Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 273
Message ID: 146
#146, RE: แค้นวิปริต จิตสั่งกาม:กระทู้ที่ 2
Posted by โทรจิตคุง on 23-May-11 at 06:34 AM
In response to message #145
ตอนที่ 17 เกมของณัฐ
.
.
.
“เอ้า กินไปเยอะ ๆ”


หลังโรงเรียน มีมุมหนึ่งที่เต๋อจะต้องหมั่นแวะเวียนเยี่ยมเพื่อนตัวน้อยเป็นกิจวัตร มันคือลูกสุนัขพันธุ์ทางขนสีน้ำตาลที่บังเอิญหลงเข้ามาในโรงเรียน ไม่มีใครสนใจว่ามันจะกินนอนมีความเป็นอยู่อย่างไรเท่าไหร่นัก แต่นับว่ายังดีที่มีคนแบ่งอาหารให้ไม่ขาดช่วง ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าในโรงอาหารหรือนักเรียนหญิงที่ชอบแบ่งเศษขนมให้เป็นทาน จะสงเคราะห์ด้วยความเมตตาก็ดีหรือเพลิดเพลินกับการโยนอาหารให้มันงับกินก็ดี ก็ทำให้เจ้าตัวน้อยมีชีวิตรอดมาได้แม้อยู่ในวัยกระเตาะกระแตะ


“แกอยู่ตัวเดียวไม่เหงาบ้างเหรอ” เต๋อคุยไปด้วยพลางลูบหัวลูกหมาที่กำลังเคี้ยวเนื้อไก่ย่าง


“อ้าว ไอ้เต๋อ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เล่นกับหมาเหรอ” ไม้ในชุดบาสเกตบอลโผล่มาขัดจังหวะพอดี “ไปเล่นบาสกับกูสิ เดี๋ยวจะสอนต่อจากเมื่อวาน วันนี้ซ้อมเลย์อัพนะ”


“เอาสิ. . . งั้นฉันไปก่อนนะไอ้หมาน้อย” เต๋อลุกถอดเสื้อนักเรียนเหลือเพียงเสื้อยืดด้านในให้ทะมัดทะแมงเหมาะกับเล่นกีฬา

สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เต๋อระบายความเครียดได้อยู่บ้างก็คือกีฬาบาสเก็ตบอล ไม้สอนเทคนิคบาสให้เต๋อติดตัวไว้ เขาเน้นย้ำอยู่เสมอว่าเต๋อควรจะมีทักษะกีฬาติดตัวไว้บ้างเพื่อไม่ให้ดูอ่อนแอและเข้าสังคมได้ แม้สังคมที่นี่อาจบรมห่วยสำหรับเต๋อ แต่เมื่อวันใดที่เต๋อย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่นแล้ว ความสามารถนี้จะเป็นทุนให้เขามีทักษะสังคมที่ดี หาเพื่อนใหม่และเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ง่าย เต๋อเอาจริงเอาจังกับการซ้อมนี้มาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อในคำพูดของไม้ แต่อีกส่วนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือเขารู้สึกสบายใจและอบอุ่นที่เมื่อยามได้อยู่ใกล้ไม้


จะอย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นานนัก หลังจากไม้ขึ้นรับตำแหน่งจตุรเทพโพดำประจำรุ่น 40 ด้วยเหตุผลว่าเป็นมีความสุขุมและเปี่ยมบารมี เชื่อถือได้ สามารถปกครองนักเรียนหมู่มากได้ดีที่สุด จากนั้นเขาก็ต้องผันตัวไปเป็นผู้ดำเนินกิจต่าง ๆ ทั้งงานหลวงงานราษฎร์ ตั้งแต่งานภายในเช่นจัดกีฬาสีหรือกิจกรรมออกร้าน ไปจนถึงงานภายนอก เช่นเป็นตัวตั้งตัวตีรวมกลุ่มตระเวนราตรี ค้างคืนตามที่ต่าง ๆ อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับคนที่โตแล้ว แต่สำหรับเด็กวัยมอสาม การแหกกฎโรงเรียนและกฎที่บ้านนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าบ้าบิ่น นอกจากนี้ยังมีการวางแผนกลั่นแกล้งครูที่นักเรียนลงความเห็นว่าเหม็นขี้หน้าจนไม่สามารถอยู่ในโรงเรียนต่อไปได้ ไปจนถึงไกล่เกลี่ยตัดสินข้อพิพาทกรณีชกต่อยกันระหว่างโรงเรียน


เมื่อมีเรื่องที่ต้องทำเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้ เวลาที่มีให้เต๋อจึงหรอยหรอลง นอกจากภูมิที่บ้าคลั่งกับส่งผลงานประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ประหลาด ๆ แล้ว เต๋อก็มีเพียงลูกหมานิรนามเท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อนหลังเลิกเรียน


เมื่อตกเย็นเต๋อจะนั่งมองแป้นบาสอย่างเหม่อลอย เฝ้าคอยว่าไม้จะมาหาเมื่อไหร่ แม้บางครั้งจะหัดชู้ตบาสเองคนเดียว แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเก่าก่อน


บางครั้งพิษเหงากัดกร่อนลึกในใจจนน้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ คนเดียว ลูกหมาสีน้ำตาลได้แต่ครางงี๊ด ๆ กระดิกหางปลอบใจ แม้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม
เมื่อความคับคั่งใจสั่งสมจนยากจะเก็บซ่อนไว้ ในที่สุดวันหนึ่งก็ต้องเปิดเผย
เต๋อดักรอพบไม้ในห้องน้ำ. . . เขาเปิดฉากตัดพ้อ


“ไม้ ช่วงนี้ยุ่งมากเลยเหรอ ไหนเคยสัญญาว่าจะมาซ้อมเพิ่มให้ไง”


“. . . .”


“ดีใจด้วยนะ เป็นโพดำแล้ว เหมือนเป็นฮีโร่ประจำรุ่นเลย”


“ขอบใจ. . .” ไม้แก้เก้อด้วยการทำเป็นส่องกระจก


“ไม้ไม่มีอะไรจะพูดกับผมเลยเหรอ”


เสียงตอบรับคือความเงียบ


“ผมทำอะไรให้ไม้ไม่สบายใจ. . .” แล้วไม้ก็แทรกขึ้นมาทันที “เมื่อไหร่มึงจะเลิกเซ้าซี้คนอื่นวะ!”
.
.
เต๋อหลบตา
.
.
“กูไม่ชอบให้ใครมาเซ้าซี้อย่างนี้นะเว้ย! ไม่มีเพื่อนเล่นมึงก็ไปหาเล่นที่อื่น ไม่ก็ไปหาอย่างอื่นทำดิ!”
.
.
“ถามจริง! ขาดกูแล้วลงแดงรึไง? นี่ถ้ากูตายมึงจะฆ่าตัวตายตามไหมเนี่ย ทำไมมึงเป็นแบบนี้วะ”
.
.
เนื้อตัวของเต๋อชาและสั่นเทา ความรู้สึกเย็นเฉียบไหลเวียนไปมาในร่างจนหายใจไม่ทั่วท้อง


“เพราะเราชอบไม้”
.
.
.
.

“โว้ยยยยยยยยยยยย! บอกรักกันแล้วโว้ย!” กลุ่มเพื่อนผู้ชายที่แอบฟังอยู่ข้างห้องน้ำเผยตัวออกมาด้วยเสียงอันดัง


“กูชนะ เอามาเลยร้อยนึง บอกแล้วว่าไอ้เต๋อแม่งจิต ตุ๊ดแหง ๆ” แจ็คแบมือทวงเงินจากเพื่อนที่แพ้พนัน


“ไอ้แจ็ค มึงน่ะเสือกเสียงดังขึ้นมาก่อน ยังไม่ทันรู้เลยว่าตกลงไอ้ไม้ตอบรับมันมั้ย” เพื่อนอีกคนแย้งท่ามกลางเสียงผิวปากโห่ร้องลิงทะโมน


“นี่พวกมึงเล่นไรกันวะ” ไม้เขม็งใส่ให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องตลก


“ก็กูเห็นมึงสองคนแอบมานัดทำไรกันในห้องน้ำ พากันมาโม้คควยเปล่าวะ” เพื่อนคนหนึ่งตอบ


