หมอ Tany บอกว่าไม่เกี่ยว วัคซีนโควิดไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็ง พร้อมฟาดหมอแก่ๆ บางคนด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=EtIcvdIMGZg

แต่ข้อมูลเรื่อง Epidemiology มันยังไม่เพียงพอจะบอกว่าไม่ทำให้เกิดมะเร็งนะ และก็เช่นกันก็ยังบอกไม่ได้นั่นแหละว่าทำให้เกิดมะเร็ง

เพราะเพิ่งใช้วีคซีนไป 2 - 3 ปี ที่ผ่านมาเอง การเก็บข้อมูล Epidemiology ทั่วโลกว่าเป็นมะเร็งมากขึ้นไหมหลังฉีดวัคซีน ต้องรออีก 4 - 5 ปี หรืออาจจะรวมแล้ว 10 ปีขึ้นไปนะ

ดังนั้น หมอที่ดีก็ไม่ควรสรุปทันทีเช่นกันว่า ไม่มีผลทำให้เกิดมะเร็ง ก็น่าจะต้องบอกว่าควรรอข้อมูลระบาดวิทยาระยะยาว และการศึกษาผลข้างเคียงแบบรอบด้านอีกสัก 4 - 5 ปี

แล้วก็อาจจะสรุปว่าปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันเรื่องนี้ แต่อยู่ในช่วงการเก็บข้อมูลในระยะยาว เราไม่สามารถสรุปได้ทันทีนะว่าไม่กระตุ้นให้เป็นมะเร็ง

ในขณะที่ perception คนทั่วไปหลายคน รู้สึกว่าช่วงหลังๆ มาคนเป็นมะเร็งมากขึ้น และเร็วขึ้นกว่าเดิม มันมี factors อะไรเกี่ยวข้องได้บ้างละคะ ที่ทำให้เป็นแบบนี้มากขึ้น

อาหาร : สารเร่ง สารเคมี แปรรูปต่างๆ
อากาศ : PM2.5 (ตั้งแต่ PM2.5 หนักขึ้น ชั้นป่วยบ่อยกว่าเดิมมาก แล้วก็ใช้เวลากว่าจะหายนานกว่าเดิม แถม มันยังสะสมทำให้เกิดอีกหลายโรคด้วย รวมถึงมะเร็ง)
พันธุกรรม : ส่งต่อกันมาเรื่อยๆ

ใช่ค่ะ วัคซีนโควิดไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็ง
แต่เป็น factor ที่ไป trigger ให้มะเร็งมันเกิดแล้วรุนแรง

ตัวที่ดิชั้นอ่านศึกษามาที่ทำให้เกิดมะเร็งแน่ๆในยุคนี้คือ
preservatives สารกันบูด สารกันเสียค่ะ ในอาหารแปรรูป
ขนมอบเหี้ยอะไรจากเสินเจิ้น แม่งเก็บได้ 3-4 เดือน
มึงต้องใช้สารกันบูดขนาดไหน ถึงช่วยยืดอายุขนมได้ขนาดนั้น
สารกันบูดมันลงไปฆ่า gut bacteria ดีๆของมึงหมด

และอีก 2-3 ตัวคือยาทาเล็บ ยาย้อมผม และเครื่องสำอางกันน้ำ

>ใช่ค่ะ วัคซีนโควิดไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็ง
>แต่เป็น factor ที่ไป trigger ให้มะเร็งมันเกิดแล้วรุนแรง
>
>

10 10 10 รีนี้พูดถูก

อีแทนนี่ เนี่ย ฉีดวัคซีน ซักเข็มหรือยังหรอก

หมอหลายคนที่รู้จัก ไม่ฉีดนะ

อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าจะไม่ทำให้เกิดมะเร็งหรือทำให้เกิดมะเร็ง เหมือน จขกท.บอกนั่นแหละ เพราะมันยังเก็บข้อมูลย้อนหลังไม่เพียงพอเลย
สมัยก่อนกว่าจะรู้ข้อมูลทางการแพทย์ถึงผลข้างเคียงยากับวัคซีนบางตัวนะ ผ่านไปเป็นสิบๆ ปีเลย
หมอธนีย์ แกเป็นแนวอ่านเฉพาะจาก papers ที่มีในปัจจุบันไง แกก็ฟันธงตามนั้น
แต่ปัญหาคือแกก็ชอบทำตัวเป็นกูรูในแขนงวิชาแพทย์หลายแขนงนะ
อย่างมะเร็งต่อมลูกหมาก แกก็ไปเปิดตำรามาสอนมาพูดก็คือดีแหละ ในเคสคุณตาไบเด้น
แต่ควรให้แพทย์ที่เป็นศัลยแพทย์ด้านระบบปัสสาวะและต่อมลูกหมากมาพูดดีกว่า
เพราะแกเหมือนจะทำให้แพทย์แขนงอื่นเขาที่เรียนเฉพาะทางมาไม่น้อยกว่าแก กลายเป็นคนไม่มีความรู้เท่าแกอ่ะ
ถ้าแกเลือกให้ information ตามความถนัดและพื้นฐานการแพทย์ปกติ จะดีกว่า พยายามไปบลัฟหรือออกตัวเป็นคนชำนาญแพทย์แขนงต่างๆ
อย่างตอนแนะนำตัวเอง ก็แนะนำว่าเป็นอาจารย์แพทย์ที่สหรัฐอเมริกา
แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้วนะ ก็ไม่พูดว่า เคยเป็นอาจารย์แพทย์ แต่แกมาโต้แย้งว่า ก็เคยเป็นแต่เขาก็เรียกว่าอาจารย์ไปได้ตลอดชีวิต
แต่คำพูดแนะนำในทุกคลิปแบบนี้ มันทำให้คนเข้าใจว่าปัจจุบันยังทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายปอดและระบบทางเดินหายใจไง
คือน่าจะบอกว่า เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายปอดและระบบทางเดินหายใจ และเคยเป็นอาจารย์แพทย์ที่อเมริกา แบบนี้่น่าจะเหมาะกว่า
แต่แกก็แอบอีโก้สูงนะ อย่าไปพูดแนะนำแกแบบนี้นะ เดี๋ยวแกออกมาฟาดอีก

>แต่ควรให้แพทย์ที่เป็นศัลยแพทย์ด้านระบบปัสสาวะและต่อมลูกหมากมาพูดดีกว่า
>เพราะแกเหมือนจะทำให้แพทย์แขนงอื่นเขาที่เรียนเฉพาะทางมาไม่น้อยกว่าแก
>กลายเป็นคนไม่มีความรู้เท่าแกอ่ะ

แล้วเขาพูดอะไรผิดไหมล่ะ เขาจั่วหัวคลิปว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอะไรบลาๆ ที่เหลือคนฟัง
ก็ใช้วิจารณญาณกันเอาเอง

ที่บอกว่าให้หมอด้านนั้นๆ มาพูดดีกว่า อันนี้ก็จะบอกว่าไปห้ามหมอธนีไม่ได้ เขามีสิทธิ์จะพูดเพราะเขามีตวามรู้
แม้ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ เขามีสิทธิจะนำเสนอความคิดความเชื่อของเขาต่อคนดู ส่วนหมอเฉพาะทางด้านนั้นๆ
ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ทำคลิปออกมาให้ความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ สิคะ

