ขออนุญาตเสือก เอ๊ย เผือก เอ๊ย เสือกนั่นแหละค่ะ เบา ๆ นะคะคนที่แนะนำว่ารอให้เรียนเฉพาะทาง โดยเฉพาะให้เรียนเฉพาะทางทันตกรรมจัดฟัน เพื่อจะได้มาเปิดคลินิก สวย ๆ รวย ๆ ชิค ๆ นี่คือคนคิดแบบคนนอกวงเกินนะคะ
แม้ดิฉันจะไม่ได้เรียนทันตแพทยศาสตร์ แต่จะบอกว่า คนจะไปต่อเฉพาะทางสาขาทันตกรรมจัดฟันได้ นี่คือต้องผ่านด่าน ดังนี้
1. เรียนจบเกียรตินิยม อย่างน้อยก็อันดับ 2 ขึ้นไป แต่ถ้าได้เกียรตินิยมอันดับ 1 คือ มีโอกาสมากกว่ามาก ๆ แต่ถ้าไม่ได้จบระดับเกียรตินิยม ต้องมีโพรไฟล์อะไรบางอย่างโดดเด่น และมีอาจารย์ดันค่ะ
2. แม้คุณจะมีเกรดดีเยี่ยมในข้อ 1 แต่ก็ใช่ว่าจะได้รับการตอบรับเข้าเรียนทันตกรรมจัดฟันง่าย ๆ นะคะ เพราะหลักสูตรนี้ (ส่วนใหญ่ชื่อ วท.ม. ทันตกรรมจัดฟัน) จะเปิดรับคนมาเรียนน้อยมาก
บางมหาวิทยาลัยรับแค่ 3 คน ต่อ 2 ปี หรือ ถ้ามากหน่อยก็ 5 คน ถ้ามหิดล จะรับเยอะหน่อยสัก 8 - 10 คน
บางมหาวิทยาลัย 3 ปี เปิดรับทีละ 5 คน เพื่อรอให้คนเรียนชุดเก่าจบไปก่อนนะคะ ดังนั้น คนที่จะได้ที่นั่งเข้าเรียนด้านนี้ ก็ต้องมีโพรไฟล์โดดเด่นมาก
3. มีอาจารย์ดัน เช่น ดันเพื่อหมายตาให้มาเป็นอาจารย์สอนในคณะทันตแพทยศาสตร์ ถ้าไม่มีอาจารย์ดัน โอกาสของคุณจะได้น้อยมาก ต้องแบบโพรไฟล์ประมาณเกียรตินิยมอันดับ 1
แล้วก็สอบได้คะแนนเหนือคนอื่น แล้วก็มี connection ภาพรวมดี แม้ไม่มีอาจารย์บางท่านดัน ก็จะมีโอกาสค่ะ
.......
มีน้องที่รู้จักคนหนึ่ง จบทันตแพทย์ ม.รัฐ ภูมิภาคแห่งหนึ่งมีชื่อเสียงด้านทันตะพอสมควร เพราะคณบดีและอาจารย์บางท่านก็ไปจบจาก Harvard Dental School มา
น้องคนนี้จบเกียรตินิยมอันดับ 1 ของคณะ จะได้ทุนอานันทมหิดลด้วยนะคะ แต่น้องไม่ขอรับ เพราะน้องไม่อยากเรียนต่างประเทศ ฝันอยากเป็นหมอฟันด้านจัดฟัน
แต่พอปฎิเสธปุ๊บ อาจารย์ในคณะไม่ดันเลยค่ะ และไม่รับเข้าเรียนหลักสูตร วท.ม. ทันตกรรมจัดฟัน ในปีนั้น ซึ่งรับแค่ 3 คน ทั้งประเทศ
โดยไปรับคนจบ เกียรตินิยมอันดับ 2 จาก ม.เชียงใหม่ มา 1 คน แทนน้องที่ปฏิเสธรับทุน เพื่อกลับมาเป็นอาจารย์ที่มอ
ส่วนอีก 2 คน ก็เป็นเด็กดันในคณะที่เพิ่งจบรุ่นเดียวกัน ก็จบเกียรตินิยมอันดับ 1 ทั้ง 2 คน แต่ว่าไม่ได้เกรดสูงสุด ก็สรุปว่ารับเรียน 3 คน แล้วก็ไม่เปิดอีก 3 ปี
แล้วน้องคนที่ปฏิเสธรับทุน ก็พยายามหาที่เรียนด้านจัดฟันในไทย ซึ่งไปสมัครจุฬา ก็ไม่ได้
