทำนายแล้วว่า พระพุทธศาสนา จะมีอายุประมาณ 5 พันปี
โดยประมาณ 2500 กว่าปี ก็จะเริ่มมีความเสื่อมถอย ตามกฎไตรลักษณ์
ประกอบด้วย
1. อนิจจัง (ความไม่เที่ยง):
สิ่งทั้งปวงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีสิ่งใดที่คงทนถาวร
2. ทุกขัง (ความทุกข์):
สิ่งทั้งปวงเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ความไม่สมหวัง และความไม่แน่นอน
3. อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตน):
สิ่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
พูดง่าย ๆ คือ กฎไตรลักษณ์ ของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ
ทุกอย่าง ไม่มีวันเที่ยงแท้ ไม่แน่นอน ย่อมมีวันเสื่อมสลายไป และทุกอย่างแม้แต่ตัวเราก็ไม่มีตัวตน เพราะสุดท้ายต้องหายไป
กฎไตรลักษณ์นี้ใช้ได้ทั่วจักรวาล ทุกแกแลกซี่ ทุกดวงดาว
ซึ่งกฎไตรลักษณ์ นี้เป็นจริงกับทุกสรรพสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่จักรวาลนี้ ดังนั้น พระพุทธศาสนา ก็จะเสื่อมถอยตามกฎไตรลักษณ์นั่นเอง
แต่สิ่งที่เร่งให้เสื่อมลงได้เร็วขึ้น ก็เกิดจากมนุษย์ ที่เป็นผู้ปฏิบัตินั่นเอง
เดิมที พระสงฆ์ควรจะเป็น สุปฎิปัณโณ คือพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คอยทำหน้าที่เผยแพร่ธรรมะคำสอนของพระพุทธองค์ไปยังประชาชนและคนรุ่นหลัง
เพราะธรรมะ คือกฎธรรมชาติที่เป็นจริง เป็นหลักคำสอนที่นำมาใช้ "ดับทุกข์"
ธรรมะของพระพุทธศาสนา เน้นสอนการดับทุกข์ ไม่ได้ให้เจริญสุข (เพราะความสุข ก็เป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้และมีวันเสื่อมถอยและหายไปได้)
ดังนั้น คำสอนของพุทธ จึงเน้นการดับทุกข์ คือการเข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน และเมื่อเกิดทุกข์ในใจ จะดับทุกข์ได้อย่างไร
หนทางมีอยู่ในหลักธรรมคำสอนหลักสำคัญคือ อริยสัจ 4 (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) ร่วมกับความเข้าใจของไตรลักษณ์
พระสงฆ์ ที่ดี จะต้องให้ความสำคัญกับอรยสัจ 4 และกฎไตรลักษณ์
แต่ด้วยกิเลสที่มีอยู่ในใจมนุษย์ทุกคน หากบวชแล้วไม่สามารถตัดกิเลสได้ เกิดความลุ่มหลงในกิเลส ไม่ว่าจะ ลาภ ยศ สรรเสริญ และกิเลสกามต่าง ๆ ก็ย่อมไปสู่ความเสื่อมถอย
กลายเป็นพระสงฆ์เหล่านั้น ที่ลุ่มหลงในกิเลสต่าง ๆ ไม่อาจหลุดพ้นได้ ก็เป็นกรรมเฉพาะบุคคล ทำให้ต้องพ้นสภาพการเป็นสงฆ์
และถ้าทำผิดกฎวินัยสงฆ์ก็ย่อมได้รับบาปกรรมตามมา แม้หลายคนบอกว่า บาปกรรมไม่มีจริงหรอก แต่คุณไม่มีวันรู้ได้ว่า มีจริงหรือไม่มีจริง จนกว่าจะโดนด้วยตัวเอง
อย่างน้อยที่สุดพระที่ทำผิดวินัยสงฆ์ ก็ปาราชิก ถูกจัดเป็นอลัชชีไป และได้รับบทลงโทษทางสังคมในระดับเบื้องต้น
แต่เมื่อจะจากภพชาตินี้ไป จิตสุดท้ายที่เคยกระทำบาปที่ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง ย่อมไม่มีทางได้ไปภพภูมิที่ดีแน่นอน จิตที่ดำมืดจากการทำบาปใหญ่ ย่อมพาไปสู่อุบายภูมิ (นรก)
แม้ใครจะไม่เชื่อเรื่องภพชาติ สวรรค์ นรก ก็ไม่เป็นไร แต่ในกฎฟิสิกส์ ได้เชื่อแล้วว่ามี multiverse ในจักรวาลของเรา