การที่หมอธนีทำคลิปให้ข้อมูลความรู้ข้ามสายงาน มันก็ไม่ได้ไปบล็อกใครไม่ให้ทำคลิปมาตอบโต้กัน หรือ
ถ้ามีหมอเฉพาะทางมะเร็งต่อมลูกหมากพูดแล้ว หมอธนีไม่ควรพูดอย่างนี้เหรอ นี่ว่าไม่แฟร์นะคะ เพราะสิ่งที่หมอธนีพูด
มันไม่ได้มีอะไรผิด

ถ้ารู้สึกว่าหมอธนีทำให้หมอเฉพาะทางต่างๆ ดูด้อยกว่า แล้วหมอท่านนั้นๆ รู้สึกว่าตนด้อยกว่าหมอธนีไหมคะ
ถ้ารู้สึกด้อยกว่าก็ต้องจัดการกับความรู้สึกของแล้วนะ เพราะเราห้ามใครไม่ให้พูดไม่ได้ค่ะ

ส่วนประเด็นไม่ได้เป็นอาจารย์แล้ว อืม อันนี้นี่ว่าหยุมหยิมไป ปลายปีนี้หรือปีหน้าถ้าได้เป็นอาจารย์ที่ไหนซักที่
คนที่ติดใจประเด็นนี้คงสบายใจได้แล้วเนอะ

>
>>แต่ควรให้แพทย์ที่เป็นศัลยแพทย์ด้านระบบปัสสาวะและต่อมลูกหมากมาพูดดีกว่า
>>เพราะแกเหมือนจะทำให้แพทย์แขนงอื่นเขาที่เรียนเฉพาะทางมาไม่น้อยกว่าแก
>>กลายเป็นคนไม่มีความรู้เท่าแกอ่ะ
>
>แล้วเขาพูดอะไรผิดไหมล่ะ
>เขาจั่วหัวคลิปว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอะไรบลาๆ ที่เหลือคนฟัง
>ก็ใช้วิจารณญาณกันเอาเอง
>
>ที่บอกว่าให้หมอด้านนั้นๆ มาพูดดีกว่า
>อันนี้ก็จะบอกว่าไปห้ามหมอธนีไม่ได้
>เขามีสิทธิ์จะพูดเพราะเขามีตวามรู้
>แม้ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ
>เขามีสิทธิจะนำเสนอความคิดความเชื่อของเขาต่อคนดู
>ส่วนหมอเฉพาะทางด้านนั้นๆ
>ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ทำคลิปออกมาให้ความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ สิคะ
>
>การที่หมอธนีทำคลิปให้ข้อมูลความรู้ข้ามสายงาน
>มันก็ไม่ได้ไปบล็อกใครไม่ให้ทำคลิปมาตอบโต้กัน หรือ
>ถ้ามีหมอเฉพาะทางมะเร็งต่อมลูกหมากพูดแล้ว
>หมอธนีไม่ควรพูดอย่างนี้เหรอ นี่ว่าไม่แฟร์นะคะ
>เพราะสิ่งที่หมอธนีพูด
>มันไม่ได้มีอะไรผิด
>
>ถ้ารู้สึกว่าหมอธนีทำให้หมอเฉพาะทางต่างๆ ดูด้อยกว่า
>แล้วหมอท่านนั้นๆ รู้สึกว่าตนด้อยกว่าหมอธนีไหมคะ
>ถ้ารู้สึกด้อยกว่าก็ต้องจัดการกับความรู้สึกของแล้วนะ
>เพราะเราห้ามใครไม่ให้พูดไม่ได้ค่ะ
>
>ส่วนประเด็นไม่ได้เป็นอาจารย์แล้ว อืม อันนี้นี่ว่าหยุมหยิมไป
>ปลายปีนี้หรือปีหน้าถ้าได้เป็นอาจารย์ที่ไหนซักที่
>คนที่ติดใจประเด็นนี้คงสบายใจได้แล้วเนอะ

สวัสดีค่ะป้า มาเล่นบอร์ดปาล์มเลยเหรอคะ

>
>>แต่ควรให้แพทย์ที่เป็นศัลยแพทย์ด้านระบบปัสสาวะและต่อมลูกหมากมาพูดดีกว่า
>>เพราะแกเหมือนจะทำให้แพทย์แขนงอื่นเขาที่เรียนเฉพาะทางมาไม่น้อยกว่าแก
>>กลายเป็นคนไม่มีความรู้เท่าแกอ่ะ
>
>แล้วเขาพูดอะไรผิดไหมล่ะ
>เขาจั่วหัวคลิปว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอะไรบลาๆ ที่เหลือคนฟัง
>ก็ใช้วิจารณญาณกันเอาเอง
>
>ที่บอกว่าให้หมอด้านนั้นๆ มาพูดดีกว่า
>อันนี้ก็จะบอกว่าไปห้ามหมอธนีไม่ได้
>เขามีสิทธิ์จะพูดเพราะเขามีตวามรู้
>แม้ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ
>เขามีสิทธิจะนำเสนอความคิดความเชื่อของเขาต่อคนดู
>ส่วนหมอเฉพาะทางด้านนั้นๆ
>ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ทำคลิปออกมาให้ความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ สิคะ
>
>การที่หมอธนีทำคลิปให้ข้อมูลความรู้ข้ามสายงาน
>มันก็ไม่ได้ไปบล็อกใครไม่ให้ทำคลิปมาตอบโต้กัน หรือ
>ถ้ามีหมอเฉพาะทางมะเร็งต่อมลูกหมากพูดแล้ว
>หมอธนีไม่ควรพูดอย่างนี้เหรอ นี่ว่าไม่แฟร์นะคะ
>เพราะสิ่งที่หมอธนีพูด
>มันไม่ได้มีอะไรผิด
>
>ถ้ารู้สึกว่าหมอธนีทำให้หมอเฉพาะทางต่างๆ ดูด้อยกว่า
>แล้วหมอท่านนั้นๆ รู้สึกว่าตนด้อยกว่าหมอธนีไหมคะ
>ถ้ารู้สึกด้อยกว่าก็ต้องจัดการกับความรู้สึกของแล้วนะ
>เพราะเราห้ามใครไม่ให้พูดไม่ได้ค่ะ
>
>ส่วนประเด็นไม่ได้เป็นอาจารย์แล้ว อืม อันนี้นี่ว่าหยุมหยิมไป
>ปลายปีนี้หรือปีหน้าถ้าได้เป็นอาจารย์ที่ไหนซักที่
>คนที่ติดใจประเด็นนี้คงสบายใจได้แล้วเนอะ

ไม่ได้เป็นแล้ว ก็ไม่ควรพูดนะ ไม่ได้เป็นมาเป็นปีๆ แล้วด้วย

ส่วนเรื่องมั่นใจได้ยังไงว่าจะมีความรู้เท่าหมอเฉพาะทางด้านมะเร็งต่อมลูกหมากและศัลย์ แต่คนในวงการแพทย์เขาจะไม่ทำแบบนี้่กันนะรู้ยัง เพราะมันเป็นการข้ามสายงาน จากประสบการณ์ตรง คนที่อยู่กับเคสคนไข้มานานที่แตกต่างกัน วิจารณญาณและการวินิจฉัย การรักษาจะต่างกัน ต่อให้พูดผิด คนเขาก็ไม่อยากมาแย้งหรอก คงไม่มีใครอยากมาเสียเวลาตอบโต้กับคนแบบแก เพราะแกก็เคยมาพูดเรื่องผิด แล้วเคยออกมาแก้ไขเองว่าผิด

