We have no responsibility for the contents in this web community!

ถ้าเข้ามาแล้วพบว่ากระทู้ไม่เรียงตามวัน/เวลา ให้คลิ๊กตรงคำว่า Date/Time ที่อยู่ตรงแถบสีม่วงๆ นะครับ


ห้ามลงประกาศโฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ยกเว้นสปอนเซ่อร์!!!!!

*** ห้ามใช้เนื้อที่บอร์ดเพื่อแอบแฝงขายบริการทางเพศ ***

RBR Section


Register
สมัครสมาชิก


What's RBR?
ต่ออายุสมาชิก

**** ส่วนบริการเข้าบอร์ดลับเฉพาะสำหรับสมาชิก RBR (บอร์ดรูป Devil), (บอร์ดวีดีโอ Zombie) ต้องการติดต่อสอบถาม ส่งเมลล์ที่ ryubedroom@yahoo.com เท่านั้น ****

กรุณาคลิ๊กที่นี่และ Bookmark ไว้ด้วยครับ

PalmPlaza.us

Subject: "รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"     Previous Topic | Next Topic
Printer-friendly copy     Email this topic to a friend    
Conferences Story Club Topic #391
Reading Topic #391
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

"รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
 
04-Mar-12, 10:39 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 1

ทิวไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่กับสิ่งที่กำลังเกิดตรงหน้าในตอนนี้ ใจหนึ่งเขาก็รู้สึกสนุกไปด้วย แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกสงสารคนที่ถูกแกล้งพอสมควร ย้ายมาเรียนวันแรกก็ต้องเจอฤทธิ์สุดแสบของเพื่อนๆ เขาเสียแล้ว

ปุ้ยทำทีเดินไปคุยกับเพื่อนใหม่ซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าทิวพอดี ส่วนหม่าวเดินมาทางด้านหลังพร้อมกับปี๊บใส่ขนมเปล่าอันหนึ่ง มันเอาฝาปี๊บหนีบเชือกไนล่อนไว้ แล้วก็เอาปี๊บนั้นมาตั้งไว้บนโต๊ะเรียนของทิว แล้วก็แอบย่อตัวลงเอาปลายเชือกอีกด้านหนึ่งสอดเข้ากับหูกางเกงของเพื่อนใหม่ทางด้านหลัง แล้วก็ผูกไว้ นั่นหมายความว่าถ้าเพื่อนใหม่คนนั้นแค่ลุกขึ้นยืน เชือกที่ผูกไว้ก็จะดึงให้ปี๊บขนมเปล่าใบนี้ตกลงพื้นและเสียงมันคงจะดังจนน่าตกใจอย่างแน่นอน

หม่าวทำเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นหันมาจุ๊ปากใส่ทิวเป็นเชิงบอกว่าให้เงียบๆ ไว้ จังหวะนั้น ครูละเอียดซึ่งเป็นครูสอนคณิตศาสตร์วัยกลางคนเข้ามาในห้องพอดี เด็กนักเรียนที่จับกลุ่มคุยกันอยู่เมื่อสักครู่นี้ก็รีบวิ่งกลับเข้าที่นั่งของตนเองอย่างรวดเร็ว ใครๆ ก็รู้ว่าครูละเอียดคนนี้ดุขนาดไหน แค่ได้ยินเสียงก็แทบจะก้าวขาไม่ออกกันแล้ว เคยมีนักเรียนชายคนหนึ่งถึงกับฉี่ราดกางเกงเลยทีเดียวด้วยความกลัวคุณครูคนนี้

"ทั้งหมดทำความเคารพ" จุ๊บแจงซึ่งเป็นหัวหน้าห้องบอกเพื่อนๆ ให้ทำความเคารพครูที่เพิ่งเข้ามา เมื่อทุกคนลุกขึ้นยืน ไม่ทันจะได้เอ่ยสวัสดีคุณครู แผนการแกล้งเพื่อนใหม่ของปุ้ยกับหม่าวก็ทำงาน

เคร้งงงงงงงงงงงงงงงงงง

ทุกคนหันมามองบูมซึ่งเป็นนักเรียนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเป็นตาเดียวกัน สีหน้าของบูมดูตกใจมากทีเดียวเนื่องจากเจ้าปี๊บนั่นเสียงดังมาก แถมพอตอนที่มันตก ฝาของมันก็หลุดกระเด็นกลิ้งไปหน้าชั้นเรียนอีกด้วย แล้วเพื่อนๆ ทุกคนในห้องก็พากันหัวเราะชอบใจ บูมมีสีหน้าอายและโกรธอย่างเห็นได้ชัด เขาหันมามองด้านหลังและกวาดสายตาหาผู้กระทำผิด แต่ทุกคนก็เอาแต่ก้มหน้าหัวเราะ แม้ทุกคนจะกลัวครูละเอียดแค่ไหน แต่ทุกคนก็อดหัวเราะกันไม่ได้

"นี่มันอะไรกัน ใครเป็นคนแกล้งเพื่อน" ครูละเอียดถามเสียงดังและดุ เสียงหัวเราะของนักเรียนค่อยๆ เงียบลงจนกลายเป็นเงียบกริบ

"ครูถามว่าใครเป็นคนทำ" แต่ก็ยังคงเงียบกริบกันทั้งห้อง

"ถ้าพวกเธอไม่ยอมรับ ครูจะทำทัณฑ์บนทั้งห้องเลยดีไหม"

ได้ยินอย่างนั้นนักเรียนทั้งห้องต่างก็โอดเสียงครวญเพราะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับคนที่ไม่ได้ทำความผิด

"ทิวเป็นคนทำครับคุณครู" จู่ๆ ปุ้ยมันก็โยนความผิดมาให้ทิวเสียอย่างนั้น

ทิวหน้าเหวอพลางร้องประท้วง "เฮ้ย กูไม่ได้ทำนะเว้ย พวกมึงนั่นแหละเป็นคนทำ ผมไม่ได้ทำนะครับครู" ทิวหันไปบอกครู

"ทิวเป็นคนทำครับ ผมเห็นกับตา" หม่าวโบ้ยความผิดให้เขาอีกคน ยิ่งทำให้ทิวถูกสงสัยมากขึ้น เพราะตอนที่ปุ้ยกับหม่าวแกล้งเพื่อนนั้น เด็กนักเรียนต่างก็แยกกลุ่มคุยกันหลังจากกลับจากกินข้าวเที่ยง จึงไม่มีใครสังเกตว่าสองคนนี้แกล้งเพื่อนตั้งแต่เมื่อไร

"เฮ้ย ไงพูดงั้นวะ กูไม่ได้ทำนะเว้ย พวกมึงนั่นแหละเป็นคนทำ" ทิวเถียงอีก เขาเริ่มหน้าเสีย

"พอๆๆๆ ไม่ต้องเถียงกัน" ครูละเอียดปราม ทำให้ทุกคนเงียบอีกครั้ง "พสุธน เธอมาแก้เชือกนี่ให้เพื่อนแล้วเอาปี๊บนี่ไปทิ้งถังขยะ แล้วทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นครูจำเป็นต้องทำโทษเธอ"

ทิวหรือพสุธนจึงรีบลุกจากเก้าอี้แล้วมาช่วยแก้เชือกไนล่อนออกจากหูกางเกงของบูม ดูท่าทางเพื่อนที่มาใหม่จะโกรธเขามากทีเดียว แต่ทิวก็โกรธเพื่อนของเขาเหมือนกันที่อยู่ดีๆ ก็มาโยนความผิดให้เขาเสียอย่างนั้น พอแก้ได้แล้วทิวก็หยิบปี๊บออกไปทิ้งถังขยะใบใหญ่ที่ชั้นล่างของโรงเรียน

กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งครูละเอียดก็เริ่มสอน บรรยากาศเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้ว ทิวเดินผ่านโต๊ะบูมอย่างหวาดๆ เพราะดูท่าทางเพื่อนใหม่คนนี้ท่าจะเคืองเขาพอสมควร เขาจ้องหน้าทิวจนทิวต้องหลบสายตา

-----------------------------------------------------------------------

เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียน เด็กนักเรียนต่างกุลีกุจอเก็บกระเป๋ากันใหญ่ บางคนก็จะกลับบ้าน บางคนก็จะออกไปเดินเล่นในห้างกับเพื่อน บางคนก็จะออกไปเล่นกีฬา ส่วนทิว เขาชอบเล่นเตะฟุตบอล พอได้เวลาปุ๊บเขาก็จะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปเตะบอลกับเพื่อนในสนามทันที เพื่อนที่มาเล่นด้วยก็มีทั้งเพื่อนในห้องเดียวกัน ต่างห้องกัน รวมทั้งมีรุ่นพี่และรุ่นน้องที่ชอบเล่นเตะฟุตบอลมาร่วมด้วย

"ไอ้ทิว กูขอโทษมึงจริงๆ นะเว้ยที่บอกครูว่ามึงแกล้งไอ้บูมมัน" ไอ้ปุ้ยตะโกนบอกขณะวิ่งลงสนามตามทิวไป

ทิวหยุดวิ่งแล้วหันมามอง "มึงไม่ต้องมาพูดเลย ถ้าเกิดกูโดนทำโทษขึ้นมาล่ะ"

เห็นเพื่อนโกรธอย่างนั้นปุ้ยก็หน้าเสีย แต่มันก็แก้ตัวว่า "เฮ้ย ครูเขาไม่ทำโทษมึงหรอก มึงเป็นเด็กดีจะตาย ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งโรงเรียน เห็นไหมขนาดครูละเอียดที่ว่าดุๆ เขายังไม่ทำอะไรมึงเลย"

"โธ่ ไอ้เชี่ย ช่างพูดมาได้" ทิวสบถอย่างไม่พอใจ

"เฮ้ย กูขอโทษจริงๆ ทีหลังกูจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว อย่าโกรธกูเลยนะ นะๆๆๆๆๆ" ปุ้ยทำเสียงอ้อนและมีสีหน้าว่ามันสำนึกผิดจริงๆ

"เออ" ทิวบอก แต่สีหน้าก็ยังคงโกรธอยู่ จุดอ่อนของทิวคือเป็นคนใจอ่อนและขี้สงสาร เห็นเพื่อนสำนึกผิดแบบนี้เขาก็พร้อมที่จะให้อภัยเสมอ "ทีหลังอย่าให้มีอีกละกัน" ทิวทิ้งทาย

"อ้าว วันนี้ไอ้หม่าวไม่มาเล่นด้วยเหรอ"

"ไปเที่ยวกับสาวแล้ว" ปุ้ยว่า ทิวส่ายหัวแล้วก็วิ่งลงไปเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ

ดูเหมือนว่าความซวยของทิวจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้เมื่อทิวเตะลูกบอลพลาดแล้วมันก็กระเด็นออกมานอกสนาม

ปึกกกก!!!!! โอ๊ย!!!!!!

เสียงลูกบอลพร้อมกับเสียงร้องของใครบางคนดังขึ้น ทิวรีบวิ่งมาขอโทษคนที่โดนลูกหลงทันที แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร ทิวก็เบิกตาด้วยความตกใจ

"นี่มึงอีกแล้วเหรอ จะเอายังไงกับกูกันแน่ฮะ" บูมตะโกนเสียงดังอย่างโกรธจัด เขาวางกระเป๋าลงแล้วก็ตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อทิวพร้อมกับกำหมัดไว้ "มึงจะเอายังไงกับกู อยากมีเรื่องเหรอ"

เพื่อนๆ ที่เล่นเตะบอลด้วยกันรีบวิ่งเข้ามาหย่าศึกพร้อมกับจับสองคนแยกออกจากกัน บูมขืนตัวบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้ถูกจับแยกออกมาแต่โดยดี

"เฮ้ย ไอ้บูม ไอ้ทิวมันไม่ได้ตั้งใจนะเว้ย" ปุ้ยบอกเมื่อดึงตัวบูมออกมาได้แล้ว

"เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เราไม่เห็นด้วยซ้ำว่านายกำลังเดินมา" ทิวได้โอกาศเอ่ยขอโทษ

บูมสูดหายใจลึกๆ เพื่อให้อารมณ์เย็นลง แต่ก็ยังมองหน้าทิวอย่างไม่พอใจอยู่ เขาสะบัดตัวออกจากการถูกจับตัวไว้แล้วก็หยิบกระเป๋านักเรียนเดินดุ่มๆ ออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
ทิวได้แต่ถอนหายใจมองดูเพื่อนใหม่เดินออกไปอย่างหัวเสีย

"เห็นไหมว่าเขาโกรธกูขนาดไหน มึงสองคนต้องรับผิดชอบให้กูเลยนะ อยู่ดีๆ ก็มาสร้างศัตรูให้กู ไอ้พวกนี้" ทิวหันไปว่าเพื่อน ปุ้ยทำหน้าเจื่อนด้วยความรู้สึกผิดและหัวเราะแหะๆ

เห็นสีหน้าท่าทางเพื่อนใหม่แล้วทิวก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ดูเหมือนเขาพูดน้อยและค่อนข้างซีเรียสพอสมควร ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ถ้าจะต้องเรียนด้วยกันอีกสามปี เขาคงจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เขาไม่ชอบสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น

----------------------------------------------------------------

"โรงเรียนใหม่เป็นยังไงมั่งบูม" พ่อของบูมหันมาถามลูกชายแทบจะทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในรถ วันนี้พ่อเลิกงานเร็วจึงมารับเขาด้วยตัวเอง

"ก็น่าจะดีนะครับพ่อ ครูสอนดีครับ" บูมตอบพลางรัดเข็มขัดนิรภัยโดยไม่หันไปมองพ่อ

"ก็ดีแล้ว หวังว่าจะไม่ได้เกรดเฉลี่ยต่ำกว่า 3.5 อีกล่ะ ทีนี้ พ่อว่ามันคงไม่ได้เป็นที่โรงเรียนแล้วล่ะ บูมต้องตั้งใจเรียนเข้าใจไหมลูก อย่าให้พ่อกับแม่ต้องอายคนอื่นเขา จะไปเรียนเมืองนอกเมืองนาอีกไม่กี่ปีแล้ว ทำเกรดให้มันดีๆ หน่อย พ่อฝากความหวังไว้กับบูมคนเดียวรู้ไหม" พ่อเขากำชับอีก

"ครับพ่อ" บูมรับคำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาตั้งใจเรียนมาตลอด แทบจะไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นหรือสนุกกับเพื่อนๆ เลย วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องเรียนพิเศษ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่บูมต้องเรียนเพิ่มเติมอย่างมากเพื่อจะได้นำไปใช้เวลาที่เขาไปเรียนต่อที่เมืองนอก

ส่วนสาเหตุที่เขาต้องย้ายโรงเรียนนั้นเป็นเพราะว่าเกรดเฉลี่ยเขาตกมาอยู่ต่ำกว่า 3.5 โดยไม่ทราบสาเหตุ บูมพยายามบอกพ่อกับแม่ว่าเขาตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่แล้ว เขาอ่านหนังสือทุกวัน ไปเรียนพิเศษทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเกรดเฉลี่ยของเขาจึงออกมาแบบนั้น เมื่อหาสาเหตุไม่ได้ พ่อกับแม่ของเขาจึงโทษว่าโรงเรียนสอนไม่ดี จึงจัดการหาโรงเรียนใหม่ให้เสร็จสรรพ

แล้วรถเก๋งคันหรูจากยุโรปก็แล่นออกไป บูมแอบลอบมองเพื่อนๆ ที่เล่นเตะฟุตบอลในสนามด้วยความรู้สึกอิจฉา เขาแทบจะไม่ได้มีโอกาสเล่นอะไรสนุกๆ แบบนั้นบ้างเลย กลับไปก็ต้องอ่านหนังสือเรียนอีก เขาจึงคิดไว้ว่า ถ้าได้ไปเรียนต่อที่เมืองนอกก็คงจะดีเหมือนกัน อยู่ห่างพ่อกับแม่แล้วเขาคงถูกบังคับน้อยลง นี่เป็นเพียงแรงผลักดันเดียวที่ทำให้บูมต้องตั้งใจเรียนแม้ว่าจะเหนื่อยหน่ายกับความเข้มงวดของพ่อกับแม่มากแค่ไหนก็ตาม จบ ม.6 แล้วเขาจะต้องไปเรียนต่อเมืองนอกให้ได้ ขอให้เขาได้มีชีวิตที่เป็นอิสระบ้างเถอะ

----------------------------------------------------------------

เช้าวันต่อมา ทิวมาถึงโรงเรียนแล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นบูมมาถึงโรงเรียนก่อนเขาเสียอีก แต่บูมแยกตัวมานั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ตรงม้านั่งหินอ่อนคนเดียว ไม่สนใจเพื่อนๆ ที่จับกลุ่มคุยกันบ้าง เล่นกันบ้าง ดูสีหน้าเขาเครียดๆ ชอบกลแฮะ แต่ทิวก็ไม่ได้เข้าไปทัก เพราะยังขยาดกับท่าทางเกรี้ยวกราดเอาเรื่องของเพื่อนใหม่อยู่พอสมควร นึกแล้วก็ยังโมโหเพื่อนอีกสองคนนั้นอยู่ ที่อยู่ดีๆ ก็มาสร้างศัตรูให้เขาโดยไม่จำเป็น ทิวจึงเดินผ่านเลยไปนั่งคุยกับเพื่อน

"ดูท่าทางคู่อริของมึงจะขยันน่าดูเลยนะเว้ย" นี่คือประโยคแรกที่เพื่อนๆ ทักเขา เพื่อนๆ ของทิวสี่ห้าคนขยับที่ให้ทิวลงไปนั่งด้วย ทิวนั่งลงแล้วก็หันไปมองบูมที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากนี้นัก

"มึงรู้ไหมว่าทำไมมันย้ายมาเรียนที่นี่" ต้องถามต่อ

"ทำไมวะ" ทิวหันมาถามเพื่อนด้วยความสงสัย เขายังไม่ได้มีโอกาศคุยกับบูมเลยจึงไม่รู้อะไรมาก ต้องพยักเพยิดให้ปุ้ยเล่าเพราะปุ้ยเป็นคนที่ได้คุยกับบูมมากที่สุดเมื่อวานนี้

"มันสอบได้เกรดเฉลี่ยน้อยกว่า 3.5 ว่ะ แล้วพ่อกับแม่มันไม่พอใจ คิดว่าโรงเรียนเก่ามันสอนไม่ดี ก็เลยให้มันย้ายโรงเรียนเสียเลย" ปุ้ยบอก

"จริงเหรอ" ทิวทำสีหน้าประหลาดใจ "กูได้เกรด 3 นี่กูก็ดีใจตายห่าแล้ว" ทิวว่าพลางขำนิดๆ

"ดูท่าทางมันคงเครียดเหมือนกันนะ ตั้งแต่มันมาเรียนเมื่อวาน กูยังไม่เห็นมันเล่นกับใครเลย เอาแต่อ่านหนังสือ สงสัยพ่อแม่มันคงเฮี้ยบน่าดูเลยว่ะ" ปุ้ยว่า

"เมื่อวานกูเห็นพ่อมันมารับด้วย ขับรถเบ็นซ์ซะหรูเชียว แต่ดูท่าทางพ่อมันจะดุเหมือนกันว่ะ" หม่าวบอก

"ไอ้เชี่ย ไหนว่าไปเที่ยวกับสาวไง ยังเสือกเห็นอีกเหรอ" ปุ้ยว่าพลางตบหัวเพื่อน

"อ้าว ก็กูเห็นก่อนจะออกไปไง"

"แล้วมึงทันได้เห็นไหมว่ามันเกือบจะต่อยไอ้ทิวแล้ว ดีนะที่กูมาห้ามได้ทัน" ปุ้ยบอก

"จริงเหรอวะ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะ" หม่าวถามอย่างตกใจ

"ก็ไอ้ทิวน่ะสิ เสือกเตะลูกบอลไปโดนมัน มันก็เลยโมโห จะต่อยไอ้ทิวอยู่แล้ว" ปุ้ยเล่าพลางขำไปด้วย

"มึงไม่ต้องมาขำเลย จำไม่ได้เหรอว่าพวกมึงสองคนทำอะไรไว้ อยู่ดีๆ ก็มาสร้างศัตรูให้กู แถมเกือบทำให้กูถูกครูทำโทษอีก" ทิวว่าเพื่อนด้วยเสียงไม่จริงจังนัก พวกนั้นจึงได้แต่หัวเราะแหะๆ

-----------------------------------------------------------------------

หลังจากกินข้าวแล้ว ทิวก็แยกตัวมาจากกลุ่มเพื่อนๆ ขึ้นมาบนห้องเรียน ห้องเรียนของเขามีประตูอยู่สองข้าง แต่เนื่องจากเขานั่งบริเวณด้านหน้าห้อง ทิวจึงต้องเดินเลยไปเข้าประตูอีกข้างหนึ่ง แต่พอเขาเดินผ่านประตูแรกไปก็มีใครบางคนยื่นขาออกมาขัดขาเขาจนทิวสะดุดและเซเกือบล้มลง

"โอ๊ย!!!"

ทิวหันไปมองคนที่แกล้งเขาก็พบว่าเป็นบูมนั่นเอง เขายืนกอดอกยิ้มเหยียดอย่างไม่แยแส แล้วก็เดินเข้าไปในห้องหน้าตาเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร ถามว่าทิวโกรธไหม ก็คงโกรธ แต่ก็ถือว่าเป็นการชดใช้ให้กับเรื่องเมื่อวานก็แล้วกัน คิดได้อย่างนั้นแล้วทิวก็เดินเข้าไปในห้องเรียนตรงทางเข้าอีกข้างหนึ่ง บูมกลับมานั่งที่โต๊ะแล้ว แต่ไม่ได้อ่านหนังสือหรือทำอะไร สีหน้าเขาเรียบเฉยมาก ทิวเดินผ่านไปนั่งข้างหลังโดยไม่พูดอะไร เพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มตามเข้ามาในห้องเพื่อเตรียมตัวสำหรับคาบถัดไป

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP |
|
| boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน
Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top

 

Conferences | Topics | Previous Topic | Next Topic
mate_utt
Guest

1. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
05-Mar-12, 05:56 AM (SE Asia Standard Time)
 
   มาเจิมให้คนแรกครับ


ดีใจจัง เย้ อ่านสนุกเสียด้วยสิครับ


เอาใจช่วยคนเขียนมาต่อให้ไวน่ะครับ


ผมรออ่านอยู่ครับ

คุณกิตต์ มีเรื่องใหม่มาแล้ว ผมจุดธูปเรียกเลยแล้วกัน

มาอ่านเร็วๆน่ะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

2. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
05-Mar-12, 08:49 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 2

การเรียนในเทอมใหม่ผ่านไปหลายวันแล้ว ดูเหมือนว่าบูมจะเริ่มสนิทกับเพื่อนในห้อง ม.4/1 หลายคนมากขึ้น แต่เขาก็ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่และก็ยังไม่ค่อยทำกิจกรรมอะไรกับเพื่อนๆ มากนัก แน่นอน บูมไม่คุยกับทิวเลย ทิวยังคงเห็นสีหน้าไม่พอใจทุกครั้งที่เจอกับบูมเสมอ

บ่ายวันศุกร์วันหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนจะได้ทำกิจกรรมอิสระ ทิวรีบไปที่ชมรมดนตรีที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ทันที ทิวไม่ได้เล่นดนตรีแต่ชอบร้องเพลง เขาเป็นคนที่มีน้ำเสียงเพราะตามแบบนักร้องสมัยใหม่ ฟังเผินๆ อาจจะนึกว่าเป็นเบน ชลาทิศกันเลยทีเดียว บรรยากาศในชมดนตรีดูอึกทึกพอสมควร

ในขณะที่ทิวกำลังนั่งเลือกเพลงที่จะร้องกับเพื่อนๆ ในชมรมอยู่นั้น เขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นบูมเดินเข้ามา แต่คงไม่ทันสังเกตเห็นว่าเขาอยู่ในห้องนั้นด้วย

"จะมาสมัครชมรมดนตรีเหรอ เล่นดนตรีอะไรเป็นหรือเปล่า" เสียงพี่ปี๊ด ประธานชมรมดนตรีถาม

"เล่นไม่เป็นครับ" บูมตอบตามตรงพลางส่ายหน้า ดูท่าทางเขาประหม่าพอสมควร ยิ่งเห็นท่าทางรุ่นพี่คนนี้ที่ดูไม่ยี่หระกับอะไรแล้วเขาก็ยิ่งใจฝ่อ

"ไม่เป็นเลยสักชิ้นเหรอ" พี่ปี๊ดเลิกคิ้ว บูมได้แต่ส่ายหน้า

"อ้าว แล้วร้องเพลงเป็นหรือเปล่าล่ะ" พี่ปี๊ดถามอีก

"ไม่เป็นเหมือนกันครับ"

"เฮ้ยไอ้น้อง เล่นดนตรีก็ไม่เป็น ร้องเพลงก็ไม่เป็น แล้วจะมาสมัครเป็นสมาชิกชมรมดนตรีทำไมวะ" พี่ปี๊ดว่าพลางหัวเราะขบขัน บูมหน้าเสียไปเลยทีเดียว

"ก็...ผมกะว่าจะให้พวกพี่ๆ สอนน่ะครับ" บูมบอกด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

"ถ้าเป็นมาบ้างก็พอจะสอนได้หรอกไอ้น้อง แต่นี่ไม่เป็นอะไรสักอย่างเลย สอนไปก็เสียเวลา ไปหัดเล่นอะไรให้เป็นสักอย่างก่อนแล้วกัน แล้วค่อยมาสมัคร ไป๊ๆ" พี่ปี๊ดบอกอย่างไม่สนใจใยดี เขาก็เป็นคนปากแบบนี้แหละ คิดอะไรก็พูดตรงๆ แต่ไม่ค่อยได้คิดว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไรบ้าง

บูมหน้าจ๋อย ค่อยๆ เดินออกไปจากห้องของชมรม แต่ก่อนจะออกไปเขาก็เหลือบไปเห็นทิวซึ่งมองมาทางเขาพอดี บูมหยุดมองแว่บเดียวแล้วก็เดินออกไป

-------------------------------------------------------------------------

ทิวเก็บเอาเรื่องของบูมไปคิดตลอดช่วงวันหยุดเพราะอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าบูมมาสมัครชมรมดนตรีทำไมทั้งๆ ที่เล่นอะไรไม่ได้สักอย่าง แถมร้องเพลงก็ไม่ได้ หรือจะเป็นเพราะว่าบูมเครียดเลยอยากหากิจกรรมทำ จริงๆ เรื่องร้องเพลงเขาพอจะสอนได้อยู่แล้ว ไม่รู้สิ ทิวรู้สึกสงสารเพื่อนใหม่ของเขาอย่างบอกไม่ถูก ดูสีหน้าแล้วเขาไม่ค่อยมีความสุขเลย บางทีถ้าทิวช่วยให้เขาเข้ามาอยู่ในชมรมดนตรีได้ เขาอาจจะดีขึ้น

หลังเคารพธงชาติ นักเรียนก็กลับเข้าห้องเรียนตามปกติ ทิวเข้ามาในห้องก็เห็นบูมนั่งอยู่ที่โต๊ะอยู่แล้ว ดูท่าทางเขาซึมๆ ทีเดียว ไม่ยอมพูดจากับใคร ทิวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ทำใจดีสู้เสือ เพราะสิ่งที่เขากำลังจะทำก็คือการเข้าไปคุยกับเสือที่อาจจะตะปบกัดเขาเมื่อไรก็ได้

"บูม" ทิวเรียกชื่อเขาเบาๆ บูมหันมามองด้วยความแปลกใจ พอเห็นว่าเป็นทิวเขาก็ทำสีหน้าไม่พอใจเหมือนเช่นเคย แต่แววตาก็สงสัยว่าทิวเรียกเขาทำไม

ทิวชั่งใจอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจเสนอไปว่า "ถ้านายอยากเข้าชมรมดนตรี นายมาเรียนร้องเพลงกับเราก่อนก็ได้นะ เราจะสอนให้ แล้วนายค่อยไปสมัคร"

"ไม่ต้องมายุ่งเลย" บูมตวาดเสียงดัง เพื่อนๆ ในห้องต่างกันก็หันมามองเป็นตาเดียวกัน

ทิวหน้าเสียเล็กน้อยที่ถูกตวาดแบบนั้น

"ชักจะมากไปแล้วนะไอ้บูม ไอ้ทิวมันก็คุยกับมึงดีๆ แล้วมึงไปตวาดมันทำไมวะ" หม่าวเดินเข้ามาต่อว่า เขาเห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้อยู่

บูมเงียบ สีหน้าไม่พอใจ หม่าวส่ายหน้าอย่างระอา "ไอ้ทิว ทีหลังมึงไม่ต้องไปสนใจมัน ไม่ต้องไปหวังดีกับมันหรอก ปล่อยให้มันบ้าตำราเรียนของมันไป"

ทิวจึงเดินกลับมานั่งที่นั่งของตนเอง เขาไม่โกรธบูมหรอกที่ตวาดเขา ตรงกันข้าม เขากลับยิ่งรู้สึกสงสาร เขาเห็นแววตาของบูมแล้วก็พอจะดูออกว่าบูมคงไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตเท่าไร แต่การที่เขาจะเข้าไปทำอะไรกับบูม เขาก็คงต้องระวังเหมือนกันเพราะบูมดูท่าจะไม่ชอบเขามากพอสมควร

------------------------------------------------------------------------------

ตอนเที่ยง เด็กนักเรียนก็ลงมากินข้าวกันตามปกติ บนโต๊ะของทิวมีเพื่อนนั่งกินข้าวด้วยกันหลายคน แต่หนึ่งในนั้นก็มีบูมด้วย เพราะบูมดูเหมือนจะสนิทกับปุ้ยและต้องมากขึ้นจึงถูกสองคนนี้ดึงมากินข้าวด้วย

"เฮ้ยบูม ถ้ามึงเล่นดนตรีไม่เป็น ทำไมไม่ลองไปสมัครชมรมอื่นดูล่ะวะ อย่างเช่น ชมรมศิลปะ เฮ้ย ว่าแต่มึงวาดรูปเป็นปะวะ" ต้องถามขณะกินข้าว เพื่อนๆ แต่ละคนที่นั่งอยู่มีท่าทางสนใจ เพราะอยากรู้ว่าบูมทำอะไรเป็นบ้างนอกจากบ้าตำราเรียน

"ไม่เอา ไม่ชอบวาดรูป" บูมตอบเสียงห้วน

"ชมรมภาษาอังกฤษก็ได้ กูเห็นมึงชอบวิชานี้ไม่ใช่เหรอ" ต้องเสนออีก

"ไม่เอา เบื่อ" บูมตอบเสียงห้วนเช่นเดิม จุดประสงค์ที่เขาอยากเข้าชมรมดนตรีนั้นเพราะเขาอยากผ่อนคลายบ้าง อยู่ที่บ้าน แม้แต่จะฟังเพลงบางทียังโดนพ่อดุเลย หาว่าเอาแต่ฟังเพลงไม่สนใจตำรับตำรา เขาจึงไม่อยากเข้าชมรมอะไรที่มันเกี่ยวกับการเรียน จริงๆ เขาก็กลัวเหมือนกัน ถ้าพ่อกับแม่เขารู้ว่าเขาเข้าชมรมที่ไม่มีสาระประโยชน์ตามมุมมองของพ่อกับแม่แล้ว เขาอาจจะโดนดุได้

"อะไรวะ นึกว่าชอบภาษาอังกฤษเสียอีก เอางี้ละกัน มาอยู่ชมรมฟุตบอลกับกูดีไหม" ต้องชวนอีก

"ไม่เอาโว้ย" น้ำเสียงของเขาทำให้ทุกคนสัมผัสได้ว่าเขากำลังเริ่มอารมณ์ไม่ดี

"อะไรวะ ให้เข้าชมรมอะไรก็ไม่เข้า อย่าบอกนะว่ามึงยังอยากเข้าชมรมดนตรีอยู่ ไอ้ห่า เล่นอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง ร้องเพลงก็ไม่เป็น มึงจะไปเข้าชมรมเขาได้ไงวะ ไอ้ทิวจะสอนร้องเพลงให้มึงก็ไม่เอา ตกลงมึงนี่จะ..." ต้องยังไม่ทันพูดจบ บูมก็ตวาดเสียงดังว่า

"กูไม่เข้าชมรมอะไรทั้งนั้นแหละ" แล้วเขาก็ยกจานข้าวออกไปอย่างอารมณ์เสีย บูมเทข้าวทิ้งลงถังขยะ แล้วก็เอาจานไปล้าง จากนั้นก็เดินลิ่วขึ้นห้องไป

"สมน้ำหน้า กูบอกแล้วว่าอย่าไปเสือกยุ่งกับมัน เป็นไงล่ะ" ปุ้ยหันไปว่าต้องซึ่งดูท่าทางตกใจพอสมควรกับพฤติกรรมของบูมเมื่อสักครู่นี้

ทิวมองตามบูมที่เดินตัวปลิวไปด้วยสายตาเป็นห่วง ดูท่าทางเขาจะเป็นเด็กมีปัญหาจริงๆ เสียด้วย

------------------------------------------------------------------------------

ตั้งแต่วันนั้นมา ต้องกับปุ้ยและเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มขยาดและไม่ค่อยอยากจะอยู่ใกล้บูมมากนัก จนหลังๆ บูมต้องไปนั่งกินข้าวคนเดียวเพราะเขารู้สึกว่าเพื่อนๆ ไม่ต้อนรับเขาเท่าไร จริงๆ เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่น่ากลัวอะไรขนาดนั้น ตอนอยู่โรงเรียนเก่าเขาก็มีเพื่อนหลายคน พอพวกมันรู้ว่าเขาต้องย้ายโรงเรียน ดูพวกมันก็เป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกันและไม่อยากให้ไป แต่จะทำอย่างไรได้ บูมได้แต่ทำตามความต้องการของพ่อกับแม่ เพื่อนๆ พวกนั้นมันก็รู้ว่าพ่อกับแม่ของเขาเป็นอย่างไร

ทิวเดินผ่านมาตรงโต๊ะม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง เขาหยุดยืนดูก็เห็นบูมนั่งซึมและเหม่อลอยอยู่คนเดียว บูมก็หันมาเจอเขาเช่นกัน แต่วันนี้แปลกตรงที่เขาไม่ได้ทำสีหน้าไม่พอใจเหมือนที่ผ่านมาและเขาไม่ได้อ่านหนังสือเรียนด้วย ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือสายตาของบูมดูเศร้าและเหงาจนสังเกตเห็นได้ เขารู้ว่าช่วงหลังๆ นี้บูมถูกเพื่อนโดดเดี่ยวเพราะทุกคนต่างก็ขยาดกับอารมณ์แปรปรวนของเขา

ทิวลังเลใจ ใจหนึ่งก็อยากจะเข้าไปทักและนั่งคุยเป็นเพื่อน แต่อีกใจก็แย้งว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า เดี๋ยวจะถูกตะคอกเอาอีก แต่คิดไปคิดมา ทักเขาสักหน่อยก็น่าจะดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป แต่จะทักว่าอะไรดีล่ะ เมื่อนึกไม่ออกทิวจึงยิ้มให้และยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทาย จึงเห็นบูมฉายสีหน้าไม่พอใจออกมา ทิวจึงเดินเลี่ยงไปหาเพื่อนๆ คนอื่นๆ

-----------------------------------------------------------------------------

และแล้ววันที่ความสัมพันธ์ของทิวกับบูมจะต้องเปลี่ยนไปก็มาถึง ก่อนจะไปเข้าแถวเคารพธงชาติในเช้าวันหนึ่ง ทิวเอากระเป๋าเรียนมาเก็บบนห้องค่อนข้างช้าเพราะมัวแต่คุยและทำการบ้านกับเพื่อนข้างล่างอยู่ พอมาถึงก็เห็นบูมนั่งอ่านหนังสือเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในห้องคนเดียว ใช่ วันนี้มีเรียนภาษาอังกฤษตอน 10 โมงเช้า เท่าที่สังเกต ทิวมักจะเห็นบูมกระตือรือร้นกับการเรียนภาษาอังกฤษเป็นพิเศษเสมอ

เสียงออดบอกเวลาเข้าแถวดังขึ้น ดูเหมือนบูมจะสะดุ้งตกใจ เขารีบเก็บหนังสือเรียนแล้วก็รีบวิ่งออกไปอย่างร้อนรน เหมือนกับกลัวว่าจะไปเข้าแถวไม่ทัน ทิวก็รีบวิ่งออกไปเช่น

ตุบ!!!! โอ๊ย!!!!!