ซึ่งถ้าเทียบง่าย ๆ multiverse ก็คือ ภพภูมิต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และค้นพบกฎธรรมชาตินี้นี่เอง
ดังนั้น พระที่ทำผิดศีลธรรม ผิดวินัยสงฆ์ แม้ใครจะบอกว่ามีเงินเยอะแยะ สบายไปทั้งชาติ แต่คุณไม่รู้ได้หรอกว่า ภพต่อไปเขาจะเจอกับอะไรที่โหดร้ายมากกว่า
เรื่องภพชาตินั้น ถ้าไม่มีจริง แล้วทำไมเราถึงเกิดมาแตกต่างกันได้ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่คนไทยนะ มนุษย์ทุกเชื้อชาติ เกิดมาแตกต่างกัน เหมือนมีอะไรกำหนดหรือ ถ้าไม่ใช่กรรมเก่าแต่ละคน
ดังนั้น พระที่ได้บุญเก่ามาอยู่ในภพนี้ เป็นมนุษย์ที่ได้มีโอกาสใกล้ชิดพระพุทธศาสนา แล้ว แต่กลับทำบาปและผิดศีล ผิดวินัยสงฆ์ ย่อมจะนำพาไปสู่อุบายภูมิเป็นแน่แท้
ดังนั้น แม้กฎหมายเล่นงานได้ไม่เต็มที่ (ถ้าสมมติรอดพ้นจากกฎหมาย) ก็ย่อมไปสู่อุบายภูมิ แล้วกว่าจะได้เกิดมาใหม่เป็นมนุษย์ ย่อมยาวนานหลายกัปหลายกัลป์
ตกนรก multiverse ยิ่งกว่าทุกข์ทรมานบนโลกมนุษย์ แล้วยังต้องไปเป็นอะไรอีกไม่รู้ และเมื่อได้กลับมาเกิดใหม่ ก็ย่อมมีวิบากรรมต่าง ๆ ทำให้ชีวิตไม่ได้เสวยสุขง่าย ๆ
เพราะกรรมเก่าที่ทำไว้ในชาตินี้รุนแรงนัก
นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำความดีในชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว หากไปอบายภูมิชดใช้กรรมคือทุกข์ทรมานนัก
แถมเมื่อได้เกิดใหม่อีก ก็จะมีกรรมไม่ดีตามมาอีก ไม่ว่าจะมีผลต่อรูปร่างหน้าตา สติปัญญา ครอบครัว และวิบากกรรมอื่นๆ จนกว่าจะชดใช้กรรมที่เคยก่อไว้หมด
ดังนั้น การที่พุทธศาสนามัวหมอง ไม่ได้เกี่ยวว่าใครจะมาทำร้ายได้ หรือขบวนการใด ๆ มาทำร้ายได้ ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์เพื่อให้หลุดพ้นได้จริงๆ
ต่อให้มีมารร้ายมากี่มารก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนสมัยพุทธกาล ที่มารร้ายมาทดสอบพระพุทธองค์นักต่อนัก ทั้งกิเลสราคะ และกิเลสต่าง ๆ ก็เอาชนะพระองค์ไม่ได้
รวมถึงพระในอดีตที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ไม่มีผู้หญิงมารร้ายที่ไหนมาทำร้ายได้ เพราะจิตใจมุ่งมั่นกับคำสอนของพระพุทธองค์ และเชื่อว่าการทำผิดศีลคือบาปรุนแรง
ยิ่งเป็นพระทำผิดศีลแบบนี้ ยิ่งได้รับบาปมากกว่าปุถุชนยิ่งนัก ดังนั้น การที่พระพุทธศาสนามัวหมองก็เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ส่วนหนึ่ง จากผู้ปฏิบัติส่วนหนึ่ง
แต่สุดท้าย พระที่ดีก็จะยังคงอยู่ หรืออย่างน้อยที่สุด พระธรรมของพระพุทธองค์ก็จะยังคงเป็นข้อเท็จจริง
แม้ครบ 5 พันปี ไม่มีพุทธศาสนาอีก แต่หลักธรรมของพุทธศาสนาก็ย่อมเป็นสัจธรรมที่เป็นจริงตลอดไป
พระที่ทำให้ศาสนามัวหมองก็เหมือนศพ ที่ลอยในทะเล วันหนึ่งก็ย่อมถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่ง และคนได้รู้เห็นวีกรรมไม่ดีที่ทำไว้ ส่วนพระสงฆ์ที่ดีอยู่ที่ใด
คนที่มีบุญกุศลมากพอ ก็จะมองออกและหาเจอเอง โดยไม่ต้องถามว่า พระที่ดียังมีอยู่อีกไหม เพราะคนที่ปฏิบัติจริง ๆ (หมายถึงศึกษาธรรมะและปฏิบัติจริงจัง จะรู้ได้เอง)