เช่น บอกว่าอังกฤษเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้ฉีดวัคซีนภูมิคุ้มกันรักษามะเร็ง แต่จริงๆ ไม่ใช่ ก็มีคนไปทักท้วงแกพอควรนะ แกถึงยอมเปลี่ยนแก้ใต้คลิปใหม่ว่า อังกฤษเป็นประเทศแรกในยุโรป แสดงว่าแกก็ไม่ได้รู้จริงหรือแม่นทุกเรื่อง ก็เพราะไม่ใช่คนในแขนงวิชานั้นๆ ไง เขาถึงไม่อยากให้พูดข้ามสายงานมาก เพราะเราเป็นคนทำสื่อออกมาเผยแพร่ ยิ่งต้องระวัง

ถ้าเรื่อง General Medicine น่ะ พูดไปเหอะ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่ไอ้เรื่องที่เราไม่ได้เรียนเฉพาะทางลึกๆ ไปจริงๆ และไม่เคยเจอเคสเอง อย่าไปพูดเยอะเลย มันอาจจะพลาดได้ แล้วถ้าคนฟังเขาเอาไปเชื่อต่อ แล้วใครจะมาแก้ได้

หมอเก่งๆ จริงๆ เขาถึงไม่ข้าม field ไปเผยแพร่สิ่งที่ตัวเองไม่ได้ร่ำเรียนมาเฉพาะไงล่ะ ถ้าหล่อนอยู่ในวงการแพทย์เฉพาะทางจริงๆ จะรู้ว่าเขาไม่ทำกัน แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน ถ้าข้าม field มาก มันจะทำให้ความรู้ที่ถ่ายทอดอาจจะ missing หรือเป็น misleading ได้

>>
>>>แต่ควรให้แพทย์ที่เป็นศัลยแพทย์ด้านระบบปัสสาวะและต่อมลูกหมากมาพูดดีกว่า
>>>เพราะแกเหมือนจะทำให้แพทย์แขนงอื่นเขาที่เรียนเฉพาะทางมาไม่น้อยกว่าแก
>>>กลายเป็นคนไม่มีความรู้เท่าแกอ่ะ
>>
>>แล้วเขาพูดอะไรผิดไหมล่ะ
>>เขาจั่วหัวคลิปว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอะไรบลาๆ ที่เหลือคนฟัง
>>ก็ใช้วิจารณญาณกันเอาเอง
>>
>>ที่บอกว่าให้หมอด้านนั้นๆ มาพูดดีกว่า
>>อันนี้ก็จะบอกว่าไปห้ามหมอธนีไม่ได้
>>เขามีสิทธิ์จะพูดเพราะเขามีตวามรู้
>>แม้ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ
>>เขามีสิทธิจะนำเสนอความคิดความเชื่อของเขาต่อคนดู
>>ส่วนหมอเฉพาะทางด้านนั้นๆ
>>ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ทำคลิปออกมาให้ความรู้ที่ถูกต้องจริงๆ สิคะ
>>
>>การที่หมอธนีทำคลิปให้ข้อมูลความรู้ข้ามสายงาน
>>มันก็ไม่ได้ไปบล็อกใครไม่ให้ทำคลิปมาตอบโต้กัน หรือ
>>ถ้ามีหมอเฉพาะทางมะเร็งต่อมลูกหมากพูดแล้ว
>>หมอธนีไม่ควรพูดอย่างนี้เหรอ นี่ว่าไม่แฟร์นะคะ
>>เพราะสิ่งที่หมอธนีพูด
>>มันไม่ได้มีอะไรผิด
>>
>>ถ้ารู้สึกว่าหมอธนีทำให้หมอเฉพาะทางต่างๆ ดูด้อยกว่า
>>แล้วหมอท่านนั้นๆ รู้สึกว่าตนด้อยกว่าหมอธนีไหมคะ
>>ถ้ารู้สึกด้อยกว่าก็ต้องจัดการกับความรู้สึกของแล้วนะ
>>เพราะเราห้ามใครไม่ให้พูดไม่ได้ค่ะ
>>
>>ส่วนประเด็นไม่ได้เป็นอาจารย์แล้ว อืม อันนี้นี่ว่าหยุมหยิมไป
>>ปลายปีนี้หรือปีหน้าถ้าได้เป็นอาจารย์ที่ไหนซักที่
>>คนที่ติดใจประเด็นนี้คงสบายใจได้แล้วเนอะ
>
>
>ไม่ได้เป็นแล้ว ก็ไม่ควรพูดนะ ไม่ได้เป็นมาเป็นปีๆ แล้วด้วย
>
>ส่วนเรื่องมั่นใจได้ยังไงว่าจะมีความรู้เท่าหมอเฉพาะทางด้านมะเร็งต่อมลูกหมากและศัลย์
>แต่คนในวงการแพทย์เขาจะไม่ทำแบบนี้่กันนะรู้ยัง
>เพราะมันเป็นการข้ามสายงาน จากประสบการณ์ตรง
>คนที่อยู่กับเคสคนไข้มานานที่แตกต่างกัน
>วิจารณญาณและการวินิจฉัย การรักษาจะต่างกัน ต่อให้พูดผิด
>คนเขาก็ไม่อยากมาแย้งหรอก
>คงไม่มีใครอยากมาเสียเวลาตอบโต้กับคนแบบแก
>เพราะแกก็เคยมาพูดเรื่องผิด แล้วเคยออกมาแก้ไขเองว่าผิด
>
>เช่น
>บอกว่าอังกฤษเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้ฉีดวัคซีนภูมิคุ้มกันรักษามะเร็ง
>แต่จริงๆ ไม่ใช่ ก็มีคนไปทักท้วงแกพอควรนะ
>แกถึงยอมเปลี่ยนแก้ใต้คลิปใหม่ว่า อังกฤษเป็นประเทศแรกในยุโรป
>แสดงว่าแกก็ไม่ได้รู้จริงหรือแม่นทุกเรื่อง
>ก็เพราะไม่ใช่คนในแขนงวิชานั้นๆ ไง
>เขาถึงไม่อยากให้พูดข้ามสายงานมาก
>เพราะเราเป็นคนทำสื่อออกมาเผยแพร่ ยิ่งต้องระวัง
>
>ถ้าเรื่อง General Medicine น่ะ พูดไปเหอะ
>เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
>แต่ไอ้เรื่องที่เราไม่ได้เรียนเฉพาะทางลึกๆ ไปจริงๆ
>และไม่เคยเจอเคสเอง อย่าไปพูดเยอะเลย มันอาจจะพลาดได้
>แล้วถ้าคนฟังเขาเอาไปเชื่อต่อ แล้วใครจะมาแก้ได้
>
>หมอเก่งๆ จริงๆ เขาถึงไม่ข้าม field
>ไปเผยแพร่สิ่งที่ตัวเองไม่ได้ร่ำเรียนมาเฉพาะไงล่ะ
>ถ้าหล่อนอยู่ในวงการแพทย์เฉพาะทางจริงๆ จะรู้ว่าเขาไม่ทำกัน
>แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน ถ้าข้าม field มาก
>มันจะทำให้ความรู้ที่ถ่ายทอดอาจจะ missing หรือเป็น misleading
>ได้