ด้วยความรีบร้อน บูมเหยียบที่ตักผงซึ่งวางอยู่บนขั้นบันไดระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองของอาคารเรียนจนลื่นล้มตกบันไดลงไป หัวเข่าเขากระแทกพื้นอย่างแรงจนเป็นแผลถลอก

"บูม เป็นอะไรหรือเปล่า" ทิวรีบวิ่งตามลงมาดูเพื่อนทันทีด้วยความเป็นห่วง

"ลุกไหวไหม ให้เราช่วยไหม" ทิวอาสาเมื่อเห็นบูมทำท่าจะลุกขึ้น

"ไม่ต้องมายุ่ง" บูมทำเสียงแข็งตวาดใส่เขาอีกแล้ว เขาพยายามที่ยันกายลุกขึ้นแต่ก็ปรากฏว่าเขาเจ็บข้อเท้ามากจนล้มลงไปอีก

"เราว่านายเดินไม่ไหวแล้ว ไปห้องพยาบาลดีกว่า เดี๋ยวเราช่วย" ทิวบอกอย่างเป็นห่วง บูมดูมีสีหน้าอ่อนลงเพราะเขาเจ็บข้อเท้าจนลุกไปไหนเองไม่ได้ ถ้าไม่ให้ทิวช่วยเขาก็คงไปไหนไม่ได้เลย บูมจึงยอมให้ทิวช่วยพยุงเขามาที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่อีกอาคารหนึ่ง

เมื่อมาถึงห้องพยาบาล ครูพยาบาลก็ช่วยทำแผลและทายาแก้ฟกช้ำให้ แต่แล้วก็ต้องเกาหัวแกรกๆ เมื่อบูมไม่ยอมนอนพักท่าเดียว

"ผมไม่นอนครับ ผมจะกลับไปเรียน" บูมแย้งเมื่อครูพยาบาลบอกว่าเขาควรจะต้องนอนพักก่อน

"เธอจะไปเรียนได้ยังไง เห็นไหมว่าข้อเท้าเธอบวมขนาดนั้น เธอเดินไม่ไหวหรอก" ครูพยาบาลเตือน

"ไม่ได้ครับ ยังไงผมก็ต้องไปเรียนหนังสือ วันนี้มีวิชาสำคัญ ผมขาดไม่ได้ครับ ยังไงผมก็ต้องไปเรียน" บูมเถียง

ทิวยืนมองบูมเถียงกับครูพยาบาลอยู่สักพัก เห็นท่าจะไม่ไหว จึงเดินเข้ามาบอกครูพยาบาลว่า "ไม่เป็นไรครับครู เดี๋ยวผมพาเขาไปเองครับ"

นั่นแหละครูพยาบาลถึงได้ยอม

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

3. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #2
 
05-Mar-12, 12:21 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ลืม Trailer ของเรื่องครับ

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
"รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต" ในตอนต้นเรื่องอาจจะดูใสๆ ไปตามความรักในวัยเด็กๆ แต่จะค่อยๆ ทวีความดราม่าขึ้นเรื่อยๆ ครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มสองคนที่มาเจอกันในช่วงชีวิตหนึ่งครับ แต่มีเหตุให้ไม่ชอบหน้ากันในตอนแรก แต่ไม่นานนักทั้งสองคนก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน บูมเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บกดเพราะโตมากับการถูกที่บ้านบังคับ โดยเฉพาะเรื่องการเรียน เนื่องจากพ่อเป็นวิศวกรและแม่ก็เป็นนักวิชาการ เขาจึงถูกเข้มงวดเรื่องการเรียนมาก เมื่อได้มาเจอกับทิว ทิวช่วยให้เขาได้ค้นพบความสดใสของชีวิตขึ้นมาบ้าง ทิวช่วยให้บูมได้เข้ามาในชมรมดนตรีได้สำเร็จในตำแหน่งนักร้อง บูมได้ค้นพบความสามารถพิเศษอีกอย่างของเขา แต่เขาก็ไม่สามารถบอกพ่อกับแม่ของเขาได้ ทิวเปรียบเสมือนที่พึ่งทางใจของเขา แม้ว่าอาจจะมีผิดใจกันบ้างเพราะมีบางช่วงที่บูมมีแฟนตามประสาเด็กหนุ่ม แต่เขาก็ไม่เคยลืมว่าทิวคือคนที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตเขา ในขณะเดียวกันทิวก็ได้ค้นพบความรู้สึกที่แท้จริงที่เขามีต่อบูม

แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาสองคนต้องพลัดพรากจากกันไปไกล ชีวิตของบูมดูจะไปได้ดีหลังจากนั้น แต่ทิวกลับต้องประสบกับชะตาชีวิตที่ยากลำบากและต้องสูญเสียสิ่งสำคัญหลายอย่างอย่างไม่คาดฝัน มันลำบากเสียจนเขาคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่เลย แต่สิ่งเดียวที่ยังคงเป็นกำลังใจให้ทิวยังคงสู้ชีวิตอยู่ต่อไปก็คือ "ความหวัง" ที่จะได้พบกับคนที่เขารักอีกสักครั้งหนึ่งในชีวิต ทิวจะได้พบกับบูมอีกหรือไม่ หรือจะเป็นความรักที่ฟ้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แต่สำหรับทิว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะลืมวันเวลาดีๆ เหล่านั้นได้ แม้จะดูเหมือนว่าบูมได้หายไปจากชีวิตเขาอย่างสิ้นเชิงแล้วก็ตาม แต่... เมื่อยังมีความรักอยู่ ความหวังนั้นก็ไม่เคยหายไป
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
beyonce
Guest

55. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #3
 
25-Mar-12, 01:21 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ดีใจจัง ได้อ่านผลงาน คุณ Sarawatta อีกแล้วเป็นแฟนมาตั้งแต่ "ต้นสน"

ขอบคุณนะคับที่เขียนเรื่องดีๆให้อ่าน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

4. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
05-Mar-12, 03:11 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 3

ทิวค่อยๆ ช่วยพยุงตัวบูมขึ้นมาในลักษณะให้เขากอดคอ ตัวบูมก็หนักพอสมควรแต่ทิวก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญเท่าไรนัก แล้วค่อยๆ พาบูมออกมาจากห้องพยาบาล ต่างคนต่างเงียบไม่พูดอะไร จนกระทั่งโผล่เข้ามาในห้องเรียน ทุกคนต่างแปลกใจและฮือฮากับภาพที่เห็น บางคนถึงกับขยี้ตาด้วยซ้ำว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า คู่อริสองคนที่ไม่เคยถูกกันเลยตั้งแต่เข้ามาเรียน มาวันนี้กลับเดินพยุงกอดคอกันมา

ทิวพาบูมค่อยๆ เดินมานั่งโต๊ะท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนๆ และครูที่กำลังสอนอยู่

"จะไปไหนบอกเรานะ ไม่ต้องเกรงใจ" ทิวบอกบูมเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าบูมชักจะทำสีหน้าไม่ถูกเสียแล้ว จะหยิ่งไม่ให้คนช่วยก็ไม่ได้ หรือจะขอให้คนอื่นๆ ในห้องช่วยก็ถ้าจะลำบากเพราะใครๆ ต่างก็เอือมระอาเขาทั้งนั้น

"ไปโดนอะไรมาคะเนี่ย" ครูสอนภาษาอังกฤษสาวสวยถามหลังจากที่บูมนั่งที่แล้ว

"ตกบันไดครับ" บูมบอกเสียงเบา แต่ครูก็ได้ยินเพราะเขานั่งอยู่หน้าสุด

"ไปทำอีท่าไหนให้ตกบันไดวะ" เสียงเพื่อนแซวมาจากด้านหลังพร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจ บูมหน้าเจื่อนลงทันที

"เดี๋ยวเถอะพวกเธอนี่ เพื่อนเจ็บยังจะมาหัวเราะกันอีก" ครูแอนส่งเสียงปราม เสียงหัวเราะจึงเงียบลง แม้ว่าครูแอนจะไม่ดุ แต่ความสวยของครูแอนก็ทำให้เด็กผู้ชายในห้องหลายคนต้องยอมสยบ ครูแอนเป็นครูที่ถือว่าอายุน้อยที่สุดในโรงเรียนก็ว่าได้ เพราะจบมาแล้วก็มาเป็นครูเลย ที่น่าแปลกก็คือที่โรงเรียนนี้ไม่ชอบให้เด็กเรียกครูว่า "อาจารย์" เพราะครูที่นี่ไม่ได้ให้หวยกัน แต่ก็ยังมีเด็กนักเรียนหลายคนที่ยังอยากเรียกว่าอาจารย์อยู่ เพราะมันดูเท่ห์ดี ฟังดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัย

"ไหวไหม ทำไมไม่นอนพักห้องพยาบาลก่อนล่ะ" ครูแอนถาม

"ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเรียนวิชานี้ ยังไงก็ต้องมาครับ"

"อืม ถ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ช่วยดูเพื่อนหน่อยละกันนะเรา" ครูแอนหันมาพูดกับทิว ทิวยิ้มแล้วตอบรับ "ครับ"

เมื่อเรียนจบคาบภาษาอังกฤษแล้ว ทิวก็เดินไปถามบูมว่า "ไปห้องน้ำไหม"

บูมเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าที่เขาเองก็บอกไม่ถูกว่ามีความรู้สึกแบบไหนอยู่ "ไม่เป็นไร ยังไม่ปวดหรอก" บูมตอบเบาๆ

"ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า เดี๋ยวถ้าเกิดนายปวดมากๆ จะวิ่งไปห้องน้ำไม่ทันนะ" ทิวขู่

"ไปก็ได้"

ได้ผลด้วยแฮะ ทิวนึกในใจ เขาค่อยๆ พยุงเพื่อนให้ลุกขึ้นแล้วก็พาเดินไปห้องน้ำอย่างใจเย็น อาการปวดบวมลดลงไปพอสมควรทำให้บูมพอลงปลายเท้าได้บ้าง พอไปถึงห้องน้ำ ทิวก็พาเพื่อนไปที่โถปัสสาวะแล้วถามว่า

"นายยืนเองได้ไหม"

บูมมีสีหน้าลำบากใจ ถ้ามีราวเหล็กสักหน่อยเหมือนโถปัสสาวะที่ทำให้คนพิการเขาก็คงพอจับยืนเองได้ แต่นี่มีแต่ผนังลื่นๆ เขาก็ไม่รู้จะจับยังไง

"งั้นเรายืนอยู่ตรงนี้ นายจับไหล่เราไว้ละกัน" ทิวเสนอ

"เฮ้ย จะดีเหรอ" บูมโวยวาย

"เราไม่ดูของนายหรอกน่า ผู้ชายเหมือนกัน อายอะไรวะ" ทิวว่า บูมจึงยอมทำตามแต่โดยดี เขาเอามือหนึ่งเกาะไหล่ทิวไว้ พยายามใช้อีกมือหนึ่งรูดซิป แต่มันก็ยากเอาการ ทิวเห็นท่าจะไม่ไหวก็เลยถือวิสาสะรูดซิปออกให้เพื่อนเสียเลย

"เฮ้ย" บูมร้องประท้วง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาจึงต้องเลยตามเลย คนอื่นๆ ที่เข้ามาในห้องน้ำชายต่างก็งงๆ ว่าผู้ชายสองคนนี้มายืนทำอะไรกันที่โถปัสสาวะ

"เฮ้ย พวกมึงสองคนทำอะไรกันน่ะ ชักว่าวกันเหรอ ไม่อายผีสางเทวดาเลยนะพวกมึง" รุ่นพี่ ม.5 คนหนึ่งทัก คนอื่นๆ รวมทั้งเพื่อนบางคนในห้องเดียวกันหันมามองแล้วก็หัวเราะกัน

"เปล่าพี่ พอดีเพื่อนผมเจ็บขา" ทิวบอกไป เขารู้ว่าไม่มีอะไรหรอกเพราะผู้ชายมันก็แซวกันไปอย่างนั้นแหละ

พอเสร็จธุระแล้วทิวก็พาบูมไปล้างมือ แล้วก็ให้บูมเกาะอ่างล้างไว้ก่อน เขาจะได้ไปทำธุระส่วนตัวบ้าง จากนั้นก็พาบูมเดินกลับห้อง สีหน้าของบูมเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยมึนตึงโกรธขึ้งก็ดูอ่อนลง มีรอยยิ้มจางๆ ที่ทิวพอสังเกตเห็นได้

----------------------------------------------------------------------------------------

"เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ" ทิวเดินมาชวนบูมที่โต๊ะหลังจากที่เสียงออดพักเที่ยงดังขึ้น

"ไม่เป็นไรหรอก" บูมเงยหน้าขึ้นมาบอก สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีร่องรอยของความโกรธเคืองเหลืออยู่เลย "เราเกรงใจ ถ้าอยากจะช่วยจริงๆ นายซื้อมาให้เรากินข้างบนก็ได้" บูมหลุดปากพูดความรู้สึกจริงๆ ออกมา

"เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก เราบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ ไปกินด้วยกันนั่นแหละ นายจะได้ไปเลือกเอง จะได้มีเพื่อนคุยด้วย ไม่เหงาไง" ทิวไม่เลิกความพยายาม

บูมยังคงมีสีหน้าเกรงใจอยู่ บวกกับรู้สึกผิดที่เคยทำไม่ดีกับเพื่อนไว้จึงทำให้เขาลังเล

"ไปกันเถอะ" ทิวเร่งเร้า ในที่สุดบูมก็ตัดสินใจลงไปกินข้าวด้วย แต่เมื่อไปถึงโรงอาหารบูมก็ขอนั่งอยู่กับที่และให้ทิวช่วยเอาอาหารมาให้ เขาสั่งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเส้นหมี่ ส่วนทิวก็สั่งคล้ายๆ กันแต่เป็นเส้นเล็ก

กินไปได้สักพัก เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ซักเขากันใหญ่ "ถามจริงๆ เถอะ ไปทำยังไงให้ตกบันไดวะ แล้วไปตกตอนไหนไม่เห็นรู้เรื่องเลย" ปุ้ยถามเป็นคนแรก

บูมนั่งกินเงียบๆ ไม่ตอบอะไร ทิวเห็นอย่างนั้นก็เลยตอบไปแทนว่า "ตอนจะไปเข้าแถวเมื่อเช้านี้ไง พอดีใครไม่รู้เอาที่ตักผงวางไว้ที่บันได แล้วบูมคงรีบไม่ทันเห็น ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ"

"อ๋อ" เพื่อนๆ ลากเสียงเออออตามกัน "ไม่น่าเชื่อว่าคนเรียนเก่งจะซุ่มซ่ามเป็นด้วย" ไอ้หม่าวพูดพลางขำ บูมหันไปมองด้วยสายตาที่เพื่อนๆ มักเอาไปล้อกันลับหลังว่า "สายตาพยาบาท" หม่าวมันจึงหยุดขำ

"เฮ้ยนี่กูถามมึงจริงๆ เถอะวะไอ้บูม มึงนึ่ยิ้มเป็นไหม ตั้งแต่เห็นมึงย้ายเข้ามาเรียน ก็ไม่เห็นมึงยิ้มซักกะแอะ โลกนี้มันมีอะไรน่าหดหู่ขนาดนั้นหรือวะ" ต้องถามบ้าง

บูมดูสะอึกไปเหมือนกัน แต่เขาก็รีบตอบไปว่า "ก็ไม่มีอะไรนี่ ธรรมดากูก็เป็นแบบนี้แหละ"

"เหรอ นี่ธรรมดาของมึงแล้วเหรอ หน้าของมึงยังกะคนไม่ได้ขี้มาแล้วเป็นเดือนๆ" ต้องพูดจบเพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็รุมโขกหัวเข้าให้ "ไอ้นี่มึง คนกำลังกินข้าวเสือกพูดเรื่องขี้เรื่องเยี่ยว" ต้องได้แต่ลูบหัวตัวเองเบาๆ

"นี่แน่ะ โทษของการพูดจาไม่เพราะเวลากินข้าว" เอกว่าพลางใช้ตะเกียบคีบแย่งลูกชิ้นจากชามของต้องไปแล้วเอาเข้าปากตัวเองทันที "ไอ้เอก นิสัยนะมึง" ต้องว่าเบาๆ เอกรีบเอามือมาป้องชามก๋วยเตี๋ยวของตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ต้องแย่งคืน

บูมดูเหมือนจะแอบขำเล็กน้อย ทิวทันได้สังเกตเห็นพอดีเพราะนั่งอยู่ติดกัน จริงๆ บูมเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว ถ้ารู้จักยิ้มสักหน่อย สาวๆ คงชอบกันเยอะน่าดู

คุยกันไปสักพัก ก็เหมือนว่าบูมเริ่มกลับมาคุยกับเพื่อนๆ ในห้องได้บ้างแล้ว หลังจากที่ทุกคนต่างเข็ดขยาดไม่อยากคุยกับเขา ช่วยทำให้บรรยากาศการเรียนในห้องดีขึ้นมาพอสมควร

--------------------------------------------------------------------

ตอนบ่ายก็เช่นเคย ทิวมาคอยช่วยพยุงบูมและพาไปตรงนั้นตรงนี้เสมอ ในช่วงวิชาพละ ครูปล่อยให้นักเรียนเล่นกีฬาตามความถนัดของตัวเอง บูมเจ็บขาเล่นอะไรไม่ได้ เขาจึงได้แต่นั่งเฉยๆ บนอัฒจรรย์ในโรงบาสเกตบอล ทิวเล่นบาสเกตบอลกับเพื่อนพักหนึ่งก็วิ่งขึ้นมานั่งคุยเป็นเพื่อนกับเขา

"เป็นไง ขาดีขึ้นหรือยัง" ทิวถามพลางยิ้ม บูมก็ยิ้มตอบ

"หายบวมไปเยอะละ พรุ่งนี้น่าจะพอเดินเองได้"

ทิวยิ้มดีใจ "ดีแล้ว" แล้วทิวก็ทำสีหน้าเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่างที่เขาไม่แน่ใจว่าควรจะถามดีหรือไม่ "เราถามอะไรนายบางอย่างได้ไหม"

บูมพยักหน้า

"นายอยากเข้าชมรมดนตรีจริงๆ หรือเปล่า" ทิวถามพลางสังเกตดูว่าบูมจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง

บูมพยักหน้าอีกครั้ง แต่สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีนัก

"ทำไมนายอยากเข้าชมรมนี้ล่ะ" ทิวถามต่อเมื่อเห็นว่าบูมไม่ได้มีท่าทางต่อต้านสิ่งที่เขาเพิ่งถามไป

"ก็..." บูมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี "เราอยากทำอะไรที่มันผ่อนคลายบ้าง จริงๆ เราชอบฟังเพลงนะ แต่เราก็ไม่ค่อยได้ร้องหรอก"

"อ้าว ทำไมไม่ร้องล่ะ"

"เรากลัวพ่อว่า" บูมตอบสั้นๆ แค่นั้น ทำให้ทิวไม่กล้าถามคำถามอะไรต่อจากนั้นที่เกี่ยวกับครอบครัวของเขา ดูเหมือนเขาจะมีปัญหากับครอบครัวของเขาจริงๆ อย่างที่หลายคนสงสัย

"แต่เราอยากจะลองร้องเพลงดู" บูมเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองจาก "กู" มาเป็น "เรา" ในตอนหลังแล้ว พอเห็นทิวไม่พูดกู-มึงกับเขาเหมือนเพื่อนคนอื่น เขาก็เลยไม่กล้าพูดกู-มึงด้วย

"เอาไหมล่ะ เดี๋ยวเราสอนร้องเพลงให้ หลังกินข้าวเที่ยงดีไหม หรือจะตอนเย็นๆ ก็ได้ ไปซ้อมที่ห้องดนตรีกัน" ทิวเสนอ

ดุท่าทางบูมสนใจมากทีเดียว "จริงเหรอ แต่เย็นๆ เราคงฝึกไม่ได้หรอก เดี๋ยวพ่อกับแม่เรามารับ"

"อืม งั้นตอนหลังกินข้าวก็ได้ ไปซ้อมที่ห้องดนตรีกัน ว่าแต่ว่านายชอบร้องเพลงแบบไหนล่ะ"

"ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบแบบไหน เราไม่ค่อยรู้จักนักร้องเท่าไรหรอก นายพอมีแนะนำเราบ้างไหมล่ะ"

"มีสิ เรามีเยอะเลย" ทิวว่าพลางหยิบเอาโทรศัพท์ไอโฟนของตัวเองออกมา น่าแปลกใจเหมือนกันที่บูมก็ดูมีฐานะมี แต่เห็นพกแค่โทรศัพท์ธรรมดาที่ดูเชยๆ ไม่ทันสมัย เขาหยิบเอาหูฟังมาใส่หูตัวเองข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งส่งให้บูม แล้วก็เลือกเพลงที่เขาคิดว่าบูมน่าจะใช้เริ่มต้นในการร้องเพลงได้

"เพลงนี้เป็นไง น่าจะไม่ยากนะสำหรับคนฝึกร้องใหม่ๆ"

บูมพยักหน้าและอือๆ ออๆ ไปก่อน เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอันไหนมันร้องยากร้องง่าย จนกว่าจะได้ลองนั่นแหละ "นายร้องท่อนฮุกเพลงนี้ให้เราฟังหน่อยสิ เราอยากฟังนายร้องสดๆ" บูมบอก

ทิวยิ้มกว้าง "นั่นแน่ ไม่เชื่อมือเราล่ะสิ ได้เล้ย เดี๋ยวคอยดู" ว่าแล้วทิวก็ร้องเพลงโชว์เสียเลย

บูมนั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าทิวจะร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ พอทิวร้องเพลงจบเขาก็ปรบมือให้พลางขอจับมือ

"เห็นนายร้องได้ขนาดนี้เราไม่กล้าร้องเลยว่ะ" บูมบอกพลางขำ เวลาบูมขำแล้วเขาจะตาหยีน่ารักไปอีกแบบ

"ได้สิ ไม่มีอะไรเกินความพยายามของเราหรอก ถ้านายเชื่อมั่นในตัวเอง นายทำอะไรก็ได้ ขนาดการเรียนนายยังทำได้เลย อันนี้ง่ายกว่าตั้งเยอะ" ทิวให้กำลังใจ

"เดี๋ยวเราจะลองดู" บูมบอกพลางยิ้มน้อยๆ ตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่ใหม่ วันนี้เป็นวันแรกที่เขารู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว เขารู้สึกเหงามาก มากจนอยากจะขอพ่อให้ย้ายกลับไปโรงเรียนเดิมเลยทีเดียว แต่ถ้าเขามีเพื่อนได้สักคนอย่างทิว ก็คงจะทำให้อะไรๆ มันดีขึ้นบ้าง มันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นพอสมควร แต่จะว่าไปแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนคนไหนมาก่อนเลย

"เอางี้ละกัน เดี๋ยวเราเลือกเพลงให้นายไปฟังก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้นายมาบอกเราว่านายอยากร้องเพลงไหน ถ้าฝึกร้องเพลงจากเพลงที่เราชอบก่อนจะทำให้ฝึกง่ายขึ้น ว่าแต่โทรศัพท์นายฟังเพลงได้ไหม"

บูมพยักหน้า ถึงมันจะดูไม่ค่อยทันสมัย แต่มันก็ฟังเพลงได้เหมือนกัน

"มีบลูทูธปะ" ทิวถามอีก บูมพยักหน้า ทิวจึงเลือกเพลงให้บูมไป 7-8 เพลงที่คิดว่าบูมน่าจะร้องได้ ดูสีหน้าของบูมมีความสุขและมีประกายความหวังบางอย่าง ทิวรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเช่นนั้น

-------------------------------------------------------------------------

ตกเย็น ทิวก็ช่วยพยุงบูมมาส่งที่รถ วันนี้แม่เขาเป็นคนมารับ แม่ของบูมยังดูสวยอยู่มากทีเดียว คงเป็นเพราะเธอทำงานที่ต้องพบปะกับผู้คนหลากหลาย จึงต้องแต่งตัวให้ภูมิฐานและดูดีตลอดเวลา

เห็นสภาพลูกชายอย่างนั้นแล้ว แม่ของบูมก็เปิดประตูรถพลางมองดูลูกชายที่ถูกเพื่อนพยุงมาด้วยความสงสัยและเป็นห่วง "บูม เป็นอะไรล่ะลูก"

"ตกบันไดครับแม่ แต่ไม่เป็นไรมากแล้วครับ" บูมบอก ทิวช่วงพยุงเขาไปนั่งในรถก่อนแล้วจึงทำความเคารพแม่ของเขา

"ทิวครับแม่ เพื่อนบูม" บูมแนะนำ แม่ของเขายกมือรับไหว้ทิวที่เพิ่งยกมือสวัสดีเธอไปเมื่อสักครู่นี้

"ขอบใจมากนะที่พาบูมมาส่ง ไปบูม ไปโรงพยาบาล เจ็บตัวแบบนี้แล้วแทนที่จะโทรไปบอกพ่อกับแม่ เรานี่ก็แปลกคน" ตอนหลังแม่ก็หันมาดุบูม ทำให้ทิวพอเข้าใจและเห็นอะไรรางๆ บ้างแล้วว่าทำไมบูมจึงดูเครียดๆ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

5. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #4
 
05-Mar-12, 04:26 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมาก ๆ ครับ เพิ่งอ่านไปได้ตอนเดียว แต่มาตอบก่อนครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

6. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #5
 
05-Mar-12, 10:19 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 4

กว่าจะได้กลับถึงบ้าน บูมก็ถูกคุณแม่บ่นไปหลายอย่างตั้งแต่โรงเรียน โรงพยาบาลจนกลับมาถึงบ้าน บางทีเขาก็ชิน บางทีเขาก็รำคาญ แต่วันนี้บูมทำเงียบๆ และได้แต่ครับๆ อย่างเดียว จริงๆ ปกติเขาก็ไม่ค่อยจะได้เถียงอะไรมากอยู่แล้วเพราะรู้ว่าเถียงไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ ยังไงเขาก็ต้องถูกบังคับอยู่ดี ตั้งแต่บีม พี่ชายของเขาทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังในเรื่องการเรียน บูมก็กลายเป็นความหวังใหม่ของครอบครัวขึ้นมาทันที โชคดีหน่อยที่เขาค่อนข้างหัวดีกว่าพี่ชาย พ่อแม่ก็เลยไม่ต้องเหนื่อยกับเขามากนัก แต่เขาก็ถูกเคี่ยวเข็ญหนักอยู่ดี

ไปโรงพยาบาลมาแล้วบูมก็ได้ไม้ค้ำยันมาอันหนึ่ง ทำให้เขาพอทำอะไรได้สะดวกขึ้นมาบ้าง จริงๆ ครูพยาบาลพยายามจะหาให้แล้วตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียนแล้วแต่ก็ดันมาหายกระทันหัน จึงต้องลำบากทิวที่เป็นคนช่วย ทำไมทิวจึงดีกับเขาอย่างนั้นล่ะ ทั้งๆ ที่เขาทำตัวไม่น่ารักกับทิวเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ขอบใจทิวมากเช่นกัน ถ้าได้มีเพื่อนสักคนที่พอจะทนคบเขาไปได้บ้างก็คงจะดี แต่ก็ไม่รู้ว่าทิวจะทนคบกับเพื่อนเจ้าปัญหาอย่างเขาได้นานแค่ไหน

วันนี้พ่อคงกลับดึกเพราะมีประชุมงาน บูมจึงต้องนั่งกินข้าวกับแม่สองคนในบ้าน ที่บ้านเขามีคนรับใช้อยู่สองคน คนหนึ่งทำอาหาร อีกคนทำงานบ้านทั่วไป แต่ไม่มีคนขับรถเพราะพ่อกับแม่ขับเอง ไม่มีคนสวนเพราะใช้วิธีจ้างเอา

กำลังนั่งกินข้าวอยู่ พี่บีมก็กลับมาจากมหาวิทยาลัยพอดี สักพักบีมก็ยิ้มเผล่เข้ามาในห้องกินข้าว "หวัดดีครับแม่ อ้าวบูม ไปเอาไม้เท้ามาทำอะไรล่ะ" บีมถามอย่างแปลกใจพลางเดินมาหาน้องชาย

"กินข้าวมาหรือยัง" คุณแม่หันมาถามลูกชายอีกคนด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ยินดียินร้าย ถึงเธอจะรู้สึกว่าลูกคนนี้ไม่ได้อย่างใจ แต่ก็ยังไงก็เป็นลูก ยังไงเธอก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี

"กินกับเพื่อนมาแล้วครับ" บีมบอกแล้วหันมาสนใจบูมต่อ "ว่าไงล่ะเรา เอาไม้เท้ามาทำไม"

"ตกบันไดที่โรงเรียนตอนเช้า" บุมตอบเสียงห้วนๆ แล้วก็หันมาสนใจกับอาหารต่อ ในใจลึกๆ เขาก็นึกโทษพี่ชายอยู่เหมือนกันที่ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ จนเป็นเหตุให้พ่อกับแม่ต้องมากดดันเขาแทน บีมเองก็พอจะเดาความรู้สึกของน้องชายได้อยู่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาเรียนหนังสือไม่เก่งเลย เขาเคยถูกพ่อกับแม่ด่าว่าโง่ผ่าเหล่าผ่ากอ เคยถูกเคี่ยวเข็ญในฐานะพี่ชายคนโตที่จะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักให้กับครอบครัวต่อไป แต่เขาก็ทำไม่ได้ จนพ่อแม่เลิกบังคับ บีมจึงหันไปเรียนศิลปะอย่างที่เขาชอบ เขาไม่อิจฉาน้องชายเลยสักนิดที่พ่อกับแม่คาดหวังจะให้ไปเรียนต่อเมืองนอก แต่ก็อดสงสารน้องชายไม่ได้เหมือนกันที่ต้องมาถูกบังคับแทนเขา ทำให้บูมดูไม่ค่อยร่าเริงมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่บูมค่อนข้างฉลาดเหมือนพ่อกับแม่ ไม่ผ่าเหล่าผ่ากออย่างเขา การเรียนของบูมจริงๆ ก็เป็นที่น่าพอใจมากทีเดียว เขาจึงแปลกใจที่พ่อกับแม่ก็ยังคงเคี่ยวเข็ญบูมอยู่ จนบูมแทบจะไม่มีเวลาได้เล่นหรือทำกิจกรรมตามวัยของเขาเลย

บีมเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดีจึงรีบขอตัวขึ้นไปอาบน้ำข้างบน "เหรอ ทีหลังระวังหน่อยนะ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับแม่" ว่าแล้วบีมก็รีบวิ่งขึ้นไป พอลูกชายคนโตลับตาไป แม่ก็เริ่มบ่นอย่างที่บูมได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาฟังจนแทบจะจำได้ทุกคำพูดอยู่แล้ว

"เรียนอะไรไม่เรียน ไปเรียนศิลปะ จบมาจะไปทำมาหากินอะไร ก็ได้กลายเป็นศิลปินใส้แห้งกันพอดี" แม่บ่นงึมงำในตอนแรก แล้วก็หันมาบ่นดังๆ กับบูมว่า "จำไว้นะบูม บูมต้องตั้งใจเรียน จบมาจะได้มีงานดีๆ ทำ เป็นหน้าเป็นตาให้พ่อกับแม่บ้าง อย่าให้พ่อกับแม่ต้องอับอายขายขี้หน้าเขาไปมากกว่านี้เลย..." และอีกสารพัดที่แม่จะบ่น บูมได้แต่แอบถอนหายใจ เขารีบๆ กินข้าแล้วก็ขอตัวขึ้นไปบนห้อง

วันนี้ไม่มีการบ้าน ปกติเขาจะต้องอ่านหนังสือของวันถัดไปก่อน รวมทั้งยังมีหนังสือและชีทที่ครูสอนพิเศษแจกมาให้อีกส่วนหนึ่งที่เขาต้องคอยทบทวน แต่วันนี้เขาอยากจะฟังเพลงที่ทิวเพิ่งให้เขามา ไม่ได้อ่านหนังสือแค่วันเดียวคงไม่ทำให้เขาสอบตกหรอก นี่ถ้าพ่อกับแม่มาได้ยินสิ่งที่เขาคิดคงดุเขาใหญ่ที่คิดแบบนี้

อันที่จริงในห้องบูมมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะตัวหนึ่งและติดลำโพงด้วย ถ้าเขาเปิดลำโพงนี้จนสุดเสียงมันคงดังไปจนถึงปากซอยได้แน่ๆ แต่เขาแทบจะจำไม่ได้เลยว่าเคยเปิดเพลงฟังดังๆ กี่ครั้ง มีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเวลาที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน แต่วันนี้เขาคงไม่ได้คิดจะเปิดเพลงเสียงดังหรอก ถ้าแม่ได้ยินเขาก็คงโดนดุ บูมจึงเอาหูฟังมาเสียบกับโทรศัพท์ที่แสนเชยในสายตาของเพื่อนๆ ของเขา แล้วก็ฟังเพลงที่ทิวให้มา เขาฟังไปอยู่สองสามรอบก็ได้เพลงที่อยากลองร้องแล้ว เขาอดตื่นเต้นไม่ได้จนต้องโทรไปหาทิวเลยทีเดียว

"ทิว เราได้เพลงที่เราอยากร้องแล้วนะ"

"จริงเหรอ เพลงอะไร" น้ำเสียงของทิวก็ดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน

"ฉันดีใจที่มีเธอ" บูมบอกชื่อเพลงไป

"ได้เลย เดี๋ยวเราเตรียมเนื้อเพลงไว้ให้ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน" ทิวบอกด้วยน้ำเสียงที่ทำให้บูมรู้สึกฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก

"ขอบใจมาก" บูมบอกด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าเขารู้สึกขอบใจจริงๆ "แค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้" บูมรีบบอกแล้วก็วางสายไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะคุยต่อ แต่เขาได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นแม่เขานั่นเอง

บูมรีบวางโทรศัพท์ ทำทีไปเปิดหนังสือเรียนบนโต๊ะไว้ แล้วก็รีบไปเปิดประตู แต่มันก็ค่อนข้างทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะเขายังใช้ไม้ค้ำยันได้ไม่ค่อยคล่อง แล้วก็เป็นแม่เขาจริงๆ ด้วย

"อาบน้ำอยู่เหรอลูก ทำไมเปิดประตูช้าจัง เอ...ก็ยังใส่ชุดเดิมนี่นา"

"อ๋อ ยังครับ พอดีอ่านหนังสืออยู่ แล้วผมก็ใช้ไม้ค้ำยันไม่ค่อยถนัดด้วยครับ ก็เลยมาเปิดช้า" บูมแก้ตัว แม่ของเขาสอดส่ายสายตาเข้ามาในห้อง เห็นบูมเปิดหนังสือทิ้งไว้แล้วก็เลยไม่ติดใจอะไร

"ทีหลังอาบน้ำก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาอ่านหนังสือ จะได้อ่านสบายๆ" แม่ของเขาบอกแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง บีมซึ่งอยู่ห้องติดกันแอบแง้มประตูออกมาดู แล้วเขาก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างระอาใจ นี่พ่อกับแม่ของเขากะจะไม่ให้บูมได้มีเวลาทำอย่างอื่นบ้างเลยหรือไงถึงต้องคอยเช็คอยู่ตลอดแบบนี้ เห็นแล้วก็อึดอัดแทน

บูมปิดประตูด้วยใจระทึก นี่ถ้าแม่เกิดสงสัยหรือจับได้ขึ้นมา เขาก็คงโดนอบรมอีกเป็นชุด แถมยังอาจจะมีพ่อมาช่วยบ่นอีกคนไปด้วย เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วก็เลยเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ เขาคงจะต้องอ่านหนังสืออีกสักหน่อยก่อนนอน อย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่รู้สึกผิดที่โกหกแม่เมื่อสักครู่นี้มากนัก

------------------------------------------------------------------------

เช้าวันต่อมา ทิวรีบมาโรงเรียนแต่เช้ากว่าปกติ แน่นอนว่าต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ เขากระเป๋าเรียนขึ้นไปเก็บบนห้องแล้วก็รีบแจ้นลงมารออยู่ตรงบริเวณที่เขามักจะเห็นพ่อกับแม่มาส่งบูมเป็นประจำ ไม่นานนักรถเก๋งยุโรปสุดหรูก็วิ่งเข้ามาจอด ในเวลาที่เกือบจะเหมือนเดิมเป๊ะ จนทิวอดสงสัยไม่ได้ว่าที่บ้านของบูมบอกเวลากันเป็นวินาทีหรือเปล่า

พอเห็นบูมลงมาทิวก็รีบวิ่งไปช่วยเขาถือกระเป๋าเรียนทันทีเพราะเขารู้ว่าบูมคงถือไม่ถนัดนัก บูมดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่เห็นทิวมารอช่วยเขา แต่วันนี้ทิวไม่ต้องช่วยพยุงเขาแล้วเพราะวันนี้เขามีไม้คำยันมาด้วย

บูมกับทิวบอกสวัสดีแม่แล้วก็พากันเดินขึ้นมาบนห้องเรียน ระหว่างที่เดินขึ้นมาอย่างช้าๆ บูมก็ถามว่า "นายมารอเราเหรอ"

ทิวพยักหน้าพลางยิ้ม "เดี๋ยวไม่มีใครช่วยนายถือกระเป๋าไง"

บูมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนใหม่ที่เจอกันเพียงไม่กี่สัปดาห์อย่างบอกไม่ถูก "ขอบใจนะ" บูมบอกพลางยิ้มที่มุมปาก แล้วเขาก็หยุดเดินระหว่างขึ้นบันได ทิวหยุดแล้วมองอย่างสงสัย ก่อนจะได้ถามอะไร บูมก็ชิงพูดเสียก่อน

"เราขอโทษนะ"

ทิวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย "ขอโทษเรื่องอะไร???"

