ก็เห็นอีแก่พูดไว้หลายอย่างในกระทู้https://www.palm-plaza.com/CCforum/DCForumID3/243543.html?39
Samsung รวยและยิ่งใหญ่คับโลกกว่า CP เป็นสิบเท่า บริษัทรวย แต่เจ้าของเขาถือครองทรัพย์สินน้อยมาก น้อยกว่า CP ซะอีก เพราะฉะนั้น สลิ่มจะมาบอกว่า พวกแชโบล เหมือน เจ้าสัว หน้าเลือดในไทยไม่ได้ค่ะ ต่างกันราวฟ้ากับเหว แชลโบวแม่งทำเพื่ประเทศชาติของจริง ทำเพื่อส่วนรวม ปฎิรูปตัวเองให้ประเทศชาติ กระจายความเจริญ กระจายความมั่งคั่งในสังคม เกาหลีใต้เขาปฎิรูปที่ดิน ปฎิรูปภาษีมรดก กันมาหมดแล้ว
กะลาแลนด์ไม่เคยทำเหี้ยไรสักอย่าง ยุคหลังรัฐบาบเผด็จการทหารยังสนับสนุนการผูกขาดด้วย คอรัปชั่นให้นายทุนหนุนตัวเอง อุบาทว์ชาติชั่ว อีกบ้านชาติ กะลาแลนด์ก็ไม่มีวันเจริญค่ะ
แชลโบ ของเกาหลี เขาปฎิรูปจนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
รัฐบาลเขาใช้กลไกกระจายรายได้จากคนรวยออกมาสู่คนจน ทำให้เกาหลีใต้มีชนชั้นกลาง เป็นประชากรหลักของประเทศได้สำเร็จ
อีกประเทศก็คือญี่ปุ่น นี่เขาก็มีไซบัทซึ แต่ตอนนี้ถูกปฎิรูปให้เป็นแค่ เคเรตซึ
สถานการณ์ไทยใกล้เคียงสุดคือ รัสเซีย อินเดีย โน้นจ้ะ
เจ้าสัวไทยควรเอาไปเทียบกับพวกโอลิกาช ฃของรัสเซียมากกว่า ไม่ก็พวกเศรษฐีในพม่า ที่กินรวบและฮั้วกับพรรคการเมืองทหาร กองทัพ ไรแบบนั้น
ไปหาอ่านเรื่องโอลิกาช ของรัสเซียนะ
เคยตั้งคำถามไหมอ่ะ ทำไมบริษัทซัมซุงซึ่งรวยกว่าบริษัทซีพีเป็นร้อยเท่า แต่ทำไมตระกูลลี เจ้าของซัมซุง กลับไม่ได้รวยกว่าตระกูลเจียไต๋ เจ้าของซีพีของไทย?
ทำไมคนรวยในไทยรวยล้นฟ้า รวยหน้าเดิมๆ คนชนชั้นปานกลางน้อย คนจนมากที่สุด
ทำไมช่องว่างคนรวยและคนจนในไทย มันถึงห่างออกจากกันมากเหลือเกิน เคยมีคำถามแบบนี้อยู่ในหัวกันบ้างไหม?