ดีออก อีรีนี้ รู้จริงรู้ลึกรู้เยอะ
แต่เดี้ยนเห้นด้วยกับอีนี่นะค่ะ
หนึ่ง ข้อมูลเรื่องวัคซีน กับมะเร็ง มันเร็วเกินจะสรุป เพราะข้อมูลมะเร็งมันต้องเก็บกับเป็นสิบปี
แต่โดยส่วนมาก ผู้เชี่ยวชาญ(โดยเฉพาะสายวิจัย) เค้าจะไม่สรุป เพราะต้องมีเก็บข้อมูลเพิ่ม

สอง ป้าแทนนี่นางข้ามฟิวด์ คือ ปกติวงการแพทย์เค้าไม่ไม่ล้ำหน้า หรือสาระแนไปออกความเห็น
ฝั่ง specialist สายอื่น เรื่องโควิด ยังถือว่านางเคลมได้ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับปอด

สาม เรื่องวัคซีนมะเร็ง อันนี้เดี้ยนไม่ได้ดูคลิปนางนะ แต่จากที่รู้มา วัคซีนแรกมัน
มะเร็งช่องคลอดหรือป่ะ แต่ที่นี่น่าจะอเมริกา แต่จำได้ว่ามันไม่แอดวานซ์อะไรมาก
มันเกินสิบปีแล้ว แล้วมีวัคซีนตัวอื่นออกมาด้วย ซึ่งที่แรกคือเมริกา
ก็งงอยู่ ว่านางเป็นหมอที่อเมริกา ทำไมถึงไม่รู้ แสดงว่านางไม่ใช่เฉพาะทางสายนี้

รีบนคะ แล้วกรณีหมออาวุโสท่านนั้น เธอคิดเห็นยังไง ที่เป็นคู่กรณีกับหมอธนี

แบบนั้น เรียกข้ามฟีลด์ไหม ให้ข้อมูลถูกต้องไหม รอฟังความเห็นนะคะ

>รีบนคะ แล้วกรณีหมออาวุโสท่านนั้น เธอคิดเห็นยังไง
>ที่เป็นคู่กรณีกับหมอธนี
>
>แบบนั้น เรียกข้ามฟีลด์ไหม ให้ข้อมูลถูกต้องไหม
>รอฟังความเห็นนะคะ

ทั้งคู่พูดเรื่องประเด็นวัคซีนโควิด ซึ่งประชาชนและหมอ ก็มีสิทธิคิดและวิเคราะห์ได้ทั้งคู่ ตามหลักฐานทางการแพทย์และหลักการทางการแพทย์

แม้ว่าทั้งคู่ไม่ใช่หมอมะเร็ง แต่ก็น่าจะวิพากษ์ได้จากหลักฐานการค้นคว้าผลงานตีพิมพ์ทางการแพทย์และแนวทางการเก็บข้อมูลสาธารณสุขจาก case report ทั่วโลก

นอกจากนี้ก็อาจจะอาศัยประสบการณ์จากงานวิจัยที่ใกล้เคียงมาอธิบายหรือมาวิพากษ์ได้

โดยปกติในสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ รวมถึงการแพทย์ เขาจะไม่เทียบจากแค่วุฒิการศึกษาหรือใครเคยเป็นอาจารย์สถาบันใด

เขาจะเทียบกันในเรื่อง ประวัติการเผยแพร่งานวิจัยลงวารสารวิชาการระดับนาชาติ เพราะถือว่าการทำงานวิจัยเผยแพร่ใน International Journals ทำได้ยากกว่าการทำสื่อออนไลน์ออกมา

ในแวดวงวิชาการ เวลาจะรับใครเข้าทำงานเป็นอาจารย์จึงยึดถือประวัติ publications (การตีพิมพ์ผลงานวิจัย)

นอกจากนี้ การตีพิมพ์งานวิจัยจำนวนมาก จะทำให้ได้มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งวิชาการ เช่น ผศ. รศ. และ ศ. โดยเฉพาะตำแหน่ง ศ. ต้องมีผลงานวิจัยมากพอถึงเป็นได้

อันนี้ใช้เป็นหลักทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ

ดังนั้น ใครที่ contribution ต่อวงการการแพทย์มากกว่ากัน และได้รับการยอมรับระดับนานาชาติมากกว่า ก็จะดูจากประวัติการตีพิมพ์งานวิจัยนั่นเอง

(1) ประวัติของ หมอธนีย์ จบด้านโรคปอดและเกี่ยวกับการปลูกถ่ายปอด

จบหมอจากศิริราช แล้วไปเป็น Residency ด้านอายุรกรรม ที่อเมริกา ณ สถาบัน Albert Einstein Medical Center ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย

แล้วค่อยไปเรียนต่อเฉพาะทางด้าน โรคปอดและวิกฤติบำบัด จาก Department of Medicine, School of Medicine, Emory University อเมริกา

มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ + หนังสือค่อนข้างน้อย รวมแล้วไม่ถึง 15 เรื่อง

เมื่อกี้ลองเช็คจากฐานข้อมูลวารสารสากล คือฐานข้อมูล SCOPUS (ซึ่งนิยมใช้อ้างอิงทั่วโลกและใช้ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ทั้ง Times Higher Education, QS และ U.S. News)

พบว่ามี 11 เรื่อง ดังนี้

https://www.scopus.com/authid/detail.uri?authorId=56731003100

แล้วในจำนวนนี้ก็ไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารเฉพาะทางการแพทย์ดังๆ ทุกอันนะ และบางอันลงในวารสารวิทยาศาสตร์ด้านอื่น

ทำให้จึงไม่สามารถถูกโปรโมตเป็นระดับ Associate Professor และ Professor ได้

จะเห็นว่าการที่คุณหมอเขาตีพิมพ์งานวิจัยมาน้อยมาก เพราะไม่ได้อยู่ในแวงวงการทำงานวิจัยในสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัยแล้ว

การจะมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ได้ ต้องเข้าไปทำวิจัยด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเข้าห้องแล็บ หรือการอยู่กับ case คนไข้ เก็บข้อมูลเก็บตัวอย่างต่างๆ ด้วยตัวเอง

กรณีหมอธนีย์ มีบทบาท contribution ตรงนี้น้อย แต่มาเผยแพร่ช่องทางออนไลน์ให้ความรู้ประชาชนก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

แต่จะสังเกตว่า คุณหมอก็ต้องไปอ่าน papers งานวิจัยหรือหนังสือทางการแพทย์ก่อนมาทำคลิปแน่นอน เพราะไม่งั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความรู้นึกได้ขนาดนั้น

เพราะหลายเรื่องก็นอกสาขาที่หมอเขาชำนาญ และจะเห็นว่าหลายครั้งหมอเขาก็เอา papers งานวิจัยมาอ้างอิง

จากข้อนี้ แสดงให้เห็นว่าการที่มีคนทำวิจัยและตีพิมพ์เผยแพร่ออกมาเป็น papers ได้ จะยากกว่าคนไปนั่งอ่าน papers ของคนอื่นนะ