"ก็ที่เราเคยทำไม่ดีกับนายไง"

นั่นแหละทิวถึงได้ร้องอ๋อว่าบูมขอโทษเขาทำไม "เฮ้ย ไม่ต้องคิดมากหรอก ไม่เห็นมีอะไรเลย นิดเดียวเอง เราไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก" ทิวบอกพลางเอามือไปตบไหล่เพื่อน

บูมยิ้มดีใจกับมิตรภาพใหม่ที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบจากโรงเรียนที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาได้ไม่นานนี้ "เรารู้แล้วล่ะว่าวันนั้นนายไม่ได้แกล้งเราหรอก" บูมเอ่ยออกมาหลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง ทิวหัวเราะเบาๆ

"นายไม่โกรธพวกนั้นเหรอที่โยนความผิดให้นาย" บูมถามพลางค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นบันไดต่อ

"เราไม่ถือสาพวกมันหรอก" ทิวบอกแค่นั้น บูมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เด็กนักเรียนคนอื่นๆ เริ่มทยอยกันมาบ้างละ บูมกับทิวจึงเดินขึ้นไปเงียบโดยไม่ได้คุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก

"วันนี้นายไม่ต้องไปเข้าแถวหรอก เดี๋ยวเราบอกครูให้" ทิวบอกเมื่อมาส่งบูมถึงโต๊ะเรียนแล้ว แล้วเขาก็เดินมาหยิบกระดาษจากกระเป๋าเป้ของเขา พอหาเจอแล้วก็เดินเอาไปยื่นให้บูม "เนื้อเพลงที่เราบอกจะเอามาให้ไง"

"ขอบใจนะ" บูมบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางรับกระดาษเนื้อเพลงที่ทิวพิมพ์มาให้ เขาเพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าสิ่งที่เขียนในเนื้อเพลงนั้นมันช่างตรงกับความรู้สึกของเขาตอนนี้จริงๆ

"จะกินอะไรไหมเดี๋ยวเราลงไปซื้อมาให้" ทิวถาม เพื่อนๆ ที่เดินเข้ามาในห้องต่างก็มองเขากับบูมแปลกๆ เพราะคงไม่มีใครคิดว่าเขากับบูมจะสนิทกันได้เร็วขนาดนี้ เมื่อไม่กี่วันมานี้ยังทำหน้ายักษ์ใส่กันอยู่เลย

บูมส่ายหน้าแล้วตอบว่า "ไม่เป็นไรหรอก เรากินข้าวเช้ามาแล้ว แม่ไม่ค่อยชอบให้เรากินจุกจิก เดี๋ยวอ้วน"

"อ๋อ...งั้นนายอยู่นี่ก่อนละกัน เราต้องลงไปทำเวรข้างล่าง วันนี้เวรเรา ไปช้าเดี๋ยวถูกรุ่นพี่จดชื่อ แต่นายเตรียมตัวไว้นะ หลังเที่ยงแล้วเจอกัน" ทิวบอกพลางเดินมาจับมือเพื่อนเป็นการให้คำมั่นสัญญา

----------------------------------------------------------------

หลังจากกินข้าวเที่ยงแล้วทิวก็พาบูมไปที่ห้องดนตรีทันที ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีคนมาใช้นักเพราะส่วนใหญ่ยังกินข้าวอยู่ ทิวรีบไปจองคีย์บอร์ดตัวหนึ่งที่อยู่ตรงมุมห้อง เขามักจะใช้คีย์บอร์ดตัวนี้ในการวอร์มเสียงก่อนร้องเพลงอยู่บ่อยๆ

"อันดับแรก เราว่านายร้องให้เราฟังก่อนดีกว่า เอาท่อนที่นายจำได้ดีที่สุดก่อนก็ได้ เราจะได้รู้ว่าเนื้อเสียงนายเวลาร้องเพลงแล้วเป็นยังไง" นั่นคือสิ่งแรกที่ทิวขอให้เพื่อนช่วยทำเมื่อนั่งประจำที่แล้ว

บูมดูประหม่าทีเดียว เขาเหลียวมองไปรอบๆ ห้องเพื่อดูว่ามีใครบ้าง ก็เห็นเด็กนักเรียนคนอื่นๆ เข้ามาบ้างแล้ว แต่ยังคุยกันอยู่ไม่ได้เริ่มซ้อมดนตรี "เอาตอนนี้เลยเหรอ" บูมถามย้ำอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ทิวพยักหน้า

"เอาท่อนฮุกละกันนะ" บูมบอกแล้วสูดลมหายใจยาว ก่อนจะร้องเปล่งเสียงร้องออกมาว่า "ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ เธอคือกำลังใจเดียวที่มีไม่ว่านาทีไหนๆ" แล้วบูมก็หยุดขำ เขาหันไปมองรอบๆ นึกว่าจะมีใครหันมาสนใจบ้าง แต่ทุกคนก็ยังยืนคุยกันอยู่เหมือนไม่ได้สนใจอะไร จึงทำให้เขาลดอาการประหม่าไปได้บ้าง

"เป็นไง แย่ใช่ไหมล่ะ" บูมบอกพลางยิ้มอายๆ

"ใครว่าล่ะ เราว่าเสียงนายมีเอกลักษณ์น่าสนใจมากๆ เลยรู้ปะ" ทิวบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนแมวมองที่กำลังเจอช้างเผือกยังไงยังงั้นเลย ทำให้บูมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นอีกมากโข

"นายอำหรือเปล่า เราว่าเสียงเราแย่มากเลยนะ" บูมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

"ไม่จริงเลย โอเคล่ะ กำลังเสียงนายอาจจะไม่ยังไม่ค่อยดีในตอนนี้ แล้วก็เพี้ยนพอดู แต่มันฝึกได้ แต่เราว่าเนื้อเสียงของนายน่าสนใจมากๆ เราว่ามันเหมาะกับเพลงรักๆ โรแมนติกๆ นะ"

ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ยิ่งทำให้บูมมีกำลังขึ้นอีกโขเลยจนเขาเผลอยิ้มอย่างมีความหวังออกมา

"เรามาร้องท่อนอื่นกัน นายจำเมโลดี้ได้ทั้งหมดหรือยัง"

บูมส่ายหน้า

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะเล่นคีย์บอร์ดเป็นเมโลดี้ให้ นายร้องตามนะ จะได้ฝึก Ear Training ไปด้วย"

บูมพยักหน้า ทิวเริ่มกดเล่นเมโลดี้เพลง บูมยังเข้าได้ไม่ตรงคีย์นัก เขาจึงให้บูมประโยคแรกใหม่อยู่สองสามครั้ง จนเขาสามารถร้องได้ตรงคีย์มากขึ้น จึงค่อยๆ ไล่ไปประโยคและท่อนอื่นๆ ในเพลง เมื่อรู้ว่าการร้องเพลงของเขาไม่แย่อย่างที่คิด บูมก็เริ่มมีความหวังว่าเขาจะได้ค้นพบความสามารถใหม่ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าท้ายที่สุดนี้เขาจะใช้ความสามารถนี้ไปทำอะไรได้ พ่อแม่เขาคงไม่ยอมให้เขาเป็นนักร้องอย่างแน่นอน แต่บูมก็รู้สึกว่ามันทำให้บูมมีความสุขมากทีเดียว อย่าเพิ่งไปนึกถึงอะไรอย่างอื่นเลย อย่างน้อยๆ เขาก็จะได้มีความสามารถพิเศษกับเขาบ้าง ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนอย่างเดียว

ขณะที่เขากำลังสอนบูมร้องเพลงอยู่นั้น พี่ปี๊ดประธานชมรมดนตรีก็เดินเข้ามาดู "เฮ้ยทิว มึงพาใครมาสอนร้องเพลงวะวันนี้"

ทิวกับบูมหยุดแล้วก็หันไปมองตามเสียง ทิวดูจะตกใจนิดๆ เพราะเขายังไม่ได้ขออนุญาตพี่ปี๊ดเลย "เพื่อนในห้องผมครับพี่ปี๊ด ชื่อบูมครับ เพิ่งย้ายมาใหม่" ทิวถือโอกาสแนะนำเสียเลย

"อ๋อ... ไอ้น้องนี่เอง แล้วจะไหวไหมเนี่ย เล่นดนตรีก็ไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่เป็น" พี่ปี๊ดเห็นหน้าปุ๊บก็จำได้ปั๊บ เพราะเขาเป็นคนไล่ตะเพิดบูมออกไปเองตอนที่บูมไปขอสมัคร

"พอได้อยู่พี่ ผมว่าฝึกอีกหน่อยก็มาอยู่ชมรมเราได้เลยครับ เนื้อเสียงดีใช้ได้เลยครับ" ทิวรีบอวด "พี่อยากฟังหรือเปล่าครับ" ทิวถามต่อ บูมแอบเอามือมาสะกิดว่ายังไม่ต้องก็ได้เพราะเขายังไม่มั่นใจขนาดนั้น

"เฮ้ย ยังๆ เอาไว้ก่อนละกัน วันนี้พี่มีธุระต้องเคลียร์เอกสารชมรมก่อน ตามสบายละกัน" พี่ปี๊ดบอกแล้วก็รีบเดินออกไป

ทิวดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าใกล้จะบ่ายโมงแล้ว สงสัยต้องพักไว้ก่อน "วันนี้เอาเท่านี้ก่อนละกันนะ เดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทัน พรุ่งนี้ค่อยมาต่อกันใหม่ เดี๋ยวเราจะสอนนายเรื่องการหายใจและการวอร์มเสียงด้วย"

"โอเคเพื่อน ก็ดีเหมือนกัน กว่าเราจะเดินไปถึงห้องเรียนก็คงบ่ายโมงพอดี" การได้เรียกใครสักคนว่าเพื่อนในตอนนี้ สำหรับบูมแล้วมันวิเศษที่สุดสำหรับชีวิตเลยล่ะ เขาอยากมีเพื่อนแบบนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมา เขาเจอแต่เพื่อนที่แค่เล่นๆ สนุกกันไปวัน ไม่ค่อยมีสาระอะไร แต่เมื่อเจอทิวแล้ว บูมก็รู้สึกต่างออกไป เขารู้สึกว่าทิวไม่ใช่เพื่อนอย่างที่เขาเคยมี ทิวน่าจะเป็นเพื่อนที่เขาสามารถคบได้ลึกซึ้งมากกว่าเล่นสนุกทั่วไป เขารู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

7. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #6
 
06-Mar-12, 04:33 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ จะมีรูปมาหรือยังน้า?


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

8. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
06-Mar-12, 09:05 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   อิๆ ลืมไปครับว่าปกติผมต้องมีรูปด้วย คราวนี้มาพร้อมรูปด้วยครับ
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ตอนที่ 5

"เฮ้ย พวกมึงเห็นบูมปะวะ" นี่คือคำถามแรกที่ทิวทักเพื่อนเมื่อมาถึงโรงเรียนในตอนเช้า

"จะเกินไปแล้วโว้ย ตั้งแต่สนิทกับไอ้บูม ลืมพวกกูไปเลยนะมึง ถามหาแต่ไอ้บูม" เอกทำเสียงประชด

"ลืมห่าอะไรล่ะ พูดดีๆ นะมึง เดี๋ยวบ้องให้ มึงไม่เห็นหรือไงว่ามันขาเจ็บอยู่ ก็ต้องช่วยดูแลมันหน่อย"

"ไม่ต้องไปดูแลมันแล้ว วันนี้มันไม่ได้ใช้ไม้คำยัน โน่น เดินไปหลังโรงเรียนคนเดียว ไม่รู้ไปทำอะไร" ปุ้ยว่าพลางชี้บอก

ทิวมองตาม "เออ ขอบใจนะเว้ย เดี๋ยวมา" พูดจบทิวก็จะวิ่งไป แต่ปุ้ยเรียกไว้ก่อน "เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป"

ทิวเบรกแทบไม่ทันพลางหันมามองอย่างสงสัย "มีอะไรวะ"

"ช่วยดูๆ มันหน่อยละกัน กูว่ามันเป็นเด็กมีปัญหาว่ะ พวกกูเคยพยายามคุยกับมันแล้ว มันไม่ค่อยพูดเท่าไร แต่ดูเหมือนมันจะชอบคุยกับมึงมากกว่า บอกมันด้วย ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก"

ทิวยิ้มให้ปุ้ยด้วยความตื้นตันใจ ถึงมันจะห่ามๆ และกวนๆ (มากถึงมากที่สุด) ไปบ้าง แต่มันก็เป็นคนมีน้ำใจและคิดดีกับเพื่อนเสมอ แม้กระทั่งกับเพื่อนที่มันไม่ค่อยสนิทด้วยก็ตาม "เออ ไม่ต้องห่วง ไหนๆ บูมก็จะมาเป็นเพื่อนกับเราอีกอย่างน้อยสามปีอยู่แล้ว เราก็ต้องคอยดูมันเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ นั่นแหละ" ต้องบอกว่าวันนี้ทิวกับเพื่อนแปลกไปจริงๆ ที่คุยเรื่องมีสาระได้ด้วย ปกติมีแต่คุยเรื่องสนุกสนาน

ทิวยิ้มกับเพื่อนๆ อีกครั้งแล้วก็วิ่งมาตึกด้านหลังโรงเรียน สอดส่ายสายตาหาบูม แต่ก็ไม่เจอว่าอยู่ตรงไหน บูมมาทำอะไรที่หลังโรงเรียนนะ ปกติมักจะเห็นอ่านหนังสือเรียนอยู่ตามโต๊ะม้าหินอ่อนด้านหน้าหรือไม่ก็บนห้อง มองไปมองมา ทิวก็ได้ยินเสียงเหมือนคนร้องเพลงมาจากที่ไหนสักแห่ง พอตามเสียงไปเรื่อยๆ ก็เห็นบูมแอบร้องเพลงอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพร้อมกับถือกระดาษแผ่นหนึ่งด้วย ทิวเข้าใจว่าน่าจะเป็นเนื้อเพลงที่เขาพิมพ์ให้เมื่อวาน ดูท่าทางบูมมีความสุขทีเดียว

ทิวไม่เข้าไปทักเพื่อนในทันที แต่แอบมองและยิ้มด้วยความชื่นชมในความพยายามของเพื่อน ไม่เสียแรงที่เขาอุตส่าห์ลงทุนสอนด้วยตัวเอง นี่ถ้าเป็นคนอื่น เขาต้องคอยตามคอยจี้กว่าจะร้องแต่ละเพลงให้ได้อย่างใจ แต่กับบูม เขาเพิ่งสอนไปแค่วันเดียวเองกลับได้เห็นความตั้งใจจริงตั้งแต่วันแรกเลย พอบูมร้องเพลงจบ ทิวก็ปรบมือให้

"เฮ้ย มาตั้งแต่เมื่อไร" บูมหันมามองด้วยความตกใจและมีท่าทางอายๆ

"ก็มาทันฟังนายร้องท่อนฮุกแล้วก็ท่อนจบเมื่อกี้นั่นแหละ ใช้ได้เลยทีเดียวนะ นี่ขนาดไม่ค่อยได้ร้องเพลงนะเนี่ย" ทิวชมพลางเดินเข้าไปใกล้

"จริงเหรอ" บูมยิ้มอย่างไม่ค่อยมั่นใจ "เราคิดว่าเราต้องหาเวลาซ้อมบ้าง แค่ซ้อมกับนายอย่างเดียวคงไม่พอหรอก แต่ว่าเราซ้อมที่บ้านไม่ได้ ก็เลยว่าจะซ้อมตอนเช้าๆ ที่โรงเรียนด้วย"

ทิวรับฟังแล้วพยักหน้าเข้าใจ จริงๆ ร้องเพลงตอนเช้าอาจไม่ค่อยดีเท่าไรเพราะช่วงนี้เสียงจะยังมาไม่เต็มที่ แต่ถ้าบูมไม่สะดวกเวลาอื่นตอนเช้าก็คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เอาไว้ให้สนิทกันมากกว่านี้เขาจะลองคุยเรื่องที่บ้านของบูมดูบ้างเผื่อจะช่วยอะไรได้ "แบบนี้คนสอนก็ปลื้มแย่เลยที่คนถูกสอนตั้งใจขนาดนี้ ตั้งแต่สอนร้องเพลงให้พวกสมาชิกในชมรมดนตรีมา เพิ่งเห็นนายนี่แหละที่ตั้งใจซ้อมจริงๆ" ทิวชมจากใจจริง

บูมยิ้มอีก เขาเริ่มยิ้มได้มากขึ้นในช่วงนี้ ตั้งแต่ที่เริ่มมีทิวเข้ามาเป็นเพื่อน "นายว่าเราจะเข้าเป็นสมาชิกในชมรมดนตรีได้ไหม" บูมถามด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ

ทิวพยักหน้า

"แล้วนายคิดว่า....เสียงอย่างเรา...จะได้มีโอกาสขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีไหม"

ทิวพยักหน้าอีก "ได้สิ...เราจะพาให้นายไปถึงวันนั้นให้ได้ ถ้านายไม่ท้อเสียก่อน ไม่ต้องห่วง เห็นนายตั้งใจแบบนี้เราก็เต็มที่อยู่แล้ว"

ไม่รู้ว่าทิวตามฝาดหรือเปล่า นอกจากเขาจะเห็นบูมยิ้มดีใจและมีความหวังแล้ว เขายังเห็นหยดน้ำตาที่มันค่อยๆ ไหลลงมาจากจากตาของบูมด้วย พอเพ่งดูดีๆ ทิวก็พบว่าเขาไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ด้วย ทำไมบูมจึงน้ำตาไหลแบบนั้น "นายเป็นไรหรือเปล่าบูม" ทิวถามด้วยความเป็นห่วง

"เปล่าหรอก เราแค่ดีใจ...ที่เรา...เพิ่งเคยมีเพื่อนดีๆ แบบนี้" พูดจบบูมก็ดึงเพื่อนเข้าไปกอด ทิวทำให้เขาได้รู้ตัวว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขามันช่างอ้างว้างเดียวดายเหลือเกิน เขารู้สึกเหงา ขาดที่พึ่งทางใจ ขาดความอบอุ่นแม้ว่าครอบครัวเขาจะมีครบพร้อมทุกอย่าง ขาดคนที่จะรับฟังและช่วยเขาอย่างจริงใจ

ทิวออกจะงงๆ นิดๆ แต่เขาก็กอดตอบและตบหลังเพื่อนเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ "ไม่ต้องห่วงนะบูม นายเป็นเพื่อนของพวกเราแล้ว นายมีอะไรไม่สบายใจก็บอกพวกเราได้ อย่างน้อยนายก็จะต้องอยู่กับพวกเราอีกตั้งสามปี พวกเรายินดีช่วยเพื่อนของพวกเราทุกคน"

บูมปล่อยเพื่อนออกจากอ้อมแขนแล้วก็ยิ้ม เขาไม่ร้องให้แล้วล่ะ ปกติเขาไม่เคยร้องให้เลย ไม่ว่าจะโดนกดดันหรือบีบคั้นมากแค่ไหน เขาเก็บกดไว้มากจนคิดว่าในไม่ช้ามันก็คงต้องระเบิดออกมา เหมือนอย่างในวันนี้ที่เขาเพิ่งรู้ว่าเขาเก็บกดความเหงาและอ้างว้างไว้ในใจของเขามากมายเพียงใด "ขอบใจมาก" บูมสูดหายใจยาวแล้วพูดต่อว่า "เมื่อเช้าเราแวะซื้อขนมปังร้านโปรดมาฝากพวกนายด้วย เรายังไม่ให้พวกนั้นกินเพราะว่านายยังไม่มา เดี๋ยวเราไปเอามาแบ่งเพื่อนๆ กินกันนะ"

ทิวพยักหน้า "นายไม่ใช้ไม้ค้ำแล้วเหรอ เดินไหวหรือเปล่า" ทิวถามพลางก้มมองดูที่ขาของเพื่อนที่ยังมีผ้าพันแผลแปะอยู่ตรงหัวเข่าที่ถลอกเป็นแผล

"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เราไปหาหมอมาเมื่อวาน สงสัยยาที่ให้มากินคงดีด้วยมั้ง ก็เลยหายไว" บูมพูดแล้วก็เริ่มออกเดิน จริงๆ โรงพยาบาลที่เขาไปมาเมื่อวานนั้นก็เป็นโรงพยาบาลเอกชนอย่างดีที่พ่อกับแม่เขาไปใช้บริการเป็นประจำ ด้วยกำลังเงินและฐานะของครอบครัวเขา พ่อกับแม่จะสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาเสมอไม่ว่าจะใช้เงินมากขนาดไหนก็ตาม แต่ที่เห็นเขาใช้โทรศัพท์เชยๆ นั้นเป็นเพราะพ่อกับแม่เกรงว่าโทรศัพท์ดีๆ หรูๆ ที่มันทำได้หลายอย่างนั้นจะทำให้เขาเสียคน เขาก็อยากได้เหมือนกันตามประสาวัยรุ่น แต่ก็เถียงพ่อกับแม่ไม่ได้

---------------------------------------------------

บูมกับทิวช่วยกันถือขนมปังจากร้านมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งลงมาจากห้องเรียน แล้วเอามาแบ่งเพื่อนๆ ที่มานั่งแซวสาวๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่บริเวณทางเข้าหน้าโรงเรียน พวกเพื่อนๆ ดีใจกันใหญ่ที่อยู่ดีๆ ก็มีลาภปากตั้งแต่เช้า

"โห จากร้านนี้เลยเหรอ อยากกินมานานแล้ว แต่ไม่มีปัญญาซื้อ" หม่าวดูจะตาโตดีใจกว่าเพื่อนๆ

"เขาระดับไหนแล้วมึง ไม่เห็นเหรอว่าพ่อกับแม่มันขับรถเบ็นซ์มาส่งทุกวัน เขาก็ต้องกินของมีระดับสมฐานะเขาหน่อยสิ" เอกว่าพลางกินอย่างเอร็ดอร่อย

"กูว่ามันเป็นขนมปังที่อร่อยที่สุดเท่าที่กูเคยกินมาเลยว่ะ" ช้างเป็นปลื้มด้วยคน เจ้าหมอนี่ตอนแรกๆ มันไม่ได้ชื่อช้างหรอก แต่ด้วยความที่มันกินเยอะจนอ้วน หลังๆ เพื่อนๆ ก็เลยเรียกมันไอ้ช้าง แต่ด้วยความที่มันชอบเดินเขกหัวเพื่อนเวลาอยู่ในห้องเรียน เพื่อนๆ ก็เลยเรียกมันว่าไอ้ช้างเกเรไปด้วย

"บูมไม่กินเหรอ" ทิวหันไปถามบูมที่ยืนยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจที่เห็นเพื่อนๆ ชอบขนมที่เขาซื้อมาฝาก

"กินแล้ว ตามสบายเลย ซื้อมาฝากพวกนายนั่นแหละ"

----------------------------------------------------------------

ตั้งแต่ทิวเริ่มเป็นเพื่อนกับบูม บูมก็ดูจะทำตัวเป็นเพื่อนกับคนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม บูมก็ชอบไปไหนมาไหนกับทิวมากกว่าใคร กลายเป็นคู่หูดูโอ้คู่ใหม่ของโรงเรียนไปเลย และแน่นอน ตอนเที่ยงหลังกินข้าวทุกๆ วัน ทิวก็จะช่วยบูมสอนร้องเพลงเสมอ ยกเว้นวันไหนที่มีธุระอย่างอื่นจริงๆ

ผ่านการฝึกซ้อมไป 1 เดือนเศษๆ ทิวก็ทำให้บูมต้องประหลาดใจสุดๆ เพราะแทนที่จะพาบูมมานั่งฝึกร้องเพลงอย่างเคย ทิวกลับพาเขาไปห้องซ้อมวงดนตรีของชมรมแทน

พอเปิดประตูเข้าไปทิวก็รีบขอโทษขอโพยนักดนตรีที่กำลังรออยู่ยกใหญ่ "มาแล้วๆๆ ขอโทษจริงๆ ครับที่มาช้า"

"เออๆ ไม่เป็นไรเว้ย เร็วๆ เข้า เดี๋ยวจะต้องไปเรียนแล้ว" ต้าบอกพลางหันไปเช็คสายแจ๊คที่เสียบกับเบสที่เขาถืออยู่

"ไหนล่ะนักร้องใหม่ของมึง" เพ้งถามพลางสอดส่ายสายตามองหานักร้องใหม่ที่ทิวบอกว่าจะให้มาลองร้องเพลงดู

"นี่ไง บูม เข้ามาสิ" ทิวบอกพลางเดินไปจูงแขนเพื่อนที่ยืนงงๆ เข้ามาในห้อง แล้วก็แนะนำให้เพื่อนๆ ในวงรู้จัก

"นี่บูมนะครับ บูม นี่เพ้ง มือกีตาร์ พี่ต้า มือเบส พี่ออย มือกลอง แล้วก็ซิท มือคีย์บอร์ด ทั้งหมดนี้อยู่ในวงอะไรนะ" ตอนหลังทิวหันไปถามเพื่อนๆ นักดนตรี

"Zenith ครับ" เพื่อนๆ นักดนตรีตอบพร้อมกันพลางหัวเราะ ในวง Zenith นั้นเป็นการรวมตัวกันของนักดนตรีมือเจ๋งๆ ที่พี่ปี๊ดคัดมาเองกับมือเลย มีทั้งที่อายุเท่ากันและต่างกันจากหลายๆ ห้อง ที่น่าแปลกก็คือในชมรมดนตรี ไม่เพื่อนสมาชิกจากห้องของทิวเลยแม้แต่คนเดียว

"แล้วนายพาเรามาที่นี่ทำไมเหรอ" บูมแอบถามทิวอย่างงงๆ

"ให้มาเทสต์เสียงไงล่ะ" ทิวกระซิบบอก

บูมอ้าปากค้างตาโต "จริงเหรอ"

ทิวพยักหน้า บูมดีใจจนถึงกับกระโดดกอดคอเพื่อน "ขอบใจมากทิว"

"อ้าว มัวแต่ดีใจอยู่นั่นแหละ ให้ไวเลย เดี๋ยวเหลือไม่ถึง 20 นาทีแล้วนะโว้ย" ต้าบ่น แต่สีหน้าก็ไม่จริงจังนัก

"ครับๆๆๆ" บูมรีบรับคำอย่างเร็วไว แล้วก็วิ่งมาที่ไมโครโฟนที่ตั้งไว้ให้ แล้วก็หันมาถามทิวว่า "จะให้เราร้องเพลงอะไรล่ะ"

"ก็เพลงที่นายซ้อมมาเป็นเดือนนั่นแหละ" ทิวบอก

"แล้วพี่ๆ เขาซ้อมกันมาแล้วเหรอ" บูมถามอีก

"เออ" เสียงนักดนตรีข้างหลังตอบมาพร้อมกัน บูมหันไปหัวเราะกับพวกเขาด้วย บูมไม่รู้หรอกว่าทิวไปจัดการเรื่องนี้ให้เขาตั้งแต่เมื่อไร แต่เขาโฆตรจะดีใจเลย ดีใจจนยิ้มแทบไม่หุบเลยล่ะ

"เต็มที่เลยนะบูม เราจะถ่ายวิดีโอนี้ไว้ด้วย เอาไปให้พี่ปี๊ดดู รับรอง นายได้เข้าชมรมดนตรีในตำแหน่งนักร้องชัวร์" ทิวให้กำลังใจ พลางหยิบไอโฟนเขาขึ้นมาเตรียมไว้

เสียงดนตรีดังขึ้นแล้ว ดนตรีมันดูแปลกๆ ไปเล็กน้อยเพราะทิวบอกให้วง Zenith เรียบเรียงดนตรีใหม่ให้มีจังหวะทันสมัยขึ้น ไม่ใช่เวอร์ชั่นอะคูสติกตามต้นฉบับเดิม

"ขึ้นตรงไหนน่ะ งง" บูมบอกพลางเกาหัว เสียงดนตรีก็หยุดลงตาม

"โอเค เดี๋ยวเราให้สัญญาณละกัน เอาใหม่นะ" ทิวบอก แล้วหยิบโทรศัพท์ตั้งท่าเตรียมถ่ายวิดีโออีกครั้ง "จัดเต็มเลยนะเพื่อน" ทิวให้กำลังใจอีกครั้ง ได้กำลังใจดีแบบนี้ บูมสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว

พออินโทรขึ้นไปได้สักพัก ทิวก็ให้สัญญาณมือว่าให้บูมเริ่มร้อง บูมขึ้นได้ถูกพอดี เขาดูงงๆ ในตอนแรกๆ บ้าง แต่พอร้องไปก็เริ่มมั่นใจมากขึ้น สามารถใส่อารมณ์และลูกเล่นได้ดีมากขึ้น คงไม่โปรเท่ากับทิวหรอก แต่ก็เรียกได้ว่าดีที่สุดของบูมในตอนนี้แล้วล่ะ

"ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่...กับฉัน"

เพลงจบลงแล้ว ทิวและเพื่อนๆ นักดนตรีปรบมือชอบใจกันใหญ่

"เยี่ยมเลยบูม" น้ำเสียงดีใจของทิวทำให้บูมหัวใจพองโตจนแทบจะลอยได้เลยทีเดียว

"ใช้ได้เลยบูม ยินดีต้อนรับนักร้องนำคนใหม่ไว้ล่วงหน้าเลยละกัน" พี่ต้าบอกพลางเดินมาตบไหล่เขา คนอื่นๆ ก็เดินมาตบไหล่และชมเขาเช่นกัน

เราอยากจะบอกว่าเราโฆตรรักนายเลยว่ะทิว ขอบใจสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่นายช่วยทำให้เราจริงๆ บูมคิดในใจ สายตาที่เขามองมาที่ทิวนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ

----------------------------------------------------------

เลิกเรียนแล้วทิวไม่ได้ลงเล่นเตะบอลเหมือนเคย แต่เขารีบวิ่งไปที่ชมรมดนตรีและตรงดิ่งไปหาพี่ปี๊ด รุ่นพี่ ม.6 ประธานชมรมดนตรี

"พี่ปี๊ด ผมมีอะไรมาให้พี่ดูแน่ะ พี่พอมีเวลาหรือเปล่า" ทิวบอกพลางหอบแฮ่กๆ หน้าโต๊ะทำงานของพี่ปี๊ด

พี่ปี๊ดหันมามองและทำสีหน้าสงสัยในท่าทางตื่นเต้นโดยไม่รู้สาเหตุของทิว "ได้ๆ มีอะไรเหรอ แต่ไม่นานนะ เดี๋ยวพี่จะต้องรีบกลับบ้านไปธุระกับที่บ้าน"

"ไม่นานพี่ ขอเวลาแค่ห้านาทีเท่านั้น ว่าแต่มีที่ที่มันเงียบกว่านี้ไหมครับ"

พี่ปี๊ดไม่ตอบทิวแต่กลับตะโกนเสียงดังว่า "เฮ้ย ช่วยเงียบๆ หน่อยแป๊บนึง"

เสียงซ้อมดนตรีเสียงคนคุยกันในชมรมก็เงียบลงทันที ทิวเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ เขาดึงเก้าอี้มานั่งแล้วก็หยิบโทรศัพท์ไอโฟน แล้วเปิดวิดีโอที่บูมร้องเพลงให้พี่ปี๊ดฟัง

"เป็นไงบ้างพี่"

พี่ปิ๊ดดูมีท่าทางสนใจมากทีเดียว

"เฮ้ย มีหูฟังปะ จะได้ฟังให้ชัดๆ"

ทิวรีบค้นกระเป๋าเป้แล้วหยิบหูฟังมาให้พี่ปี๊ดทันที พอได้ฟังจากหูฟังเท่านั้น พี่ปี๊ดก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อย

"ใช้ได้เลย คนสอนเก่งนะเนี่ย" พี่ปี๊ดหันมาบอกแล้วฟังต่อ ทิวยิ้มแทบไม่หุบเลยทีเดียว พอฟังจบพี่ปี๊ดก็ถามว่า

"มันยังสนใจที่จะเข้าชมรมหรือเปล่าวะ"

"สนใจสิพี่ บูมเขาซ้อมมาเป็นเดือนทุกวันเลยนะครับ ผมสอนเขาเองกับมือเลย เขาตั้งใจมากนะครับพี่ ผมยังไม่เคยเห็นใครตั้งใจเท่าบูมเลย" ทิวได้โอกาศโฆษณาสรรพคุณเพื่อนของเขาไปด้วย

"ดีๆ งั้นพรุ่งนี้ทิวพาบูมมาคุยกับพี่หน่อยละกัน"

"ได้เลยครับพี่ ขอบคุณพี่มากครับ" ทิวบอกอย่างดีใจแล้วก็รีบคว้าไอโฟนวิ่งออกไปข้างนอก ท่ามกลางความงุนงงของคนในชมรม

ออกมาปั๊บทิวก็โทรหาบูมทันทีเพราะเขารอที่จะบอกข่าวดีนี้ช้ากว่านี้อีกแค่วินาทีเดียวก็ไม่ได้แล้ว

"จริงเหรอทิว นายพูดจริงเหรอ" บูมตอบอย่างตื่นเต้นในขณะที่นั่งรถกลับบ้าน พี่ชายเขาหันมามองด้วยความสงสัย บูมจึงค่อยๆ ใช้มือป้องปากแล้วบอกทิวว่า "แค่นี้ก่อนนะ"

ทิวได้ยินเสียงกระซิบกระซาบแบบนั้นก็เลยเดาได้ว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้บูมไม่สะดวกที่จะพูดตอนนี้

"อะไรเหรอบูม ทำเสียงดีใจเชียว" บีมหันไปถาม วันนี้พ่อกับแม่ไม่ว่าง บีมจึงถูกบังคับให้ขับรถมารับน้องชายแทน

"เปล่า" บูมตอบเสียงห้วนเช่นเคยแล้วก็ทำสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่ได้พูดดีๆ กับพี่ชายมาหลายปีแล้ว อยู่บ้านเดียวกันก็แทบจะนับคำที่ใช้คุยกันได้ เพราะเขาจะไม่คุยกับใครในบ้านเท่าไร ถ้าไม่จำเป็น โดยเฉพาะกับพี่ชายที่บูมยังเคืองๆ อยู่

บีมยิ้มนิดๆ แล้วก็ถอนหายใจ หลายปีมานี้ บ้านของพวกเขาดูไม่ค่อยจะเป็นเหมือนบ้านเลย มันดูอึดอัดและเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เคร่งขรึม ไม่ค่อยมีเสียงหัวเราะ ไม่ค่อยมีเสียงคุยกัน มันน่าอึดอัดจนแทบไม่อยากจะอยู่เลยทีเดียว แต่ช่วงหลังๆ มานี้เขาสังเกตเห็นว่าน้องชายของเขาดูหน้าตาสดใสมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

9. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #8
 
07-Mar-12, 01:38 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ ชอบมาก จะสู้ต้นกะสนไว้ไหม่?


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

10. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
07-Mar-12, 05:20 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 6

ในที่สุดบูมก็ได้เข้ามาอยู่ในชมรมดนตรีสมใจอยาก แถมยังได้เป็นนักร้องนำคู่กับทิวด้วย แล้วก็ยิ่งโชคดีขึ้นไปอีกเมื่อทางโรงเรียนจะให้วง Zenith เป็นการแสดงของโรงเรียนอีกหนึ่งชุดที่จะไปร่วมงานของกระทรวงศึกษาธิการที่เมืองทองธานีในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า บูมกับทิวจึงต้องมาซ้อมร้องเพลงด้วยกันเพราะถูกวางตัวให้เป็นนักร้องนำดูโอ้ของวงไปเสียแล้ว

ในช่วงนี้โรงเรียนให้ลดเวลาการสอนในช่วงบ่ายลงเพื่อให้นักเรียนที่จะต้องไปแสดงในงานได้มีเวลาซ้อมการแสดง บูมจึงได้มีโอกาสฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ เขาพัฒนาไปได้มากทีเดียว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าคนที่เก็บกดมักจะมีพลังอะไรบางอย่าง เมื่อมันถูกดึงออกมาใช้ในทางสร้างสรรค์จึงทำให้พัฒนาได้เร็ว ทิวไม่หวงวิชาเลย ไม่ว่าบูมจะสงสัยอะไรหรือแม้กระทั่งสิ่งที่บูมไม่ได้ถาม เขาก็จะถ่ายทอดให้จนหมด ก็อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ เห็นคนตั้งใจแบบนี้ ทิวก็พร้อมจะเต็มที่ด้วย

------------------------------------------------------------------------

"แม่ครับ วันเสาร์นี้ ถ้าบูมเรียนพิเศษเสร็จแล้ว บูมขอไปเดินซื้อของกับเพื่อนนะครับ"

แม่ของบูมเงยหน้าขึ้นจากการกินข้าวแล้วก็มองบูมราวกับว่าเขาได้ทำสิ่งที่ผิดมหันต์ "ซื้ออะไร ซื้อไปทำไม"

ได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นบูมก็หลบตาลงต่ำ "ซื้อเสื้อผ้าครับ"

"แล้วที่มีอยู่ไม่พอหรือไง" ไม่ใช่ว่าเธอจะขี้เหนียวหรืออะไร เสื้อผ้าแต่ละตัวที่บูมใส่ก็ล้วนแล้วแต่มียี่ห้อราคาแพงๆ ทั้งนั้น เพียงแต่เธอไม่เข้าใจที่บูมต้องไปซื้อกับเพื่อน เพราะที่ผ่านมาเธอหรือไม่ก็สามีจะเป็นคนพาไปซื้อเองอยู่แล้ว

ยังไม่ทันที่บูมจะได้ตอบอะไร เสียงพี่ชายเขาก็ดังขึ้น เขาเพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัยและบังเอิญได้ยินการสนทนาพอดี "แม่ ให้บูมไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างเถอะครับ บูมยังเด็ก คงอยากจะเที่ยวกับเพื่อนบ้าง"

แม่ของบูมหันขวับไปตามเสียงลูกชายคนโตทันที "แล้วไม่คิดหรือว่าน้องมันจะไปเหลวไหลที่ไหน" แม่เริ่มเสียงแหว

บีมเดินมายืนข้างๆ น้องชายแล้วก็ถอนหายใจ "โธ่แม่ แม่ไม่สงสารบูมบ้างเหรอครับ บูมยังเด็กอยู่นะครับแม่ ที่ผ่านมาบูมไม่เคยได้ทำอะไรตามที่วัยเขาควรจะได้ทำเลยนะครับ แม่ปล่อยบูมบ้างเถอะ แค่นี้บูมก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว"

บูมเงยหน้ามองพี่ชายด้วยสีหน้าราวกับจะไม่เชื่อในสิ่งที่พี่ชายพูด นี่เป็นครั้งแรกที่บีมลุกขึ้นมาเถียงแม่เรื่องนี้ให้เขา แต่จริงๆ แล้วนั้น บีมทนเห็นน้องชายถูกบังคับมานาน เขาสงสารน้องชายจนวันนี้เขารู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว

"ปล่อยให้ไปทำตัวเหลวไหลเหมือนพี่ชายมันน่ะเหรอ แม่ไม่ยอมเป็นอันขาด" แม่เริ่มเสียงดัง

"แม่" บีมร้องเสียงดังที่ถูกพาดพิง แต่เอาเถอะ ทุกวันนี้เขาก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว "แม่เชื่อใจบูมบ้างสิครับ ที่ผ่านมา บูมเขาตั้งใจเรียนเพื่อครอบครัวของเรามาตลอด บูมเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเร วันนี้บูมเขาโตแล้ว พ่อกับแม่ควรจะให้อิสระกับน้องบ้าง บูมเป็นผู้ชายนะครับแม่ เขาควรจะมีประสบการณ์เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวของเขาเองบ้าง"

"นี่แกสอนแม่เหรอ" ถ้าแม่ใช้คำว่า "แก" เมื่อไรนั่นแสดงว่าแม่ไม่พอใจอย่างมากแล้วล่ะ แต่วันนี้บีมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

"ผมขอโทษครับแม่ ผมไม่บังอาจถึงขนาดนั้น แต่ผมสงสารบูม แม่เห็นไหมครับว่าบูมไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะ ไม่เคยมีความสุขเลยเวลาอยู่บ้าน บ้านเราไม่เคยมีเสียงหัวเราะ ไม่เคยนั่งคุยกันพ่อแม่ลูกอย่างมีความสุขมานานแค่ไหนแล้ว แม่เห็นบ้างหรือเปล่า" บีมพูดไปร้องให้ไป ปากเขาก็เริ่มสั่น

ดูเหมือนว่าแม่จะอึ้งไปพอสมควรเพราะเมื่อทบทวนดูดีๆ แล้ว ในบ้านก็ไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้อย่างที่บีมว่าจริงๆ แต่เธอก็มองหน้าลูกชายคนโตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

บูมได้แต่มองหน้าพี่ชายและแม่สลับไปสลับมา นี่เกิดอะไรขึ้นพี่ชายของเขาถึงได้หมดความอดทนจนถึงขนาดนี้ ดีนะที่วันนี้พ่อยังไม่กลับบ้าน จริงๆ ก็เป็นเหตุผลที่บูมจะคุยกับแม่ตอนที่พ่อไม่อยู่นั่นแหละ

"สงสารน้องบ้างนะครับแม่ บูมอายุแค่นี้เอง พ่อกับแม่จะบังคับเขาไปถึงไหน" บีมบอกพลางบีบไหล่น้องชายเพื่อให้กำลังใจ เขารู้ว่าน้องยังโกรธอะไรบางอย่างกับเขาอยู่ แต่เขาไม่โทษบูมหรอกที่จะคิดโกรธเคืองเขาเช่นนั้น บูมไม่ได้มีท่าทีขัดขืนแต่กลับมองหน้าพี่ชายด้วยความเข้าใจมากขึ้น

แม่ดูเงียบไปและเริ่มมีน้ำตา "ครอบครัวของเราเพิ่งผิดหวังจากแกมาไม่เท่าไร จะให้ต้องผิดหวังกับบูมอีกหรือไง" แม่พูดพลางสะอื้น บีมเห็นแล้วก็รีบเดินไปหาแม่และนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ และดึงมือแม่มากุมไว้

"แม่เชื่อใจบูมนะครับ พ่อกับแม่เลี้ยงพวกเรามาตั้งแต่เด็กๆ ก็คงจะเห็นว่าบูมไม่ใช่เด็กเกเร ให้บูมได้มีชีวิตอิสระบ้าง ผมเชื่อว่าน้องเขาไม่ทำให้พวกเราผิดหวังหรอกครับ ถ้าแม่ไม่เชื่อใจ ผมจะไปเป็นเพื่อนบูมเอง ผมจะดูแลน้องเอง ยังไงบูมก็เป็นน้องชายของผม ผมก็รักและเป็นห่วงเขาไม่ต่างจากพ่อกับแม่ ผมไม่ปล่อยให้น้องชายของผมไปทำอะไรไม่ดีให้พ่อแม่ต้องหนักใจหรอกครับ" บีมบอกพลางหันมาสบตากับน้องชาย

"พี่บีม..." บูมเรียกชื่อพี่ชายด้วยเสียงแผ่วเบา ที่ผ่านมาเขาคิดไม่ดีกับพี่ชายคนนี้มาตลอด ไม่เคยคิดเลยว่าบีมจะคอยเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นและคอยเป็นห่วงเขาอยู่มากขนาดนี้ คิดแล้วบูมก็ได้แต่รู้สึกผิด

"นะแม่ ให้บูมไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง แม่เชื่อใจบูมนะครับ" บีมขอร้องอีกครั้ง แม่มองหน้าลูกชายสองคนด้วยสีหน้าที่อ่อนลง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก็น่าจะเป็นสัญญาณได้อย่างหนึ่งว่าแม่ได้ยอมแล้ว แม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม

-----------------------------------------------------------------------------------

บูมนั่งรถออกไปกับพี่ชายด้วยความรู้สึกสุขใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่รู้หรอกว่าพ่อกับแม่จะให้อิสระเขาได้มากอีกสักแค่ไหน แต่วันนี้เขาดีใจที่ได้ความรู้สึกดีๆ กับพี่ชายของเขาคืนมา อย่างน้อยมันก็ทำให้บ้านของเขาน่าอยู่มากขึ้น

"พี่รู้สึกว่าหลังๆ บูมหน้าตาสดใสขึ้นนะ มีอะไรหรือเปล่า หรือว่ามีแฟนแล้ว" บีมถามขึ้นขณะที่ขับรถ

"อ๋อ...เปล่าครับ ยังไม่มีหรอก ถ้ามีขึ้นมาพ่อกับแม่คงเอาบูมตายเลย" บูมบอกพลางขำเล็กน้อย แต่อีกใจหนึ่งมันก็ไม่ขำหรอก

"ทีหลังถ้ามีอะไรแบบนี้ บอกพี่นะ เดี๋ยวพี่จะช่วยจัดการให้ พี่ไม่อยากเห็นบูมถูกพ่อกับแม่บังคับมากจนเกินไป พี่ยอมรับว่าพี่ทนดูไม่ไหวจริงๆ พี่เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้นมาแล้ว พี่เข้าใจบูมดีว่าบูมรู้สึกยังไง"

"ครับ" บูมรับคำสั้นๆ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้างที่ได้ยินพี่ชายพูดแบบนี้

"ว่าแต่ไม่มีอะไรจะบอกพี่จริงๆ เหรอ" บีมถามย้ำ

"อ๋อ...คือ..."