เพราะจุฬา ก็มีเด็กเขาเอง โพรไฟล์เจ๋งๆ ก็หลายคน แล้วก็รับคนจากมหิดลมาเรียนด้วยนิดหน่อย ปีหนึ่งจุฬาก็รับแค่ 5 - 8 คนเอง
น้องก็ไปหาสมัครที่ ม.เชียงใหม่ ก็ไม่ได้อีก เพราะทางเชียงใหม่ เขาก็เตรียมคนของเขาไว้เช่นกัน ปีนั้นเปิดรับ 5 คน คือไม่ได้เลย
ตลอดระยะเวลา 3 ปี น้องไม่ได้ที่เรียนด้านจัดฟันเลย จนถอดใจ พ่อแม่น้องซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็เลยมาคุยกับดิฉันว่า จะให้ลูกไปเรียนเมืองนอกดีไหม แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก
ทีนี้ ปีที่ 4 น้องดันโดนเรียกจากมหิดล ซึ่งเป็นอันดับสำรองอันดับ 1 ไว้ เพราะมีคนหนึ่งที่มหิดล สละสิทธิ์ เพราะหมอผู้หญิงนางนี้นางได้ผัวหนุ่มญี่ปุ่นงานดี
แล้วนางก็ได้แต่งงาน แล้วผู้ญี่ปุ่น กึ่ง ๆ บังคับให้ไปเป็นภรรยาที่แสนดีที่ญี่ปุ่นด้วย เดี๋ยวจะเลี้ยงดูเอง นางก็เลยไป ตามคำเรียกร้องผัว ไม่งั้นผัวจะเลิกค่ะ
แล้วก็เหมือนไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ Tokyo Medical and Dental University ค่ะ แรก ๆ ได้ยินว่าเป็นนักวิจัยช่วยผัว แตผัวบอกให้อยู่บ้านเฉย ๆ เลี้ยงลูกไปดีกว่า
เดี๋ยวผัวมีหน้าที่หาเงิน ดูแล และกลับบ้านมา ก็ให้ผัวตอกหีให้แฉะแล้วหล่อนก็เลี้ยงลูกก็พอนะจ๊ะ นางก็ happy ระดับหนึ่ง
ส่วนน้องที่รู้จัก ที่ปฏิเสธรับทุน ก็ได้เข้าไปเรียนที่มหิดล แบบงง ๆ โชคดีมาก เพราะไม่งั้นพ่อแม่น้องก็คงจะไปกู้เงินมาส่งไปเรียนเมืองนอก ตอนแรกก็เล็ง ๆ ที่อเมริกาไว้
น้องก็ไปสอบภาษาอังกฤษ พวก TOEFL ไว้แล้ว ได้คะแนนดี ก็จะได้ไปแล้ว ก็ไปเรียนมหิดลแทน ตอนนี้ยังเรียนไม่จบนะคะ เห็นว่าหาเคสก็ยากแสนยาก
น้องบ่นประมาณว่า นี่คิดถูกหรือคิดผิดที่อุตสาห์อดทนรอ 4 ปี ตระเวนสอบเพื่อได้เรียนทันตกรรมจัดฟัน ไม่เลือกเรียนด้านอื่น ที่เปิดเฉพาะทางให้เรียนมากกว่า
เพราะพอจะหาเคส ก็หายาก ไม่ค่อยมีคนให้ยอมมาเป็นเคสกับหมอฝึกหัด แล้วต้องเก็บข้อมูลวิจัยต่อเนื่องไงคะ ตอนนี้เรียน 3 ปี แล้วยังไม่รู้ว่าจะจบกี่ปี เพราะต้องทำ paper จบด้วย
น้องบอกว่าอาจจะเรียน 5 ปี มั้ง หลักสูตรนี้ นึกว่าจะเรียน 2 - 3 ปี ที่ไหนได้ ลากยาวไป 5 ปี นึกว่าเรียนแพทย์เฉพาะทาง ได้ วว. ที่ปกติเรียน 3 - 4 ปี
เห็นไหมคะ จะเรียนจัดฟัน ไม่ใช่นึกอยากเรียนก็เรียนได้นะคะ
ไว้ว่าง ๆ จะมาแชร์ประสบการณ์อื่น ๆ อีกค่ะ
แล้วน้องคน