เพราะกว่าจะได้ลงในวารสารวิชาการได้ ต้องผ่านขั้นตอนการกลั่นกรองมากมาย จากผู้ทรงคุณวุฒิ ถึงจะลงได้ เรียกแบบนี้ว่า peer review process

ไม่ใช่แค่อยากพูดหรืออยากเขียนอะไร แล้วส่งไปเขาจะรับ แต่จะต้องมีระเบียบวิธีการวิจัยที่เข้มข้นและถูกต้อง จะมีผู้ทรงคุณวุฒิในสายวิชานั้น ๆ มาอ่านและมารับรอง แล้วบอกให้แก้ไข

ต้องแก้จนกว่า reviewers จะพอใจ ซึ่ง reviwers นี่จะมีหลายคน อย่างน้อย 2 คน แต่มักจะมี 3 คน หรือบางวารสารอาจจะมี 5 คน

( reviewers หมายถึง ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินบทความแบบ annonymoous คือเราจะไม่ทราบว่าใคร เพื่อป้องกันเรื่อง bias ระหว่างผู้แต่ง/นักวิจัยกับผู้ประเมิน)

ประวัติของลุงหมอคนนั้น

(2)

เท่าที่เช็คดู ลุงหมอคนนั้น เป็นศาสตราจารย์ ด้านอายุรกรรมระบบประสาทและสมอง และเคยเห็นหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญโรคอุบัติใหม่

การศึกษาก็ถือว่าโดดเด่นอยู่ไม่น้อย จบแพทย์จุฬา และไปเรียนเฉพาะทาง Fellowship in Neurology/Neurology & Neuroimmunology

ที่ Johns Hopkins University School of Medicine ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนแพทย์ top 10 ของโลก ไม่ได้ด้อยกว่า Harvard แน่นอน และถือว่าเขาไปเรียนยากมาก

เคยมีผลงานตีพิมพ์ทั้งในด้านโรคระบบประสาทและสมองมากกว่า 100 เรื่อง และมีผลงานด้านโรคอุบัติใหม่ที่เกี่ยวกับไวรัส และแบคทีเรีย อีก > 50 เรื่อง

ที่น่าสนใจ คือมีประวัติลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์เบอร์ต้นๆ ของโลก เช่น The Lancet ซึ่งถือว่าใครลงได้นี่คือปรมาจารย์ขั้นเทพแล้ว เพราะแม้แต่หมอฝรั่งเก่งๆ หลายคนก็ยังลงไม่ได้

นอกจากนี้ก็ยังมี The Lancet ในเครือ เช่น

The Lancet infectious diseases, The Lancet Neurology เป็นต้น

ที่น่าสนใจอีกอันคือลุงมีชื่อเป็นนักวิจัยร่วมในการศึกษาเชื้อ SAR-COV2 หรือเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด แล้วได้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อดังอย่าง Nature Communications

นี่ก็นับว่าถือว่าลุงก็โพรไฟล์โดดเด่นไม่ใช่น้อย และวารสารข้างต้นที่กล่าวมา หมอทั่วๆ ไปหรือแม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ หลายแห่งก็ตีพิมพ์งานวิจัยไม่ได้ง่ายๆนะ

เพราะ rejection rate สูงมาก คือถ้างานวิจัยไม่ดีจริง จะโดนปฏิเสธไม่ให้ได้ลงตีพิมพ์

จากประสบการณ์ด้านการวิจัย ก็ต้องถือว่าลุงหมอคนนั้นประสบการณ์งานวิจัยและ contribution ในวงการแพทย์เยอะกว่า และถือว่าตีพิมพ์ในวารสารยากๆ ได้มากกว่า

ต้องยอมรับว่าแกเก่งระดับท็อปแน่นอน

ส่วนตัวไม่เคยเห็นแกไปว่าหมอธนีย์นะ มีแต่หมอธนีย์ไปจิกกัดหมอลุงแก่คนนั้น หมอธนีย์ก็อาจจะพูดในแง่ผลงานวิจัยใน papers ที่หมอธนีย์พยายามไปสืบค้นมาอ่านและให้ความรู้

แต่หมอธนีย์ไม่มีประสบการณ์ทำวิจัยตรง โดยเฉพาะการได้เป็น first author หรือ corresponding author ยังน้อยกว่าหมอลุงแก่คนนั้น

ถ้าพูดกันในแง่ประสบการณ์งานวิจัยและคนทำวิจัยจริงๆ หมอลุงแก่คนนั้น ก็ภาษีดีกว่า

แต่ในแง่สื่อออนไลน์ หรือ social plateform หมอลุงแก่คนนั้นอาจจะไม่สู้หมอหนุ่ม 40 ต้นๆที่มีการทำ YouTube ออกมาแล้วคนติดตามเยอะกว่า

แต่ถ้าเอาตามเรื่อง academic contribution หมอธนีย์สู้ลุงหมอแก่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อยนะ อันนี้พูดจากคนในวงการจริงๆ

หมอธนีย์ ถ้าในภาพรวมก็ดีในแง่การออกมาให้ความรู้ประชาชนผ่านช่องทาง YouTube ที่คนทุกระดับเข้าถึงได้ แต่บางเรื่องก็ต้องระวังด้วย เพราะมันเป็นดาบสองคมเช่นกัน

โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านยังอ่อนประสบการณ์ในการวิจัย และหากจะว่าไปตามตรง คุณหมอก็ต้องเผื่อเรื่องว่าในเรื่องการแพทย์และชีวภาพ มันจะไม่มีอะไร 100%

มันจะมีอะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎหรือทฤษฎีเปะๆ หลายอย่างเหมือนกัน การจะด่วนสรุปอะไรเลย ก็ต้องระวัง หรืออาจจะต้องพูดแค่ว่า ณ ข้อมูลปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้

ส่วนกรณีลุงหมอนั้น แกก็อาจจะพูดในมุมมองของคนมีประสบการณ์การทำวิจัยมามาก และเรียนด้าน Neuroimmunology มาด้วย (ภูมิคุ้มกันระบบประสาท)

อย่างไรก็ดี ลุงหมอก็ไม่ควรด่วนสรุปเช่นกัน เพราะมันต้องรอข้อมูลอีกหลายเคส แม้ว่าบางเคสที่แกยกตัวอย่างมา จะมีรายงานผลข้างเคียงวีคซีน mRNA หลายราย

แน่นอนว่า mRNA vaccine มีเคสรีพอร์ทมาพอสมควรแล้วว่ามีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อหัวใจและโรคบางอย่าง แต่ยังไม่มีรายงานเรื่องมะเร็งออกมาชัดเจนเลยนะ หมอไม่ควรพูดให้คนตื่น

ก็มองแบบกลางๆ ทั้งสองฝั่งนะ

แล้วดราม่าอันนี้ล่ะคะ คิดเห็นอย่างไร ถือว่าเป็นการให้ข้อมูลผิดหรือไม่

https://www.youtube.com/watch?v=fFsQky18_rk

Correlation ≠ Causation จำไว้นะคะอีโง่

https://www.youtube.com/shorts/5GACOODWa44

https://www.youtube.com/watch?v=o69BiOqY1Ec

https://www.youtube.com/watch?v=fy3oJpuFzaI

>รีบนคะ แล้วกรณีหมออาวุโสท่านนั้น เธอคิดเห็นยังไง
>ที่เป็นคู่กรณีกับหมอธนี
>
>แบบนั้น เรียกข้ามฟีลด์ไหม ให้ข้อมูลถูกต้องไหม
>รอฟังความเห็นนะคะ