“เขาจู๋จี๋ซ้อมบาสด้วยกันนานแล้วโว้ย ตกข่าวแล้วพวกมึง”


“จตุรเทพเกย์คนแรกถือกำเนิดขึ้นแล้ว”


“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”
.
.
.
.
“ปัญญาอ่อน!” ไม้เตะอัดเข้ากลางท้องเต๋อ “โอ๊ย!” บอกไม่ได้ว่าคำสบถของไม้หรือเสียงร้องจากเต๋อกันแน่ที่ทุกให้พวกผู้ชายสะดุ้งเงียบ


“อย่างกูเนี่ยนะจะชอบมัน! ไอ้หนอนพยาธิอ่อนแอ! เก่งจริงมึงลุกขึ้นมาต่อยกูคืนเลย!” ไม้ระดมตีนใส่เต๋อเต็มเหนี่ยว ขณะที่อีกฝ่ายทำได้เพียงห่อตัวป้องปิดใบหน้าและจุดสำคัญ


“ถ้าโลกนี้มันโหดร้ายจนใช้ชีวิตลำบากนักละก็! มึงไปตายซะไป๊!”


แจ็คมองเต๋อที่ดิ้นพราดไปมาอย่างหวาดหวั่นระคนสังเวช นี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูก็คงได้ ว่าไม้ไม่ใช่คนที่จะหลู่เกียรติกันได้ง่าย ๆ


“พวกมึงก็เหมือนกัน! อย่าล้อเล่นกับกูอย่างนี้อีก! กูเอาจริง! นอกจากไอ้แทนแล้วทั้งห้องใครจะต่อยชนะกูได้!” ไม้ตาขวาง “หรือมึงจะเอา?” เขาจ้องไปทางแจ็ค


“เห้ย แหย่เล่นนิดเดียวน่า เพื่อนกันทั้งนั้น” แจ็คเข้าไปตบไหล่ปลอบให้ไม้ใจเย็น “เดี๋ยวเอาตังค์ที่ได้เลี้ยงเบียร์ขวดนึง หายกันเนอะ?”


“สัตว์!” ไม้ปัดมือแจ็คออกแล้วเดินออกจากห้องน้ำ ก่อนพ้นประตูเขาทิ้งข้อความกับเต๋อที่แน่นิ่งไม่ปริปากใด ๆ


“อย่ามายุ่งกับกูอีก กูเกลียดคนอ่อนแอ”
.
.
หลังจากนั้นเต๋อก็หัดบาสคนเดียวมาตลอด มีคนให้กำลังใจบ้างก็เพียงลูกหมานิรนามที่เฝ้าอยู่เป็นเพื่อนและทิพย์ที่แวะมาส่งน้ำให้เป็นครั้งคราว
.
.
“ฉันขอแม่ได้แล้วนะ ถ้าจบจากที่นี่เมื่อไหร่ ฉันจะย้ายบ้านย้ายโรงเรียน แล้วจะเอาแกไปอยู่ด้วย” เต๋ออุ้มลูกหมาขึ้นมาเล่น “ถึงตอนนั้นจะตั้งชื่อให้นะ. . .รอก่อนล่ะ”
.
.
.
วันคืนอันโหดนรกผ่านไปวันแล้ววันเล่า เต๋อตั้งตารอคอยเวลาที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่ อาจกล่าวได้ว่า ยังมีลมหายใจอยู่เพื่อให้วันนั้นมาถึงแค่นั้น จริงอยู่อาจเป็นการตัดสินใจผิดพลาดของทิพย์ที่ดันทุรังให้ลูกชายได้เข้าศึกษาในโรงเรียนที่พรั่งพร้อมเกินฐานะ จนกระทั่งประสบปัญหาภาษีสังคมและการกลั่นแกล้งต่าง ๆ แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ แม้แต่ละวันคืนของลูกชายจะผ่านพ้นไปอย่างทุลักทุเล การเรียนการสอนที่ทันสมัยของโรงเรียนนี้หล่อหลอมให้เต๋อฉลาดอ่านออกเขียนคล่องเกินกว่าเด็กข้างบ้านที่มีฐานะใกล้เคียงกัน เขาเริ่มทำความเข้าใจกับคำอธิบายที่ซับซ้อนเป็นนามธรรมได้ หนังสือในห้องสมุดที่เขาเลือกหยิบขึ้นมาอ่านเป็นพิเศษมักเป็นหนังสือที่เพื่อนวัยเดียวกันไม่ค่อยสนใจ จำพวกจิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ และปรัชญาต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วก็ยังหัดเล่นบาสด้วยตัวเองต่อไปด้วยความเชื่อว่าจะทำให้เขาได้ระบายความเครียดที่สั่งสมอยู่ในใจผ่านกีฬา ซึ่งก็ช่วยได้พอสมควร กลับบ้านกินอิ่มนอนหลับ
จนกระทั่งวันหนึ่ง