เกาหลีใต้เขากระจายรายได้ กระจายความเจริญจากคนรวย ไปสู่คนในสังคม ทำให้คนเกาหลีในภาพรวมกินดีอยู่ดี รายได้สูงไปพร้อมๆ กัน
ซัมซุงมีขนาดธุรกิจ 288.9 แสนล้านดอลลาห์ เจ้าของซัมซุงกลับมีทรัพย์สินแค่ 2.09 หมื่นล้านดอลลาห์
แถมเสียชีวิตก็ต้องเสียภาษีมรดกอัตรา 50% ล่าสุดประกาศมาว่าหมื่นกว่าล้านดอลลาห์หรือมากกว่าสามแสนล้านบาท ที่ต้องจ่าย ซึ่งก็คือคนรวยต้องจ่ายเงินคืนสู่สังคมมหาศาลมาก ซึ่งในไทยไม่เคยจัดการภาษีมรดกคนรวยจริงจังแบบเกาหลีใต้
ถ้าจะทำมองแค่ว่า ซีพี เหมือนซัมซุง ก็ไม่ควรเพียงแค่สนับสนุนกลุ่มทุนใหญ่ด้านนโยบายแต่ก็ต้องให้กลุ่มธุรกิจตอบแทนสังคมเหมือนที่เกาหลีใต้เขาทำด้วย คือการลดขนาดสัดส่วนความเป็นเจ้าของกิจการลง เพื่อให้รายได้กระจายไปหลายส่วน ไม่เก็บความมั่งคั่งไว้กับพวกตัวเองจนหมด เพราะการกระจายรายได้จะเพิ่มการบริโภคลดความเหลื่อมล้ำ และมีการจัดเก็บภาษีมรดกอย่างที่เกาหลีใต้ทำด้วย ประเทศเกาหลี เขาสนับสนุนแชลโบ ก็เพื่อมาช่วยพยุงประเทศ พัฒนาชีวิตคนในประเทศ ไม่ใช่ร่ำรวยกับแต่นายทุน ศักดินา นักการเมือง ทหาร อยู่กลุ่มพวกนี้ แบบไทยนะ
นี่แค่ตัวอย่างๆหนึ่ง ยังมีในอีกหลายมิติในสังคม ดูเผินๆไทยเหมือนจะมีแชโบลแบบเกาหลีใต้ แต่การจัดการไทยไม่เหมือน ไม่โปร่งใส และยุติธรรมแบบเกาหลี ญี่ปุ่น
ของไทย นายทุน ทหาร รัฐบาล มันร่วมหัวกันคอรัปชั่น มาทุกยุคทุกสมัย คนไทยฐานรากไม่เคยถูกช่วยเหลือ โอกาสไม่เคยไปถึงเหมือนเดิม เกาหลีใต้เขากระจายรายได้ กระจายความเจริญจากคนรวย ไปสู่คนในสังคม ทำให้คนเกาหลีในภาพรวมกินดีอยู่ดี รายได้สูงไปพร้อมๆ กัน
ซัมซุงมีขนาดธุรกิจ 288.9 แสนล้านดอลลาห์ เจ้าของซัมซุงกลับมีทรัพย์สินแค่ 2.09 หมื่นล้านดอลลาห์
แถมเสียชีวิตก็ต้องเสียภาษีมรดกอัตรา 50% ล่าสุดประกาศมาว่าหมื่นกว่าล้านดอลลาห์หรือมากกว่าสามแสนล้านบาท ที่ต้องจ่าย ซึ่งก็คือคนรวยต้องจ่ายเงินคืนสู่สังคมมหาศาลมาก ซึ่งในไทยไม่เคยจัดการภาษีมรดกคนรวยจริงจังแบบเกาหลีใต้
ถ้าจะทำมองแค่ว่า ซีพี เหมือนซัมซุง ก็ไม่ควรเพียงแค่สนับสนุนกลุ่มทุนใหญ่ด้านนโยบายแต่ก็ต้องให้กลุ่มธุรกิจตอบแทนสังคมเหมือนที่เกาหลีใต้เขาทำด้วย คือการลดขนาดสัดส่วนความเป็นเจ้าของกิจการลง เพื่อให้รายได้กระจายไปหลายส่วน ไม่เก็บความมั่งคั่งไว้กับพวกตัวเองจนหมด เพราะการกระจายรายได้จะเพิ่มการบริโภคลดความเหลื่อมล้ำ และมีการจัดเก็บภาษีมรดกอย่างที่เกาหลีใต้ทำด้วย ประเทศเกาหลี เขาสนับสนุนแชลโบ ก็เพื่อมาช่วยพยุงประเทศ พัฒนาชีวิตคนในประเทศ ไม่ใช่ร่ำรวยกับแต่นายทุน ศักดินา นักการเมือง ทหาร อยู่กลุ่มพวกนี้ แบบไทยนะ
นี่แค่ตัวอย่างๆหนึ่ง ยังมีในอีกหลายมิติในสังคม ดูเผินๆไทยเหมือนจะมีแชโบลแบบเกาหลีใต้ แต่การจัดการไทยไม่เหมือน ไม่โปร่งใส และยุติธรรมแบบเกาหลี ญี่ปุ่น
ของไทย นายทุน ทหาร รัฐบาล มันร่วมหัวกันคอรัปชั่น มาทุกยุคทุกสมัย คนไทยฐานรากไม่เคยถูกช่วยเหลือ โอกาสไม่เคยไปถึงเหมือนเดิม