สวัสดีค่ะป้าแทนนี่

ทำไมหมอ influencer ตาม youtube ชอบอ้าง paper งานวิจัย
paper พวกนั้นก็แค่เรียบเรียงข้อมูลจาก paper อื่น
เวลาคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง ก็อ้าง paper นู่นนี่นั่น ให้มันดูน่าเชื่อถือ

สิ่งที่ควรจะเอามาอ้างคือประสบการณ์จริงต่างหาก

>ทำไมหมอ influencer ตาม youtube ชอบอ้าง paper งานวิจัย
>paper พวกนั้นก็แค่เรียบเรียงข้อมูลจาก paper อื่น
>เวลาคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง ก็อ้าง paper
>นู่นนี่นั่น ให้มันดูน่าเชื่อถือ
>
>สิ่งที่ควรจะเอามาอ้างคือประสบการณ์จริงต่างหาก

จริง

แล้วการทำวิจัยเองให้ได้ผลงานวิจัยออกมาแล้วไปตีพิมพ์ในวารสารได้มันยากกว่าเยอะ เหมือนป้ารีบนที่เขียนเรียงความยาวๆ ให้อ่านน่ะแกพูดถูกอยู่
ส่วนตัวมองว่าพวกหมอพวกใน YouTube หรือ influencer ประสบการณ์เรื่องวิจัยน้อยมาก การอ้างอิง paper ต้องดูด้วยว่าความรู้มันเปลี่ยนไปได้
แล้วบาง paper เวลาผ่านไป โดน retraction ก็ยังมี อย่ายึดติดกับแค่ข้อมูล paper 100% แต่ใช้เป็นแค่ guideline ประกอบนั่นแหละ
ประสบการณ์เคสรักษาจริงและเก็บข้อมูลนั่นแหละสำคัญที่สุด
อ่าน paper เก่ง ตีความ paper ได้ เป็นเรื่องดีคร่าา แต่ไม่ใช่คุณจะมาทำหัตถการแบบศัลยแพทย์และรักษาคนป่วยได้เก่งนะคระ

น้องเชื่อหมอยงเท่านั่นค่ะ

>น้องเชื่อหมอยงเท่านั่นค่ะ

นี่ๆ ป้าเทยเฒ่าสามกีบรีนี้รู้ยังว่า คนที่ไปโพสต์ด่าหมอยงโดนฟ้องหมิ่นประมาทไปหลายราย บางรายต้องเข้าคุก บางรายต้องมากราบขอขมานะ หมอเขาไม่ได้ฟ้องเองนะ แต่สถาบันเขาฟ้องให้

เพราะสถาบันและลูกศิษย์ลูกหาอาจารย์เขาทนไม่ได้ เลยจัดหนักให้เลย

รู้แล้วก็หยุดทำตัวโง่ๆ ได้แล้วนะคะ

>หมอเขาไม่ได้ฟ้องเองนะ แต่สถาบันเขาฟ้องให้
>
>เพราะสถาบันและลูกศิษย์ลูกหาอาจารย์เขาทนไม่ได้
>เลยจัดหนักให้เลย

สถาบันฟ้องให้ แสดงว่า หมอฯต้องมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทน ซึ่งแปลว่า หมอฯ คือ ผู้ร้องทุกข์ นั่นเอง

>ทำไมหมอ influencer ตาม youtube ชอบอ้าง paper งานวิจัย
>paper พวกนั้นก็แค่เรียบเรียงข้อมูลจาก paper อื่น
>เวลาคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง ก็อ้าง paper
>นู่นนี่นั่น ให้มันดูน่าเชื่อถือ
>
>สิ่งที่ควรจะเอามาอ้างคือประสบการณ์จริงต่างหาก

อะไรของมึงอ้างจากประสบการณ์จริง งั้นหมอที่อยู่ ER คนไข้ที่เจอจากประสบการณ์จริงในชีวิตเมามา เพราะแดกเหล้าโซดาน้ำเปล่า หรือบางรายแดกเหล้าผสมน้ำเปล่า ดังนั้นจากประสบการณ์จริงที่เจอคือฟันธงแดกน้ำเปล่าทำให้เมางี้เหรอคะ ใช้สมองคิดนะคะ มันถึงต้องมีงานวิจัยพิสูจน์สาเหตุต้นเหตุ ปัจจัยแปรผัน ที่เอามาใช้กับประสบการณ์จริง เช่น กลุ่มคนอายุวัย 20 ไม่ควรเป็นมะเร็งเต้านมเพราะจาก paper งานวิจัย ผลทดสอบแล้วว่ากลุ่มนี้ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แล้วมึงถึงตัดชอยส์ในการวินิจฉัยว่าอะไรทำให้เกิดมะเร็งในช่วงอายุนี้ได้อะไรคือตัวแปรมันต้องอ้าง paper งานวิจัย ที่เขาทดสอบกันมาแล้วประสบการณ์จริงเพ้อเจ้ออะไรของมึงได้รับการทดสอบมั้ย ถ้าจะอ้างประสบการณ์จริงต้องทดสอบวิจัยแล้วเอาไปเขียนตีพิมพ์พิสูจน์ว่ามึงถูกค่ะ

>>ทำไมหมอ influencer ตาม youtube ชอบอ้าง paper งานวิจัย
>>paper พวกนั้นก็แค่เรียบเรียงข้อมูลจาก paper อื่น
>>เวลาคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง ก็อ้าง paper
>>นู่นนี่นั่น ให้มันดูน่าเชื่อถือ
>>
>>สิ่งที่ควรจะเอามาอ้างคือประสบการณ์จริงต่างหาก

ถ้าแม่กะหรี่มึงจะเป็น forensic pathologist คือแม่มึงต้องตายห่าตายโหงก่อนหรอคะถึงจะเป็นได้

หรือถ้าแม่มึงจะเป็น HIV specialist คือต้องไปจั่วมาก่อนแล้วมีอาการ ถึงจะพูดจากประสบการณ์ตรงได้

ตรรกะตลกมากอีนี่

>>>ทำไมหมอ influencer ตาม youtube ชอบอ้าง paper งานวิจัย
>>>paper พวกนั้นก็แค่เรียบเรียงข้อมูลจาก paper อื่น
>>>เวลาคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง ก็อ้าง paper
>>>นู่นนี่นั่น ให้มันดูน่าเชื่อถือ
>>>
>>>สิ่งที่ควรจะเอามาอ้างคือประสบการณ์จริงต่างหาก
>
>
>ถ้าแม่กะหรี่มึงจะเป็น forensic pathologist
>คือแม่มึงต้องตายห่าตายโหงก่อนหรอคะถึงจะเป็นได้
>
>หรือถ้าแม่มึงจะเป็น HIV specialist
>คือต้องไปจั่วมาก่อนแล้วมีอาการ ถึงจะพูดจากประสบการณ์ตรงได้
>
>ตรรกะตลกมากอีนี่