ในเวลาพลบค่ำวันศุกร์ หลังจากที่เต๋อซักซ้อมบาสเสร็จ เขาได้ยินเสียงร้องหนึ่งซึ่งคุ้นเคยดี


“เอ๋งงงงงงงงงงงง”


ลูกหมา? เกิดอะไรขึ้น!?


.
.
เด็กหนุ่มเร่งรุดไปหาต้นเสียงซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ลูกหมานิรนามตกตะเกียกตะกายกลางบ่อน้ำลึกหลังโรงเรียน น่าแปลกที่ปกติลูกหมาตัวนี้จะไม่มาวิ่งเล่นบริเวณนี้ เพราะมีแมวอ้วนเจ้าถิ่นห่วงเขตแดนยิ่งชีพ ไม่ยอมให้สัตว์ตัวเล็กกว่ามันเข้ามาเดินยุ่มย่าม จะอย่างไรก็ตามนี่คงไม่ใช่เวลามาขบคิดหาสาเหตุ


“เอ๋งงงงงงงงงงงงงงงง” เจ้าลูกหมาร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงดังกังวาล แต่ช่วงเวลานี้แทบไม่เหลือใครอยู่ในโรงเรียนแล้ว นอกจากยามหรือเจ้าหน้าที่บางคนซึ่งก็กระจายไปตามตำแหน่งต่าง ๆ ในโรงเรียนกว้างใหญ่เช่นนี้ต่อให้วิ่งตามหาก็ต้องใช้เวลา
เขาตัดสินใจวิ่งขึ้นสระว่ายน้ำ เผื่อจะมีคนที่ว่ายน้ำอยู่และขอให้ช่วยได้ เพราะเต๋อว่ายน้ำไม่เป็น


โชคร้ายที่ไม่มีใครอยู่เลย แต่ภาวะคับขันเช่นนี้ แสงเทียนย่อมเห็นเด่นชัดท่ามกลางความมืด สายตาเขาบังเอิญเหลือบเห็นห่วงยางชูชีพสำหรับที่มีคนใช้แล้วลืมเก็บพอดี ถ้าเป็นอย่างนี้ก็อาจแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
.
.
แต่. . .
.
.
“เผี๊ยะ!” มือที่กำลังจะเอื้อมหยิบอุปกรณ์ช่วยชีวิตถูกตีด้วยด้ามไม้ยาว


“จะเอาไปทำอะไร นี่ไม่ใช่ของชมรม” ไม้ดึงห่วงกลับมาไว้ในมือตน ที่ว่าไม่ใช่ของชมรม ก็คือเป็นของส่วนตัวที่เขาใช้สอนเด็กว่ายน้ำ


“ของไม้เหรอ! ยืมหน่อย ลูกหมาตกบ่อน้ำ!”


“ทำไมมึงไม่ว่ายไปช่วยเองละ”


“เราว่ายน้ำไม่เป็น ขอยืมเถอะ หรือไม่ก็ไม้ลงไปช่วยก็ได้ ขอร้องละ!”


