ถ้า อาณาจักรอยุธยา = ประเทศไทยคนไทยกับเขมร คือต้องเป็นญาติที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด มากกว่าลาวและจีนด้วย เพราะเขมรนับว่ามีบทบาทต่อสังคมอยุธยามาตั้งแต่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา เพราะอาณาจักรเขมรโดยเฉพาะในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้แผ่อิทธิพลเข้ามายังบริเวณภาคกลางของสยาม และ ชาวเสียม ก็มีส่วนร่วมในสงครามที่เขมรทำกับจาม ปรากฏเป็นภาพสลักที่ปราสาทนครวัดที่มีชื่อเรียกว่า เสียมกุก
นอกจากนี้ เขมรยังได้ทิ้งร่องรอยทางศิลปกรรมเอาไว้ในรูปที่เรียกว่า ศิลปะบายน (Bayon Art) เช่น ปรางค์สามยอดที่เมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ปราสาทสระมรกตที่เมืองศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ปราสาทวัดกำแพงแลงเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ฯลฯ
จารึกปราสาทพระขรรค์ ซึ่งทําขึ้นโดยพระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้กล่าวถึงนามเมืองสำคัญในเขตภาคกลางของสยาม 6 เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงส่งพระพุทธรูปจำหลักแทนพระองค์ที่เรียกว่า พระชัยพุทธมหานาถ ไปประดิษฐานไว้ เมืองทั้งหกมีรายนามและข้อสันนิษฐานถึงอาณาเขตที่ตั้งกันดังต่อไปนี้
(1) ลโวทยปุระ (ละโว้ ลวปุระ หรือลพบุรี จังหวัดลพบุรี)
(2) สุวรรณปุระ (อาจเป็นที่เนินทางพระ สามชุก หรือไม่ก็ตัวเมืองสุพรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี)
(3) ศัมพูกปัฏฏะนะ (เมืองโบราณที่สระโกสินารายณ์ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี)
(4) ชัยราชปุระ (มีศูนย์กลางอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี ซึ่งมีร่องรอยการเป็นปราสาทเขมรเก่า)
(5) ศรีชัยสิงหปุระ (บางท่านว่าเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี ขณะที่บางท่านเห็นต่างว่าเป็นเมืองสิงห์บุรีเก่าที่ตําบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี แต่โดยทั่วไปยอมรับว่าคือเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี)
(6) ศรีชัยวัชรปุระ (ศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทวัดกำแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี)
ปราสาทเขมรได้พัฒนาคลี่คลายรูปแบบต่อมากลายเป็นมหาธาตุทรงปรางค์ บางครั้งเรียกว่า ทรงฝักข้าวโพด เพราะเป็นเจดีย์ที่มีรูปทรงคล้ายข้าวโพด มหาธาตุทรงปรางค์ถือเป็นประธานหลักของเมืองสำคัญต่างๆ อาทิ ปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองลพบุรี ปรางค์ประธาน วัดมหาธาตุวรวิหาร เมืองราชบุรี ปรางค์ประธานวัดมหาธาตุ เมืองเพชรบุรี ปรางค์ประธานวัดจุฬามณีและวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก ปรางค์ประธานวัดหน้าพระธาตุ เมืองสิงห์บุรี ปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองสุพรรณบุรี และวัดมหาธาตุ กรุงศรีอยุธยา ก็เป็นมหาธาตุทรงปรางค์ เช่นกัน มหาธาตุทรงปรางค์นี้เป็นที่นิยมทำมาจนถึงวัดอรุณราชวรารามหรือวัดแจ้งที่กรุงเทพฯ
จากการที่เขมรเป็นศูนย์กลางการแพร่วัฒนธรรมอินเดียโบราณ ทำให้วัฒนธรรมเขมรที่ผสมผสานระหว่างอินเดียกับพื้นเมืองกลายเป็นต้นแบบของวัฒนธรรมจารีตในรัฐลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยารุ่นหลัง ที่ยังคงอ้างอิงและสร้างสิทธิธรรมจากการสืบทอดวัฒนธรรมเขมรยุครุ่งเรืองหรือเขมรพระนคร ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีหลวงหรือขนบธรรมเนียมของราชสำนักหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาษาราชสำนักหรือราชาศัพท์ก็พัฒนามาจากภาษาเขมรโบราณ ภาษานี้ใช้สื่อสารแพร่หลาย ดังจะเห็นได้จากจารึกและใบลานสมัยอยุธยา ที่นิยมจดจารด้วยภาษาเขมรโบราณ การพระราชพิธี 12 เดือน (ทวาทศมาส) พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ไปจนถึงการแต่งกายของชนชั้นนำอยุธยาในยุคต้นและศิลปะการฟ้อนรำต่างๆ รวมถึงพิธีกรรมต่างๆ ที่พราหมณ์เขมรมีบทบาทต่อราชสำนักอยุธยา