"เล่ามาเถอะ...พี่ไม่บอกพ่อกับแม่หรอก" บีมพูดอย่างรู้ทัน

บูมจึงตัดสินใจบอกพี่ชายไปว่า "พอดี...บูมเพิ่งได้เป็นนักร้องนำของวงดนตรีที่โรงเรียนครับ"

"จริงเหรอ" บีมพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าน้องชายของเขาจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ "พี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าบีมจะมีความสามารถด้านนี้"

"พอดีเพื่อนบูมที่ชื่อทิวช่วยสอนครับ บูมเรียนร้องเพลงกับทิวแทบทุกวัน แล้วทิวก็พาบูมไปสมัครที่ชมรมดนตรี แล้วเขาก็ให้บูมเป็นนักร้องนำกับทิวครับ วันนี้...ทิวก็เลยนัดบูมไปซื้อเสื้อผ้าที่จะใส่ขึ้นเวทีกันอาทิตย์หน้านี้ครับ" ดูเหมือนบูมจะพูดถึงเพื่อนด้วยสีหน้ามีความสุขจนบีมอยากจะเห็นเสียแล้วสิว่าทิวหน้าตาเป็นแบบไหนถึงได้ดีกับน้องชายเขาถึงขนาดนี้

"ดีแล้วบูม บูมจะได้ไม่เครียดแต่กับการเรียนอย่างเดียว แต่ก็อย่าให้มีผลกับการเรียนล่ะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะให้ย้ายโรงเรียนอีก ว่าแต่จะเล่นวันไหนล่ะ พี่จะได้ตามไปดู อยากฟังเสียงน้องชายพี่ว่าจะเสียงดีขนาดไหน" บีมพูดพลางยิ้มอย่างชื่นชม

"ครับ" บูมรับคำแล้วก็หัวเราะ

"เสร็จแล้วโทรหาพี่นะ เดี๋ยวพี่มารับ" บีมบอกน้องชายเมื่อมาส่งถึงโรงเรียนสอนพิเศษแถวๆ สยามแสควร์ "วันนี้มีเพื่อนๆ มากี่คนล่ะ เดี๋ยวพี่เป็นสารถีให้"

"รวมบูมด้วยก็ห้าคนครับ" บูมบอกพลางเปิดประตูรถออก "ขอบคุณนะครับพี่" บูมบอกพลางยิ้ม บีมพยักหนักและยิ้มให้น้องชาย บูมปิดประตูรถแล้วก็เดินไปที่ลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องเรียนพิเศษ

----------------------------------------------------------------------------------------

บ่ายแก่ๆ บูมก็เรียนพิเศษเสร็จ เขารีบโทรหาพี่ชายทันที จากนั้นก็ออกมานั่งรอเพื่อนๆ ตรงที่นัดหมาย ไม่นานนัก ทิว ปุ้ย หม่าวและต้องก็มาถึง วันนี้ทุกคนแต่งตัวตามวัยรุ่นสมัยนี่เป๊ะเลย แต่บูมยังแต่งตัวดูเป็นคุณหนูอยู่เลย ทำไมต้องนัดกันมาซื้อเสื้อผ้าน่ะหรือ เพราะว่าบูมจะต้องไปร้องเพลงไงล่ะ ถ้าเขายังใส่ชุดนักเรียนหรือแต่งตัวเป็นคุณหนูไฮโซแบบนี้คงจะเป็นศิลปินได้ยาก

บูมทักทายกับเพื่อนๆ สักพักพี่ชายเขาก็ขับรถเข้ามา บีมลดกระจกลงแล้วถามบูมว่า "พร้อมหรือยัง"

"พร้อมแล้วครับ" บูมตอบพลางยิ้ม

"โห... เป็นบุญของกูแท้ๆ ที่จะได้นั่งบีเอ็มเป็นครั้งแรกในชีวิต" ปุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น คนอื่นๆ ก็พลอยทำเสียงฮือฮาไปด้วย

"ขึ้นมาเลยน้อง วันนี้อยากไปไหน บอกพี่มาได้เลย" บีมร้องบอกเพื่อนๆ ของน้องชาย

ใช้เวลาไม่นานนักทุกคนก็กรูกันเข้าไปอยู่ในรถ มีบูมนั่งหน้ากับพี่ชายและทำหน้าที่คอยแนะนำเพื่อนๆ ให้พี่ชายรู้จัก

จริงๆ ก็ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าที่ไหนไกลกันหรอก ก็อยู่ในบริเวณสยามนี่แหละ แต่บีมไม่ได้มาร่วมด้วยเพราะอยากให้น้องเป็นอิสระอย่างเต็มที่ ส่งเสร็จแล้วบีมก็ไปหาเดินดูอะไรตามประสาของเขา พอถึงเวลาเขาก็ขับรถไปรับ เห็นน้องชายมีความสุขแล้วบีมก็พลอยมีความสุขไปด้วย แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าบูมดูสนิทและทำตัวติดกับทิวมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ พอสมควร

"ไปโยนโบวล์ที่เซ็นทรัลเวิร์ลด์กันไหม แล้วก็ไปกินข้าวด้วย" ทิวเสนอเมื่อเข้ามานั่งในรถ เพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็เห็นดีด้วย

"กินอาหารอะไรกันดีล่ะ อาหารญี่ปุ่นดีไหม" ต้องถามเพื่อนๆ

"ไม่เอา กูไม่ชอบกินปลาดิบ จะอ๊วกว่ะ กิน MK ดีกว่า" ปุ้ยแย้ง เวลาเพื่อนๆ ไปกินอาหารญี่ปุ่นทีไร เขาก็ได้แต่นั่งดู นอกจากไม่กินปลาดิบแล้วเขาก็ไม่ชอบอาหารรสจืดๆ ด้วย แต่สุดท้ายเพื่อนๆ ก็เห็นดีด้วยตามเขา

-------------------------------------------------------------------------

ดูท่าทางบูมจะไม่เคยเล่นโบวลิ่ง ทิวจึงเป็นคนที่เข้ามาช่วยสอน ข้อดีของบูมอย่างหนึ่งก็คือ เขาเป็นคนหัวไว สอนไม่นานนักเขาก็เล่นได้ และเล่นได้ดีเสียด้วยจนเพื่อนๆ ต้องยกนิ้วให้เลยทีเดียว บีมไม่ได้เล่นด้วยหรอก แต่เขาก็นั่งดูน้องชายกับเพื่อนๆ เล่นด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่เสียงแรงที่เขาอุตส่าห์โทรไปบอกยกเลิกนัดกับแฟนสาวในวันนี้ ดูเหมือนแฟนสาวของเขาจะเคืองๆ อยู่เหมือนกัน แต่วันนี้เขาอยากทำให้น้องชายมีความสุขบ้าง แฟนของเขาเขาพอจัดการได้อยู่

เล่นอยู่สักพัก บูมกับทิวก็ขอตัวไปห้องน้ำพร้อมกัน สองหนุ่มน้อยเดินไปคุยกันไปอย่างมีความสุข เดินไปสัก บูมก็ตัดสินใจเอามือไปกอดคอทิว ทิวมองด้วยความสงสัยเล็กน้อยแล้วก็กอดคอเพื่อนตอบ เหมือนกับจะเป็นการสัญญาว่าเขาทั้งสองคนได้ตกลงที่จะเป็นเพื่อนรักกันแล้ว จากนี้ไป ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เขาทั้งสองคนก็พร้อมจะช่วยเหลือและฟันฝ่าไปด้วยกันเสมอ วันนี้บูมอยากจะบอกทุกคนในโลกที่เขารู้จักว่าเขามีความสุขจริงๆ ถึงมันจะเป็นแค่วันเดียวที่เขาจะได้มีอิสระแบบนี้ มันก็คงเป็นอีกวันหนึ่งที่เขาต้องจดจำตลอดไป และก็เป็นวันเดียวที่มีค่ามากพอที่จะทำให้เขาต่อสู้ต่อไป

-------------------------------------------------------------------------

ทิวกับบูมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยว่าจะมีคนสนใจการแสดงของเขามากถึงเพียงนี้ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเพื่อนๆ ในห้องของเขาช่วยกันป่าวประกาศทั่วโรงเรียนให้มาดูคู่หูดูโอ้ใหม่ของวง Zenith ซึ่งปกติวงนี้ก็จะมีแฟนคลับที่เป็นสาวๆ ในโรงเรียนค่อนข้างเยอะ

พอสองหนุ่มปรากฏตัวด้วยเพลงสนุกๆ เสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่ม บูมดูจะตื่นเวทีอยู่บ้าง แต่สักพักเขาก็เริ่มปรับตัวได้ จากนั้นสองหนุ่มก็ผลัดกันร้องเพลงซึ้งๆ แล้วก็ตามด้วยเพลงสนุกอีก จนกระทั่งปิดท้ายด้วยเพลง "ฉันดีใจที่มีเธอ" ที่ทิวกับบูมจะร้องด้วยกันแบบ Duet โดยมีบูมร้องเสียงหลักและทิวคอยร้องประสาน ก่อนร้อง บูมก็หยิบไมค์ขึ้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า

"บูมอยากจะร้องเพลงนี้ ให้กับเพื่อนคนหนึ่งของบูมครับ ที่บูมเลือกเพลงนี้เพราะว่าเป็นเพลงแรกที่บูมเลือกมาสำหรับการเรียนร้องเพลง ด้วยเพลงๆ นี้ที่บูมฝึกร้องอยู่กว่าเดือนเศษๆ ก็ทำให้บูมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ แต่บูมจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ไม่ได้เลยครับถ้าไม่มีเพื่อนคนนี้คอยสอนและถ่ายทอดความรู้ทุกอย่างให้บูม รู้ไหมครับว่าเพื่อนคนนั้นของบูมคือใคร" บูมร้องถามแฟนคลับ แล้วก็มีเสียงตะโกนตอบมาว่า "ทิว" ตามด้วยเสียงกรี๊ดที่ดังสนั่นหวั่นไหวราวกับว่าพวกเขาคือศิลปินชื่อดัง

"ใช่แล้วครับ เพื่อนคนนั้นของบูมก็คือทิวนั่นเอง บูมจะร้องเพลงนี้กับทิว และบูมก็อยากจะบอกทิวว่า ฉันดีใจที่มีเธอครับ" สิ้นเสียงของบูม อินโทรเพลงฉันดีใจที่มีเธอก็ดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงกรี๊ดอีกคำรบ

"เยี่ยมมากบูม" บีมรำพึงกับตัวเองเบาๆ ด้วยความดีใจ เขากับแฟนสาวยืนมองน้องชายที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีกับทิวด้วยความรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ถ้าพ่อกับแม่มาเห็น เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sun
Guest

11. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #10
 
07-Mar-12, 10:08 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบมาก อยากอ่านต่อเร็วๆ เป็นอะไรที่ใสๆ น่าติดตาม ขอบคุณที่สละเวลาทำเรื่องดีดี มาให้อ่านชวนให้ติดตาม น่ารัีกมากครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

12. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
07-Mar-12, 10:27 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 7

"พี่บีม เทอมนี้บูมได้เกรดเฉลี่ย 3.2 ทำไงดีครับ" บูมโทรศัพท์ไปบอกพี่ชายหลังจากที่ไปรับเอกสารรับรองผลการเรียนของเทอมนี้แล้ว น้ำเสียงของบูมดูเครียดและกังวลจนรู้สึกได้

สำหรับบีมแล้ว ถ้าเขาได้เกรดขนาดนี้ก็คงดีใจจนฟ้าถล่ม แต่สำหรับพ่อแล้ว บีมรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เทอมที่แล้วบีมได้ 3.4 พ่อยังให้บีมย้ายโรงเรียน แล้วคราวนี้เกรดเฉลี่ยน้อยกว่าเดิม เขาเดาไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่บีมก็รับรู้และเข้าใจถึงความกังวลของน้องชายได้เป็นอย่างดี

บีมถอนหายใจแล้วบอกน้องชายว่า "เดี๋ยววันนี้พี่ไปรับละกันนะ กลับบ้านพร้อมกัน แล้วพี่จะเข้าไปคุยกับพ่อพร้อมกับบูม"

ได้ยินแล้วบูมก็ใจชื้นขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าคงหนักหนาพอดู

----------------------------------------------------------------------------------

"บูมจะอธิบายพ่อว่ายังไง" นั่นคือสิ่งแรกที่พ่อพูดหลังจากที่เห็นเกรดเฉลี่ยของลูกชายคนเล็กในเทอมนี้แล้ว น้ำเสียงของพ่อบ่งบอกความไม่พอใจอย่างยิ่ง บูมได้แต่นั่งก้มหน้า บีมนั่งนิ่งและขมวดคิ้วอยู่ใกล้ๆ กับน้องชาย ส่วนแม่ยืนดูอยู่ข้างหลังไม่ไกลนัก

บูมรู้สึกว่าเขากลัวจนตัวสั่นนิดๆ กลัวจนเขาไม่รู้ว่าจะบอกพ่อว่าอย่างไร

"พ่อถามได้ยินไหม" พ่อเริ่มเสียงดังจนลูกชายทั้งคู่สะดุ้งตกใจ "บูมจะอธิบายพ่อว่ายังไง"

บูมรู้สึกกลัวจนร้องให้ นั่นยิ่งทำให้พ่อโมโหมากยิ่งขึ้น "ร้องให้ทำไมบูม" พ่อพูดเสียงดังขึ้นอีกแล้วโยนสมุดเกรดของเขาลงบนโต๊ะ

"ผมพยายามแล้วครับพ่อ แต่เทอมนี้มีวิชาใหม่ๆ ที่บูมยังไม่คุ้นเคย บูมก็เลยยังทำได้ไม่ค่อยดี" บูมพยายามอธิบายด้วยเสียงสั่น

"ไม่ใช่เพราะแกมัวแต่เอาเวลาไปร้องเพลงหรอกเหรอ อย่านึกว่าพ่อไม่รู้นะ"

บูมกับบีมถึงกับตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าพ่อจะรู้เรื่องนี้ด้วย พ่อไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน

"ตกใจใช่ไหมที่พ่อรู้เรื่องนี้ ถ้าบังเอิญคุณโฉมศรีเขาไม่ได้ไปงานที่เมืองทองธานีวันนั้น พ่อก็คงจะไม่รู้หรอกว่าบูมทำอะไรที่โรงเรียน"

คุณโฉมศรีที่พ่อพูดถึงนั้นก็คือภรรยาเพื่อนที่ทำงานของพ่อนั่นเอง บูมกับบีมเคยเจอสองสามครั้งแล้วเพราะคุณโฉมศรีเคยมาคุยกับพ่อที่บ้าน ช่วงปีใหม่ก็มักจะซื้อของมาฝากเป็นประจำ

"เป็นแบบนี้แล้วเปลี่ยนโรงเรียนอีกซะเลยดีมั้ย"

บูมหน้าซีดไปทันทีที่ได้ยิน แต่ไม่ว่าเขาจะกลัวพ่อแค่ไหน เขาก็ไม่อยากเปลี่ยนโรงเรียนอีกแล้ว เขายอมรับว่าเขาติดทิวมาก ถ้าไม่มีทิวเป็นเพื่อน เขาก็คงไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว "ไม่นะครับพ่อ บูมไม่เปลี่ยนโรงเรียนอีกแล้ว ยังไงบูมก็ไม่เปลี่ยน" บูมเริ่มเถียงด้วยเสียงสะอื้น

"ไม่เปลี่ยนก็ได้ แต่แกต้องเลิกร้องเพลงไร้สาระนั่นซะ ถ้าแกไม่เลิก พ่อก็จะให้แกเปลี่ยนโรงเรียน"

บูมกับบีมตกตะลึงอีกครั้งกับคำขู่ของพ่อ บูมเองก็รู้ตัวดีว่าท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยนโรงเรียน เขาก็ต้องยอมทำตามที่พ่อบอก มันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ แต่มันก็ดีกว่าที่จะให้เขาอยู่ห่างจากเพื่อนที่ดีอย่างทิว

"ครับพ่อ เทอมหน้าผมจะลาออกจากชมรมดนตรี" บูมกัดฟันพูดออกไปจนได้

"ไม่ได้นะบูม บูมต้องเข้มแข็งสิ บูมต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่บูมทำเข้าใจมั้ย บูมไม่ต้องลาออก ไม่ต้องเปลี่ยนโรงเรียนอะไรทั้งนั้น" บีมเริ่มลุกขึ้นมาโวยวาย พ่อของเขาดูจะตกใจมากทีเดียว

"แล้วแกมายุ่งอะไรด้วย นี่มันเรื่องของบูมกับพ่อ ไม่ใช่เรื่องของแก" พ่อหันมาตะคอกใส่ลูกชายคนโตเสียงดัง

"บูมเป็นน้องผมนะครับพ่อ" บีมเถียง "ผมทนเห็นพ่อกับแม่บังคับบูมไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว บูมอายุแค่นี้เอง พ่อกับแม่จะบังคับอะไรเขานักหนาครับ บูมมันอึดอัดนะครับ บูมไม่เคยมีอิสระ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นทั่วไปเลย วันๆ ก็เอาแต่เรียน เอาแต่อ่านหนังสือ ทั้งๆ ที่เกรดเฉลี่ยขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากพอแล้วสำหรับพ่อแม่คนอื่นๆ"

"หยุดเดี๋ยวนี้นะบีม" พ่อตะคอกด้วยเสียงและมือไม้ที่เริ่มสั่นเทา ไม่คิดมาก่อนว่าวันนี้ลูกชายคนโตจะมาเถียงเขาฉอดๆ แบบนี้

"ผมไม่หยุด พ่อกับแม่สงสารบูมบ้าง บูมอดทนทำตามที่พ่อกับแม่บังคับมาตลอดหลายปี ไม่เคยเกไร ไม่เคยปริปากบ่น แต่วันนี้ ผมอยากให้พ่อกับแม่เข้าใจบูมบ้าง บูมยังเด็กนะครับ ให้บูมได้มีอิสระ ให้บูมได้ทำในสิ่งที่บูมอยากทำบ้าง มันไม่ได้เสียหายอะไรเลย"

"แกกล้าดียังไงมาสอนพ่อฮะบีม" พ่อพูดไม่พูดเปล่า แต่ปรี่เข้ามาเงื้อมือหมายตบหน้าสั่งสอนลูกชายคนโต แต่คนที่โดนจริงๆ กลับเป็นบูมที่รีบลุกออกมารับแทนพี่ชาย

ผัวะ!!!

"บูม!!!!" บีมกับแม่ที่ยืนดูอยู่ร้องอุทานแทบพร้อมกันด้วยความตกใจ แต่บูมไม่มีเสียงร้องแม้แต่คำเดียว เลือดกลบปากเขาเล็กน้อยเพราะแรงตบเมื่อสักครู่นี้หนักเอาการ บูมเอามือลูบๆ ดูแล้วก็เห็นว่ามีเลือดซึมออกมาพอสมควร

ดูเหมือนพ่อเองก็ตกใจเช่นกัน แต่สิ่งที่พ่อทำก็คือตวาดไล่ทุกคนออกไป "พวกแกทั้งหมดออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ฉันจะโมโหไปมากกว่านี้ ออกไปให้หมดเลย ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้า"

บีมค่อยๆ พาน้องชายเดินออกไปจากห้อง ส่วนแม่ก็ร้องให้ด้วยความตกใจตามมาติดๆ ที่ผ่านมา ถึงพ่อจะโมโหยังไงก็ไม่เคยลุกขึ้นมาตบตีลูก นี่นับว่าเป็นครั้งแรกทีเดียว ถึงเธอจะโมโหลูกชายทั้งสองคนมากแค่ไหน แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็คงไม่สามารถทำร้ายร่างกายลูกแบบนั้นได้

"ผมขออยู่คนเดียวสักพักนะพี่" บูมบอกพี่ชายเมื่อมาถึงห้อง บีมพยักหน้า ถอนหายใจแล้วก็เดินออกไป

คนที่บูมนึกถึงมีแค่ทิวคนเดียวเท่านั้นในตอนนี้ เขาอยากไปหาทิวเหลือเกิน เขาอยากมีใครสักคนที่จะรับฟังและให้กำลังใจเขา เขาไม่อยากอยู่ในบ้านในเวลานี้เลย เขากำลังอ่อนแออย่างหนัก เขาไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะสู้หน้าพ่อกับแม่อย่างไร บ้านที่มีแต่เรื่องน่าอึดอัดแบบนี้ไม่ช่างไม่น่าอยู่เอาเสียเลย

-------------------------------------------------------------------------

ห้าทุ่มกว่าแล้ว เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นอยู่สองสามครั้งแล้วก็เงียบไป สักพักก็มีหญิงอายุราวๆ สี่สิบกว่าลงมาเปิดประตู เมื่อเห็นแขกที่มาในยามวิกาลเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นที่รูปร่างหน้าตาไม่คุ้นเคย แต่แต่งตัวดูดี มาพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง หญิงวัยกลางคนนั้นก็ดูแปลกใจมากทีเดียว ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะได้ถามอะไร ชายวัยรุ่นคนนั้นก็ชิงพูดก่อนว่า

"ผมมาหาทิวครับ ทิวอยู่หรือเปล่า ผมเป็นเพื่อนทิวครับ"

แม่ของทิวพยายามเพ่งมองดูหน้าชายวัยรุ่นคนนั้นก็ไม่รู้สึกคุ้นหน้าเอาเสียเลย ทิวก็เคยพาเพื่อนมาที่บ้านหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยเห็นเด็กคนนี้เลย แต่หน้าตาของเด็กคนนี้ดูเศร้าสร้อย เหมือนกับเพิ่งจะมีเรื่องอะไรมาสักอย่าง

"ทิวนอนหลับไปแล้วล่ะ เดี๋ยวแม่จะไปปลุกให้นะ" แม่ทิวบอก

"สวัสดีครับแม่" บูมยกมือสวัสดีเมื่อรู้ว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้คือแม่ของทิว เธอรับไหว้แล้วก็เดินหายเข้าไปในบ้าน บ้านของทิวเป็นทาวน์เฮาส์สามชั้น ข้างล่างเป็นส่วนของห้องรับแขกและห้องครัว ชั้นสองเป็นห้องนอนของแม่และชั้นสามเป็นของทิว ตอนแรกแม่เคยนอนชั้นสาม แต่หลังๆ ก็เริ่มเดินขึ้นชั้นสามบ่อยๆ ไม่ไหวจึงสลับชั้นกับทิว

ไม่นานนักทิวก็ลงมาที่หน้าบ้านด้วยท่าทางง่วงๆ ในชุดเสื้อกล้ามและใส่กางเกงบ็อกเซอร์ แต่เมื่อเห็นว่าใครมายืนรอแล้ว ทิวก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

"บูม" ทิวเรียกเพื่อนแล้วก็รีบเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เขาสังหรณ์ใจว่าที่บ้านบูมคงต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ เลย

แม่เห็นว่าทิวรู้จักกับเพื่อนก็เลยนั่งรออยู่ในบ้าน ปล่อยให้เด็กๆ คุยกันส่วนตัวไปก่อน

"มีอะไรหรือเปล่าบูม" ทิวเปิดประตูออกไปถามอย่างเป็นห่วง บูมไม่พูดอะไร แต่ดึงเพื่อนไปกอดแล้วก็ร้องให้เบาๆ ทิวกอดเพื่อนตอบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

"เกิดอะไรขึ้นเหรอบูม" ทิวถามอีกครั้ง

"เราทะเลาะกับพ่อน่ะทิว ให้เราอยู่ที่บ้านนายสักพักได้ไหม" บูมค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกแล้วมองหน้าเพื่อน "ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ" บูมพูดด้วยท่าทางเกรงใจ

"ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ไม่มีปัญหาหรอก เข้ามาในบ้านก่อนดีกว่า" ทิวบอกแล้วก็ดึงมือเพื่อนให้เดินตามเข้ามาในบ้าน เขาล็อกประตูหน้าบ้านแล้วก็พาบูมเดินไปตรงส่วนรับแขกซึ่งแม่นั่งรออยู่แล้ว

"เพื่อนทิวครับแม่ ชื่อบูม บูมเขาจะขอมาพักอยู่กับเราสักสี่ห้าวันน่ะครับ"

แม่ทิวพยักหน้าเข้าใจ เธอผ่านโลกมาพอสมควรก็พอจะเดาออกว่าเพื่อนของทิวคงมีปัญหาอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นปัญหากับที่บ้านก็ได้ "ตามสบายนะบูม จะพักหลายๆ วันก็ได้ ว่าแต่กินข้าวมาหรือยังล่ะลูก" แม่ทิวถามอย่างเอ็นดู เมื่อได้เห็นหน้าชัดๆ แล้วเธอก็รู้สึกถูกชะตากับบูมอย่างประหลาด แววตาของบูมดูอ่อนโยน ไม่มีพิษภัย จึงทำให้เธอรู้สึกไว้ใจพอสมควร

"ขอบคุณครับแม่ รบกวนหน่อยนะครับ" บูมบอกพลางยกมือไหว้ขอบคุณ แม่ของทิวก็ยกมือรับไหว้ ดูแม่ของทิวเป็นคนใจดีทีเดียว เห็นแล้วเขาก็อยากให้พ่อกับแม่เขาเป็นแบบนี้บ้าง

"กินอะไรมาหรือยังล่ะบูม" ทิวถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าบูมยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น

บูมส่ายหน้าแต่ก็มีท่าทีเกรงใจที่จะต้องรบกวนเข้าของบ้าน

"ทิว พาเพื่อนเอาของไปเก็บบนห้องก่อน เดี๋ยวแม่เตรียมอาหารในครัวให้" แม่ของทิวหันไปบอกลูกชาย

"ครับแม่" ทิวรับคำอย่างเร็วไว "ไปบูม เอาของขึ้นไปเก็บบนห้องเราก่อน เดี๋ยวค่อยลงมากินข้าว" ทิวพูดพลางถอดเป้ออกจากหลังของเพื่อนแล้วเอามาช่วยถือ แล้วก็เดินนำบูมขึ้นไปบนชั้นสาม

"เก่งนะเนี่ย มาส่งเราที่บ้านครั้งเดียวก็จำทางได้ด้วย" ทิวคุยไปด้วยระหว่างเดินขึ้นไป จริงๆ คนที่มาส่งเขาคือพี่บีม พี่ชายของบูมที่เป็นคนรับอาสาส่งเพื่อนๆ ของทิวกับบูมจนถึงบ้านของทุกคนต่างหาก แต่บูมนั่งมาด้วยก็เลยพอจำได้

"นายนั่งแท็กซี่มาเหรอ"

บูมพยักหน้า

พอมาถึงห้องนอนของทิวแล้ว ทิวก็ทำสีหน้าอายๆ "รถแล้วก็เล็กหน่อยนะ"

"ไม่เป็นไรหรอก คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก" บูมบอกพลางพยายามยิ้ม ทิวก็หันมายิ้มด้วย เห็นท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของเพื่อนแล้วก็ได้แต่สงสาร

"เราเอากระเป๋าวางไว้นี่ก่อนนะ ปะ ลงไปกินข้าวกันดีกว่า" ทิววางกระเป๋าของเพื่อนไว้บนเก้าอี้ที่เขาใช้นั่งทำงานแล้วก็พาบูมลงไปข้างล่างอีกครั้ง

เข้ามาในห้องครัวก็เห็นแม่ของทิวที่กำลังอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟอยู่ โชคดีที่แม่ของทิวมักจะซื้ออาหารที่กึ่งสำเร็จรูปที่อุ่นด้วยไมโครเวฟแล้วก็กินได้เลยมาติดไว้เป็นประจำ เพราะทิวชอบหิวตอนดึกๆ บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาอ่านหนังสือสอบ

พอได้ที่แล้วแม่ของทิวก็ยกขึ้นมาตั้งไว้บนโต๊ะอาหาร เป็นข้าวกับแกงพะแนงหมู ควันฉุยน่ากินทีเดียว

"ตามสบายนะจ๊ะ" แม่ทิวบอกพลางไปหยิบช้อนมาให้ ทิวพาเพื่อนเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร บูมรับช้อนส้อมมาจากแม่แล้วก็ขอบคุณ

"เห็นแล้วหิว เดี๋ยวเรากินด้วยมั่งดีกว่า" ทิวพูดพลางขำ แล้วก็เดินไปเปิดตู้เย็นเอาอาหารแช่แข็งออกมา "นายกินไปก่อนนะบูม ไม่ต้องรอเราหรอก นายคงหิวแย่" เขาไม่ลืมที่จะบอกเพื่อนเมื่อเห็นบูมทำท่าเหมือนจะรอกันพร้อมกัน

"แม่ขึ้นไปนอนก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกับบูมจัดการเองครับ" ทิวหันไปบอกแม่เมื่อเห็นแม่รออยู่ แม่ของทิวยิ้ม พยักหน้าน้อยๆ แล้วก็เดินขึ้นไป

บูมตักข้าวกินช้าๆ พลางเหลือบไปมองทิวที่ง่วนกับการอุ่นอาหารเป็นระยะๆ

"กินเลยไม่ต้องรอ" ทิวบอกเบาๆ อย่างรู้ทัน

"ไม่เอา เรารอนายด้วยดีกว่า" บูมตัดสินใจ

"ตามใจ" ทิวบอกแล้วก็เดินไปหยิบชามมาใส่เกี๊ยวกุ้งที่อุ่นเสร็จพอดี จากนั้นก็ยกมานั่งกินตรงฝั่งตรงข้ามกับบูม

"นายกินอะไร" บูมถามพลางชะโงกไปดู

"เกี๊ยวกุ้ง ของโปรดของเรา" ทิวบอกพลางตักกินอย่างเอร็ดอร่อย บูมจึงเริ่มกินบ้าง

"ลองไหม อร่อยนะ" ทิวเชื้อชวน บูมส่ายหน้าเพราะไม่อยากแย่งเพื่อนกิน

"ไม่ดีกว่า เดี๋ยวนายไม่อิ่ม นายยิ่งกินเยอะอยู่" บูมพูดพลางหัวเราะเบาๆ เขาเริ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

กินข้าวเสร็จ ทิวกับบูมก็ช่วยกันล้างจาน ปิดไปชั้นล่างแล้วก็ขึ้นมาข้างบนห้องนอน

"นายอาบน้ำตามสบายเลยนะ" ทิวบอกเพื่อนแล้วก็เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของเขาเพื่อที่จะเล่นเกมส์รอเพื่อนระหว่างที่อาบน้ำ

"เอาเสื้อผ้าของนายแขวนในตู้เสื้อผ้าของเราเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ในนั้นมีไม้แขวนเสื้อเหลืออยู่" ทิวบอกแล้วก็หันมาสนใจกับคอมพิวเตอร์ต่อ สักพักหนึ่งเขาก็หันไปมองเพื่อน ตอนนี้บูมอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว รูปร่างของบูมดูแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อพอสมควร แม้เขาจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนัก แต่บูมก็ไม่กินจุกจิกจึงทำให้ไม่อ้วน จริงๆ บูมกับทิวก็มีรูปร่างที่ไม่ต่างกันมากนัก ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่สูงมาก เหมือนผู้ชายไทยทั่วๆ ไป แต่ที่ทิวรู้สึกแปลกใจก็คือ เขารู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นรูปร่างของเพื่อน เขาก็เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนผู้ชายในห้องก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย เขาเป็นอะไรไป ทำไมเขารู้สึกแบบนี้ แต่ก่อนที่เขาจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ บูมก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำแล้ว ทิวถอนหายใจเฮือกเพราะไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนจะหันมาเล่นเกมส์ต่อ

ไม่นานนักบูมก็ออกมาในชุดคล้ายๆ กับเขาคือเสื้อกล้ามและกางเกงบ็อกเซอร์ แต่ดูจากเนื้อผ้าแล้วของบูมคงจะแพงกว่าหลายเท่า

"อาบน้ำไวจัง" ทิวทักด้วยสีหน้าแปลกใจ

"เกรงใจนายน่ะ ดึกแล้ว" บูมบอกพลางใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมให้แห้ง

"ตากตรงระเบียงได้นะ" ทิวบอกเมื่อเห็นบูมหันรีหันขวางหาที่ตากผ้าเช็ดตัว

บูมเปิดประตูออกไปตรงระเบียงแล้วก็ตากผ้าเช็ดตัวกับชุดชั้นใน มีราวตากผ้าตั้งไว้อยู่ตรงนี้ด้วย เรียบร้อยแล้วบูมก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน

"ขอบใจนะทิว เรารบกวนหน่อยนะ" นี่คือสิ่งที่บูมอยากบอกเมื่อเดินกลับเข้ามา

ทิวปิดคอมพิวเตอร์แล้วก็หันมายิ้มให้เพื่อน สีหน้าของบูมดูดีขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว

"คิดซะว่าเป็นบ้านของนายละกัน" ทิวบอกแล้วเดินมาหาเพื่อน "นอนเลยไหม"

บูมพยักหน้า วันนี้ทิวอยากรู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขาก็ยินดีที่จะเล่าให้เพื่อนฟังทุกอย่างที่เขาบอกได้ ทิวจะเป็นคนแรกที่บูมจะยอมเปิดใจเล่าสิ่งสำคัญให้ฟัง เพราะเขามั่นใจในตัวทิวแล้ว มั่นใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมั่นใจมาก่อน