ตรรกะป่วยมากอีแก่รีนี้

คือ pathologist ไม่ใช่ใครก็เป็นได้นะคะ ต่อให้มึงค้นคว้าด้วยตำราและ papers มา ก็ใช่ว่าจะอ่านผลสไลด์เป็นนะคะ การอ่านผลสไลด์ต้องฝึกฝนค่ะ อีแก่หน้าผีชอบพล่ามโง่ๆ

ขนาด Bill Gate ยังบอกเลยไงคะว่า AI ยังไม่สามารถทำหน้าที่แทนนักชีวะกับพวกนักชีวการแพทย์ได้ เพราะการอ่านผลสไลด์เนื้อเยื่อ patho ต้องมีประสบการณ์ค่ะ

ไม่ใช่มึงนั่งท่องตำราแล้วจะมาเป็น Forensic Pathologist ได้นะคะ อีจั๊ดง่าว ขยันโพสต์โง่ๆ แล้วชอบอวดรู้ตาม google หยุดเห่าค่ะ

จะไปหวังให้หมอ Tany แกทำวิจัยคงยากนะ ไม่งั้นแกก็ได้ต่อสัญญาทำงานเป็นอาจารย์ที่เมกาแล้วสิ เพราะทุกมหาวิทยาลัย ทุกสถาบันต้องให้หมอและนักวิทย์ทำวิจัยนะ

แกเคยไปคอมเมนต์ใน YouTube แกเอง อันนี้ คอมเมนต์ท้ายสุดเลย (อาจจะซ่อนไว้นะ) ว่าแกไม่ชอบทำวิจัย

นี่แกโพสต์ไว้แบบนี้
------------------------------------

ดังนั้น คนไม่ชอบทำวิจัย แต่ชอบมาคอมเมนต์ถึงคนทำวิจัยจริงๆ มันคนละเรื่องเลย
เคยได้ยินป่ะ บางคนเรียนหนังสือเก่งมาก จนเกียรตินิยมอันดับ 1 ก็มีหลายคน ที่ไม่ชอบทำวิจัยและทำวิจัยไม่เป็นเลยก็มี
เพราะอาจจะถนัดท่องจำ หรือถนัดอ่านแล้วเขียนข้อสอบ และถนัดทำคอนเทนต์ บลาๆๆ

ส่วนตัวจะเป็นคนที่ให้ credit เฉพาะคนทำวิจัยเก่งและทำวิจัยเป็น เพราะถือว่าเป็นคนอยู่เบื้องหลังความก้าวหน้าทั้งหมด

https://www.youtube.com/watch?v=fFsQky18_rk

ที่ Brigham and Women's Hospital (BWH) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสอนแพทย์ในเครือ
Mass General Brigham และมีความเกี่ยวข้องกับ Harvard Medical School (HMS) นั้น
ไม่ได้กำหนดให้อาจารย์แพทย์ทุกคนต้องทำวิจัยเป็นข้อบังคับ
อย่างไรก็ตาม การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการ เช่น การวิจัย การสอน หรือการดูแลผู้ป่วย
ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินและพัฒนาสายอาชีพของคณาจารย์ที่นี่

คณาจารย์ที่ BWH มีบทบาทหลากหลายค่ะ ได้แก่

นักวิจัยเต็มเวลา: มุ่งเน้นการวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยทางคลินิก
แพทย์คลินิก: เน้นการดูแลผู้ป่วยและการสอน โดยอาจมีส่วนร่วมในการวิจัยหรือไม่ก็ได้
นักการศึกษา: เน้นการสอนและพัฒนาหลักสูตรการศึกษา

การเลื่อนตำแหน่งและการประเมินผลของคณาจารย์จะพิจารณาจากความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้านดังกล่าว
โดยไม่จำเป็นต้องมีผลงานวิจัยเสมอไป

>ที่ Brigham and Women's Hospital (BWH)
>ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสอนแพทย์ในเครือ
>Mass General Brigham และมีความเกี่ยวข้องกับ Harvard Medical
>School (HMS) นั้น
>ไม่ได้กำหนดให้อาจารย์แพทย์ทุกคนต้องทำวิจัยเป็นข้อบังคับ
>อย่างไรก็ตาม การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการ เช่น การวิจัย
>การสอน หรือการดูแลผู้ป่วย
>ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินและพัฒนาสายอาชีพของคณาจารย์ที่นี่
>
>คณาจารย์ที่ BWH มีบทบาทหลากหลายค่ะ ได้แก่
>
>นักวิจัยเต็มเวลา:
>มุ่งเน้นการวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยทางคลินิก
>แพทย์คลินิก: เน้นการดูแลผู้ป่วยและการสอน
>โดยอาจมีส่วนร่วมในการวิจัยหรือไม่ก็ได้
>นักการศึกษา: เน้นการสอนและพัฒนาหลักสูตรการศึกษา
>
>การเลื่อนตำแหน่งและการประเมินผลของคณาจารย์จะพิจารณาจากความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้านดังกล่าว
>โดยไม่จำเป็นต้องมีผลงานวิจัยเสมอไป

ที่เอามาวางลงเนี่ย ได้อ่านให้ถึงบรรทัดต่อไปป่ะ ถ้าคิดแบบป้าทุกคน สงสัยแวดวงการแพทย์คงไม่มีความก้าวหน้า รู้ป่ะทำไมหนังสือมันหนาขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะมันมาจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่นี่แหละค่ะ

อย่างไรก็ตาม การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการ เช่น การวิจัย การสอน หรือการดูแลผู้ป่วย ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินและพัฒนาสายอาชีพของคณาจารย์ที่นี่

นี่ไง เลยไม่ได้เลื่อนขั้นไปสูงกกว่านี้ หรือพูดง่ายๆ แป๊ก

คนที่รู้ดีสุดคือสถาบันนั่นแหละว่า ใครไม่ทำวิจัย จะแป๊ก

เข้าใจนะค่ะ หมอบางคนก็ไม่ชอบทำวิจัย ชอบรักษามากกว่า
แต่งงว่าแล้วทำไม ป้าแก ไม่เอาเคสคนไข้ของแก มาคุย มาวิเคราะห์
เห็นมีแต่เอาเคสคนอื่นมาคุย
อารมณ์งานตัวเองไม่คุย กลัวโดนจับโป๊ะ

>เข้าใจนะค่ะ หมอบางคนก็ไม่ชอบทำวิจัย ชอบรักษามากกว่า
>แต่งงว่าแล้วทำไม ป้าแก ไม่เอาเคสคนไข้ของแก มาคุย มาวิเคราะห์
>เห็นมีแต่เอาเคสคนอื่นมาคุย
>อารมณ์งานตัวเองไม่คุย กลัวโดนจับโป๊ะ

เขาคุยกับชาวบ้าน ก็ต้องเอาเคสที่อยู่ในกระแสสนใจของคนทั่วค่ะป้า ไปไม่ถึงฮาร์วาร์ดก็ไม่ต้องอิจเกินเบอร์ก็ได้

สมัยนี้ชาวบ้านในไทยยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับ AI ไง

ถ้าอีกสัก 3 - 4 ปี คนใช้ AI มากขึ้น ก็อาจจะไม่ต้องมานั่งฟังหมอ influencers ต่างๆ บรรยายใน YouTube