“มึงนี่มีปัญหาทุกอย่างกับชีวิตเหลือเกินนะ หัดเอาตัวรอดโดยไม่ต้องรบกวนคนอื่นได้ไหม”


ยิ่งต่อล้อต่อเถียงนานเท่าไหร่ก็ดูจะไม่เป็นการดีสำหรับชีวิตที่รอความช่วยเหลือ “จะด่าจะชกเรายังไงก็ได้ ไปช่วยหมาก่อน ได้โปรดเถอะ!” เต๋อร้องไห้และพนมมือกราบไม้โดยอัตโนมัติ ชีวิตของเพื่อนตัวน้อยมีค่ากว่าการยึดติดศักดิ์ศรีนี้ แต่ผิดคาด ไม้เป็นคนไม่ชอบเห็นอากัปกิริยาเรียกร้องความเห็นใจในวิธีทำนองนี้ โดยเฉพาะหากผู้ชายเป็นคนทำให้ดูต่อหน้า


“ยังไม่เลิกทำตัวอ่อนแอให้คนเขาสมเพชอีกนะ ที่กูสอนมึงให้หัดกีฬาเนี่ยไม่ทำให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างเรอะ”


“ฮืออออ อย่าเพิ่งพูดเลย ช่วยหมาเราด้วย”


ไม้ก้มมองเต๋อที่หมอบแทบเท้าอย่างครุ่นคิด


“เอาสิ”
.
.
เขาปล่อยลมห่วงยางออกแล้วโยนทิ้งไว้ให้ เต๋ออยากจะร้องลั่นแต่ก็พูดไม่ออกเมื่อเห็นห่วงค่อย ๆ ฟีบลงจนแบนราบ และก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเป่าคืนกลับสภาพเดิมได้ด้วยกำลังตนเองในเวลาอันสั้น


“คนอย่างมึงนี่มันเกิดมาเพื่อสร้างปัญหาจริง ๆ ว่ะ หัดแก้เองซะบ้างนะ”

.
.
.
เมื่อเต๋อกลับไปจุดเดิมอีกครั้ง ไม่มีวี่แววของลูกหมาอีกแล้ว
.
.
เขาได้แต่หวังว่า คงจะมีใครสักคนผ่านมาเห็นและช่วยมันไว้ได้ทันท่วงที
.
.
.
.
.
คำตอบถูกเฉลยขึ้นในเช้าวันจันทร์
.
.
.
.
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!” ครูและนักเรียนมองเต๋อที่ตะโกนลั่นจนทุกคนต้องหันเป็นสายตาเดียว


ซากลูกหมาลอยอืดบวมเป่งชิดมุมบ่อน้ำมุมหนึ่ง เสียงหวี่แมลงวันที่บินตอมร่างยิ่งตอกย้ำความสิ้นหวังหดหู่
.
.
“ปล่อยผม!!”


อารมณ์ขาดสติสั่งให้เต๋อตั้งท่าลุยลงบ่อทั้งที่ตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น ครูวิไลและครูผู้ใหญ่อีกท่านช่วยกันรั้งตัวเต๋อไม่ให้ลงไปเก็บซากลูกหมา ที่จริงหากเต๋อไม่พบก็ยังไม่มีใครสังเกตเพราะเป็นมุมอับสายตา


“ปล่อยผม ฮืออออออ!”


“ตั้งสติหน่อย! มันตายแล้ว เธอช่วยอะไรมันไม่ได้แล้ว! เดี๋ยวครูให้ภารโรงช้อนขึ้นมาให้” ครูวิไลกล่าว
.
.
ไม้ผ่านมาอยู่ในเหตุการณ์พอดีเนื่องจากสงสัยว่ามีคนมุงดูอะไรบางอย่างเนืองแน่น
.
.
ทันทีที่ทั้งสองพบเจอ เต๋อกัดฟันกรอดทั้งน้ำตา ใช้นิ้วชี้ให้ไม้เห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่เขาจงใจให้เกิดขึ้น
.
.
ดูเหมือนว่าไม้ก็เข้าใจดีว่าเต๋อรู้สึกอย่างไรกับเขา แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับไม้


“โธ่เอ้ย นึกว่าไร แค่หมาตัวเดียวทำเป็นเจ้าน้ำตา. . .”
.
.
“. . .คนอ่อนแอ”
.
.

ความรักครั้งแรกและสัตว์เลี้ยงตัวแรกปิดฉากลงพร้อมกัน