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

13. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #12
 
08-Mar-12, 05:10 AM (SE Asia Standard Time)
 
   มั่นใจครับ มั่นใจว่าเรื่องนี้สนุกแน่ ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

14. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #13
 
08-Mar-12, 01:50 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบจังเลยครับ ดูเป็นอะไรที่มีความโรแมนติคแฝงอยู่ด้วย
อยากมีชีวิตแบบนี้บ้างจัง รอติดตามตอนต่อไปนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sun
Guest

15. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #14
 
08-Mar-12, 11:42 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ทำไม วันนี้ยังไม่มาอีก รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ มาเร็วๆนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

16. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #15
 
09-Mar-12, 04:45 AM (SE Asia Standard Time)
 
   วันนี้ยังไม่มาครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

17. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #16
 
09-Mar-12, 07:39 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ขอเวลากับตอนต่อไปสักพักนะครับ เขียนไปหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่ถูกใจ มันเป็นตอนที่ค่อนข้างสำคัญเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sun
Guest

18. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #17
 
09-Mar-12, 07:57 AM (SE Asia Standard Time)
 
   เป็นกำลังใจให้ครับ รออ่านอยู่นะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

19. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #18
 
09-Mar-12, 01:24 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ฟ้าไม่ได้ลิขิต แต่ท่านผู้ประพันธ์กำลังลิขิตครับ รอครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

20. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
09-Mar-12, 09:37 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและคอมเมนต์ให้กำลังใจนะครับ
ตอนที่ 8 นี้ผมเขียนอยู่หลายรอบเหมือนกัน เผลอๆ อ่านๆ ไปแล้วผมอาจจะแก้อีก เป็นตอนที่สำคัญเหมือนกันครับ
เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักของทิวที่มีให้เพื่อนโดยไม่รู้ตัว
ฝากถามโมนิดนึงครับว่า คนที่เป็นนักเขียนจะแก้งานของตัวเองได้ไหม ไม่อยากรบกวนให้แก้ให้ เพราะงานเขียนแบบนี้บางทีมันแก้จุกจิกครับ
อ่านสิบครั้ง บางทีก็แก้ทั้งสิบครั้ง ถ้านักเขียนแก้เองได้ก็น่าจะดีกว่าครับ
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ตอนที่ 8

"ปากนายไปโดนอะไรมาน่ะบูม เจ็บหรือเปล่า" ทิวถามด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่ามุมปากขวาของบูมมีรอยช้ำนิดๆ และเหมือนจะบวมหน่อยๆ ด้วย เขาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แต่คงจะใกล้เกินไปจนบูมต้องเขยิบตัวออกเล็กน้อย

บูมเอามือลูบบริเวณที่ถูกพ่อตบหน้าแล้วตอบว่า "ไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวเราเล่าให้ฟัง"

"รออยู่นี่เดี๋ยวนะ" ทิวพูดจบแล้วก็วิ่งจู๊ดออกไป สักพักก็กลับมาพร้อมกับเบตาดีนและคอตตอนบัดในมือหนึ่ง มืออีกข้างมีหมอนมาด้วย 1 ใบ

"นั่งนี่ก่อน" ทิวบอกให้เพื่อนนั่งลงบนเตียง บูมก็ทำตามอย่างว่าง่าย ทิวทำท่าอ้าปากเป็นสัญญาณว่าให้บูมอ้าปากเพื่อที่เขาจะได้ทาแผลให้ บูมก็อ้าปากตาม ทิวใช้คอตตอนบัดชุบเบตาดีนแล้วก็ค่อยๆ ทาแผลในปากให้เพื่อน

บูมครางเบาๆ เพราะรู้สึกแสบๆ

"เจ็บเหรอ" ทิวถามพลางหยุดมือ ความรู้สึกบางอย่างแวบเข้ามา จะว่าเป็นความรู้สึกสงสารและเห็นใจก็คงจะใช่ แต่ก็เหมือนจะมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นเมื่อเห็นบูมถูกทำร้ายแบบนี้

"แสบนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร" บูมตอบ

"แต่ดูแล้วคงไม่เป็นไรมาก" ทำเสร็จแล้วทิวก็ลุกเอายาไปวางไว้บนโต๊ะและเอาคอตตอนบัดทิ้งตะกร้าขยะเล็กๆ ในห้อง แล้วก็เดินกลับมาที่เตียง "นอนดีกว่า ถ้านายไม่รังเกียจเรา เราก็นอนกันเบียดๆ หน่อยนะ พอดีเตียงเรามันเล็กไปหน่อย ยังไม่ถึงเวลาที่จะมีใครมานอนด้วย" ทิวพูดติดตลกพลางขำในตอนท้าย

"เรานอนข้างล่างก็ได้ ไม่อยากรบกวนให้นายลำบาก"

"ไม่ได้ เราเป็นเพื่อนกันนะบูม ถ้านายนอนข้างล่าง เราจะโกรธนายจริงๆ ด้วย" ทิวขู่

"มีอย่างงี้ด้วย" บูมว่าพลางขำ แต่เขาก็คงต้องยอม ดูท่าทางแล้วทิวคงไม่ยอมให้เขานอนข้างล่างแน่ๆ

"วันนี้ใช้ผ้าห่มผืนเดียวกับเราไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะหามาให้" จริงๆ ทิวพยายามหาแล้วตอนที่ลงไปเอายาข้างล่าง แต่ก็ยังหาไม่เจอ

ทิวเดินไปปิดไฟในห้อง เหลือแต่ไฟตรงหัวเตียงไว้ เขาทิ้งตัวลงนอนแล้วแต่บูมยังนั่งมองเหมือนกับไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี

"นอนเถอะบูม เพื่อนกัน ไม่ต้องเกรงใจเราหรอก" ทิวพูดอย่างรู้ทัน ตั้งแต่คบกับบูมมาหลายเดือน เขาพอจะรู้ว่าบูมมีนิสัยเป็นคนขี้เกรงใจอย่างมาก

เมื่อบูมนอนลงไปแล้ว ทิวก็แบ่งผ้าห่มให้เพื่อนไปครึ่งหนึ่ง เวลาที่เนื้อตัวเบียดกัน ความรู้สึกเหมือนเมื่อครู่นี้ก็กลับมาอีกแล้ว นายเป็นอะไรกันแน่ทิว ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่านายเป็น...

แต่แทนที่ทิวจะปล่อยให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน เขาก็เริ่มหันมาสนใจปัญหาของเพื่อนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจในจิตใจไปเสียก่อน

"นายทะเลาะกับพ่อเรื่องอะไรหรือบูม"

บูมเงียบไปสักพักเหมือนพยายามเรียบเรียงว่าจะตอบอย่างไร "ก็เรื่อง...การเรียนของเรานั่นแหละ เทอมนี้เราได้เกรดเฉลี่ยน้อยกว่าเทอมที่แล้ว พ่อก็เลยไม่ค่อยพอใจ แล้ว...พ่อก็จะให้เราย้ายโรงเรียนถ้าเราไม่...ไม่เลิกร้องเพลง"

ทิวดูตกใจทีเดียว เขาหันไปมองหน้าเพื่อน แต่ก็ต้องตกใจนิดหน่อยเมื่อพบว่าหน้าเขากับหน้าบูมอยู่ใกล้กันพอสมควร "จริงเหรอบูม พ่อนายรู้เรื่องที่นายร้องเพลงด้วยเหรอ"

"อืม...พอดีเพื่อนของพ่อเขาไปงานที่เมืองทองธานีวันนั้นพอดี"

"นายคิดว่าการร้องเพลงทำให้ผลการเรียนนายแย่ลงหรือเปล่า" ทิวชักรู้สึกไม่ดีที่มีส่วนทำให้การเรียนของเพื่อนตกจนมีปัญหากับครอบครัว

"ไม่หรอกทิว เราคิดว่ามันเป็นเพราะวิชาใหม่ๆ อย่างฟิสิกส์ เคมีแล้วก็ชีวะมากกว่า เรายังจับทางไม่ค่อยได้ จริงๆ เราคิดว่าเราแบ่งเวลาได้นะ ตอนเย็นๆ เราก็ยังอ่านหนังสือทำการบ้านอยู่ ส่วนร้องเพลงเราก็อาศัยเวลาว่างๆ ที่โรงเรียนเท่าที่จะพอมี"

"แต่พ่อนายคิดว่าการร้องเพลงมีส่วนทำให้การเรียนของนายแย่ลงใช่ไหมล่ะ" เหมือนทิวจะพอเดาออกบ้าง

"ก็คงอย่างงั้น" บูมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

"ที่ปากนายเจ็บอย่างนี้ก็เพราะว่า..." ดูเหมือนทิวไม่มั่นใจที่จะคาดเดา แต่เสียงถอนหายใจอีกครั้งของบูมก็ดูเหมือนจะทำให้สิ่งที่เขาสงสัยใกล้ความจริงมากขึ้น ถ้าบูมไม่อยากพูดถึงตรงนี้ทิวก็คงต้องหยุดถาม

"แล้วนายจะทำไงล่ะบูม" ทิวเปลี่ยนเรื่องถาม

บูมเงียบไปเหมือนคิดอะไรสักพัก "ถ้าให้เลือกระหว่างต้องย้ายโรงเรียนแล้วไม่ได้เจอกับนาย กับเลิกร้องเพลงแล้วไม่ต้องย้ายโรงเรียน เราก็คงเลือกอย่างหลัง"

ทิวได้ฟังแล้วก็ตกใจเหมือนกัน เห็นอย่างนี้แล้วเขาก็พอเดาได้ว่าบูมถูกครอบครัวคาดหวังเรื่องการเรียนมากแค่ไหน แต่เขาก็สะดุดคำตอบของบูมอยู่เหมือนกัน มันฟังดูเหมือนบูมใช้เขาเป็นเงื่อนไขในการตัดสินใจ

"เราพูดจริงๆ นะทิว เราไม่เคยมีเพื่อนอย่างนายเลย ที่ผ่านมาเรารู้สึกว่าเราไม่มีใคร ไม่มีคนสนใจเรา ไม่มีคนที่รับฟังเรา แต่พอได้เป็นเพื่อนกับนาย มันทำให้เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ถ้าเราต้องย้ายโรงเรียนไปอีก เราก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเพื่อนอย่างนายอีกหรือเปล่า เราก็เลยคิดว่า เราเลิกร้องเพลงก็ได้ แต่ขอให้เรามีเพื่อนอย่างนายต่อไป"

ทิวกับบูมต่างก็มองหน้ากันในความมืด สำหรับทิว เขาดีใจที่บูมให้ความสำคัญกับเขามากขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่อยากให้บูมเลิกร้องเพลงเลย แต่บางครั้ง คนเราก็คงต้องเลือกบางอย่าง และเสียงบางอย่าง

ถ้าไม่ได้นอนอยู่บนเตียงแบบนี้ ทิวคงกอดเพื่อนไปแล้วล่ะ แต่เพราะเจ้าความรู้สึกที่เพิ่งเกิดนั่นทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปเลย "ขอบใจนะบูมที่นายให้ความสำคัญกับเราขนาดนั้น เราก็อยากจะบอกนายเหมือนกันว่า เราดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับนายนะ ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่นายก็เป็นเพื่อนที่พิเศษมากๆ ของเราเลยล่ะ"

แล้วสองหนุ่มก็ยิ้มให้กันในความมืด ดึกแล้ว ทิวก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะช่วยเพื่อนได้มากกว่านี้ยังไง แต่ถ้านึกออกเมื่อไรเขาก็คงจะไม่รอช้า

----------------------------------------------------------------------------

เช้าวันใหม่แล้ว ทิวเป็นคนแรกที่ตื่นก่อน แต่ก็ไม่ต้องรีบอะไรมากเพราะปิดเทอมแล้ว เขาลุกขึ้นนั่งแล้วก็มองเพื่อนที่นอนหลับอยู่ด้วยความเอ็นดู ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง แต่สำหรับตอนนี้ มันจะเป็นความรู้สึกอะไรก็ช่างเถอะ ทิวพอใจและมีความสุขที่ได้มีเพื่อนคนนี้อยู่ใกล้ๆ แบบนี้

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทิวรีบวิ่งไปเปิดก็เห็นว่าแม่แต่งตัวเหมือนเตรียมตัวจะออกไปทำงานแล้ว "พอดีแม่มีประชุมด่วนตอนเช้า วันนี้ทิวกับเพื่อนทำอะไรกินกันเองไปก่อนละกันนะลูก"

"ได้ครับแม่" ทิวพยักหน้ารับ แล้วแม่ก็เดินลงไป

ทิวปิดประตู หันหน้ากลับมา ก็เจอบูมที่ตื่นนอนพอดี เขาลุกขึ้นนั่งแล้วก็ยิ้ม

"ตื่นแล้วเหรอ นอนหลับสบายไหมเมื่อคืน" ทิวไม่ได้ถามตามมารยาท แต่เขาอยากรู้จริงๆ

บูมยิ้มกว้างขึ้นอีก "โอเค ก็หลับสบายดี" ใช่...เขาก็หลับสบายอย่างที่บอกจริงๆ

ทำไมรอยยิ้มของบูมมันดูมีเสน่ห์และแรงดึงดูดอย่างนั้นนะ นายจะต้องบ้าไปแล้วทิว อาการแบบนี้มันเป็นเหมือนตอนที่เขาเคยแอบชอบรุ่นน้อง ม. 2 คนหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว แต่คราวนั้นเป็นผู้หญิง คราวนี้เป็นผู้ชาย...นี่เขากำลังรู้สึกอย่างนั้นกับเพื่อนตัวเองจริงๆ หรือนี่...ไม่นะ...เป็นไปไม่ได้...

---------------------------------------------------------------

สองหนุ่มลงมาช่วยกันทำอาหารเช้าเมื่อทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว บูมไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย เขาจึงเป็นได้แค่ลูกมือ แต่เขาก็สนุกมากทีเดียวที่ได้ทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ แบบนี้ พอผัดผักบุ้งไฟแดงเสร็จแล้ว ทิวก็จะทอดไข่ แต่บูมอยากลองทำก็เลยให้เพื่อนสอน นี่ถ้าบูมมีกระจกอยู่ข้างหน้า เขาคงขำสีหน้าตัวเองมากเวลาที่ทอดไข่แล้วกลัวน้ำมันกระเด็นใส่ แต่มันก็ผ่านไปได้แหละน่า อาหารเช้ามื้อนี้ที่บูมได้มีส่วนช่วยทำครั้งแรกในชีวิตก็ดูจะเป็นอาหารเช้าที่อร่อยที่สุดในโลกที่เขาเคยกินมาเลยทีเดียว

สายๆ ทิวก็พาบูมไปหาซื้อต้นไม้ที่ตลาดเทเวศร์ แม้ว่าพื้นที่บ้านจะไม่ได้มีมาก แต่ทิวก็ชอบปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ บริเวณหน้าบ้านของทิวจึงมีกระถางต้นไม้ ทั้งวาง ทั้งแขวนรวมทั้งไม้เลื้อยเยอะทีเดียว ถึงบูมจะไม่ค่อยรู้เรื่องต้นไม้เท่าไรนัก แต่เขาก็สนุกกับการเลือกซื้อต้นไม้ไปกับเพื่อนด้วย

"ที่บ้านนายไม่โทรตามเหรอ" ทิวถามขณะเดินเลือกดูต้นหนวดฤาษี

"เราปิดเครื่อง" บูมหยุดไปสักพัก "เรายังไม่อยากคุย ไม่อยากเจอกับใครที่บ้านในตอนนี้เลย" แต่อีกใจบูมก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าที่บ้านจะเป็นยังไงที่เขาหายไปและติดต่อไม่ได้แบบนี้ "นายอยากให้เรากลับแล้วเหรอ" ถามเหมือนน้อยใจนิดๆ

"เปล่า...เราแค่ถามดูเฉยๆ" ทิวว่าแล้วก็หันไปสนใจต้นหนวดฤาษีต่อ

"ทิว...เราถามอะไรหน่อยสิ" ดูเหมือนบูมจะสงสัยอะไรบางอย่าง

"อะไรเหรอ" ทิวหันมามองอย่างสงสัย

"นายอยู่กับแม่สองคนเองเหรอ"

"ใช่...พ่อกับแม่เราแยกทางกันนานแล้วล่ะ เราไม่ได้เจอแล้วก็ไม่ได้ข่าวพ่อนานแล้ว แต่เราว่าชีวิตเราก็โอเคนะ แม่เราเก่ง เก่งมากๆ ด้วย" น้ำเสียงของทิวดูเหมือนจะภูมิใจกับแม่ของเขาเสียจริงๆ

บูมยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แล้วก็หันไปสนใจกับการเลือกซื้อต้นไม้ช่วยเพื่อน

----------------------------------------------------------------------

บ่ายๆ ทิวกับบูมก็กลับมาถึงบ้าน ตอนแรกทิวจะขึ้นรถเมล์กลับ แต่บูมเห็นว่าทิวมีของต้องถือเยอะก็เลยให้กลับแท็กซี่ และบูมก็ขอให้เขาเป็นคนออกค่าแท็กซี่เอง พอลงจากแท็กซี่แล้วสองหนุ่มก็ช่วยกันเอาต้นไม้ที่ซื้อมาจัดให้เข้าที่ ในขณะที่กำลังทำเพลินๆ ก็มีรถมาจอดหน้าบ้านทิว สักพักชายคนหนึ่งก็เปิดประตูลงมา

"พี่บีม" บูมอุทานเมื่อเห็นพี่ชายลงมาจากรถ เขารู้สึกกลัวนิดๆ ว่าพ่อกับแม่คงให้พี่ชายมาตามเขากลับบ้าน

"นึกแล้วว่าบูมต้องมาที่นี่"

ทิวเดินไปสวัสดีพี่ชายของเพื่อนแล้วก็เปิดประตูให้พี่บีมเข้ามา

"พี่ไปจอดรถตรงไหนได้บ้าง" พี่บีมถามเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก

"เอามาจอดในบ้านผมก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเปิดประตูให้"

พอจัดการเรื่องจอดรถแล้ว ทิวกับบูมก็พาพี่บีมมานั่งคุยกันข้างในบ้าน

"ไม่เป็นไร ทิวอยู่ฟังด้วยกันก็ได้" พี่บีมร้องบอกเมื่อเห็นทิวทำท่าทางเหมือนไม่แน่ใจว่าเขาอยู่ฟังด้วยได้หรือไม่

"พ่อกับแม่ให้พี่มาตามผมหรือเปล่าครับ" บูมถามตามสิ่งที่เขาคิดกังวลอยู่

"อืม...พ่อกับแม่รู้แล้วล่ะว่าบูมหายไป แต่พี่ไม่ได้บอกหรอกว่าบูมอยู่ไหน ก็ดูเขาเป็นห่วงบูมอยู่นะ แต่ที่พี่มาที่นี่ไม่ใช่เพราะจะมาตามบูมกลับบ้านหรอก พี่ว่าบูมอยู่ที่นี่กับเพื่อนสักพักก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะทำให้พ่อกับแม่คิดอะไรได้บ้าง"

เห็นน้องชายกับเพื่อนมองหน้าเขาอย่างเงียบๆ บีมก็เลยพูดต่อไปว่า "พี่ไม่รู้ว่าบูมตัดสินใจยังไง แต่พี่ก็อยากจะย้ำสิ่งที่พี่พูดเมื่อวานว่า บูมต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่บูมทำ รู้ไหมว่าเวลาที่พี่เห็นบูมร้องเพลง พี่เห็นบูมมีความสุขมาก แล้วบูมก็ทำได้เป็นอย่างดี พี่ภูมิใจนะที่บูมค้นพบความสามารถนี้และตั้งใจกับมัน พี่ไม่อยากให้บูมล้มเลิกมันง่ายๆ แบบนี้"

"แต่..." บูมเหมือนอยากจะแย้ง แต่ก็ไม่รู้จะแย้งว่าอย่างไร

"พี่เชื่อบูมนะ พี่เชื่อว่าบูมแบ่งเวลาได้ ผลการเรียนของบูมไม่ได้แย่ขนาดนั้น แล้วพี่ก็เชื่อว่าบูมจะทำได้ดีขึ้นถ้าบูมคุ้นเคยกับวิชาใหม่ๆ บูมไม่ต้องลาออกจากชมรมดนตรีนะ แล้วก็ไม่ต้องย้ายโรงเรียนหรอก"

"พี่บีม แล้วพ่อจะไม่..."

"พิสูจน์ให้พ่อเห็นสิบูมว่าบูมทำได้ บูมไม่ใช่หุ่นยนต์ ไม่ใช่ดินน้ำมันที่ใครจะสั่งให้ทำอะไรหรือปั้นให้เป็นอะไรก็ได้ พี่ไม่อยากให้บูมเหนื่อยกับการต้องทำตามพ่อกับแม่อย่างเดียว แต่ไม่ได้ฟังหัวใจของบูมเอง พ่อกับแม่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจบูมบ้าง พี่อยู่ทั้งคน บูมไม่ต้องกลัวนะ ทิวก็อยู่ อย่างน้อยบูมก็จะมีสองคน มีพี่ มีทิว ที่จะคอยช่วย ใช่ไหมทิว" บีมหันไปถามเพื่อนของน้องชาย แม้จะมีสังเกตแค่วันเดียว แต่บีมก็พอดูออกว่าทิวเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งของน้องชาย

"ครับพี่บีม ผมเต็มที่อยู่แล้วครับ ผมก็คิดคล้ายๆ กับพี่ครับว่าบูมทำได้ดีมากในเรื่องการร้องเพลง ผมก็ยังแอบเสียดายเลยที่บูมจะเลิก"

เมื่อพี่ชายและเพื่อนรักต่างก็เห็นดีไปในทางนั้น บูมก็ไม่รู้จะค้านยังไง บูมอาจจะต้องเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งและมีจุดยืนมากขึ้น ที่ผ่านมาเขาทำไม่ได้ เพราะไม่มีที่พึ่งทางใจเลย แต่วันนี้ทั้งพี่ชายและเพื่อนต่างก็พร้อมที่จะร่วมเป็นกำลังใจและเป็นแรงสนับสนุนให้ บูมก็ควรจะต้องสู้ต่อไปสิ

"สู้นะบูม" พี่บีมบอกพลางเดินมาตบไหล่น้องชาย บูมเงยหน้ามองพี่ชายด้วยความซาบซึ้งใจ แล้วเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วก็กอดพี่ชายแน่น ดูเหมือนสองพี่น้องจะเริ่มร้องให้แล้วล่ะ

"พี่รู้นะบูมว่าเราเคยโกรธพี่ แต่พี่อยากให้บูมรู้ว่าพี่รักและเป็นห่วงบูมมาก เรามีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง ที่ผ่านมาพี่ไม่ได้เข้ามาช่วยอะไรบูมเลย ปล่อยให้บูมต่อสู้อยู่ลำพัง แต่ว่าต่อไปพี่จะไม่ปล่อยให้บูมต่อสู้อย่างเดียวดายอีก เชื่อพี่นะบูม"

"ผมขอโทษนะครับพี่บีม" บูมพูดได้แค่นั้นเพราะเวลาร้องให้แล้วมันก็พูดอะไรได้ยากเหมือนกัน

"พี่ดีใจนะที่วันนี้บูมไม่โกรธพี่ พี่ดีใจที่เราจะกลับมาเป็นพี่น้องที่รักกันอย่างสนิทใจอีกครั้งหนึ่ง พี่เองก็ต้องขอโทษบูมด้วยที่พี่ห่างเหินไป"

ทิวเห็นสองพี่น้องกอดกันร้องให้แบบนั้น เขาก็อดน้ำตาซึมไปด้วยไม่ได้

สักพักสองพี่น้องก็กลับมานั่งตามที่เดิม

"พี่ก็ว่าจะไปอยู่กับเพื่อนสักพักเหมือนกันช่วงนี้ ถ้าบูมกลับบ้านโทรบอกพี่ด้วยละกันนะ พี่จะได้มารับแล้วก็กลับพร้อมกับบูม"

บูมคิดว่าพี่ชายเขาคงมีแผนการอะไรบางอย่าง พ่อกับแม่ก็คงเหงาเหมือนกันที่จู่ๆ ลูกชายสองคนก็หายไปจากบ้าน แต่บางทีก็อาจจะช่วยให้พ่อกับแม่เข้าใจอะไรมากขึ้นก็ได้

"เดี๋ยวพี่ต้องไปแล้วล่ะ มีนัดกับเพื่อน พี่ฝากบูมหน่อยนะทิว มีอะไรก็โทรไปหาพี่ วันไหนว่างๆ จะพาไปเที่ยว" บีมหันไปบอกเพื่อนของน้องชาย

"ไม่ต้องห่วงครับพี่ ผมจะช่วยดูแลบูมเป็นอย่างดีครับ" ทิวรับคำเป็นมั่นเหมาะ แล้วก็หันไปยิ้มกับเพื่อน เห็นสีหน้าคลายกังวลของเพื่อนแล้วเขาก็โล่งใจขึ้นมาได้บ้าง บูมคงรู้สึกอุ่นใจมากขึ้นเพราะอย่างน้อยเขาก็มีทั้งพี่ชายและเพื่อนที่พร้อมจะช่วยเขาในทุกเรื่อง

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

21. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #20
 
10-Mar-12, 04:54 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ความรัก..เจ้าขา ข้าสงสัยในอุรา ว่าหน้าตาเจ้าเป็นฉันใด

มาแล้ว ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sun
Guest

22. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #21
 
10-Mar-12, 07:00 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบ...เป็นกำลังใจในผลงานที่นำเสนอ ชอบมากครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

23. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #22
 
10-Mar-12, 10:40 AM (SE Asia Standard Time)
 
   แวบแรกที่เห็นรูป ผมกลับนึกว่าน่าจะสลับตัวกัน
เพราะบีม หน้าจะเป็นคนที่ดูหน้าตาเศร้า ๆ กว่า
เฝ้าติตตามอ่านเรื่องทุกวันนะครับ ไม่เว้นแม้วันหยุดราชการ 5 5 5


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

24. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #23
 
10-Mar-12, 10:41 AM (SE Asia Standard Time)
 
   >แวบแรกที่เห็นรูป ผมกลับนึกว่าน่าจะสลับตัวกัน
>เพราะบูม หน้าจะเป็นคนที่ดูหน้าตาเศร้า ๆ มากกว่า
>เฝ้าติตตามอ่านเรื่องทุกวันนะครับ ไม่เว้นแม้วันหยุดราชการ 5 5
>5


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
ตาแป๊ะขายขวด
Guest

25. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #22
 
10-Mar-12, 12:44 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบครับ

มาต่อไวๆนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

26. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
10-Mar-12, 08:38 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   หลายคนอาจสงสัยว่า ภาพที่เอามาประกอบทำไมทิวดูหน้าตาเศร้าๆ แต่บูมดูหน้าตาสดใส น่าจะสลับกัน
เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ก็จะเริ่มเห็นแล้วครับว่าต่อไปใครจะเศร้ามากกว่ากัน
พยายามปูเรื่องให้คนรักและเห็นใจบูมก่อน รักบูมเยอะๆ หน่อยนะครับ เพราะว่าต่อไปบูมอาจไม่ค่อยน่าสงสารเท่าไร
อาจจะขอลดความถี่ในการอัปเดตช่วงนี้ลงนะครับ พอดีงานเข้าอีกแล้ว
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ตอนที่ 9

"หายหัวกันไปหมดเลย" คุณลิขิต เทพสถิตย์พิทักษา นักวิศวกรออกแบบสิ่งปลูกสร้างชื่อดังคนหนึ่งของเมืองไทยบ่นงึมงำขณะนั่งกินข้าวมื้อเย็นกับภรรยา รศ.ดร. ทิพย์นภา เทพสถิตย์พิทักษา อาจารย์ในคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ต่างคนต่างก็มีสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจอยู่ หลายวันแล้วที่บีมและบูมหายไปจากบ้านและไม่สามารถติดต่อได้

"ฮึ...แล้วมันเป็นเพราะใครล่ะ" คุณทิพย์นภาแค่นเสียง อาหารเย็นมือนี้ช่างไม่มีรสมีชาติเอาเสียเลย สามีเธอหยุดมองพลางขมวดคิ้ว

"คุณจะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า"

"ก็คุณไปตบหน้าลูกทำไมล่ะคะ" เมื่อได้ทีเช่นนี้คุณทิพย์นภาก็ถือโอกาสพูดสิ่งที่อัดอั้นตันใจมาหลายวันเสียเลย "จะดุจะด่าลูกยังไงฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กจนโต เราไม่เคยทำกับเขาแบบนี้"

คุณลิขิตได้แต่เงียบเพราะเหมือนเขาก็รู้สึกผิดอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องคอยดูแลทุกคนในบ้าน ในฐานะที่เป็นสามี ในฐานะที่เป็นผู้ชายและอีกสารพัดสถานะตามแต่ผู้ชายในวัยอย่างเขาจะถูกคาดหวังจากสังคมหรือแม้กระทั่งตัวเอง การที่เขาจะยอมรับผิดก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

เห็นสามีเงียบอยู่อย่างนั้น คุณทิพย์นภาจึงรู้สึกไม่พอใจ เธอกระแทกช้อนส้อมลงบนจานข้าวแล้วก็ลุกออกไป ไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน ไม่ว่าจะมีคนยอมรับนับถือหน้าตาในสังคมมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเธอก็คือแม่คนหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดที่จะเอาชนะธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ได้

----------------------------------------------------------------------------

ตลอดเวลาที่บูมอยู่บ้านทิวกว่าหนึ่งสัปดาห์นั้น ดูจะเป็นช่วงเวลาที่บูมมีความสุขมากทีเดียว เวลาอยู่บ้าน ทิวก็จะสอนเขาร้องเพลง นอกนั้นก็ช่วยกันทำงานบ้านไม่ว่าจะเป็นล้างจาน ซักผ้า (ด้วยเครื่องซักผ้า) กวาดบ้าน ถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ ว่างๆ ก็ดูทีวี เล่นเกมส์ วันไหนพี่บีมว่างก็จะพาไปเที่ยว พวกเพื่อนๆ คนอื่นๆ ของทิวกับบูมก็พลอยได้อานิสงฆ์ไปด้วย ไม่ว่าจะไปเล่นยิงปืน ตกปลา ขี่เจตสกี โยนโบวลิ่ง ฯลฯ ทำให้เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงวันที่บูมตัดสินใจจะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่

"นายอย่าลืมขอโทษพ่อกับแม่ก่อนนะบูม ยังไงเขาก็เป็นพ่อแม่ของเรา" ทิวเตือนเพื่อนในขณะที่นั่งอยู่บนเตียงมองดูบูมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า

"อืม เราก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่หนีออกมาแล้วไม่ได้บอกอะไรพ่อกับแม่เลย"

"เราว่าเขาคงเป็นห่วงนายน่าดูนะบูม ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่ไม่รักลูกของตัวเอง" แต่สำหรับทิว เขาคงหมายถึงแม่เพียงคนเดียว จนป่านนี้ทิวก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อเคยรักและจะรู้สึกคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า

"เราคง...คิดถึงนายเหมือนกันนะ เวลากลับบ้านไป เราคงไม่ได้เจอนายอีกเป็นเดือนเลย" บูมหยุดหันมามองเพื่อนด้วยสีหน้าที่ทำให้ทิวต้องตีความอย่างหนัก

อยู่ใกล้ชิดกับบูมมาหลายวัน ทิวเริ่มจะรู้แล้วว่าเขากำลังคิดอะไรกับเพื่อนคนนี้อยู่ แม้จะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสำหรับเขาอยู่ก็ตาม แต่เขาก็เหนื่อยกับการต่อสู้ภายในใจของตัวเองจนต้องยอมรับความรู้สึกนั้นกลายๆ พอเห็นสีหน้าแบบนี้แล้ว ทิวอดไม่ได้ที่จะตีความให้เข้ากับสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ "เราโทรคุยกันก็ได้"

ทิวลุกเดินอ้อมมาอีกฝั่งของเตียง เขานั่งลงใกล้ๆ กับเพื่อน ใกล้จนแขนชิดกันเลยล่ะ มันทำให้ทิวรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก คล้ายๆ ความรู้สึกเวลาที่ทิวเห็นผู้ชายวัยกลางคนที่หน้าตาใจดีแล้วอยากอยู่ใกล้ "เสื้อผ้านายมีแต่ราคาแพงๆ ทั้งนั้นเลยนะเนี่ย" ทิวพูดแซวติดตลก

"แม่เราซื้อให้ ส่วนมากเราไม่ค่อยได้ซื้ออะไรเองหรอก" บูมขำเล็กน้อย

"ถ้าวันไหนเราคิดถึงนาย เราไปหานายที่บ้านได้หรือเปล่า" ที่ทิวถามเพราะเขากลัวว่าถ้าเขาไปแล้วจะทำให้บูมมีปัญหา

"ก็น่าจะได้ แต่...เรายังไม่เคยพาเพื่อนคนไหนไปบ้านเราเลย" บูมขำในตอนท้าย

ให้ตายเถอะ เขารู้สึกว่าบูมน่ารักเหลือเกินเวลายิ้มและหัวเราะ น่ารักจนอยากจะดึงเข้ามากอดเลยทีเดียว คิดแบบนี้อีกแล้วนะทิว เขาเป็นเพื่อนนายนะเว้ย ไม่ใช่... เออ... แล้วไม่ใช่อะไรล่ะ นั่นสิ

"นายกลัวหรือเปล่าบูม" ทิวพยายามดึงสมาธิกลับมาจากความคิดฟุ้งซ่าน

"อืม...ก็กลัวนะ" บูมยอมรับตามตรง "แต่...เรามีพี่บีม แล้วก็นายด้วย ก็เลยหายกลัวไปได้เยอะเลย" แม้จะมีสีหน้าไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่บูมก็รู้สึกกังวลน้อยลงเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา

ทิวพาดมือกอดคอเพื่อนไว้ "ขอบใจนะบูมที่นายให้ความสำคัญกับเราขนาดนี้"

บูมหันหน้ามามองเพื่อนพลางยิ้ม ใบหน้าของบูมกับทิวอยู่ใกล้กันแค่ไม่เท่าไร ทำไมทิวถึงรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างกับริมฝีปากนั้นของเพื่อน ชักจะไปกันใหญ่แล้วทิว ทิวก็รีบปล่อยมือออกจากเพื่อนทันที เขาทำสีหน้าเหรอหรา ไม่รู้ว่าจะเขิน จะยิ้ม จะหัวเราะหรือจะรู้สึกยังไงดี

"ไปฉี่ก่อนนะ" ว่าแล้วทิวก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ บูมมองตามอย่างงงๆ แล้วก็หันมาเก็บเสื้อผ้าต่อ ทิวปิดประตูยืนพิงแล้วก็ถอนหายใจ ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำเลย เขาจะต้องไม่ทำอย่างนี้อีก ถ้าบูมสงสัยมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เผลอๆ เขาอาจจะต้องเสียเพื่อนไปเลย

------------------------------------------------------------------

"บูมขอโทษพ่อกับแม่ด้วยครับ" ลูกชายคนเล็กพูดพลางก้มกราบแทบเท้าพ่อกับแม่เมื่อมาถึงบ้าน ต่อให้ใจยักษ์ใจมารขนาดไหน ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะไม่ยกโทษให้ลูก โดยเฉพาะเมื่อเห็นลูกก้มกราบด้วยความสำนึกผิดเช่นนี้

บูมลุกขึ้นนั่งชันเข่ามองหน้าผู้ให้กำเนิดทั้งสองคน แม่ดูมีน้ำตาซึมๆ หน่อยๆ ส่วนพ่อก็นิ่งเงียบเหมือนที่บูมเคยเห็นจนชิน

"ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก รู้ไหมว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงแค่ไหน" คุณทิพย์นภาบอกลูกชาย น้ำเสียงเธอก็ดูเหมือนจะตำหนินิดๆ น้อยใจหน่อยๆ ผสมกันไป แต่บางทีก็ทำให้เดายากเหมือนกันว่าเธอรู้สึกอย่างไรกันแน่

"ครับ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกครับ" บูมรับคำ

"แล้วไปอยู่ไหนมา" ในที่สุดคำถามแรกจากคนที่เป็นพ่อก็หลุดออกมา แม้จะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงก็ดูอ่อนลงและแฝงด้วยความเป็นห่วงพอรู้สึกได้ แต่ก็นั่นแหละ นอกจากความรู้สึกไม่พอใจแล้ว บูมก็ไม่เคยเห็นว่าคนบ้านนี้จะแสดงความรู้สึกอย่างอื่นได้ดีและตรงกับสิ่งที่ใจคิดมากนัก

"บูมไปอยู่กับเพื่อนครับพ่อ" เห็นท่าทางของผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนแล้ว บูมก็ไม่ค่อยมั่นใจมากนักว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เขากับพี่บีมคาดหวัง มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก พ่อกับแม่ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว อยู่ดีๆ จะให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือคงไม่ง่าย แต่บูมก็จะพยายามอดทนต่อไปจนกว่าพ่อกับแม่จะเห็นใจและเข้าใจเขาบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คงทำให้พ่อกับแม่เรียนรู้อะไรบางอย่างเหมือนกัน

"เราก็เหมือนกัน อย่าทำให้พ่อกับแม่เป็นหัวหลักหัวตอ จะไปไหนก็บอกกันบ้าง" คุณทิพย์นภาหันไปว่าลูกชายคนโต บีมได้แต่รับคำโดยไม่พูดอะไรต่ออีก แต่อย่างน้อย สิ่งที่แม่พูดก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่เห็นพ่อกับแม่ก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน นึกว่าเขาจะต้องกลายเป็นลูกที่พ่อกับแม่ได้ตัดหางปล่อยวัดไปเสียแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------------

แล้วการเรียนในชั้น ม.4 ก็ผ่านพ้นไป บูมได้เกรดเฉลี่ยสูงถึง 3.9 ทำให้พ่อกับแม่ดูจะพอใจมากทีเดียว แต่แน่นอน บูมก็ยังคงอยู่ชมรมดนตรีและวง Zenith เหมือนเดิม พ่อกับแม่ก็รับรู้ แม้จะไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่สำคัญดูเหมือนบูมจะค่อนข้างมีอิสระขึ้นมาพอสมควร บางวันเขาก็สามารถเลิกค่ำๆ แล้วไปเดินเที่ยวกับเพื่อนๆ ได้ แต่ก็ต้องกลับบ้านก่อน 3 ทุ่ม แต่ก็นับว่าดีสำหรับบูมแล้ว ส่วนความสัมพันธ์ของเขากับทิวนั้นก็ยังเสมอต้นเสมอปลายดี จนกระทั่ง...