เพราะถาม AI ให้ตอบสั้นๆ ก็ได้คำตอบเยอะแล้ว ดีกว่าเสียเวลาฟังคลิปนานๆ

และฉันก็เชื่อว่าหมอ influencers ทั้งหลาย ก็คงไปเปิด AI มาบ้างแหละ

อยากเย็ดตูดหมอแรงๆ

สงสัยว่าเจ๊หมอแทนนี่ นางเป็นมั้ยคะ ดูทรง ดูจากการพยายามปั้นหุ่นให้ก้ามปูแล้วน่าจะใช่ จริตจะก้านเอย สำนวน อารมณ์ ที่ใช้และสอดแทรกเข้าไปในการพูด การอธิบาย

แล้วนางก็ดูเหมือนไม่มีแฟนหรือเมียชะนีด้วย เดี๊ยนไม่ได้ติดตามนางอะไรมากนะ ถ้านางมีเมียชะนีแล้ว แล้วเดี๊ยนไม่รู้ก็ถือว่าแล้วไป

ใช่ ใช่มั้ยแม่

ถ้ายอมรับว่าเกี่ยว นางก็เสียหมานะ บิวท์ให้คนไปฉีด mrna ตลอด

หมอตามตำราไหมเธอ

เห็นนางสนับสนุนทุกอย่างที่เป็นผลงานของแพทย์แผนตะวันตก

>ใช่ ใช่มั้ยแม่

User ไหนค่ะ

>>ใช่ ใช่มั้ยแม่
>
>
>User ไหนค่ะ

อยู่แถว ๆ นี้่แหละเนอะแม่

>>>ใช่ ใช่มั้ยแม่
>>
>>
>>User ไหนค่ะ
>
>อยู่แถว ๆ นี้่แหละเนอะแม่

เดี๋ยวจะเห็นป้าแก ลากกะเทยเวปต้นไม้ ออกมาด่าในวีดีโอถัดไปของนางมั้ยค่ะ

>>>>ใช่ ใช่มั้ยแม่
>>>
>>>
>>>User ไหนค่ะ
>>
>>อยู่แถว ๆ นี้่แหละเนอะแม่
>
>
>เดี๋ยวจะเห็นป้าแก ลากกะเทยเวปต้นไม้
>ออกมาด่าในวีดีโอถัดไปของนางมั้ยค่ะ

แล้วรีไหนคือคุณยายคะ ได้กลิ่นแก่ตุๆ อยู่น้าา

>สงสัยว่าเจ๊หมอแทนนี่ นางเป็นมั้ยคะ ดูทรง
>ดูจากการพยายามปั้นหุ่นให้ก้ามปูแล้วน่าจะใช่ จริตจะก้านเอย
>สำนวน อารมณ์ ที่ใช้และสอดแทรกเข้าไปในการพูด การอธิบาย
>
>แล้วนางก็ดูเหมือนไม่มีแฟนหรือเมียชะนีด้วย
>เดี๊ยนไม่ได้ติดตามนางอะไรมากนะ ถ้านางมีเมียชะนีแล้ว
>แล้วเดี๊ยนไม่รู้ก็ถือว่าแล้วไป

ถือว่าแล้วไป ตรรกะอะไรของมึง 555

>>สงสัยว่าเจ๊หมอแทนนี่ นางเป็นมั้ยคะ ดูทรง
>>ดูจากการพยายามปั้นหุ่นให้ก้ามปูแล้วน่าจะใช่ จริตจะก้านเอย
>>สำนวน อารมณ์ ที่ใช้และสอดแทรกเข้าไปในการพูด การอธิบาย
>>
>>แล้วนางก็ดูเหมือนไม่มีแฟนหรือเมียชะนีด้วย
>>เดี๊ยนไม่ได้ติดตามนางอะไรมากนะ ถ้านางมีเมียชะนีแล้ว
>>แล้วเดี๊ยนไม่รู้ก็ถือว่าแล้วไป
>
>ถือว่าแล้วไป ตรรกะอะไรของมึง 555

อ้าวอีนี่ แล้วไปก็คือว่า นางคงเป็นชายแท้ไง ถ้ามีมีเมียชะนีแล้ว เพราะกูไม่ได้ติดตามนางอะไรมาก เดี๋ยวกูก็จะโดนด่าว่าโง่อีก ถ้าไม่รู้ว่ามีเมียชะนีแล้ว

รี 11 เริดสุดแล้ว
หมอ Tany จบจุฬานะคะ ไม่ใช่ศิริราช
โพสต์ อ.ธีระวัฒน์ล่าสุด แกก็อ้างเปเปอร์ว่าฉีดวัคซีนแล้วทำให้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองกำเริบ ไม่ได้บอกว่าวัคซีนก่อมะเร็งโดยตรงนะ
และมะเร็งที่เจอก็เป็นมะเร็งระบบเลือด ไม่ใช่มะเร็งอวัยวะพวก solid organ แกโพสต์ไม่ผิดนะ
และตามเปเปอร์ ผู้เขียนก็อภิปรายว่า ถ้ามีวัคซีนชนิดอื่นมาก็ควรพิจารณาใช้แทน mRNA ซึ่งตา tany ไม่เอาข้อความนี้มาพูดใน youtube

>รี 11 เริดสุดแล้ว
>หมอ Tany จบจุฬานะคะ ไม่ใช่ศิริราช
>โพสต์ อ.ธีระวัฒน์ล่าสุด
>แกก็อ้างเปเปอร์ว่าฉีดวัคซีนแล้วทำให้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองกำเริบ
>ไม่ได้บอกว่าวัคซีนก่อมะเร็งโดยตรงนะ
>และมะเร็งที่เจอก็เป็นมะเร็งระบบเลือด ไม่ใช่มะเร็งอวัยวะพวก
>solid organ แกโพสต์ไม่ผิดนะ
>และตามเปเปอร์ ผู้เขียนก็อภิปรายว่า
>ถ้ามีวัคซีนชนิดอื่นมาก็ควรพิจารณาใช้แทน mRNA ซึ่งตา tany
>ไม่เอาข้อความนี้มาพูดใน youtube

https://www.youtube.com/watch?v=fFsQky18_rk
แล้วคลิปนี้ล่ะคะ คุณป้ามีความเห็นอย่างไร

ป้าหมอรี 11 ถ้าว่างเมื่อไหร่รบกวนแวะมาเม้นเกี่ยวกับคลิปบนหน่อยนะคะ ป้าเจ๋งสุดแล้วในทุกรี
รอฟังความเห็นนะคะ seriously

เดี๋ยวนี้แกทำยูทูปอย่างเดียวไม่ได้เป็นหมอแล้วเหรอ

ถึงป้าหมอรี 11 กับป้าหมอรีบนๆ ไม่แวะมาตอบคลิปข่าวด้านบนหน่อยเหรอคะ ถามไปหลายวันแล้ว
เงียบกริบเชียว รอฟังความเห็นในฐานะแพทย์อยู่นะคะนะคะ ถ้าไม่มาตอบแล้วก็ไม่เป็นไร ถือว่า กริบ แล้วกัน
เข้าใจค่ะที่พูดไม่ออก เช่นนั้นที่ตอบๆไว้ด้านบนก็ถือว่าเป็น selective perception แล้วกันเนอะ

https://youtu.be/Sr1jzwUU35w?feature=shared