****
สรุปนะคะ กูไม่สนใจเรื่องเหลื่อมล้ำหีแตดหีคันอะไรนั่น
แต่กูยังยืนยันว่า การเก็บภาษีเป็นอาชญากรรมที่รัฐถือสิทธิอันไม่ชอบธรรมในการไปกรรโชกทรัพย์ประชาชน
ทำให้คนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ หรืออยากมีลูก ส่งผลให้อัตราเจริญพันธุ์ของเกาหลีใต้ต่ำที่สุดในโลก และญี่ปุ่นก็มี
จำนวนประชากรติดลบมากที่สุดในโลก หายไปวันละ พันห้า ปีละ ห้าแสน และยังเป็นสาเหตุสำคัญในการย้าย
ออกของคนนอร์เวย์ ทั้งฆ่าตัวตาย คนหยุดมีลูก ย้ายออก ทั้งหมดล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเก็บภาษี โดย
เฉพาะภาษีรายได้ และภาษีทรัพย์สิน(ที่ดิน รถ)
นี่ค่ะ ข่าวคนนอร์เวย์ย้ายออกนอกประเทศ หนีภาษี
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/194212
มหาเศรษฐีนอร์เวย์แห่ย้ายประเทศ หลังมีการปรับขึ้นภาษีคนรวย
6.5k
แชร์ :
หลังรัฐบาลนอร์เวย์ขึ้นภาษีความมั่งคั่ง หรือภาษีคนรวย ก็ทำให้มหาเศรษฐีในประเทศพากันย้ายออกไปอยู่ประเทศที่เก็บภาษีน้อยกว่า
นอร์เวย์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ชื่อว่าเก็บภาษีแพงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพื่อแลกมากับสวัสดิการสาธารณะและคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ล่าสุดหลังรัฐบาลนอร์เวย์มีมติขึ้นภาษีความมั่งคั่ง หรือภาษีคนรวย เมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ก็ทำให้มหาเศรษฐีในประเทศพากันย้ายออกมากเป็นประวัติการณ์ โดยย้ายไปอยู่ประเทศที่เก็บภาษีต่ำกว่าแทน
หนังสือพิมพ์ Dagens Naeringsliv รายงานว่า มีมหาเศรษฐีชาวนอร์เวย์มากกว่า 30 คนย้ายออกจากประเทศในปี 2022 ที่ผ่านมา
ตัวเลขดังกล่าว ถือว่ามากกว่าจำนวนคนรวยทั้งหมดที่เดินทางออกจากประเทศในช่วง 13 ปีที่ผ่านมารวมกันเสียอีก และคาดว่าในปีนี้จะมีมหาเศรษฐีอีกจำนวนมากที่จะออกจากนอร์เวย์เนื่องจากการขึ้นภาษีความมั่งคั่ง ทำให้รัฐบาลน่าจะสูญเสียรายรับจากเงินภาษีไปมหาศาล
ตามกฎหมายนอร์เวย์ เศรษฐีที่ร่ำรวยจะต้องเสียภาษีความมั่งคั่ง 2 ต่อ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐ ประกอบด้วยภาษีเทศบาล 0.7% สำหรับสินทรัพย์ที่มีมุลค่าเกิน 1.7 ล้านโครน (5.5 ล้านบาท) สำหรับบุคคลธรรมดา หรือ 3.4 ล้านโครน (11 ล้านบาท) สำหรับผู้ที่มีคู่สมรส
นอกจากนี้ยังมีอัตราภาษีความมั่งคั่งในระดับรัฐอีก 0.3% สำหรับสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า 1.7 ล้านโครน และได้เพิ่มอัตราภาษีความั่งคั่งของรัฐเป็น 0.4% สำหรับสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากกว่า 20 ล้านโครน (65 ล้านบาท) สำหรับบุคคลธรรมดา และ 40 ล้านโครน (131 ล้านบาท) สำหรับคู่รัก ทำให้เศรษฐีอาจต้องเสียภาษีความมั่งคั่งสูงสุดที่ 1.1%