ญาติชิดสนิทใกล้ ชนชั้นนำอยุธยากับเขมรพระนคร
ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างอยุธยากับเขมรยังมีสาเหตุปัจจัยมาจากความเป็นเครือญาติชาติพันธุ์ระหว่างชนชั้นนำทั้งสองบ้านเมือง โดยเฉพาะราชวงศ์อู่ทองที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับเขมรพระนคร เพราะเมืองลพบุรีเคยเป็นเมืองลูกหลวงของเขมรพระนครในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มาก่อน ในเวลาต่อมา เมืองลพบุรียังคงมีความสำคัญในฐานะเมืองลูกหลวงของราชอาณาจักร เพียงแต่เปลี่ยนสถานะจากเมืองลูกหลวงของเขมรพระนคร มาเป็นเมืองลูกหลวงของอยุธยา ดังจะเห็นได้จากสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) หลังสถาปนากรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1893 ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรสองค์โตขึ้นไปครองเมืองลพบุรี
ราชวงศ์อู่ทอง จริงๆคือ ราชวงศ์ละโว้ หรือ ราชวงศ์ลพบุรี เพราะคำว่า ราชวงศ์อู่ทอง มาจากความเชื่อว่ากษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1893 ทรงอพยพมาจากเมืองอู่ทอง แต่ที่จริงราชวงศ์นี้สืบสายมาจากวงศ์กษัตริย์ผู้ครองเมืองลพบุรี ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของเขมรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามาก่อน
จากที่ชนชั้นนำอยุธยามีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเขมรพระนครจึงเป็นเหตุให้เอกสารล้านนาเรียกกรุงอโยธยาว่า กรุงกัมโพช ไปด้วย อโยธยาในช่วงก่อนสถาปนากรุง พ.ศ. 1893 ก็คือเมืองท่าหน้าด่านทางตอนใต้ของแคว้นลพบุรีหรือรัฐละโว้ ต่อมาพัฒนากลายเป็นเมืองหลวงของรัฐละโว้แทนที่เมืองลพบุรี ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสัมพันธ์กับการเปลี่ยนราชวงศ์ที่นับถือพุทธมหายานแบบเขมร มาเป็นกลุ่มที่นับถือพุทธศาสนาเถรวาทลังกาวงศ์ แต่ยังคงอ้างสิทธิสืบสายพระโลหิตมาจากกษัตริย์ราชวงศ์ก่อนหน้า
แม้เมื่อหลังสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว กษัตริย์ผู้ครองเมืองจะหันไปมีสายสัมพันธ์กับแคว้นสุพรรณภูมิและนครศรีธรรมราช แต่ก็มิได้ละทิ้งขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมเดิมของตนที่เป็นฝ่ายนิยมเขมร การทวีความสำคัญของพุทธศาสนาแบบเถรวาทลังกาวงศ์ ยังทำให้กษัตริย์อโยธยาสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแคว้นสุโขทัยอีกด้วย เนื่องจากอโยธยาเป็นรัฐที่มีปฏิสัมพันธ์กับรัฐข้างเคียงกรอบทิศเช่นนี้ คือ ทิศตะวันออกสัมพันธ์กับเขมรพระนคร ทิศใต้สัมพันธ์กับนครศรีธรรมราช ทิศตะวันตกสัมพันธ์กับสุพรรณภูมิ ทิศเหนือสัมพันธ์กับสุโขทัย จึงเป็นเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากราชวงศ์หนึ่งไปสู่อีกราชวงศ์หนึ่ง และที่สำคัญคือเปิดต่อการเข้ามาของคนภายนอกรอบทิศตลอดเวลา
ความนิยมในศิลปวัฒนธรรมเขมรพระนครยังมีอยู่ในหมู่ชนชั้นนำอยุธยา ล่วงมาถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้ทรงให้ช่างไปศึกษาและถ่ายแบบปราสาทสำคัญๆ ที่เมืองพระนครมาจำลองเป็นพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งรูปแบบจะคล้ายคลึงกับปราสาทที่ลานหน้าจักรวรรดิที่เมืองนครธม นอกจากนี้ ยังจำลองรูปแบบและผังมาสร้างปราสาทนครหลวงและวัดไชยวัฒนารามขึ้นที่กรุงศรีอยุธยาอีกด้วย