"พี่คะ ช่วยอะไรหน่อยได้ไหมคะ พอดีหนูพยายามหาโทรศัพท์ในกระเป๋าแล้วหาไม่เจอค่ะ จะรบกวนให้พี่ช่วยโทรเข้าเครื่องหนูหน่อยได้ไหมคะ" สาวน้อยเสียงใสคนหนึ่งถามขึ้นขณะที่เดินผ่านมาเจอบูมซึ่งนั่งอยู่คนเดียวพอดี

"อ๋อ ได้สิครับ เบอร์ของน้องเบอร์อะไรครับ" บูมรับช่วยอย่างว่าง่าย เห็นหน้าตาสาวน้อยคนนี้แล้วก็พอคุ้นหน้าอยู่ ตอนนี้น่าจะเรียนอยู่ ม.4 หน้าตาน่ารักทีเดียว บูมจำได้ว่าพวกเพื่อนๆ ในห้องชอบแซวและพูดถึงน้องคนนี้อยู่บ่อยๆ

"ค่ะ 084-xxx-xxx ค่ะ"

บูมกดเบอร์ตามแล้วก็กดโทรออก สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเพลงรักวัยรุ่นสมัยนี้ที่มีจังหวะสนุกๆ หน่อย สาวน้อยรีบเปิดกระเป๋านักเรียนของเธอที่ดูจะมีกระเป๋าซ้อนกันข้างในหลายอันอยู่ ควานไปควานมาไปตามเสียงที่ได้ยินก็เจอโทรศัพท์ของเธอพอดี

"เจอแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะพี่" สาวน้อยขอบคุณพลางยิ้มดีใจ

"ไม่เป็นไรครับ" บูมยิ้มตอบเช่นกัน แต่บูมก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือมุกอย่างหนึ่งที่สาวๆ สมัยนี้ใช้สำหรับขอเบอร์โทรศัพท์ชายหนุ่มที่ตัวเองแอบชอบอยู่ แต่ไม่กล้าขอเบอร์ตรงๆ

"พี่เลิกเรียนแล้วหรือคะ"

"ครับ" บูมรู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่สาวน้อยคนนี้ทำท่าทางเหมือนยังอยากคุยกับเขาต่อ จริงๆ ก็มีสาวๆ มาชอบเขาหลายคนเหมือนกัน แต่บูมก็มัวแต่สนใจกับการเรียนและร้องเพลงมากกว่าอย่างอื่น

"แล้วพี่มานั่งรอใครอยู่หรือเปล่าคะ"

"อ๋อ...รอเพื่อนครับ"

"ชื่อแป๋มนะคะ ถ้าจำไม่ผิด เหมือนพี่จะชื่อบูมใช่ไหมคะ" สาวน้อยถือโอกาสแนะนำตัวเสียเลย

"อ๋อ...ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับน้องแป๋ม" บูมยิ้มนิดๆ

"ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ ไปก่อนนะคะ" สาวน้อยยิ้มหวานอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆ เดินออกไป แต่ก็หันมายิ้มให้กับบูมเป็นระยะๆ

ชักยังไงแล้วสิ แต่ไม่ทันที่บูมจะได้คิดสงสัยอะไรต่อ เพื่อนรักของเขาก็เรียกชื่อเขามาแต่ไกล

"บูม โทษที รอนานหรือเปล่า"

"ไม่เป็นไร เราก็อ่านหนังสือไปได้เยอะเลย" บอกพลางยิ้ม

"ทีหลังนายมาเล่นกับพวกเราบ้างสิ สนุกดีนะ" ทิวชวนแล้วก็ยกขวดน้ำขึ้นดื่ม

"ไม่เอาหรอก เราไม่ชอบเล่นฟุตบอล นายเล่นเถอะ เรารอได้"

บูมก็เป็นผู้ชายที่แปลกดีแฮะ ปกติผู้ชายที่ไหนก็ชอบเล่นฟุตลอล แต่ทฤษฎีนี้ดูเหมือนจะใช้กับบูมไม่ได้ ทิวชวนหลายทีแล้วแต่บูมก็ไม่ยอมเล่น อย่างมากก็เล่นบาส

"เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ สงสัยพวกนั้นมันคงรอกันแย่แล้ว" ทิวบอกแล้วก็วิ่งจู๊ดออกไป ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับชุดนักเรียนตามเดิม

"ไปกันเถอะบูม"

บูมเก็บของใส่กระเป๋าแล้วก็เดินตามเพื่อนออกไป ปกติบูมก็ยังคงให้พ่อ แม่หรือพี่ชายมารับอยู่ แต่ถ้าวันไหนบูมอยากไปเดินเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือมีธุระ บูมก็จะกลับเอง แต่ถ้าไปเดินเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ พี่บีมก็มักจะตามมารับทีหลัง

ปุ้ย หม่าว ต้อง ช้าง เอกและมิตรออกมาก่อนแล้วเพราะอยากจะไปเดินดูแผ่นซีดีเกมส์ใหม่ๆ แต่เห็นทิวกับบูมมาช้าก็เลยไปนั่งรอที่ร้าน KFC และเริ่มสั่งของกินไปพลางก่อน พอทิวกับบูมไปถึงจึงโดนเพื่อนๆ ต่อว่าใหญ่

"ไอ้ห่าทิว พวกกูหิวจะแย่ละ มัวแต่รอมึงนี่แหละ วันนี้มึงต้องเลี้ยงพวกกูเลย โทษฐานที่มาช้า" ต้องรีบว่าก่อนใคร ทุกคนต่างก็รู้ว่าที่คนที่ทำให้ช้าก็คือทิว ไม่ใช่บูม

"เดี๋ยวเลี้ยงเองก็ได้เว้ย" บูมเสนอ เรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆ ได้พอสมควร เมื่อวานต้องกับเอกเปรยกับเพื่อนๆ ว่าอยากกินไก่ KFC เพราะเพิ่งเห็นโฆษณาชิ้นใหม่

พอกินกันเสร็จแล้ว พี่บีมก็มารับน้องชายอีกตามเคย แต่วันนี้มีแค่บูมกับทิวเท่านั้นที่กลับพร้อมกับพี่บีม ส่วนคนอื่นๆ ก็ไปเดินเที่ยวกันต่อ

ระหว่างที่นั่งกลับ โทรศัพท์ของบูมก็ดังขึ้น เบอร์ไม่ค่อยคุ้นเท่าไรนัก แต่บูมก็รับด้วยความสงสัย

"สวัสดีครับ อ๋อ...จำได้ครับ น้องแป๋มเหรอครับ อ๋อ...พอดีพี่กำลังเดินทางกลับบ้านครับ ไปกินข้าวกับเพื่อนมา ไปกันหลายคนครับ ก็เพื่อนห้องชั้น ม.5/1 ครับ อ๋อ...แถวๆ สยามครับ อ๋อ...วันนี้น้องแป๋มก็ไปกินข้าวกับเพื่อนที่สยามเหมือนกันเหรอครับ..............."

น้องแป๋มคือใคร ทิวนึกสงสัย อ๋อ...จำได้แล้ว รุ่นน้อง ม.4 คนที่เพื่อนในห้องเขามันชอบแซวบ่อยๆ แน่เลย แล้วมารู้จักกับบูมตั้งแต่เมื่อไร ทำไมดูเหมือนคุยสนิทสนมกันขนาดนั้น

"แฟนโทรมาหรือบูม" พี่บีมหันมาถามน้องชายทันทีที่บูมวางโทรศัพท์ลง

บูมหันไปปฏิเสธด้วยสีหน้าอายๆ ว่า "เปล่าครับพี่" แต่บูมก็ไม่รู้จะอธิบายว่า "เปล่า" ของเขาว่าอย่างไร แต่เขาก็ไม่รู้เหตุผลที่แป๋มโทรหาเขาจริงๆ เพราะเท่าที่คุยเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ได้มีสาระอะไร เหมือนแค่คุยกันเฉยๆ

แต่ถ้าบูมหันมามองทิวที่นั่งอยู่ข้างหลังก็คงจะเห็นได้ว่าทิวมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

"อายอะไร...มีแฟนก็บอกมาเถอะ มันเป็นเรื่องธรรมดานะบูม ผู้ชายวัยอย่างบูมเขาก็มีแฟนกันทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย รู้เปล่าว่าพี่น่ะมีแฟนตั้งแต่อยู่ ม.1 แน่ะ" บีมพูดติดตลก แต่เขาก็มีแฟนตั้งแต่ตอนอยู่ ม.1 จริงๆ "แล้วทิวล่ะมีแฟนหรือยัง อย่่าให้แพ้บูมนะ" พี่บีมไม่ลืมที่จะหันมาถามเพื่อนของน้องชายด้วย

ทิวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก็ตอบไปว่า "ยังหรอกครับ ผมยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้ครับ ไว้ให้เรียบจบก่อนดีกว่า"

"เอาอย่างนั้นเลยเหรอ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ เผลอๆ ทิวอาจจะมีสาวๆ มาแอบชอบอยู่หลายคนแล้วก็ได้ ทิวก็หล่อไม่ใช่เล่นนะ หน้าตาแบบทิวสาวๆ น่าจะชอบ หรือว่าทิวมีแอบชอบใครอยู่หรือเปล่า ให้บูมช่วยได้นะ เผื่อเคล็ดลับที่ใช้จีบน้องแป๋มจะเป็นประโยชน์" บีมพูดพลางขำ

ทิวได้แต่แค่นหัวเราะตามไปด้วย บูมหันมามองหน้าเพื่อนก็เห็นทิวมีสีหน้าไม่ค่อยสนุกนัก แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนทิวมีอะไรบางอย่าง แต่บูมก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

พอรถมาส่งถึงบ้าน ทิวก็ลาพี่บีมกับบูม แล้วก็ไขกุญแจเข้าไปในบ้าน วันนี้แม่เขายังไม่กลับเลย ดูเหมือนว่าช่วงหลังๆ แม่จะมีงานเยอะและกลับค่อนข้างดึกอยู่บ่อยๆ เอาของขึ้นไปเก็บบนห้องแล้วทิวก็นั่งถอนหายใจ นี่บูมมีแฟนแล้วจริงๆ หรือ ทำไมบูมไม่เคยบอกเขาเลย แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไรหรอก มันสำคัญตรงที่ความรู้สึกของเขาเองหลังจากที่ได้รู้ต่างหาก ตอนที่เพื่อนยังไม่มีแฟน การแอบชอบเพื่อนก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่พอรู้ว่าเพื่อนมีแฟนแล้วทิวก็รู้สึกกลัว... แต่เขากลัวอะไรหรือ กลัวบูมห่างเหินไป กลัวบูมไม่สนิทกับเขาเหมือนเก่า แต่ทำไมเขาต้องกลัวด้วยล่ะ นี่มันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายไม่ใช่หรือ สุดท้ายก็ต้องมีแฟน แต่งงาน มีลูกมีครอบครัว เขาก็เคยคิดอย่างนั้นไม่ใช่หรือ แล้วทำไมต้องกลัว ใช่....... เขาต้องกลัวสิ เพราะว่าทิวไม่เหมือนเดิมแล้ว มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ว่าเขาเป็น......

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

27. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #26
 
11-Mar-12, 05:07 AM (SE Asia Standard Time)
 
   เอาแล้ว ตัวอิจฉามาแล้ว จะรอนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

28. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
11-Mar-12, 07:13 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   จะทิ้งไว้สองตอนให้อ่านก่อนที่จะว่างเว้นไปสัก 1 สัปดาห์ครับ พอดีงานเข้า ต้องเร่งทำงานบางอย่างให้เสร็จ
วันนี้นั่งใส่รายละเอียดเรื่องในตอนต่อๆ ไป ยังคิดเลยว่า ทำไมชีวิตมันจะอะไรขนาดน้านนนนน
ช่วงวัยเรียน ผมอาจจะไม่เล่ารายละเอียดบางอย่างมากนัก เพราะเป็นช่วงที่ปูเรื่องไว้ให้พอเข้าใจ
ไม่งั้น 100 ตอนก็อาจจะไม่จบ แต่ก็มีแววว่าจะไปได้หลายสิบตอนอยู่ครับ
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ตอนที่ 10

ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงบังเอิญได้ขนาดนั้น เมื่อจู่ๆ บูมก็ได้รับเลือกจากโรงเรียนให้ไปแข่งขันรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษเนื่องจากเขาได้คะแนนในวิชานี้ค่อนข้างสูง บางครั้งก็ได้คะแนน 100 เต็มเลยทีเดียว

หลังอาหารเที่ยงวันหนึ่งเขาก็ถูกเรียกขึ้นไปพบกับครูแอน แต่ก็มีครูผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ช่วยประสานงานเรื่องนี้กับทางรายการมาด้วย แต่ที่ทำให้บูมแปลใจก็คือสาวน้อยที่มานั่งรออยู่ก่อนอีกคนหนึ่ง

"แป๋ม" บูมเรียกชื่อสาวน้อยที่เขาเพิ่งได้รู้จักเมื่อไม่กี่วันด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

"อ้าว พี่บูม พี่บูมก็จะไปแข่งรายการนี้เหมือนกันหรือคะ" แป๋มหันมามองด้วยรอยยิ้มดีใจ เธอไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่าบูมก็ได้รับเลือกด้วย

"ใช่จ้ะ ก็เธอทั้งสองคนคะแนนภาษาอังกฤษนำลิ่วเลย ไม่มีใครเหมาะกว่าเธอสองคนแล้วล่ะ" ครูแอนยิ้มด้วยความเอ็นดู แล้วก็เริ่มให้รายละเอียดว่าบูมกับแป๋มต้องทำอะไรบ้างในการเตรียมตัว "พวกเธอสองคนคงเคยดูรายการนี้กันแล้วใช่ไหมคะ เด็กที่คัดมาร่วมรายการนี้มีแต่ระดับหัวกะทิทั้งนั้นเลย แต่ครูก็เชื่อว่าเธอสองคนก็หัวกะทิไม่แพ้ใครเลยล่ะ ช่วงนี้ ครูได้ขออนุญาต ผ.อ. แล้วที่จะให้เธอสองคนมาเรียนภาษาอังกฤษกับครูเพิ่มเติมเป็นพิเศษก่อนถึงวันจัดรายการ ก็เลยจะขอให้เธอสองคนมาเรียนพิเศษกับครูทุกวันพุธกับศุกร์ ช่วงบ่ายประมาณบ่ายสาม ที่ห้องชมรมภาษาอังกฤษ..."

บูมคงไม่ได้มีปัญหาอะไรถ้าหากว่าการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมไม่มาตรงกับวันและเวลาที่เขาต้องซ้อมร้องเพลงกับวงดนตรี พี่ปี๊ดเพิ่งบอกกับพวกเขาว่าอีกสองเดือนจะพาไปแข่งประกวดวงดนตรีชิงแชมป์ประเทศไทย เพราะฉะนั้นช่วงนี้ก็คงต้องซ้อมกับวงหนักเหมือนกัน คิดแล้วก็เริ่มปวดหัว

แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น บูมต้องเรียนพิเศษภาษาอังกฤษวันพุธกับวันศุกร์ช่วงบ่ายสาม ส่วนวงดนตรี เขาสามารถขออนุญาตครูมาซ้อมในช่วงเย็นวันพฤหัสได้วันเดียว แต่ก็อาศัยซ้อมด้วยตัวเองในช่วงอื่นๆ ที่มีเวลาบ้างไปด้วย จนกว่าจะเสร็จสิ้นจากการเตรียมออกรายการภาษาอังกฤษในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า หลังจากนั้นเขาก็จะมีเวลาซ้อมกับวงดนตรีอีกประมาณหนึ่งเดือน เพื่อนๆ ในวงคงเข้าใจความจำเป็นก็เลยไม่ได้ว่าอะไรมาก แม้จะบ่นๆ อยู่บ้าง

"พี่บูมคะ วันนี้รีบกลับหรือเปล่าคะ แป๋มว่าจะชวนพี่ไปเดินเล่นแถวสยามซะหน่อย" แป๋มเอ่ยชวนหลังจากที่เรียนพิเศษภาษาอังกฤษด้วยกันเสร็จแล้ว

"เอ่อ...ก็ไม่รีบครับ" บูมบอกด้วยสีหน้าลังเล

"ไปเดินเล่นกันนะพี่บูม แป๋มกำลังหาเพื่อนไปช่วยซื้อของพอดีเลย ถ้าพี่บูมไม่รังเกียจ ไปเป็นเพื่อนแป๋มหน่อยนะคะ" แป๋มทำท่าเร่งเร้า คงจะเป็นเรื่องยากนักที่ชายหนุ่มจะเป็นหญิงสาวที่สวยน่ารักแถมยังอ้อนเก่งแบบนี้

"ครับ" แต่บูมก็เพิ่งนัดกับทิวและเพื่อนๆ ไว้เสียด้วยว่าจะไปเดินเล่นและหาอะไรกินด้วยกัน "งั้นพี่ไปเอาของบนห้องก่อนนะ แล้วเรามาเจอกันที่หน้าตึกดีไหม"

"ได้ค่ะ เดี๋ยวแป๋มก็จะไปเอาของที่ห้องเหมือนกันค่ะ"

พอออกจากห้องเรียนพิเศษมาได้ บูมก็รีบโทรศัพท์หาทิวทันที "ทิว...วันนี้เราต้องขอตัวนะ พอดี...คือ...พอดีน้องแป๋มเขาอยากให้เราไปซื้อของเป็นเพื่อน เราไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็เลยตกลงไปแล้ว แหะๆ เราขอโทษนายแล้วก็ฝากขอโทษเพื่อนๆ ด้วยละกัน"

"อืม...ไม่เป็นไร เราเข้าใจ" ทิวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบจนทำให้บูมรู้สึกผิด นี่ทิวโกรธเขาหรือเปล่า

"ขอโทษจริงๆ นะทิว เราก็อยากไปกับพวกนายนะแต่ว่า"

"เฮ้ย เราบอกแล้วว่าไม่เป็นไรไง นายไปเถอะ เที่ยวให้สนุกละกัน" ทิวพยายามทำน้ำเสียงให้ดูเหมือนไม่มีอะไรเพราะกลัวเพื่อนจะกังวล

"ขอบใจนะทิวที่เข้าใจเรา เที่ยวให้สนุกเช่นกันนะ แล้วค่อยเจอกัน หวัดดีครับ"

----------------------------------------------------------------------------------------

"อ้าวไอ้บูม" ต้องอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อเจอบูมกำลังเดินเลือกซื้อเสื้อผ้ากับสาวน้อยคนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆ

"อ้าว ไอ้ต้อง" บูมก็ดูตกใจเช่นกัน ยิ่งพอเห็นว่านอกจากต้องแล้วก็ยังมีทิว เอก มิตร ช้าง หม่าวและปุ้ยมาด้วยแล้วก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

"นั่นน้องแป๋มนี่" ปุ้ยจำได้แม่นเลยทีเดียวเพราะมันก็แอบปลื้มน้องเขาอยู่เหมือนกัน

"เพื่อนพี่บูมเหรอคะ หวัดดีค่ะ พอดีวันนี้แป๋มชวนพี่บูมมาเป็นเพื่อนแป๋มซื้อของน่ะค่ะ พวกพี่ๆ มาซื้อของเหมือนกันเหรอคะ" แป๋มหันมาถามเสียงใส

"อ๋อ...ครับ ไม่ยักกะรู้ว่าน้องแป๋มรู้จักกับบูมด้วย" น้ำเสียงของปุ้ยดูมีเลศนัยชอบกล

"รู้จักสิคะ บูมวง Zenith ใครๆ ก็รู้จักค่ะ อ้าวนั่นพี่ทิวนี่คะ แป๋มกับเพื่อนๆ ชอบพี่ทิวร้องเพลงมากเลยค่ะ ปีที่แล้วก็ไปดูที่เมืองทองด้วย" แป๋มหันไปยิ้มกับทิว

"ขอบคุณครับ" ทิวฝืนพูดได้เท่านี้ แล้วสีหน้าเขาก็กลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่ก็แอบมองดูบูมกับแป๋มด้วยแววตาที่มีคำถามหลายอย่าง

"เห็นเงียบๆ มึงนี่ก็ไม่ใช่เล่นเลยนะ" ต้องแอบเดินไปกระซิบข้างหูบูมแล้วก็ขำ บูมได้แต่ยิ้มเหมือนกับไม่รู้จะทำสีหน้าแบบไหน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงรู้สึกกังวลใจถึงความรู้สึกของเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ดูเงียบๆ ไป

"ตามสบายละกัน เดี๋ยวพวกกูไปดูของทางนู้นก่อน" ต้องบอกแล้วพยักเพยิดให้เพื่อนตามมา

"ทิว" บูมเรียกเพื่อนเหมือนกับพยายามจะทักทายเพราะเขาเห็นทิวดูเงียบๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาจนดูผิดปกติ

ทิวหันมามอง ยิ้มเล็กน้อย แต่มันก็ดูเป็นรอยยิ้มที่แฝงความเศร้าอยู่ในที "เราไปก่อนนะ" แล้วทิวก็เดินตามกลุ่มเพื่อนๆ ไป บูมได้แต่มองตาม ช่วงนี้จะว่าไปแล้วเขากับทิวก็ไม่ค่อยได้คุยกันเลยเพราะมัวแต่ยุ่งๆ กันอยู่

แต่หลังจากการออกรายการทีวีแข่งขันภาษาอังกฤษคราวนั้นแล้ว ก็เป็นที่รู้กันไปทั่วโรงเรียนว่าบูมกับแป๋มคบกันเป็นแฟน สำหรับทิวแล้ว มันช่างเป็นข่าวที่น่าช้ำใจเสียจริงๆ แต่จะทำยังไงได้ มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ความผิดของบูมที่จะมีแฟนและต้องให้เวลากับแฟน

----------------------------------------------------------------

"กลับมาแล้วเหรอบูม เอาของไปเก็บแล้วขึ้นไปคุยกับแม่" คุณทิพย์นภาบอกลูกชายด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก วันนี้เห็นทีเธอจะต้องอบรมลูกชายคนเล็กให้หนัก แต่เธอก็เลือกวันที่สามีไม่อยู่เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนคราวนั้น

บูมเอาของไปเก็บในห้องแล้วก็ไปหาแม่ที่ห้องที่เอาไว้สำหรับนั่งเล่นหรือคุยกันเฉพาะครอบครัว วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยนอกจากเขากับแม่ พี่บีมก็ไปเข้าค่ายศิลปะที่ต่างจังหวัด ส่วนคุณพ่อก็ไปดูงานต่างประเทศ

"ทำไมถึงกลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ ติดๆ กันทุกวันอย่างนี้ล่ะบูม ที่พ่อกับแม่เคยอนุญาตให้ ไม่ได้หมายความจะให้บูมไปทุกวันเสียเมื่อไร นี่อะไร ไม่สามทุ่มไม่เคยถึงบ้าน"

บูมหน้าสลดทันที เขานึกอยู่แล้วว่าแม่ต้องว่าเขาเรื่องนี้ "บูม...ไปเดินเที่ยวกับเพื่อนครับ"

"เดินเที่ยวกับเพื่อน" แม่ทวนคำเสียงดัง "เที่ยวอะไรกันได้ทุกวัน บูมกำลังปิดบังอะไรแม่อยู่หรือเปล่า บอกแม่มาตามตรงได้ไหม หรือว่าบูมมีแฟน"

บูมสะดุ้งตกใจ แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้ให้ดูเป็นปกติมากที่สุด แต่มีหรือที่คุณทิพย์นภาจะไม่สังเกตเห็น

"บูมมีแฟนใช่ไหม บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะ"

"ครับ" บูมรับคำเสียงอ่อยๆ เมื่อไม่รู้ว่าจะหลบหลีกยังไง

"บูม" แม่เรียกเสียงดังจนบูมตกใจ "ทำไมถึงได้ขยันหาแต่เรื่อง แม่เคยบอกแล้วใช่ไหมเรื่องผู้หญิงน่ะ เอาไว้ให้เรียนจบก่อนก็ได้ ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะแยะที่บูมจะหาแฟนดีๆ สักคน ทำไมถึงชอบหาเรื่องให้พ่อแมกลุ้มใจแบบนี้นะ เคยเห็นในข่าวไหมพวกวัยรุ่นใจแตก เรียนไปไม่เท่าไรก็มีแฟน แล้วก็ท้อง แล้วก็ไปทำแท้ง บูมจะให้พ่อกับแม่ต้องมากังวลเรื่องพวกนี้อีกเหรอ"

"แม่...แต่บูมไม่คิดอะไรถึงขนาดนั้นนะแม่" บูมเถียง

"แล้วจะให้แม่มั่นใจได้ยังไง เอาแค่ตอนนี้บูมก็ทำตัวเหลวไหลแล้ว กลับมามืดค่ำขนาดนี้ได้อ่านหนังสือหนังหาบ้างไหม เดี๋ยวเกรดตกพ่อก็จะได้ดุเอาอีก"

บูมได้แต่ก้มหน้าเพราะไม่รู้ว่าจะเถียงว่าอย่างไร

"แม่ขอสั่งห้ามเลยนะ ต่อไปนี้บูมห้ามไปเดินเที่ยวเล่นเกินหนึ่งวันต่ออาทิตย์ ถ้าบูมไม่เชื่อ แม่จะริบบัตรเครดิตคืนและลดค่าขนมของบุมลง"

น้ำเสียงเด็ดขาดของแม่ทำให้บูมไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากทำตามเพียงอย่างเดียว ก็ยังดีที่แม่ไม่บอกให้เขาเลิกกับแฟนด้วย แต่ถ้าแม่บอก เขาก็คงต้องทำตาม นี่ถ้าพี่บีมรู้ว่าเขายังคงกลัวพ่อแม่และไม่มีจุดยืนอยู่แบบนี้ พี่บีมคงไม่พอใจเหมือนกัน

----------------------------------------------------------------

"พี่บูมคะ พี่บูมโตแล้วนะคะ ไม่ใช่ลูกแหง่ ทำไมจะต้องอะไรขนาดนั้นคะ" แป๋มว่าอย่างอดไม่ได้เมื่อบูมมาบอกเธอว่าคงจะไปเดินเที่ยวเล่นกับเธอได้แค่อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น พอถามไปถามมาก็ได้รู้ว่าแม่เป็นคนห้าม นั่นแหละจึงทำให้แป๋มเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาทันที

บูมถึงกับสะอึกเมื่อสาวน้อยที่เพิ่งกลายมาเป็นแฟนเขาไม่ถึงเดือนต่อว่าเช่นนั้น มันเสียดแทงเข้าไปในใจของเขาเลยทีเดียวล่ะ ฟังๆ ไปแล้วมันก็เหมือนเขาถูกหยาม เหมือนเขาเป็นผู้ชายอ่อนแอ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่มีความกล้าหาญ

"แป๋มจะกลับบ้าน" เห็นบูมเงียบไปแป๋มก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น

"เดี๋ยวก่อนสิแป๋ม ฟังพี่ก่อน" บูมร้องห้ามพลางดึงมือแฟนสาวไว้

แป๋มมองที่มือของเขาที่จับมือเธออยู่อย่างไม่ชอบใจนัก "พี่ขอโทษ" บูมรีบปล่อยทันทีเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม แป๋มก็กลับมานั่งที่ตามเดิม

พนักงานในร้านเอาไอศครีมที่สั่งไว้มาเสิร์ฟแล้วก็เดินออกไป

"พี่สัญญานะว่าพี่จะพยายามมาเป็นเพื่อนแป๋มให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน แป๋มอย่าโกรธพี่นะ แป๋มให้โอกาศพี่อีกสักครั้งได้มั๊ย" ดูเหมือนคำอ้อนวอนของบูมจะได้ผลอยู่บ้างแป๋มจึงดูมีท่าทางกระฟัดกระเฟียดน้อยลง แค่ได้เห็นว่าบูมยังห่วงใยความรู้สึกของเธออยู่ก็ทำให้แป๋มรู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว

-----------------------------------------------------

ดูเหมือนคำขู่ของแม่จะไม่ค่อยได้ผลนักคราวนี้ บูมไม่ได้กลับมืดค่ำทุกวันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ไปแค่วันเดียวตามที่แม่ห้าม แถมพอกลับมาก็ยังคุยโทรศัพท์กับแฟนเป็นชั่วโมงๆ ไม่ได้อ่านหนังสือหนังหา ทำให้คุณทิพย์นภาเดือดดาลมากทีเดียว แต่คราวนี้เธอใช้วิธีเข้าหาบีมแทน เพราะสังเกตเห็นว่าช่วงหลังๆ มานี้บูมดูจะสนิทกับพี่ชายมากขึ้น

"น้องชายของเราชักเอาใหญ่แล้วรู้ไหม" ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าก็ทำให้บีมเข้าใจอารมณ์ของผู้เป็นแม่ทันที จริงๆ เขาก็สังหรณ์ใจอยู่แล้วล่ะที่แม่เรียกเขาขึ้นมาหา หลังๆ มานี้แม่แทบไม่เคยทำแบบนี้กับเขาเลย

"อายุเท่านี้ริมีแฟน เดี๋ยวนี้กลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ หนังสือหนังหาไม่อยากจะอ่าน กลับมาแล้วก็เอาแต่โทรศัพท์ พ่อกับแม่บอกอะไรไม่ฟัง แม่ห้ามแล้วว่าให้ไปเดินเล่นได้แค่วันเดียว นี่ไม่ฟังแม่เลย" บ่นแล้วก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ

บีมดูจะแปลกใจกับพฤติกรรมของน้องชายที่แม่เล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าบูมจะถึงกับกล้าขัดคำสั่งแม่ขนาดนี้ได้

"บีมช่วยพูดกับน้องหน่อยได้ไหมลูก แม่เป็นห่วงบูม เป็นแบบนี้หนักเข้าบูมมันจะเสียคน" ในที่สุดแม่ก็บอกความต้องการออกมา

"แม่ครับ บูมเขาโตแล้วนะครับแม่ ผมว่าพ่อกับแม่ปล่อยเขาบ้างเถอะครับ"

"บีม" แม่เริ่มเสียงดุอีกแล้ว แต่สักพักเธอก็ปรับสีน้ำเสียงให้อ่อนลง "ถ้าบีมเป็นแม่ บีมก็จะรู้ว่าแม่เป็นห่วงลูกๆ ของแม่มากแค่ไหน ที่พ่อกับแม่เคยทำแบบนั้นกับบีมก็เพราะว่าพ่อกับแม่รักและเป็นห่วงบีม อยากให้บีมมีอนาคตที่ดี มันอาจจะทำให้บีมอึดอัด แต่สักวันบีมจะเข้าใจ คนเป็นพ่อเป็นแม่ยังไงก็ต้องเลือกหนทางชีวิตที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่แล้ว บีมเข้าใจแม่หรือเปล่า"

บีมอึ้งจนพูดไม่ออกเลยทีเดียวเมื่อได้ฟังจากแม่แบบนั้น ถามว่าเขารักน้องไหม แน่นอนเขาก็ต้องตอบว่ารัก แต่คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คงไม่ใช่แค่รักลูกอย่างเดียว แต่ต้องคิดเผื่อและมองหาหนทางที่ดีที่สุดไว้สำหรับลูกเสมอ บางทีเขาก็อาจจะคิดอะไรไม่ลึกซึ้งเท่าพ่อกับแม่ที่มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าได้ ที่สำคัญ เขายังไม่เคยมีลูก เขาก็อาจจะมีมุมมองแบบหนึ่ง แต่คนที่เป็นพ่อเป็นแม่แล้วก็อาจจะมีมุมมองอีกแบบหนึ่ง

"น้องมันยังเด็กนะบีม เขาไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างนั้นตั้งแต่ทีแรก น้องยังขาดประสบการณ์ชีวิตอีกหลายอย่าง แม่กลัวว่าบูมจะเตลิด บีมไม่ได้อยากให้น้องเป็นอย่างนั้นใช่ไหม บีมช่วยพ่อกับแม่หน่อยนะลูก เตือนน้องมันบ้าง ก่อนที่พ่อจะรู้แล้วเป็นเรื่องใหญ่ ยังไงก็เห็นแก่อนาคตของน้องนะลูก"

นับว่าเป็นครั้งแรกที่แม่ขอร้องเขาแบบนี้ บีมจะขัดคำขอร้องของผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กจนโตได้อย่างนั้นหรือ แต่ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่าเขาเริ่มเป็นห่วงบูมแล้วล่ะ ก็คงจะจริงอย่างที่แม่ว่า บูมไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนทิวหรือเพื่อนคนอื่นๆ เคยอยู่แต่ในกรอบ เคยแต่ถูกบังคับให้คิด ให้ทำ ทักษะทางสังคมก็ยังน้อย การที่อยู่ดีๆ จะปล่อยให้บูมเป็นอิสระโดยไม่ห้ามอะไรเลยนั้นอาจไม่เป็นผลดีกับบูมเอง การที่บูมดื้อกับแม่คราวนี้เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างได้อยู่เหมือนกันว่าบูมยังหาจุดยืนของชีวิตไม่ได้ บางอย่างบูมก็ทำเยอะไป บางอย่างบูมก็ทำน้อยไป เพราะเขายังไม่เคยมีประสบการณ์ที่จะคิดและตัดสินใจในเรื่องพวกนี้มากนัก จำเป็นต้องมีคนคอยให้คำแนะนำบ้าง เขาก็คงจะนิ่งเฉยดูดายไม่ได้

-------------------------------------------------------------------------

"เดี๋ยวนี้พี่บีมอยู่ข้างพ่อกับแม่แล้วเหรอครับ"

นั่นคือสิ่งที่น้องชายเขาย้อนถามมาเมื่อบีมมาคุยกับบูมตามที่แม่ขอร้องไว้

"ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะบูม" บีมมีสีหน้าตกใจ

"หึ" บีมแค่นหัวเราะ "ผมนึกว่าพี่บีมจะเข้าใจผม เชื่อใจผม แต่พี่บีมก็คิดเหมือนพ่อกับแม่อีกคน"

เห็น สีหน้าโกรธขึ้งของน้องชายแล้วบีมก็ใจเสียเหมือนกัน เพิ่งจะกลับมาดีกันได้ไม่เท่าไรก็จะบาดหมางใจกันอีกแล้ว "บูม...พี่เข้าใจนะเรื่องที่บูมอยากมีแฟนนะ พี่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่พี่แค่อยากให้บูมเห็นอีกด้านหนึ่งว่าพ่อกับแม่ก็เป็นห่วงบูม พี่เองก็ไม่สบายใจที่บูมกลับบ้านมืดค่ำบ่อยๆ ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ มันไม่เป็นผลดีกับอนาคตของบูมเองนะ"

แทนที่บูมจะเข้าใจ บีมก็ต้องหน้าหงายรอบสองเมื่อบูมตอบมาว่า "พอเถอะครับ ผมไม่อยากคุยอะไรแล้ว"

นี่ มันเกิดอะไรขึ้นกับบูม ทำไมบูมดูก้าวร้าวมากขึ้นขนาดนี้ บทจะเชื่อมั่นในตัวเอง บูมก็ดูเชื่อมั่นจนเลยเถิด แต่นั่นก็คงจะเป็นอย่างที่แม่พูดไว้ บูมไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบนั้นตั้งแต่ทีแรก จากคนที่เคยถูกกดดัน พอได้รับอิสระขึ้นมาหน่อยเขาก็อาจจะเหลิงได้ ดูไปแล้วก็น่าห่วงอยู่เหมือนกัน

"โอเค งั้นพี่กลับห้องก่อนละกันนะ" บีมว่าแล้วก็ขอตัวเดินออกจากห้องน้องชายไปด้วยสีหน้าหนักใจ นี่เขาคงมีส่วนทำให้บูมก้าวร้าวขึ้นไม่มากก็น้อย

จริงๆ แล้วสิ่งที่แม่พูดก็ถูกทีเดียว แต่สิ่งที่เป็นแรงขับให้บูมอยาก "ลองดี" นั้นเป็นเพราะคำพูดของแฟนสาวที่หาว่าเขาเป็น "ลูกแหง่" ด้วยต่างหาก บูมไม่อยากได้ยินคำนั้นอีก มันทำให้เขาดูอ่อนแอ ไม่เป็นลูกผู้ชาย เขาไม่ชอบให้ใครมาว่าเขาแบบนี้เลย

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

29. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
11-Mar-12, 07:20 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 11

ช่วงนี้บูมกับแป๋มต้องห่างๆ กันไปบ้างเพราะบูมต้องซ้อมกับวงเพื่อที่จะไปแข่งชิงรางวัลวงดนตรีเยาวชนยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย แต่ไม่ว่าจะอยู่ในห้องเรียนหรือเวลาซ้อมกับวง ทิวดูเงียบๆ ไป ไม่ค่อยมาคุยมาเล่นกับเขาเหมือนเดิม ไม่ใช่แต่บูมเท่านั้นที่สังเกตเห็น เพื่อนๆ คนอื่นๆ ในห้องก็เริ่มรับรู้และสงสัยถึงพฤติกรรมที่แปลกไปของทิวเช่นกัน

วันนี้ก็เช่นกัน พอซ้อมเพลงเสร็จแล้ว ทิวก็เก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้านทันที ปกติชอบเช่นเตะบอลก็ไม่ค่อยเล่นเหมือนเมื่อก่อน

"ทิว วันนี้ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันไหม" บูมชวนเพื่อนพลางยิ้ม ไม่รู้สิ เขารู้สึกคิดถึงทิวอย่างบอกไม่ถูก แต่คำตอบของทิวก็ทำให้บูมหน้าเสีย

"ไม่ดีกว่า เราจะกลับบ้าน วันนี้แป๋มไม่ชวนนายไปไหนเหรอ" น้ำเสียงเหมือนแฝงความน้อยใจอยู่ในที