มหาเศรษฐีนอร์เวย์หลายคนเลือกที่จะย้ายไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเรียกเก็บภาษีคนรวยน้อยกว่า หนึ่งในนั้นคือ เชลล์ อินเก ร็อกเก มหาเศรษฐีวัย 64 ปี ผู้เดิมทีเป็นชาวประมง แต่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจอุตสาหกรรมจนประสบความสำเร็จ โดยเขาย้ายไปอยู่ที่เมืองลูกาโนของสวิตเซอร์แลนด์
ร็อกเกเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 4 ของนอร์เวย์ มีทรัพย์สินประมาณ 1.96 หมื่นล้านโครน (6.4 หมื่นล้านบาท) เขากล่าวว่า ผมเลือกลูกาโนเป็นที่พักอาศัยใหม่ของผม มันไม่ใช่ที่ที่ถูกที่สุดหรือเก็บภาษีที่ต่ำที่สุด แต่เป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในทำเลใจกลางเมืองของยุโรป
การย้ายประเทศของร็อกเกจะทำให้นอร์เวย์สูญเสียรายได้จากภาษีไปประมาณ 175 ล้านโครน (ราว 573 ล้านบาท) ต่อปี สื่อ Dagens Næringsliv คำนวณว่า นับตั้งแต่ปี 2008 เขาจ่ายภาษีไปแล้วประมาณ 1.5 พันล้านโครน (4.9 พันล้านบาท)
ด้าน โอเล เยมส์-ออนสตัด ศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งวิทยาลัยธุรกิจนอร์เวย์ ประเมินว่า เศรษฐีที่ย้ายออกจากนอร์เวย์ไปนี้ มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกันมากกว่า 6 แสนล้านโครน (1.96 ล้านล้านบาท)
ขณะที่ เออร์เลนด์ กริมสตัด รัฐมนตรีกระทรวงการคลังนอร์เวย์ บอกว่า เขาหวังว่าเศรษฐีชาวนอร์เวย์จะกลับมา
หากคุณประสบความสำเร็จและร่ำรวยในนอร์เวย์ เราหวังว่าคุณจะอยู่และมีส่วนร่วมในสังคมนอร์เวย์ต่อไป เราสนับสนุนให้ชาวนอร์เวย์ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานะและความร่ำรวย และเราเชื่อว่ารูปแบบของนอร์เวย์ที่มีระบบสวัสดิการสาธารณะที่แข็งแกร่งและระดับการศึกษาสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้ เขากล่าว
กริมสตัดเสริมว่า รูปแบบในนอร์เวย์คือทุกคนควรมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถ ดังนั้นผู้ที่มีความสามารถในการจ่ายภาษีมากกว่า ก็ควรจ่ายมากขึ้นเล็กน้อย
ส่วนเรื่องที่กะเทยรีบนบอกว่า เขาเสียภาษีกันน้อยเมื่อเทียบกับรายได้ที่ได้ เขาจะมาเดือดร้อนทำไม นั่นไม่ใช่ประเด็นค่ะ
ต่อให้ไม่ต้องเสีย แต่ต้องไปรายงานรายได้ให้มันได้รู้ เหมือนที่กะลาแลนด์ทำ คนก็ไม่สบายใจอยู่ดี
เพราะมันกระทบความเป็นส่วนตัวของรายได้ประชาชน ทำไมประชาชนต้องมีหน้าที่ไปรายงานรายได้ตนให้มึงรู้
ด้วย ถ้าไม่ต้องเสียภาษี มึงก็ไม่จำเป็นต้องรู้ อย่างเช่นถูกรางวัลที่ 1 ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ มีรายได้เกิน 1.2 แสนต่อปี แต่ไม่เกิน 3.1 แสน ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ แต่ต้องไปรายงานให้มึงรู้ ถ้าไม่ไป เสีย 2 พัน แบบนี้มันคือเผด็จการ บ้าอำนาจ คนเขาถึงเบื่อกัน ฆ่าตัวตาย หยุดมีลูก หรือย้ายออก