ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรี “ภูมิธรรม-ทวี” สิ้นสุดลงหรือไม่ กรณีถูกกล่าวหาใช้ดีเอสไอแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือก สว. แต่ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
วันนี้ (26 มี.ค.2568) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ผลการประชุมวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องของ พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภารวม 92 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภาและส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

อ้างถึงกรณีนายภูมิธรรม ในฐานะประธานกรรมการคดีพิเศษ และ พ.ต.อ.เอกทวี ในฐานะรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เสนอเรื่องให้สอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ปี 2567 ต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ เพื่อมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตามกฏหมายการสอบสวนคดีพิเศษนั้น

เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือก สว. อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่และครอบงำสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม

จึงถือได้ว่านายภูมิธรรมและ พ.ต.อ.เอกทวี ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่ากรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (4) จึงมีมติเป็นเอกฉันท์รับคำร้องไว้พิจารณา และให้ผู้ถูกร้องทั้งสองยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

ทั้งนี้ ศาลมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่สั่งให้นายภูมิธรรม และ พ.ต.อ.ทวี หยุดปฎิบัติหน้าที่ตามคำร้อง เนื่องจากข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบยังไม่ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง