ผมเป็นเด็กใหม่ เข้ามาทำงานได้ปีกว่า
ได้รับการต้อนรับที่ดีจากพี่ๆ ในออฟฟิศ บรรยากาศดี มีทั้งรุ่นใกล้กัน รุ่นกลาง และรุ่นใหญ่
มีพี่แผนกอาคารคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่าสนิทกับพี่เขามาก (แบบพี่ชาย น้องชาย)ผมจบการเงินมา ก็มีความรู้เรื่องการออม กองทุน พี่เขาก็มาปรึกษาผม ซื้อยังไง ออมยังไง
เพราะเขาอายุ 50 แล้ว ยังไม่มีเงินเก็บ อยากเก็บเงินให้ได้
ก็สนิทกันไปไหนมาไหนด้วยกันกับกลุ่มพี่เขา ประมาณ 3-4 คน
ผมไม่มีรถยนต์ส่วนตัว เวลาเขาไปกินข้าวข้างนอก เขาก็เรียกผมไปด้วย
เวลาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในกองผมเสีย เขาก็มาซ่อมตามหน้าที่ (พี่เขาจบวิศวกรรม)
ความสัมพันธ์เป็นไปได้ด้วยดี เวลาแม่ผมทำกับข้าว แม่ผมก็ทำมาเผื่อ เพราะผมเล่าให้ฟังว่ามีพี่ชายที่ออฟฟิศ
เวลาพี่เขาอยากได้อะไร แล้วเงินสดไม่พอ เขาจะขอยืมบัตรเครดิตผมไปผ่อนชำระ
ไม่เคยมีปัญหา เขาจัดการเรื่องเงินผ่อนได้ดี แต่ถ้าให้จ่ายสด เขาจะมีไม่พอ เพราะเก็บเงินไม่เป็น
บางทีเงินสดไม่พอ หลักร้อย หรือซื้อของกินริิมทาง เขาก็ขอให้ผมช่วยจ่ายก่อน สิ้นเดือนเขาก็จ่ายคืน
บางทีก็ยืมค่าน้ำมันรถ 2,000 บ้าง 4,000 บ้าง ซึ่งเขาก็จ่ายคืนทุกงวด
เขาบอกว่าพี่เป็นคนใช้เงินไม่เป็น มีเท่าไหร่ใช้หมด ต้องรบกวนเราบ่อยๆ
ผมก็ดีใจที่เขาเห็นเราสำคัญ ผมก็เต็มใจให้ยืม
สิ้นเดือนพี่เขาก็โอนคืนทุกบาททุกสตังค์ ไม่เคยช้า
เวลามีงานเอกสารที่ต้องแปลภาษาอังกฤษ ผมก็ไปช่วย หรือทำเอกสารประเมินตนเองผมก็ช่วย
เขาบอกว่า เรื่องใช้แรง พี่ทำให้ แต่เรื่องใช้สมอง เราทำให้พี่
ความสัมพันธ์ดำเนินมาด้วยดีตลอด ผมก็รักเขาเหมือนพี่ชาย
เราสองคนชอบวิ่งเหมือนกัน เลิกงานก็ไปวิ่งด้วยกันสองคน ต่างคนต่างวิ่ง สองทุ่มก็มาเจอกันที่รถ
หลังๆ มา ผมเห็นเขาไปกินข้าว แล้วไม่ค่อยชวนผม ผมก็ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น แต่ชวนทุกคนในกลุ่มไปปกติ
บางทีผมมีธุระที่ต้องไปติดต่อกองคลัง ขอรถออฟฟิศแล้วไม่ว่าง จะให้พี่เขาไปส่ง
เมื่อก่อน เขาไม่เคยถามเลย แค่บอกว่า มารอที่รถเลย เดี๋ยวไปส่ง
ตอนนี้จะถามก่อนว่าจะให้พี่ไปส่งเหรอ ถามรถของออฟฟิศหรือยัง ว่างไหม
ผมบอกว่าไม่มีว่างเลยครับ แต่ถ้าพี่ไม่ว่าง เดี๋ยวผมนั่งแกร็บไปครับ
ช่วงแรก ผมไม่เอะใจเลย คิดว่าเขายุ่ง
เหตุการณ์หนึึ่งที่ผมเริ่มคิดได้คือ หลังๆ เขาไม่ชวนไปกินข้าว และไม่ได้ชวนไปวิ่ง
ผมคิดว่าเขายุ่ง วันนึง ผมเครียดเรื่องาน เลยเรียกแกร็บไปส่งที่สนามกีฬา
เจอเขามากับน้องคนนึงที่ออฟฟิศ (เป็นผู้ชายอีกแผนก เป็นช่างเหมือนกัน)
เขาก็ทำหน้ายุ่งยากใจที่เจอผม ผมก็มีคำถามในใจ ทำไมมาวิ่งไม่ชวนเรา
ล่าสุด งานเลี้ยงเกษียณพี่ในออฟฟิศ จัดที่โรงแรมนอกเมือง
ผมก็โทรไปถามพี่เขาว่า พี่ครับ วันนี้พี่ไปงานเลี้ยงไหม ถ้าไป ผมขอติดรถไปด้วยนะครับ
พี่เขาก็นิ่งไปซักพัก แล้วก็ถามว่า จะไปกับพี่เหรอ
เดี๋ยวพี่โทรเรียกนะ
แล้วเราก็ไปด้วยกัน
ผมเป็นคนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่ด้วยความที่สนิทกันกับพี่เกษียณ เลยไปนั่งกินข้าวในงานแล้วเอาของขวัญไปให้
พี่ชายคนนี้ เขาก็สนุกกับงาน ร้องคาราโอเกะ
เวลาผ่านไปประมาณสี่ทุ่ม ผมอยากกลับบ้านมาก ปวดหัวเพราะผมไม่ชอบงานเลี้ยงเสียงดัง
จะกลับก่อนก็กลัวเสียมารยาท เลยโทรหาพี่เขา
พี่เขาบอกว่า พี่ออกมาแล้ว ตั้งแต่สองทุ่ม
เรายังไม่กลับเหรอ ?