"ทิว..." บูมพูดเสียงเบาเหมือนกับรู้สึกผิดหวัง ปกติทิวไม่เคยปฏิเสธเขาแบบนี้เลยนี่นา "พอดีวันนี้น้องแป๋มเขาต้องไปธุระกับครอบครัว เขาก็เลยขอกลับก่อน"

"อ๋อ..." ทิวสะพายกระเป๋าเป้ เตรียมตัวเดินออกไป "เราไปก่อนนะ"

พูดจบทิวก็เดินออกไปโดยไม่คิดจะพูดคุยอะไรต่อ แต่บูมก็ตัดสินใจคว้ามือเพื่อนไว้เสียก่อน

"เดี๋ยวก่อนสิทิว"

ทิวหยุดและหันมามอง "มีอะไรหรือเปล่าบูม" ทิวไม่รู้ว่ามันเป็นคำถามที่ดีไหมที่เขาควรจะถามเพื่อนไหม

บูมค่อยๆ ปล่อยมือเพื่อนเพราะคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ "นายโกรธอะไรเราหรือเปล่า" คำถามนั้นเหมือนจะไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะบูมไม่รู้จริงๆ ว่าเขามีอะไรที่ทิวต้องโกรธหรือเปล่า นอกจากเรื่องที่เขามีแฟนแล้ว ความรู้สึกทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ทิวไม่พอใจนี่นา

"เปล่า...นายไม่ต้องคิดมากหรอก เราไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้โกรธอะไรนายเลย" ทิวพยายามยิ้มอย่างเต็มที่เพื่อให้บูมสบายใจว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร

"แต่นายดูไม่เหมือนเดิมเลยนะทิว" บูมยังไม่วายสงสัยอยู่ดี

"เฮ้ยจริงเหรอ...ไม่หรอก เราก็เหมือนเดิมแหละ สงสัยนายจะคิดมากไปเอง" ทิวพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยทุกอย่างอย่างที่สุด มันอาจจะดูไม่เป็นธรรมชาตินัก แต่เมื่อเพื่อนยืนยันขนาดนี้ บูมก็ควรจะเลิกสงสัย

"ถ้างั้นเราไปบ้านนายด้วยได้ไหม" บูมไม่เลิกความพยายาม ยังไงวันนี้เขาก็ต้องใช้เวลากับทิวบ้างให้ได้ "ไม่มีอะไรหรอก เราแค่อยากคุยกับนาย"

ทิวพยักหน้าตกลง จริงๆ เขาก็ไม่ควรจะท่ามากจนเกินไป ยิ่งทำอย่างนั้นก็จะยิ่งทำให้คนอื่นสงสัย เป็นผู้ชายต้องน้อยๆ เข้าไว้ คิดมาก เรื่องเยอะมันดูจะผิดวิสัยของผู้ชายมากไป

ก็เป็นอันว่าบูมได้มาเที่ยวบ้านทิวอีกครั้ง ไปถึงเขาก็ช่วยทิวรดน้ำต้นไม้ที่มีอยู่มากมาย แม่ของทิวกลับมาพอดี วันนี้บูมก็เลยโชคดีที่จะได้กินอาหารฝีมือคุณแม่ของทิว รดน้ำต้นไม้เสร็จแล้ว บูมก็ชวนทิวมานั่งร้องเพลงด้วยกันที่มุมคีย์บอร์ดในห้องรับแขกด้านล่าง

ก็ร้องเพลงกันอยู่ดีๆ นั่นแหละ จนกระทั่งบูมขอร้องเพลง "ฉันดีใจที่มีเธอ" ทิวเล่นตีคอร์ดให้บูมร้อง ทิวก็ร้องด้วย แต่พอร้องท่อนฮุกแรกจบไป บูมก็สังเกตว่าทิวมีน้ำตาไหลออกมา

"ทิว เป็นไร"

ทิวหยุดเล่นคีย์บอร์ด พยายามคิดหาคำตอบที่เขาควรจะตอบเพื่อน บางทีเขาก็นึกโมโหตัวเอง จริงๆ ถ้าไม่นับว่าบูมมีแฟนแล้วและต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปให้แฟน นอกนั้นบูมก็เหมือนเดิมกับเขาทุกอย่าง บูมไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเดิมเลย เขาไม่ดีใจเลยหรือที่มีบูมเป็นเพื่อน นี่เขาจะเรียกร้องเอาอะไรจากเพื่อนกันแน่ ที่เขาได้มาอยู่ตอนนี้มันไม่พอหรืออย่างไร

"เปล่า...เพลงมันเพราะดีนะ ความหมายก็ดี ตรงกับความรู้สึกของเราตอนนี้เลย" ทิวกำลังจะเช็ดน้ำตา แต่บูมดูเหมือนจะมือไวกว่า เขาคว้าผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วซับน้ำตาให้เพื่อน นั่นยิ่งทำให้ทิวร้องให้ด้วยความซาบซึ้งใจมากขึ้น ทิวเลยต้องรับผ้าเช็ดหน้ามาจากมือของเพื่อนแล้วซับน้ำตาของตัวเอง ตั้งแต่มีเพื่อนมาก็ไม่เคยมีความรู้สึกหรือต้องมานั่งร้องให้แบบนี้เลย นี่ถ้าพวกนั้นมันมาเห็น มันคงสงสัยเขาน่าดูเลย

ไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ แม่ก็เรียกกินข้าวเสียแล้ว เด็กๆ จึงต้องละจากการร้องเพลงแล้วไปกินข้าวกับแม่ในห้องกินอาหาร บูมดูจะชอบอาหารที่แม่ของทิวทำมาก เขาชมไม่ขาดปากและกินข้าวไปตั้งสามจาน เยอะที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลยล่ะ

กินข้าวเสร็จแล้ว บูมกับทิวก็มาเดินเล่นดูต้นไม้ด้วยกันหน้าบ้านอยู่พักหนึ่ง จากนั้นบูมจึงขอตัวกลับบ้าน ทิวโทรเรียกแท็กซี่ให้มารับเพราะบ้านเขาอยู่ในซอยลึกพอสมควร

พอบูมขึ้นแท็กซี่ ทิวก็โบกไม้โบกมือให้จนรถเคลื่อนออกไป ทิวมองตามแล้วก็ถอนหายใจ เขาไม่รู้เลยว่าต่อไปอารมณ์เขาจะแปรปรวนมากแค่ไหน เขาจะพยายามเตือนตัวเองก็แล้วกันว่าบูมไม่ได้ทำอะไรผิด บูมก็ยังเป็นเพื่อนกับเขาเหมือนเดิม ความรู้สึกดีๆ ที่เขาได้จากเพื่อนมันเพียงพอแล้ว เวลาที่เพื่อนให้มาก็เพียงพอแล้ว ใช่ไหมทิว มันพอแล้วใช่ไหม นายไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้ใช่ไหม...

กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นแบบนี้ มันก็ผ่านมาจนเขาอายุ 17 ปีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่มีอะไรแปลกๆ ให้เขาสงสัยตัวเอง ก็มีเหมือนกัน ตั้งแต่พ่อจากไป ทิวก็รู้ว่าในใจลึกๆ ของเขาโหยหาความอบอุ่นนี้จากพ่อ เป็นความอบอุ่นในแบบที่แม่ไม่สามารถทดแทนให้เขาได้ หลายครั้งทิวพบว่า เวลาที่เขาเห็นผู้ชายวัยกลางคนที่หน้าตาท่าทางใจดี ทิวชอบเข้าไปคุยด้วยหรือชอบเข้าไปอยู่ใกล้ๆ บางครั้งก็เผลอคิดไปว่าถ้าเขาได้กอดผู้ชายคนนั้น มันคงจะอบอุ่นมาก แต่เขาก็ไม่เคยได้ทำอย่างนั้นหรอก กับเพื่อนๆ ก็ไม่เคยได้กอดอะไรแบบนั้น อย่างมากก็กอดคอ จนกระทั่งได้รู้จักกับบูม แล้วบูมก็กลายเป็นผู้ชายคนแรกที่มอบความอบอุ่นในแบบที่ทิวเรียกร้องหามาตลอดชีวิต มันเหมือนการเสพติด พอได้มาแล้วเขาก็อยากจะได้สิ่งนั้นต่อไป แต่ทิวก็รู้ว่ามันยังมีอะไรที่มากกว่าการเสพติด ความใกล้ชิดและความผูกพันมันทำให้เขาคิดไปไกลกว่านั้นแล้ว นั่นแหละคือเหตุผลที่ทิวไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าสิ่งที่ได้จากเพื่อนในตอนนี้มันเพียงพอแล้ว มันไม่พอไม่ใช่เพราะว่าบูมให้เขาน้อยไป แต่มันไม่พอเพราะบูมไม่ได้ให้ในสิ่งที่เขาอยากได้ต่างหากล่ะ ที่บรรยายมาทั้งหมดนี้ก็คงจะรู้แล้วสินะว่า "ทิวเป็นเกย์!!!!!"

-------------

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนบูมจะเริ่มให้เวลากับทิวมากขึ้น ถึงทิวจะไม่พูดอะไร แต่บูมก็เดาเอาเองว่าทิวน่าจะน้อยใจที่เขาไม่ค่อยมาหา แต่กลับไปให้เวลากับแป๋มมากเกินไป จะว่าไปแล้ว บูมก็มีความสุขดีเวลาอยู่กับทิว เวลาอยูกับแฟน บูมรู้สึกว่าเขาถูกคาดหวังให้ต้องทำอะไรหลายอย่าง เขาต้องเสียสละ เขาต้องอดทน เขาต้องยอมแม้จะไม่เห็นด้วย เขาต้องคอยเอาใจ ต้องคอยทำให้ประทับใจ บางทีมันก็เยอะไปเหมือนกัน

แต่เพราะแบบนี้นี่แหละที่ทำให้เขากับแป๋มต้องทะเลาะกันอีกแล้ว

"พี่บูมยังเห็นแป๋มเป็นแฟนพี่บูมอยู่หรือเปล่าคะ ถ้ายังเห็นอยู่ ก็ควรจะมีเวลาให้แป๋มบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ซ้อมดนตรีแล้วก็เรียนๆๆๆๆ"

"แป๋ม ช่วงนี้พี่ต้องซ้อมเยอะเพราะว่าอาทิตย์หน้าพี่ต้องไปแข่งแล้ว อีกอย่าง มันก็ใกล้สอบแล้วด้วย พี่ก็ต้องอ่านหนังสือบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่ไม่แคร์แป๋มนะ"

"พี่แคร์แป๋มจริงๆ เหรอคะ แล้วที่สัญญาแป๋มไว้พี่บูมก็ทำไม่ค่อยได้ นอกจากจะซ้อมเพลง อ่านหนังสือจนไม่มีเวลาให้แป๋มแล้ว พี่ก็ยังเป็นลูกแหง่เหมือนเดิม ไม่เห็นจะ..."

"น้องแป๋ม!!!" บูมพูดเสียงดังด้วยความไม่พอใจจนแป๋มต้องหยุดชะงัก เธอดูตกตะลึงทีเดียวที่เห็นบูมทำเสียงและสีหน้าไม่พอใจแบบนั้น เท่านั้นยังไม่พอ คนที่อยู่ในร้านอาหารเดียวกับพวกเขาสองคนต่างก็หันมามองด้วยความสงสัย

คำว่า "ลูกแหง่" มันเสียดแทงใจบูมเหลือเกิน เขาเกลียดคำนี้ เขาไม่ได้อยากได้ยินมันอีกแล้ว

"ถ้าน้องแป๋มยังอยากเป็นแฟนกับพี่อยู่ น้องแป๋มต้องเลิกเรียกพี่แบบนี้เข้าใจไหม" บูมยื่นคำขาดด้วยเสียงและมือไม้ที่สั่นเทิ้ม

"พี่บูม" ดูเหมือนแป๋มจะตกใจและผิดหวังกับการกระทำของบูมมากทีเดียว นี่มันในร้านอาหารแถมมีคนนั่งอยู่หลายคน บูมควรจะให้เกีรยติเธอบ้าง นี่เล่นพูดเสียงดังจนเธอรู้สึกอับอายเขาไปหมด

"งั้นก็เลิกกันวันนี้เสียเลย แป๋มก็เบื่อที่อยู่กับคนปัญหาเยอะอย่างพี่แล้วล่ะ" แป๋มพูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาค่อยๆ ไหลลงอาบแก้มใสนั้น

"แป๋ม" เหมือนบูมจะได้สติกลับมา แต่มันก็คงสายไปเสียแล้ว บูมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เขาตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อสักครู่นี้

แป๋มหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วก็เดินลิ่วออกไปจากร้านทันที แต่แปลกที่บูมไม่คิดจะวิ่งตามไป ใช่...เขาผิดเอง เขามัวแต่โมโหจนลืมดูไปว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน

"ทิว" แทนที่บูมจะคิดวิ่งไปตามง้อแฟน แต่เขากลับคิดถึงทิวขึ้นมาเสียอย่างนั้น "เก็บตังค์ด้วยครับ" บูมร้องบอกพนักงาน พอจ่ายเงินแล้วบูมก็รีบวิ่งออกไปเรียกแท็กซี่ทันที

"ไปลาดพร้าวครับ" บูมบอกเมื่อได้รถแท็กซี่แล้ว

แต่พอไปถึง บ้านทิวก็ปิดไฟเหมือนกับไม่มีคนอยู่ โทรหาทิวก็ไม่ติด ไม่รู้ว่าแบ็ตหมดหรือปิดเครื่อง แต่ยังไงวันนี้เขาก็ต้องคุยกับทิวให้ได้ แต่เขาก็กลัวพ่อกับแม่จะเป็นห่วงเหมือนกัน บูมจึงตัดสินใจโทรไปบอกแม่ว่า

"แม่ครับ วันนี้ผมจะนอนค้างบ้านเพื่อนนะครับ พอดีมีงานที่ต้องทำด้วยกัน บูมกลัวทำเสร็จไม่ทันครับ"

"จะทำอะไรก็ทำไป" แม้ว่าคุณทิพย์นภาจะพูดด้วยเสียงเบาเพราะเธอยังอยู่ในห้องประชุมอยู่ แต่บูมก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงนั้น

"ครับแม่ สวัสดีครับ" บูมวางสายลงด้วยความไม่ค่อยเข้าใจแม่ของเขาเองนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าที่บ้านจะโกรธอะไรเขากันนักหนา พี่ชายเขาก็พลอยเป็นไปด้วยอีกคนหนึ่ง

บูมทำได้เพียงยืนรออยู่หน้าบ้าน พอเมื่อยขาก็นั่งเลยนั่งพิงประตูหน้าบ้าน

ราวๆ สี่ทุ่ม ก็มีรถคันหนึ่งเก๋งคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านทิว บูมพยายามเพ่งมองแต่ไฟหน้ารถก็แยงตาเขาจนมองไม่เห็นอะไร เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วก็เห็นทิวกับแม่เปิดประตูลงมาจากรถ

"บูม" ทิวร้องเรียกเพื่อน เขาเห็นว่าบูมมารอตั้งแต่ก่อนที่รถจะจอดแล้วล่ะ

"ทิว" บูมร้องเรียกเพื่อนด้วยความดีใจเช่นกัน เขารีบวิ่งเข้าไปกอดเพื่อนทันที

อีกแล้วนะบูม นายชอบทำให้เราทำใจลำบากอยู่เรื่อยเลย ยิ่งทำใจยากๆ อยู่ แต่ทิวก็กอดเพื่อนตอบแต่โดยดี แม่ของทิวมองดูเพื่อนสองคนที่ยืนกอดกันด้วยความเอ็นดู

"คิดถึงขนาดนั้นเลยหรือบูม" แม่ของทิวหรือคุณทิษณาแซว

บูมจึงรู้ตัวว่าเขาลืมแม่ของทิวไปเลย บูมจึงรีบปล่อยเพื่อนออกแล้วหันไปสวัสดีคุณทิษณา "สวัสดีครับแม่"

"มานั่งรอทิวตั้งแต่เมื่อไรจ้ะ"

"ตั้งแต่ทุ่มกว่าแล้วครับ"

"ตายแล้ว แล้วทำไมไม่โทรหาทิวล่ะลูก" คุณทิษณาทำน้ำเสียงตกใจ

"โทรแล้วครับ แต่ไม่ติด" บูมบอก ทิวจึงรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาดู ก็พบว่าแบ็ตหมดแล้ว ไม่รู้ว่าหมดไปตั้งแต่ตอนไหน

"แบ็ตหมดแล้ว ถึงว่าไม่เห็นมีใครโทรหาทิวเลย" ทิวหันไปพูดกับแม่

"บูมกินอะไรมาหรือยังลูก"

บูมพยักหน้า จริงๆ ก็กินไปได้นิดเดียว แต่เกิดเรื่องเสียก่อน แต่ไม่เป็นไร ค่อยหาอะไรในครัวกินก็ได้

"แม่ล่ะครับ"

"กินแล้วจ้ะ พอดีทิวเขาอยากไปกินข้าวนอกบ้านกับแม่ ก็เลยพาเขาไปเสียหน่อย นานๆ ที" คุณทิษณายิ้มด้วยแววตาแฝงไปด้วยความเมตตา บูมชอบแม่ของทิวก็เพราะอย่างนี้แหละ "เข้าไปในบ้านกันเถอะ" คุณทิษณาบอกเด็กๆ

"ครับ" ทิวกับบูมรับคำพร้อมกัน

คุณทิษณาพอจะเดาได้ว่าบูมคงมีเรื่องอะไรบางอย่างจึงได้มานั่งรอทิวอยู่ตั้งนานแบบนี้ เธอจึงขอตัวขึ้นไปอาบน้ำบนบ้าน ปล่อยให้เด็กๆ นั่งคุยกันตามลำพัง

"มีอะไรหรือเปล่าบูม มานั่งรอเราตั้งนานแบบนี้" ทิวถามเมื่อเห็นว่าแม่ขึ้นไปบนบ้านแล้ว

"เรากับแป๋มเลิกกันแล้วนะ"

!!!!!!?????????

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

30. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #29
 
12-Mar-12, 07:48 AM (SE Asia Standard Time)
 
   มาขอบคุณก่อนครับ แล้ว จะอ่าน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

31. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #30
 
12-Mar-12, 01:39 PM (SE Asia Standard Time)
 
   เราต้องอดทนครับ อดทนรออ่านเรื่องสนุก ๆ ต่อ
ขอบคุณมากนะครับ ที่อุตส่าห์เจียดเวลางานมาเขียนเรื่องดี ๆ ให้อ่าน
เป็นกำลังใจให้ทำงานผ่านไปด้วยความราบรื่นครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

32. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #31
 
14-Mar-12, 09:11 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   รออีกนิดนะครับ เย็นวันเสาร์นี้มาแน่นอนครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

33. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #32
 
15-Mar-12, 01:16 PM (SE Asia Standard Time)
 
   รอครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

34. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #33
 
17-Mar-12, 08:51 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 12

ไม่รู้ว่าทิวไปเอาความคิดนี้มาจากไหน พอได้รู้ว่าเพื่อนเพิ่งเลิกกับแฟน เขากลับรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็สงสารเพื่อนที่คบกับแฟนได้ไม่นานก็ต้องมาเลิกกัน แต่ไม่รู้สิ ทำไมทิวถึงรู้สึกว่าบูมไม่ได้แสดงอาการเสียใจมากอย่างที่คนทั่วๆ ไปน่าจะเป็นเวลาที่อกหักแบบนี้

ก่อนจะคุยกันยาว ทิวก็พาบูมมานั่งคุยกันที่โต๊ะนั่งเล่นหน้าบ้าน บูมเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจนเป็นสาเหตุให้ทั้งคู่ต้องเลิกกันอย่างคาดไม่ถึง

ทิวได้ฟังแล้วก็ถึงบางอ้อ ตอนแรกเขาคิดว่าบูมคงโมโหแล้วก็เลยขอเลิก แต่กลับกลายเป็นแป๋มที่ขอเลิกกับบูมเสียก่อนเพราะบูมทำให้เธอขายหน้าในที่สาธารณะ

"นายเสียใจหรือเปล่าที่...มันเป็นแบบนี้" ทิวถามพลางคอยลอบสังเกตอาการของเพื่อน ก็ดูเหมือนจะไม่เสียใจอะไรมากเท่าไร ทำไม?

บูมถอนหายใจและมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย "เราไม่รู้...ก็คงเสียใจมั้ง"

แปลก... ก็คงเสียใจมั้ง แสดงว่าบูมไม่แน่ใจอย่างนั้นหรือว่าเขาเสียใจหรือเปล่า "อืม...แล้วนายอยากจะไปปรับความเข้าใจกับเขาใหม่หรือเปล่า" ทิวไม่รู้หรอกว่าเขามีท่าทางประหม่าจนสังเกตได้ในตอนนี้ แน่นอน...มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่เขาจะบอกให้คนที่เขาแอบรักไปคืนดีกับแฟน

"นายคิดว่ายังไง"

"นายรักเขาหรือเปล่าล่ะ"

คำถามนี้ทำให้บูมถึงกับสะอึกไปพอสมควร รักน่ะหรือ... แล้วรักมันคืออะไรล่ะ ห่วงใย คิดถึงและคอยดูแลกัน หวังดีต่อกัน จริงใจให้กันหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้น... คนที่เขาควรจะรู้สึกแบบนั้นด้วยคงไม่ใช่แป๋มแล้วล่ะ "คง...ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เรากับเขาคบกันได้แค่ไม่กี่เดือนเอง อาจจะเป็นความรู้สึกชอบมั้ง ว่าแต่...นายกำลังจะบอกอะไรเราหรือเปล่า"

"ก็ถ้านายยังรักเขาอยู่ นายก็น่าจะไปขอโทษเขา แล้วก็......ขอคืนดีกับเขา" ทิวพยายามพูดให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด เหมือนกับเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยทั้งที่ในใจนั้นเจ็บลึก การแอบรักเพื่อนนั้นทรมานเหลือเกิน บางครั้งก็อยากจะพูดความในใจให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่อีกใจก็กลัวว่าเพื่อนจะรับไม่ได้ ใช่...ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นแบบนี้ ทำให้อะไรต่อมิอะไรมันยิ่งยากเข้าไปใหญ่

"นายอยากให้เราทำแบบนั้นหรือเปล่า" บูมรีบถามกลับมาทันที

ทิวนิ่งเงียบไปสักพัก เขาไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจคำถามหรือไม่ "ก็...ถ้านายยังรักหรือชอบเขาอยู่ นายก็ควรจะทำนะ" ทิวพูดเสียงเบาลง เขาชักไม่มั่นใจว่าสีหน้าและน้ำเสียงของเขาแสดงพิรุธอะไรบ้างหรือไม่

"อันนี้เรารู้แล้ว เราได้คำตอบแล้วล่ะว่าเราจะทำยังไง แต่ที่เราถามเมื่อกี้น่ะ เราไม่ได้ถามว่าเราควรทำยังไง แต่เราถามความรู้สึกของนายว่านายน่ะ...อยากให้เราคืนดีกับน้องเขาหรือเปล่า" ดูเหมือนทิวจะยังงงๆ กับคำถามอยู่ บูมจึงย้ำคำถามอีกว่า "คืออย่างนี้... เราอยากให้นายถามใจของตัวเองว่าจริงๆ แล้ว นายอยากให้เราคืนดีกับน้องเขาหรือเปล่า"

"นายหมายความว่าไง" ทิวถามเสียงแหบพร่า หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นี่บูมกำลังสงสัยอะไรในตัวเขาหรือเปล่าถึงได้ถามแบบนี้ หรือว่าเขาฟังคำถามผิด "ทำไมต้องถามเราล่ะ ถ้านายยังรักเขาอยู่ นายก็..." ทิวหยุดไว้แค่นั้นเพราะเขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นคำตอบของสิ่งที่ถูกถามหรือไม่

ทิว...เราว่านายเข้าใจคำถามนะ แต่เรารู้นายคงยังไม่พร้อมที่จะพูดมันออกมา ไม่เป็นไร เราจะไม่เซ้าซี้อะไรนายต่อก็แล้วกัน บูมคิดในใจ "ทิว..." บูมถอนหายใจก่อนพูดต่อไปว่า "เอาเป็นว่า...เราจะไปขอโทษน้องเขาละกัน แต่...เราไม่รู้ว่าเราจะกลับมาคืนดีกันได้หรือเปล่า เราบอกตรงๆ ว่าเราก็...เสียความรู้สึกดีๆ ไปเยอะเหมือนกันกับน้องเขา" บูมหยุดเว้นจังหวะ เขามองหน้าเพื่อนด้วยแววตามีความหมายบางอย่าง เพราะสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้สำคัญทีเดียว "นายรู้ไหมว่า...จริงๆ แล้วความรักสำหรับเรา ไม่ใช่แค่การเป็นแฟนกัน ไปกินข้าวหรือเดินเที่ยวด้วยกัน คนที่เราจะรัก...ต้องดีกับเรา จริงใจกับเรา คอยช่วยเหลือเรา อยู่กับเราไม่ว่าเราจะลำบากหรือมีความสุข ให้กำลังใจกัน เป็นห่วงกัน คิดถึงกัน เวลาคุยกันหรืออยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ นายรู้ไหมว่า คนที่ดีกับเราแบบนั้น มีอยู่ไม่กี่คนหรอกในโลกนี้"

ระหว่างที่เพื่อนพูด ทิวก็เกิดอาการร้อนวูบวาบที่ใบหน้า นี่บูมกำลังพูดอะไรอยู่ บูมกำลังพูดถึงเขาอยู่หรือเปล่าหรือว่าพูดโดยภาพรวม อย่าดีกว่า...นายอย่าไปตีความเข้าข้างตัวเองแบบนั้นนะทิว ถ้าไม่ใช่ขึ้นมานายก็จะเจ็บหัวใจมากขึันไปอีก แต่ทำไมบูมพูดแต่ละคำอย่างชัดเจนและมองหน้าเขาตลอดเวลาที่พูดอย่างนั้น

"เราคิดว่า...เราอาจจะได้เจอคนนั้นแล้วนะทิว"

หัวใจทิวแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ บูมได้เจอคนนั้นแล้ว ใคร...คนนั้นเป็นใครกัน

"แต่...เราขอเวลาอีกสักพักให้เราแน่ใจ ถ้าเรามั่นใจเมื่อไร เราจะบอกนายเป็นคนแรกเลย...ดีไหม" บูมถามพลางยิ้มมีเลศนัย

ทิวได้แต่พยักหน้ารับรู้เพราะเขารู้สึกตื่นเต้นและประหม่าจนเกินที่จะพูดอะไรออกมาในเวลานี้ น้ำเสียงของเขามันคงดูไม่เป็นปกติอย่างแน่นอน

"เราหิวข้าวน่ะทิว ที่ปากซอยจะมีอะไรกินมั่งปะตอนนี้" บูมเปลี่ยนเรื่อง สีหน้าของเขาดูเหมือนจะไม่เหลือความเศร้าสร้อยใดๆ ปรากฏให้เห็นเลย

ทิวทำสีหน้างงๆ นิดๆ แต่สักพักก็เริ่มนึกออกว่าเพื่อนถามว่าอะไรบ้าง "อ๋อ...มีสิ มีหลายอย่างเลย ไปตลาดโชคชัยสี่กันไหม มีของกินเยอะเลยนะ"

"ไปสิ เราได้ยินชื่อเสียงมานานละว่ามีของอร่อยๆ เยอะเลย" บูมเห็นดีด้วย

ทิวเดินไปเปิดประตูบ้าน แล้วก็ถอยมอเตอร์ไซค์คันเล็กคันหนึ่งที่แม่ซื้อไว้ให้เขาสำหรับออกไปปากซอยหรือใกล้ๆ แถวนี้ออกไปไว้หน้าบ้าน บูมดูจะตื่นเต้นทีเดียวเพราะเขาไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์เลย

"เราไม่เคยนั่งมอไซค์เลยทิว มันจะอันตรายหรือเปล่า เรากลัวตกน่ะ"

"ไม่หรอก ถ้านายกลัวก็..." เอ...จะใช้คำว่าอะไรดี ให้กอดแน่นๆ งั้นเหรอ คงไม่ดีมั้ง "จับเอวเราแน่นๆ ละกัน" ในที่สุดก็เจอทางออก เกือบแล้วไหมล่ะ

บูมพยักหน้าเข้าใจ แล้วเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ด้วยเมื่อนั่งมอเตอร์ไซค์ออกไปกับเพื่อน แต่บูมไม่ใช่แค่จับแน่นๆ เท่านั้น แต่มันกลายเป็นกอดเลยทีเดียวล่ะ ไม่รู้ว่าบูมจงใจที่จะกอดเขาหรือเป็นเพราะกลัว แต่ทิวก็รู้สึกดีชะมัดเลย แล้วก็พาลนึกถึงที่บูมพูดเมื่อสักครู่นี้ บูมหมายถึงใครกันนะ บูมหมายถึงเขาหรือเปล่า... เอาอีกแล้ว คิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้วนะทิว

--------------------------------------------------------------------------------------

ผ่านไปอีกไม่กี่วัน บูมก็ไม่สบายหนักเพราะเป็นไข้เลือดออก สาเหตุนั้นก็เป็นเพราะว่าตอนที่เขาไปนั่งรอทิว เขาถูกยุงกัดหลายตัวมาก แถมช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไข้เลือดออกกำลังระบาดเสียด้วย ช่วงที่เป็นใหม่ๆ นั้นบูมอาการหนักมากจนถึงกับเพ้อ ทิวไม่เป็นอันเรียนหนังสือหรือซ้อมเพลงกับวงเลยทีเดียว เลิกเรียนก็จะออกไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลทันที บางทีเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็ไปด้วย จริงๆ วันเสาร์อาทิตย์ทิวก็อยากจะอยู่เฝ้าเพื่อนทั้งวัน แต่เห็นสายตาแม่ของบูมแล้วทิวกับเพื่อนๆ ก็รู้สึกหวาดๆ อย่างไรก็ดี ความห่วงใยของทิวที่มีให้กับเพื่อน ทำให้บูมเริ่มมั่นใจกับอะไรบางอย่างมากขึ้น

ที่น่าเสียดายก็คือ บูมพลาดโอกาศที่จะได้ไปร่วมแข่งประกวดวงดนตรีชิงแชมป์เยาวชนแห่งประเทศไทยเพราะฟื้นตัวไม่ทัน และไม่ได้ไปซ้อมหลายวัน จึงมีแค่ทิวคนเดียวที่เป็นนักร้องนำ บูมกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนหลายคนไปให้กำลังใจด้วย แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงที่บูมไม่สบาย ทิวไม่ค่อยมีสมาธิซ้อม บวกกับที่รู้สึกไม่ค่อยดีที่เพื่อนไม่ได้มาร้องเพลงบนเวทีด้วย ทำให้วงของเขาได้เพียงรางวัลชมเชยมาเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ทุกคนดีใจมากแล้ว

------------------------------------------------------------------------------------

การเรียนในชั้น ม.5 ผ่านไปแล้ว เกรดเฉลี่ยของบูมตกลงมาเล็กน้อยที่ 3.8 ก็ยังนับว่าน่าพอใจสำหรับพ่อกับแม่ของเขาอยู่ จริงๆ ก็เกือบจะได้น้อยกว่านั้นเพราะว่าช่วงที่บูมมีแฟนก็ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ แถมยังต้องมาป่วยอีก แต่บูมก็มาเร่งทบทวนในช่วงหลังๆ จนตีตื้นขึ้นมาได้ เขาก็รู้สึกโล่งใจเหมือนกัน ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนบังคับย้ายโรงเรียนอีกแน่

ส่วนความสัมพันธ์ของเขากับทิวก็ยิ่งทวีความแน่นแฟ้นมากขึ้น เพราะนอกจากจะเจอกันที่โรงเรียนแล้วบูมก็จะคอยโทรหาทิวตลอด กลับบ้านก็จะโทรไปถามว่าถึงบ้านหรือยัง วันหยุดหรือปิดเทอมก็จะโทรหาไม่ได้ขาด มีเวลาว่างๆ ก็จะนัดกลุ่มเพื่อนๆ ไปหาอะไรอร่อยๆ กินหรือไม่ก็ทำกิจกรรมด้วยกัน ที่สำคัญ บูมชอบมาที่บ้านของทิวบ่อยๆ จนแทบจะกลายเป็นลูกชายคนที่สองของบ้านทิวไปแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เสมอต้นเสมอปลาย จนบูมรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเขาก็คงจะได้บอกไปแล้วล่ะ

"บูม" เสียงใครคนหนึ่งเรียกดังมาจากข้างหลังเบาๆ ไม่เท่านั้น ยังเอานิ้วมาสะกิดที่หลังเขาด้วย

บูมหันไปมองอย่างสงสัย "อ้าว จิ๋ว" บูมทักพลางยิ้ม จิ๋วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เขาพร้อมกับวางสมุดกับหนังสือเรียนลงบนโต๊ะ

"บูมกินข้าวหรือยัง" จิ๋วถาม เธอเป็นนักเรียนชั้น ม.6/2 ที่บูมก็รู้จักคุ้นเคยกันพอสมควรเพราะมักจะเจอกันในโรงเรียนบ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้สนิทอะไรกันมาก

"กินแล้ว จิ๋วล่ะ"

จิ๋วพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ "มีอะไรจะให้บูมช่วยหน่อย พอดีเราทำไม่ได้จริงๆ ถามเพื่อนในห้องแล้วมันก็ไม่มีใครรู้ ก็เลยว่าจะมาอาศัยคนเก่งจากห้องหนึ่งซะหน่อย บูมพอจะช่วยอธิบายเราหน่อยได้ปะ วิชาเคมี"

"อ๋อ...ได้สิ จะให้เราช่วยตรงไหน" บูมอาสาอย่างกระตือรืนร้น เขาไม่ใช่คนหวงวิชาเลย ถ้าใครถามเขาก็จะช่วยสอนให้เสมอ โดยเฉพาะกับทิว ตั้งแต่ได้รู้จักบูม ทิวก็คะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากทีเดียว

จิ๋วเปิดหนังสือให้บูมดูแล้วก็ชี้ "นี่ไง พันธะโควาเลนซ์อะไรสักอย่างเนี่ย จิ๋วไม่รู้ว่าจะดูยังไงถึงจะรู้ว่าอะตอมไหนมีพันธะโควาเลนซ์แบบไหน กี่อัน..."