ผมตอบว่า ผมจะกลับก่อนก็กลัวเสียมารยาท เลยรอกลับพร้อมพี่
พี่กลับก่อนก็ไม่บอกผม ผมจะได้หาทางกลับเอง นี่ผมรอพี่จนถึงตอนนี้ ผมไม่รู้เลยว่าพี่กลับแล้ว
ผมก็เรียกแกร็บกลับเอง ในใจก็คิด เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ทำไมเป็นแบบนี้
สองสามวันมานี้ก็เจอหน้ากันก็มองหน้ากัน ไม่ได้คุยกัน ไลน์ก็ค้างไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ไม่เคยคุยกันอีกเลย
................
ผมสาบานได้ว่าไม่ใช่เรื่องแต่ง เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องความรักแบบ ช-ช
พี่เขามีเมียแล้ว แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
แล้วผมก็เคารพเขาเหมืิอนพี่ชายแท้ๆ
ตอนนี้ความสัมพันธ์เลยไม่เหมือนเดิม เจอกันในลิฟต์ เขาก็ยิ้มให้ ผมก็ยิ้มไม่ออก
เพราะเสียใจเรื่องถูกทิ้งมาก บวกกับเหมือนเป็นส่วนเกินของเขา
เลยเฟดตัวออกมาก่อน
ปัญหาคือ ผมจะจัดการความสัมพันธ์ยังไง จะกลับไปเหมือนเดิมก็ทำใจลำบาก
จะมึนตึงผมก็ไม่ใช่คนแบบนั้น ทุกวันนี้เจอกันก็ก้มหัวทักทายนิดนึง ไม่ได้คุยอะไรต่อ
ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำแบบต้องห่างกัน ทำไมทำกับผมไม่เหมือนเดิม
ผมปรึกษาแม่ แม่บอกว่า ไม่ต้องถามหรอก การที่เขาไม่ชวนเราไปกินข้าว ไม่ชวนเราไปวิ่ง
ก็หมายถึงเขาไม่สะดวกใจให้เราไปด้วย เราไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตเขา
ไม่ต้องไปถามเขาหรอกว่า ทำไมไม่ชวนผมไปด้วยแต่ชวนคนอื่นในแก๊งไปหมด เพราะการไม่ชวนมันก็คือคำตอบที่ชัดเจนแล้ว
เขาไม่ชวนก็เพราะเขาไม่อยากให้ไปด้วย จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
เราอยากไปก็ไปเอง เดี๋ยวแม่ออกรถให้ จะได้ไปทำงานสะดวก จะไปวิ่งก็ไปเอง
ส่วนเรื่องเงิน เรื่องบัตรเครดิต ก็มีงวดผ่อนชำระอีก 8 งวด อันนี้ไม่ได้บอกแม่
ก็คงให้เขาผ่อนไปแบบเดิม
แต่ก่อนหน้านั้น พี่เขาบอกว่า ผ่อนตัวนี้หมดแล้ว จะขอยืมผ่อนโน้ตบุ๊ก ผ่อนรองเท้าวิ่ง
ผมควรจะให้ยืมผ่อน หรือปฏิเสธดี หรือบางทีเขาอาจจะไม่กล้ามายืมแล้วก็ได้ เพราะกลังจากงานเกษียณ
เขาก็ดูเกรงใจ เข้าหน้าผมไม่ติด
เรื่องเอกสาร ตอนนี้พี่เขาก็ให้คนในกองอื่นช่วยแปล ก็ช้าบ้างตามงานราชการ
เพราะคนอื่นเขาก็ยุ่งงานเขา ก็รู้ว่าเขาน่าจะทำงานยากอยู่
แต่ของผม เมื่อก่อนผมจะเอางานพี่เขามาทำให้ก่อนงานตัวเอง มันเลยเร็ว
แม่ผมรู้ก็ดุผมว่า เอางานตัวเองให้รอด ก่อนทำงานคนอื่น
ยาวหน่อยนะครับ ขอบคุณที่รับฟัง เพราะไม่รู้จะคุยกับใครในออฟฟิศ เพราะปรึกษาแล้วก็คงรู้กันหมด
รู้ไปถึงพี่เขาด้วย แล้วก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก (แต่มันติดในใจ ทำเอาผมนอนไม่กลับ)
ที่ติดในใจคือเสียดายวันเวลาดีๆ เราก็คิดว่าเขารักเราเหมือนน้อง
เลยเฟลนิดๆ แต่งานก็เยอะ ผิดปีงบประมาณ เลยทำให้พอไม่คิดเรื่องนี้ไปซักพัก
ตอนนี้ กลับมาเสียใจ ว่าเราควรจะไปคุยกับเขาดีๆ หรือพอแค่นี้ ไม่คิดอะไรแต่รักษาระยะห่าง
แม่บอกผมไม่ให้ไปช่วยอะไรเขาแล้ว ให้รู้หน้าที่ตัวเอง เรื่องกินข้าว ก็ให้สั่งมากิน
ไปวิ่งก็รอรถใหม่เดือน ตค แล้วก็ให้ไปเอง
(เรื่องเงิน เรื่องบัตรเครดิตแม่ไม่รู้)