บูมไม่รู้หรอกว่าการเข้ามาของจิ๋วในครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของปัญหา ปัญหาที่ทำให้เขาต้องรู้สึกผิดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

-----------------------------------------------------------------------

จากวันนั้นเป็นต้นมา จิ๋วก็คอยมาตีสนิทกับบูมอยู่เรื่อยๆ บางทีก็มากินข้าวกลางวันด้วยทั้งที่อยู่คนละห้อง บางทีก็จะเจอจิ๋วกับบูมอยู่ในห้องสมุด บางวันจิ๋วก็มาชวนไปเที่ยวหลังเลิกเรียก แต่ก็มีอยู่วันหนึ่งที่ทิวแสดงให้เห็นว่าเขาเริ่มอาการน้อยใจอีกแล้ว เมื่อจิ๋วมานั่งกินข้าวด้วยกับบูมตอนเที่ยง ทิวก็ลุกหนีโดยไม่บอกไม่กล่าว จนเพื่อนๆ ในห้องสงสัยกันใหญ่ว่าทิวเป็นอะไร คนที่สงสัยมากกว่าใครนั้นก็คือต้อง เพราะนอกจากบูมแล้ว ทิวก็ดูจะสนิทกับต้องเหมือนกัน ต้องได้คุยสิ่งที่เขาสังเกตเห็นกับปุ้ยและหม่าวด้วย ส่วนคนอื่นๆ ต้องยังไม่กล้าคุยด้วยมากนักเพราะกลัวความลับแตก จนกระทั่งคิดว่ามั่นใจกับสิ่งที่ได้เห็นมากพอแล้ว ต้อง ปุ้ยและหม่าวจึงนัดทิวให้มาคุยที่หลังโรงเรียนในเที่ยงของวันหนึ่ง

"มีอะไรวะ ทำลับๆ ล่อๆ น่ากลัวเชียวพวกมึง แล้วทำไมต้องมาคุยกันแค่นี้ ทำไมไม่ให้คนอื่นๆ มาคุยด้วยวะ" ทิวสงสัยไม่น้อยที่จู่ๆ สามคนนี้ก็มากระซิบกระซาบขอคุยกับเขาราวกับมีลับลมคมในที่สำคัญมาก

"ก็เพราะมันลับน่ะสิวะถึงได้เรียกมึงมาคุยแค่คนเดียว ไม่ให้คนอื่นมาด้วย นั่งลงเร็ว อย่าชักช้า" ต้องบอกพลางฉุดมือทิวให้รีบนั่งลง

"มีอะไรก็ว่ามา เดี๋ยวบ่ายนี้กูต้องไปสอนร้องเพลงที่ชมรม" ตอนนี้ทิวกับบูมไม่ได้เป็นักร้องนำของวง Zenith แล้วเพราะต้องการให้น้องใหม่ขึ้นมาทำแทน อีกอย่าง พี่ๆ ที่สนิทกันในวงก็จบกันไปหมดแล้ว ทิวกับบูมจึงปล่อยให้น้องๆ ที่เก่งดนตรีคนอื่นๆ ได้ฟอร์มทีมกันขึ้นมาสานต่องานที่พวกเขาทำไว้ แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในชมรมดนตรีอยู่

"เออ ไม่ต้องห่วง ก็ไม่ทำให้มึงเสียเวลาหรอก แต่มึงเตรียมใจไว้ให้ดีก็แล้วกัน แล้วก็ขอให้มึงพูดความจริงด้วย" ต้องกำชับ ทำให้ทิวชักหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

"เออ กูเคยโกหกพวกมึงหรือไงวะ" ทิวพูดอย่างมั่นใจ เพราะเขาไม่เคยโกหกเพื่อนเลยจริงๆ

"มึงงอนไอ้บูมอยู่ใช่หรือเปล่า"

เปรี้ยง!!!! คำถามแรกจากต้องก็เล่นเอาทิวถึงกับสะดุ้งราวกับถูกฟ้าผ่าเลยทีเดียว แสดงว่าพวกนี้มันต้องสงสัยเรื่องนั้นแน่ๆ แต่จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้ทิวก็งอนบูมบ่อยจริงๆ จริงๆ ก็ไม่ใช่การงอนอย่างโจ่งแจ้งอะไรหรอก แค่หลบหน้าหลบตาและไม่ค่อยคุยกันเท่านั้นเอง

"อย่าโกหกนะเว้ย สัญญาแล้ว" ปุ้ยสำทับ

ทิวถึงกับต้องกลืนน้ำลาย ถูกล้อมไว้เสียขนาดนี้เขาคงต้องจนตรอกเป็นแน่ "อืม" ทิวรับคำสั้นๆ

"ทำไมถึงงอนล่ะ มึงชอบมันหรือเปล่า" ต้องถามต่อ

เปรี้ยง!!!! เปรี้ยง!!!! เปรี้ยง!!!! ฟ้าผ่าอย่างหนักเลยล่ะคราวนี้ ทิวมองหน้าเพื่อนทั้งสามคนสลับไปมา ก็เห็นทุกคนจ้องมองและรอคอยคำตอบจากเขาอยู่ สักพักทิวก็ก้มหน้าลงพร้อมกับพยักหน้าสารภาพความจริง เอาล่ะสิ น้ำตามันจะไหลอีกแล้ว อย่าเพิ่งมาร้องให้ตอนนี้นะเว้ย

"กูว่าแล้ว" ต้องมองหน้าเพื่อนอย่างเห็นใจ "พวกกูเห็นมึงกับไอ้บูมทำตัวแปลกๆ กันก็เลยสงสัย ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง แล้วไอ้บูมมันรู้หรือยัง"

ทิวส่ายหน้า

"นานหรือยังวะ... กูหมายถึง... มึงชอบไอ้บูมมานานหรือยัง" หม่าวถามบ้างหลังจากที่นั่งฟังอยู่นาน

ทิวพยักหน้าอีกครั้ง "ก็ตั้งแต่รู้จักบูมใหม่ๆ นั่นแหละ" ทิวเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนๆ น้ำตาเริ่มไหลพราก "กูเป็นแบบนี้ พวกมึงรังเกียจกูปะวะ"

ดูเพื่อนๆ อีกสามคนจะตกใจทีเดียว ต้องเขยิบมานั่งใกล้ๆ พลางโอบไหล่ทิวไว้ "เฮ้ย คิดอะไรอย่างงั้น พวกกูเป็นเพื่อนมึงมาตั้งแต่อนุบาล จะรังเกียจกันได้ไงวะ มึงจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ มึงก็เป็นเพื่อนพวกกูนะเว้ย อย่าร้องให้ๆ" ต้องกระชับไหล่ทิวเบาๆ สองสามครั้งพลางปลอบไปด้วย

"คิดมาก ไอ้ทิว พวกกูไม่เคยคิดอย่างนั้นหรอก ที่มาถามมึงวันนี้ก็เพราะสงสารมึง อยากช่วยมึง ใช่ไหมไอ้หม่าว" ปุ้ยหันไปถามเพื่อนอีกคน

"ใช่ๆๆๆ กูก็ไม่เคยคิดรังเกียจมึงหรอก แต่มึงอย่ามากินพวกกูก็แล้วกัน" หม่าวพูดติดตลกในตอนท้าย

"เดี๋ยวกูเตะกระเด็นไปโน่น ไอ้นี่ มันกำลังเศร้าอยู่ยังจะมีกะจิตกะใจมาล้อเล่นอีก" ต้องพูดไม่พูดเปล่าแต่ทำท่าจะเตะเพื่อนจริงๆ เสียด้วย หม่าวได้แต่หัวเราะแหะๆ และขอโทษ

"แล้วมึงจะทำไง จะบอกไอ้บูมมันหรือเปล่าว่ามึงชอบมัน" ต้องถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ทิวส่ายหน้า "ไม่หรอก กูไม่อยากเสียเพื่อนไป"

"เฮ้ย แล้วมึงไม่คิดหรือไงวะว่าบางทีไอ้บูมมันก็อาจจะคิดอย่างเดียวกับมึงก็ได้" ปุ้ยพยายามให้กำลังใจ

"ไม่รู้สิ แต่คิดว่าไม่... ถ้าบูมคิดอย่างนั้นกับเราจริง เขาคงไม่ไปเกาะแกะกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้อยู่เรื่อยๆ หรอก เราไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ถ้าเกิดมันไม่ใช่ เราก็จะยิ่งแย่" ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่ทิวก็ไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่พูดนัก

"เฮ้ย กูดูออกนะเว้ยว่าไอ้บูมมันไม่ได้ชอบจิ๋วหรอก จิ๋วมันเข้ามาหาไอ้บูมเอง มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอ" หม่าวรีบบอก

"กูไม่รู้ ถ้ามันเป็นความรักหญิงชายทั่วไป กูอาจจะมั่นใจมากกว่านี้ แต่พอมันเป็นแบบนี้ กูบอกตามตรงว่ากูกลัวว่ะ ถ้าบูมมันไม่ได้คิดอย่างกู กูอาจจะต้องเสียเพื่อนไปเลยนะเว้ย กูไม่อยากเสี่ยง"

ได้ยินอย่างนั้นแล้วเพื่อนอีกสามคนก็ได้แต่มองหน้ากันเพราะไม่รู้จะเถียงทิวว่าอย่างไร ก็อาจจะจริงของทิวก็ได้ คนที่จะได้ต้องเจ็บมากกว่าใครก็คือทิว ถ้ายังไม่มั่นใจขนาดนั้นก็ไม่ควรไปกดดันทิว

----------------------------------------------------------------------------------

บูมรู้สึกหงุดหงิดมากทีเดียวที่ช่วงนี้ทิวทำตัวห่างเหินกับเขาอีกแลัว คุยด้วยก็เหมือนไม่ค่อยอยากคุย โทรไปหาก็ไม่ค่อยรับ ไม่แน่ใจว่าไม่ว่างหรือเป็นเพราะจงใจที่จะไม่รับกันแน่ แต่ก็นั่นแหละ โดยรวมๆ แล้วมันก็ทำให้บูมรู้สึกขัดใจมากพอสมควร

วันนี้ก็เช่นกัน เลิกเรียนแล้วทิวก็หายตัวไปเลย ทั้งๆ ที่นัดกับเพื่อนๆ ในห้องไว้แล้วว่าจะเดินเล่นที่สยามกัน แต่ทิวก็หายไปและไม่ยอมรับโทรศัพท์ ที่ทิวเป็นแบบนี้ก็เพราะตอนหลังจิ๋วขอไปด้วยนั่นเอง พอทิวรู้เข้าก็เลยแอบหนีกลับบ้านไปคนเดียว บูมโทรหาอยู่หลายครั้งก็ไม่ยอมรับสาย พอโทรไปล่าสุดอีกครั้งก็ปิดเครื่องไปแล้ว

พอแยกย้ายกันแล้ว บูมจึงตรงดิ่งไปบ้านทิวทันที วันนี้เขาคงต้องคุยกับทิวให้รู้เรื่อง มาถึงบ้านทิวก็สามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว วันนี้บูมคงต้องยอมกลับบ้านดึกแล้วถูกแม่ตำหนิ

บูมกดกริ่งหน้าบ้านสองสามครั้ง นานพอสมควรทีเดียวกว่าทิวจะลงมาเปิดประตูให้ ทำไมทิวต้องก้มหน้าก้มตาแบบนั้น

"แม่อยู่หรือเปล่า" บูมถาม พยายามจับสีหน้าและความรู้สึกของเพื่อนด้วยความสงสัยปนไม่พอใจ

ทิวพยักหน้า "อาบน้ำอยู่"

"เราขอคุยกับนายหน่อยได้ไหม ไม่นานหรอก"

ทิวพยักหน้า แล้วก็พาบูมขึ้นไปบนห้องของเขาบนชั้นสาม

"นายเป็นอะไรหรือเปล่าทิว ทำไมไม่ไปกับเพื่อนๆ ล่ะวันนี้ เขาถามหานายกันใหญ่เลยรู้ไหม" บูมเริ่มซัก

"พอดีเราไม่ค่อยสบาย" ทิวตอบเสียงเบา พยายามข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้

"ไม่สบายเหรอ เป็นอะไร" น้ำเสียงของบูมไม่ได้ฟังดูเป็นห่วงนัก แต่เหมือนสงสัยมากกว่า

"ปวดหัวนิดหน่อย"

บูมถอนหายใจ เห็นอาการของทิวแล้วเขาก็หนักใจเหลือเกิน "บอกเราตรงๆ ได้ไหมทิวว่านายเป็นอะไร นอกจากปวดหัวแล้วนายยังเป็นอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ทำไมชอบหลบหน้าเรา นายเป็นอะไรกันแน่ทิว"

บูมเดินเข้ามาจับไหล่ทิวทั้งสองข้างไว้เพื่อให้ทิวมองหน้าเขาตรงๆ เพราะทิวคอยแต่หลบตา ทิวดูมีสีหน้าประหม่าทีเดียวเมื่อถูกบังคับให้ต้องมองหน้าเพื่อนตรงๆ แบบนั้น "มีอะไรหรือเปล่าทิว บอกเราได้หรือเปล่า รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงนาย รู้ไหมว่าเราไม่มีความสุขเลยที่เห็นนายเป็นแบบนี้"

ทิวค่อยๆ สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเพื่อน พอหลุดออกมาได้แล้วเขาก็พูดเสียงดังว่า "นายเป็นเพื่อนกับเรามาตั้งสามปี แค่นี้นายยังไม่รู้อีกเหรอว่าเราเป็นอะไร"

บูมถึงกับหน้าชาและอึ้งไปกับคำถามนั้น ทิวไม่ชอบการถูกกดดันบีบคั้นแบบนี้เลย เหมือนเขากำลังถูกไล่ต้อนให้จนมุม เขารู้สึกเหมือนคนไม่มีทางสู้และจะต้องแพ้ แต่เขายังไม่อยากแพ้ในตอนนี้ เขาจะไม่ยอมแพ้และต้องสูญเสียสิ่งที่เขารักไปอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ เขากลัวเหลือเกินว่าเขาจะยอมแพ้และความอดทนของเขาก็จะตึงเครียดจนขาดสะบั้นลง "นายไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเราเป็นอะไร" ทิวถามซ้ำอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มรินไหล

บูมได้แต่นิ่ง เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ทุกอย่างดูเงียบ เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของบูมก็ดังขึ้น แม่เขาโทรมาตามนั่นเอง

"ครับแม่ ผมกำลังจะกลับครับ"

บูมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหันไปมองหน้าเพื่อนที่ยังคงเงียบงันอยู่เช่นกัน "เรากลับก่อนนะ" บอกแล้วบูมก็เดินออกไปจากห้อง

พอเพื่อนลับตาไปแล้วทิวก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนแล้วร้องให้อย่างหนัก นี่บูมไม่รู้จริงๆ หรือนี่ว่าเขาเป็นอะไร เขาคิดว่าบูมน่าจะรู้บ้าง รวมทั้งสิ่งที่บูมพูดในวันนั้นก็ดูเหมือนว่าบูมจะคิดอะไรบางอย่างกับเขา แต่วันนี้บูมกลับถามเหมือนว่าเขาไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จริงๆ หรือ นี่ดีนะที่เขาไม่เผลอใจบอกความจริงบางอย่างไป ไม่งั้นทิวอาจจะต้องเสียใจมากกว่านี้ก็เป็นได้

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

35. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #34
 
17-Mar-12, 02:23 PM (SE Asia Standard Time)
 
   สนุกเช่นเคยครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

36. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
18-Mar-12, 07:16 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   แววดราม่าค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วนะครับ สองสามตอนต่อจากนี้ต้องอย่าพลาดครับ
สิ่งที่จะทำให้บูมรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต คงไม่ใช่ทำให้ใครท้องนะครับ แต่เป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นเสียอีก อิๆ

-------------------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 13

ในระหว่างนั่งแท็กซี่กลับบ้าน บูมก็ได้นึกแต่โมโหตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมเขาถึงไม่กล้าพูดความจริงออกไป เราขอโทษนายจริงๆ นะทิว บางทีอะไรๆ มันก็ไม่ง่ายอย่างที่เราคิด มีหลายครั้งที่เราอยากจะพูด แต่เรากลับไม่เคยได้พูดมันออกไปเลย ความรัก...บางทีมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพูดกันได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นความรักแบบนี้แล้ว บูมไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ยิ่งถ้าพ่อกับแม่ของเขารู้เข้า มีหวังเขาคงโดนย้ายโรงเรียนหรืออาจจะเป็นอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น แต่นี่มันก็เทอมสุดท้ายแล้วที่เขากับทิวจะได้เจอกัน เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเขากับทิวเป็นแบบนี้เลย มันคงเจ็บปวดมากที่เขากับทิวต้องจากกันไปทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจกันอยู่แบบนี้ เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างให้เร็วที่สุด

เสียงโทรศัพท์บูมดังขึ้น แจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่เข้ามาจากเบอร์แปลกๆ ที่เขาไม่คุ้นเคย บูมเปิดอ่านข้อความก็พบว่ามันเป็นข้อความจากจิ๋วนั่นเอง

"หลับฝันดีนะบูม อย่าลืมฝันถึงจิ๋วด้วยนะ /จิ๋ว"

นี่คงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทิวเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับจิ๋วเลยจริงๆ เฮ้อ... แล้วทำไมอยู่ดีๆ จิ๋วก็เข้ามาในชีวิตของเขาตอนนี้ เมื่อก่อนก็ไม่เห็นจะมีทีท่าสนใจอะไรเขาเลย นี่เขาจะทำยังไงกับจิ๋วดีนะ

-----------------------------------------------------------------

"เฮ้ยพวกมึง วันศุกร์หน้ากูจะจัดงานวันเกิดที่บ้าน เชิญพวกมึงด้วยนะเว้ย ทุกคนเลย" บูมบอกเพื่อนๆ ในห้องในวันหนึ่งหลังเลิกเรียน เพื่อนๆ ในห้องส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ ปกติบูมจัดวันเกิดเงียบๆ ในบ้าน ไม่เคยชวนคนนอกมาร่วมเลย แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่บูมจะเชิญเพื่อนๆ มาร่วมงานวันเกิด แต่เขาก็ต้องคุยกับพ่อและแม่อยู่พอสมควร ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ ชีวิตบูมก็ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก มีเพื่อนที่สนิทที่พอคุยกันได้หลายคน เขาจึงอยากจะใช้งานวันเกิดครั้งนี้เป็นการเลี้ยงตอบแทนทุกคนที่ได้ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คิดแล้วก็น่าใจหายนะ จบแล้วเขาก็คงต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอกตามที่พ่อกับแม่ได้วางแผนและจัดการไว้หมดแล้ว เหลือแค่ให้เขาเรียนจบชั้น ม.6 แล้วก็เดินทางไปเท่านั้น

เพื่อนๆ ดูจะสนใจกันมากทีเดียวเพราะต่างก็วิ่งเข้ามาซักถามบูมกันใหญ่ว่าจะจัดงานแบบไหน ยังไง ใครมาบ้าง จะมีอะไรให้กิน ต้องแต่งตัวยังไง ฯลฯ

แน่นอน ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สนใจเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ทิวรีบปลีกตัวออกไปจากห้องเรียนด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนักโดยมีสายตาของบูมที่มองตามด้วยความสงสัยและเป็นห่วง ตั้งแต่วันนั้น เขาก็ไม่ได้พูดคุยกับบูมอีกเลย ทั้งสองคนมึนตึงกันถึงขั้นที่ทิวขอย้ายที่นั่งในห้องเรียนเลยทีเดียว

แต่ทิวก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลงมาเตะฟุตบอลเพื่อคลายเครียด ช่วงนี้เขารู้สึกเครียดๆ มาหลายวันแล้ว บางทีหาอะไรสนุกๆ เล่นก็คงพอทำให้หายเครียดไปได้บ้าง แต่พอเล่นจนเสร็จจึงได้เห็นว่าบูมมานั่งรอเขาอยู่ ดูเหมือนว่าจะมานั่งรออยู่นานแล้ว ทิวเตรียมจะเดินหนีแต่บูมก็รีบวิ่งมาดักหน้าเขาไว้ก่อน

"ทิว คุยกันก่อนได้ไหม" บูมทำสีหน้าอ้อนวอน

".........."

"ทิว...อีกไม่ถึงเดือนเราก็จะไปเรียนต่อที่อเมริกาแล้วนะ เราอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหม"

ทิวมีสีหน้าที่ดูเศร้ามากทีเดียว เศร้าเพราะเรื่องเมื่อวันนั้น เศร้าเพราะอีกไม่นานคนที่เขารักก็จะต้องจากไป เศร้าที่เขากับบูมต้องมาบาดหมางใจกันในช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกเพียงไม่นาน "ว่ามาเลย"

"ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า" บูมเสนอพลางพยายามมองหาที่ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน จริงๆ ตอนนี้คนก็เริ่มกลับกันเกือบหมดแล้วล่ะ เหลือแค่ครูและนักเรียนอีกไม่กี่คนเท่านั้น พอเห็นที่เหมาะแล้วเขาก็เดินนำทิวไป

เมื่อนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บูมก็คุยต่อว่า "ทิว...เราขอโทษนะ นายจะให้เราทำอะไรก็ได้ ขอให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม เรารู้สึกแย่มากเลยรู้ไหมที่เราต้องมาเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่เราก็จะต้องจากกันอีกไม่นานนี้" บูมหยุดมองดูเพื่อนที่เริ่มมีสีหน้าอ่อนลงแล้วก็พูดสืบไปว่า

"นายสำคัญกับเรามากนะทิว นายมีความหมายกับชีวิตของเรามาก ถ้าหากไม่มีนาย ชีวิตในโรงเรียนนี้ก็คงไม่มีอะไรต่างไปจากที่เราเคยเจอ เราก็คงเหงา เครียด ไม่มีเพื่อน ไม่ได้ลองทำอะไรหลายๆ อย่างที่เราไม่เคยทำ ไม่ได้รู้จักมิตรภาพของเพื่อน หลายอย่างดีๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา เพราะว่าเรามีนายนะทิว นายรู้ไหม"

บูมพูดจบแล้วก็ดึงมือเพื่อนมาจับไว้ "เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะทิว...นะ...ชีวิตนี้เราคงไม่มีความสุข เราคงรู้สึกผิดมากถ้าเราจะต้องจากกันไปแบบนี้"

ทิวมองหน้าเพื่อนอย่างเพ่งพิจารณา คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ก็คือผู้ชายที่เคยให้อ้อมกอดที่อบอุ่นแก่เขา เคยเรียนด้วยกัน เคยร้องเพลงด้วยกัน เคยนอนคุยกัน เคยรดน้ำต้นไม้ด้วยกัน เคยติวหนังสือด้วยกัน และอีกหลายๆ ความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะดูเหมือนไม่นานมาก แต่ด้วยความใกล้ชิดและสนิทสนมกันที่เกินธรรมดา เขากับบูมก็กลายเป็นเพื่อนรักกันได้ไม่ยากนัก จนกระทั่งวันนี้ที่ความรักมันเลยเถิดมาไกลสำหรับเขา

ใช่... สำหรับเขาคนเดียวนี่นา บูมไม่ได้ผิดอะไรเลย เขางี่เง่าไปเอง งอนไปเอง เรียกร้องเอาจากเพื่อนมากเกินไป บูมไม่เคยเปลี่ยนไปเลย บูมก็ยังเหมือนเดิม มีแต่เขานี่แหละที่บ้าไปเอง นี่เขากลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

"เรา...ก็ขอโทษนายด้วย เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะบูม" สำหรับทิวแล้ว ในตอนนี้ ไม่ว่ามันจะทำใจยากสักแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะยังมีความรู้สึกขัดเคืองใจอยู่มากแค่ไหน แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังจะจากไปอีกไม่นานนี้ เขาไม่อยากให้บูมกับเขาต้องจากกันไปแบบนี้เลย เพราะฉะนั้น เวลาที่เหลืออยู่นั้นสำคัญมากที่จะทำให้การจากกันครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่าประทับใจสำหรับทั้งสองคน นั่นก็เป็นเหตุผลเดียวที่ทิวต้องยอมและให้โอกาสให้เขากับบูมได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

ทั้งสองหนุ่มลุกขึ้นแล้วก็โผเข้ากอดกัน เวลาที่เหลือจากนี้ไป เขาทั้งสองคนจะทำมันให้ดีที่สุด จะเป็นเพื่อนกันให้ดีที่สุด ไม่ใช่สิ บางทีมันอาจจะไปได้ไกลกว่านั้น ทิว...เราพร้อมแล้วรู้ไหม อีกไม่กี่วันนี้นายก็จะได้รู้ว่าที่จริงแล้ว เรากับนายก็อาจจะไม่ได้คิดต่างกันเลย

-------------------------------------------------------------------------

แล้วงานวันเกิดของบูมก็มาถึง เพื่อนๆ แต่ละคนตื่นเต้นกันมากทีเดียว ทั้งตื่นเต้นที่จะได้มาเป่าเค้กวันเกิด ได้มากินของอร่อยๆ ที่สำคัญ เพื่อนๆ ที่ได้มาเห็นบ้านของบูมต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฐานะของคนจัดงานวันเกิดนั้นเป็นแบบไหน

บูมดูจะตื่นเต้นกับของขวัญวันเกิดกองพะเนินที่เขาได้มากทีเดียว เขาไม่เคยได้ของขวัญวันเกิดมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ของขวัญของใครก็คงไม่น่าสนใจเท่ากับของขวัญของทิวหรอก ทิวให้อะไรเขามานะ ทำไมกล่องมันไม่ค่อยใหญ่ แถมยังดูเบาๆ

"มันคืออะไรทิว" บูมถามพลางเขย่ากล่องของขวัญที่เพื่อนเพิ่งเอามาให้

"ไม่บอก รับรองนายต้องเซอร์ไพรส์" ทิวบอกพลางยิ้มมีความสุข "Happy birthday นะบูม" ทิวไม่ลืมที่จะบอกสิ่งสำคัญสิ่งนี้

"ขอบใจมากทิว จริงๆ แล้วการที่ได้รู้จักนายก็เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดแล้วล่ะ" บูมยิ้มมีความสุขเช่นกัน แต่พอคนอื่นเริ่มทยอยเข้ามา สองหนุ่มก็ต้องยุติการสนทนา ทิวแยกตัวไปนั่งกับเพื่อนๆ ที่เริ่มทยอยมาถึง ส่วนบูมก็ยืนต้อนรับแขกกับพี่บีม คุณทิพย์นภาสาละวนกับเรื่องอาหารการกิน ส่วนคุณลิขิตก็คอยดูความเรียบร้อยทั่วๆ ไป นอกจากนี้ก็ยังมีญาติๆ ของบูมอีกหลายคนที่มาช่วยอำนวยความสะดวกในงานด้วย

พอเพื่อนๆ มากันครบหมดแล้ว พ่อกับแม่ของบูมก็ออกมาพูดต้อนรับและกล่าวอวยพรให้ลูกชายคนเล็กเนื่องในงานวันเกิด ปีนี้บูมอายุ 19 แล้ว จากนั้นทุกคนก็ช่วยกันร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้บูม จะว่าไปแล้ว บูมดูมีความสุขจริงๆ ที่ได้เป่าเค้กวันเกิดท่ามกลางเพื่อนๆ หลายสิบคน แทนที่จะเป่ากันแค่สามสี่คนเหมือนที่ผ่านมาซึ่งค่อนข้างกร่อยและน่าเบื่อสำหรับบูม หลังจากนั้นบูมก็ตัดเค้กแบ่งเพื่อนๆ มีพี่ชายและญาติๆ รุ่นราวคราวเดียวกับเขามาช่วยยกไปเสิร์ฟให้คนที่ไม่สะดวกมารับเองด้วย

จากนั้นเด็กๆ จึงแยกกันเป็นกลุ่มๆ นั่งกินอาหารกันไป อาหารที่จัดมาเลี้ยงเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ มีให้เลือกกินหลายอย่าง เพื่อนๆ ของบูมดูจะชอบกันมากทีเดียวเพราะอาหารหลายอย่างเป็นอาหารอย่างดีที่อาจจะหากินไม่ได้บ่อยๆ

"บูม" เสียงสาวน้อยคนหนึ่งเรียกดังขึ้นมา บูมหยุดกินข้าวแล้วหันไปมอง

"อ้าว จิ๋ว" บูมทักพลางยิ้มให้ จิ๋วรีบเดินเข้ามาหาแล้วก็ส่งของขวัญวันเกิดให้บูม

"โทษทีที่มาช้า พอดีรถเสีย Happy birthday นะ"

"ขอบคุณครับ" บูมรับของขวัญมาพลางยิ้มดีใจ "จิ๋วจะกินอะไรเชิญตามสบายเลยนะ เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ" บูมบอกแล้วก็เดินเอากล่องของขวัญไปวางรวมไว้กับของขวัญอื่นๆ ที่เขาได้มาบนโต๊ะ

เนื่องจากโต๊ะที่บูมนั่งมีเก้าอี้ว่างหนึ่งตัว แถมจิ๋วยังไม่ค่อยสนิทกับคนอื่นๆ ในห้องของบูมมากนัก เธอจึงเลือกที่จะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะของบูมหลังจากที่ได้เลือกของที่อยากกินมาแล้ว ด้วยความที่เป็นคนช่างพูด จิ๋วจึงชวนบูมคุยไม่หยุดโดยไม่ได้สังเกตดูเลยว่ามีใครมองด้วยความไม่พอใจหรือไม่

"อ้าวทิวจะไปไหน" บูมร้องทักเมื่อเห็นทิวลุกขึ้น

"เดี๋ยวเราไปหาเพื่อนๆ ตรงนั้นก่อน" ทิวบอกแล้วก็ลุกเดินออกไป เขาว่าจะไม่รู้สึกอะไรแล้วเชียว แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ บูมมองตามเพื่อนด้วยสายตาเป็นห่วง เขาเริ่มรู้สึกกังวลเพราะกลัวทิวจะโกรธเขาอีก แต่จิ๋วก็ชวนเขาคุยไม่หยุดเลย ถ้าจะลุกหนีไปก็คงเสียมารยาทมาก

จริงๆ ก็มีอีกโต๊ะหนึ่งที่ได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ด้วยความไม่สบายใจด้วย ทิวกับบูมเพิ่งจะกลับมาพูดกันดีๆ เมื่อไม่กี่วันนี้เอง นี่จะต้องผิดใจกันอีกแล้วหรือ

"บูมมันไปชวนจิ๋วมาทำไมวะ รู้ก็รู้อยู่" ต้องบ่นกับปุ้ยและหม่าวอย่างไม่สบอารมณ์

"ให้มันได้อย่างนี้งี้สิ เดี๋ยวไอ้ทิวมันก็งอนเอาอีกหรอก ดูนั่นสิ มันเดินหนีไปแล้ว" หม่าวชี้ให้ดูทิวที่เดินไปนั่งคุยกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง

"แล้วไอ้บูมมันรู้ตัวบ้างไหมนั่น ยังมานั่งคุยกับจิ๋วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก" ต้องบ่นอีก

"มึงดูไอ้ทิวสิ คอยแอบมองไอ้บูมตลอดเลยว่ะ" หม่าวชี้ให้เพื่อนสังเกตเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก

"สงสารไอ้ทิวมันว่ะ มันคงรักไอ้บูมมาก ไอ้บูมนี่ก็ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เดี๋ยวก็ยุให้ไอ้ทิวมันจับปล้ำเสียนี่" ปุ้ยพูดกะให้เพื่อนตลก แต่เขากลับจะโดนเพื่อนเขกหัวเป็นการตอบแทน

"ไอ้นี่มึง อย่าไปพูดให้ไอ้ทิวกับไอ้บูมมันได้ยินนะเว้ย" ต้องว่าพลางทำท่าจะเขกหัวเพื่อน แต่แล้วก็ต้องหยุดคุยกันเมื่อมีคนเอาน้ำอัดลมมาเสิร์ฟเพิ่มให้ แม่ของบูมนั่นเอง แต่คุณทิพย์นภาก็ไม่ได้พูดอะไร เอามาวางให้เด็กๆ แล้วก็เดินออกไป

ต้องกับเพื่อนอยากช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น จึงไปเรียกทิวมานั่งคุยที่โต๊ะด้วย สักพักต้องก็ไปตามบูมมาอีกคน แล้วก็ปล่อยให้ทิวกับบูมนั่งอยู่ด้วยกันแค่สองคน ส่วนพวกเขาก็เดินไปคุยกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะอื่น

พอเพื่อนไปแล้ว บูมก็ลุกมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ทิว บูมพยายามสังเกตว่าทิวรู้สึกอย่างไรบ้าง ก็เห็นว่าทิวมีสีหน้าที่เศร้าเล็กน้อย บูมจึงเอามือโอบเพื่อนไว้เบาๆ เผื่อว่าจะทำให้ทิวรู้สึกอบอุ่นใจและรู้สึกดีขึ้น "ทิว นายไม่เป็นไรใช่ไหม อย่าคิดมากนะ เรากับจิ๋ว...เป็นแค่เพื่อนกัน ไม่มีอะไรหรอก"

บูมพูดแบบนี้อีกแล้ว เหมือนกับจะรู้ว่าทิวกำลังรู้สึกอะไรอยู่ข้างในใจ เหมือนกับจะรู้ว่าทิวไม่ได้คิดกับบูมแค่เพื่อนเท่านั้น ทิวยิ้มนิดๆ แล้วส่ายหน้า "เราไม่เป็นไรแล้วล่ะ"

บูมยิ้มให้เพื่อนด้วยความดีใจและเป็นสุข ทิวคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้ เขาจะทำทุกวิถีทางที่จะรักษาความรู้สึกของทิวไว้ จนกว่าวันที่เขาจะต้องจากไป

"นายจะกินอะไรอีกไหม เดี๋ยวเราไปเอามาให้"

"แล้วแต่นายละกัน" ทิวบอก

"เดี๋ยวมานะ" ว่าแล้วบูมก็ลุกเดินออกไปเลือกของกินของเขากับทิว พอได้แล้วก็มานั่งกินด้วยกันอย่างมีความสุข แต่บูมก็หารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาทำเมื่อสักครู่นี้ถูกจับตามองด้วยสายตาที่ไม่พอใจของใครบางคนโดยตลอด

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
NEWS
Guest

37. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #36
 
18-Mar-12, 06:21 PM (SE Asia Standard Time)
 
   สนุกมากเลยครับ น่าสงสารทิว ที่ต้องเก็บกดความรู้สึกถึงความรักที่มีต่อเพื่อน ทำให้นึกถึงความหลังของตนเองที่ครั้งหนึ่งก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน เศร้ามาก ๆ เลยในตอนนั้น ขอให้มาต่อให้จบเร็ว ๆ ด้วยนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

38. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
18-Mar-12, 07:39 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนนี้คงจะต้องบอกว่าเป็นตอนที่สะเทือนใจที่สุดสำหรับคนเขียนครับ
เขียนไปน้ำตาไหลไปครับ แต่ก็มีเหตุผลนะครับที่ทำให้เรื่องมันดำเนินไปแบบนี้
อย่าเพิ่งนึกว่าจบนะครับ ยังไม่จบครับ

----------------------------------------------------------------

ตอนที่ 14

หลังจากที่กินจนอิ่มแล้ว บูมกับทิวก็นั่งคุยกันอย่างสบายอารมณ์ บางทีบูมก็จะเดินไปคุยกับเพื่อนๆ ที่โต๊ะอื่นบ้าง แต่ไม่นานก็จะกลับมานั่งคุยกับทิวเหมือนเดิม จนช่วงใกล้ๆ เลิกงาน บูมก็เอ่ยขึ้นมาว่า

"ทิว...เรามีอะไรบางอย่างที่สำคัญที่เราอยากจะบอกนาย"

สายตาที่ดูมีความหมายบางอย่างของบูมทำให้ทิวเกิดอาการหวั่นไหวและตื่นเต้นไม่น้อย นอกจากนี้สายตาคู่นั้นก็ทำให้ทิวรู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน ทิวไม่เคยเห็นสายตากรุ้มกริ่มแบบนี้ของทิวเลย

"อะไรเหรอ" ทิวถามพลางหลบตาแก้เขิน

"คือว่า...เรา...เราจะบอกว่าเรา..."

"บูม"

ยังไม่ทันที่จะได้พูดสิ่งสำคัญเลย เสียงใครบางคนก็เรียกมาจากข้างหลัง บูมกับทิวหันไปมองก็เห็นว่าเป็นแม่ของบูมนั่นเอง "เพื่อนๆ เริ่มกลับกันแล้ว ทำไมไม่มาส่งเพื่อนล่ะ เรานี่ก็แปลกคน" น้ำเสียงคุณทิพย์นภาดูไม่พอใจนิดๆ แต่สายตาที่เธอมองดูทิวนั้นก็ทำให้ทิวถึงกับทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว จริงๆ ทิวก็เคยมาติวหนังสือที่บ้านของบูมอยู่บ้าง แม้ไม่บ่อย แต่คุณทิพย์นภาก็คุ้นเคยกับทิวพอสมควร แต่ทิวก็ไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้ของคุณทิพย์นภาเลย

"ไปช่วยพี่บีมส่งเพื่อนๆ สิ" แม่ดุเสียงเขียว

น้ำเสียงที่คล้ายกับออกคำสั่งนั้นทำให้บูมต้องรีบลุกขึ้นทันที "เดี๋ยวค่อยคุยกันนะทิว" บูมบอกแล้วก็รีบเดินออกไป ไม่เป็นไรหรอก บอกพรุ่งนี้ก็ได้ บูมคิดในใจ

---------------------------------------------------------------------------

พอเพื่อนๆ กลับไปหมดแล้ว แทนที่บูมจะได้พักผ่อน เขาก็ถูกพ่อกับแม่เรียกขึ้นไปหา พี่บีมก็มาร่วมด้วย เห็นสายตาของพ่อกับแม่แล้วบูมก็พอเดาได้ว่าเขาคงโดนตำหนิด้วยเรื่องอะไรบางอย่างเป็นแน่

"นั่งลง" คุณทิพย์นภาออกคำสั่ง บูมกับบีมนั่งลงพลางหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้ว่าจะถูกตำหนิเรื่องอะไรอีก จริงๆ งานวันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ไม่ดีเลยนี่นา

"ทิวนี่เขาสนิทกับบูมมากแค่ไหน" คุณทิพย์นภาถาม ส่วนคุณลิขิตไม่ได้พูดอะไร จริงๆ เขาได้คุยกับภรรยาบ้างแล้วล่ะ แต่งานนี้เขาคงให้ภรรยาเป็นคนจัดการเป็นหลัก

"ก็... ทิวก็เป็นเพื่อนสนิทกับผมครับแม่" บูมตอบเหมือนไม่แน่ใจว่าคำตอบนี้จะถูกใจแม่หรือเปล่า

"แม่ถามว่าสนิทแค่ไหน" น้ำเสียงนั้นเพิ่มความเกรี้ยวกราดขึ้นไปอีกนิด

"ก็...สนิทมากครับ"

"เพื่อนคนนี้ใช่ไหมที่บูมชอบไปค้างที่บ้านเขาบ่อยๆ"

"ครับ" บูมตอบ นี่แม่ของเขากำลังสงสัยอะไรกันแน่

"จริงเหรอ" คุณทิพย์นภาขึ้นเสียงสูง "แล้วเพื่อนคนนั้นมันทำอะไรบูมหรือเปล่า"

บูมเริ่มงงกับสิ่งที่แม่พยายามจะสื่อสารกับเขามากขึ้นทุกที "แม่กำลังพูดอะไรอยู่ครับ ผมไม่เข้าใจ" บูมหันไปมองหน้าพี่ชายก็เห็นพี่บีมทำหน้างงๆ เช่นกัน

"ไม่เข้าใจได้ยังไง คบกันมาตั้งนาน ไม่รู้เหรอว่าเพื่อนคนนั้นของบูมเป็นเกย์"

บูมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นี่แม่เขาไปรู้เรื่องนี้มาจากไหนกัน ตอนที่เขาพาทิวมาที่บ้านก็ไม่เคยทำอะไรเกินเลย แม้กระทั่งเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่น่ามีอะไรทำให้แม่รู้ได้ว่าทิวเป็นเกย์เลย "อะไรนะครับแม่" เสียงบูมสั่นพร่าและเบาหวิว

"แม่ขอสั่งห้ามนะบูม เลิกคบกับเพื่อนคนนั้นอย่างเด็ดขาด แม่รับไม่ได้ พ่อเขาก็รับไม่ได้ พ่อกับแม่ไม่อยากมีลูกสะใภ้เป็นผู้ชายนะบูม เข้าใจไหม"

บูมทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืนทันที เขาไม่มีวันยอมที่จะทำตามคำสั่งนี้อย่างเด็ดขาด "ไม่ครับแม่ ทิวเป็นเพื่อนของบูมนะครับ เราไม่เคยทำอะไรเสียหาย ถึงทิวเขาจะเป็น....เป็นเกย์ แต่ทิวเขาก็เป็นคนดีนะครับแม่ ผมทำตามที่แม่บอกไม่ได้"

"นี่เถียงแม่เหรอบูม แม่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นว่าเพื่อนลูกคนนี้เขาจะเป็นคนดีแค่ไหน แต่เขาเป็นเกย์ เป็นพวกวิปริตผิดเพศ วันนี้เขาไม่ทำอะไรลูก แต่ถ้าเกิดวันหน้าเขาทำขึ้นมาล่ะ คนพวกนี้มันบ้ากามมั่วเพศแค่ไหนก็เห็นๆ อยู่ จะให้พ่อกับแม่ไว้ใจได้ยังไงฮะบูม"

"แม่" บูมร้องเสียงดังและเริ่มร้องให้ บีมรีบลุกขึ้นมาบีบไหล่ให้กำลังใจน้องชายเมื่อเห็นว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่ เขาเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกันที่พ่อกับแม่มีความคิดแบบนี้อยู่

"บูม ทำไมเสียงดังกับแม่แบบนั้น" คุณลิขิตลุกขึ้นมาตำหนิลูกชายคนเล็กอีกคน "ขอโทษแม่เขาเดี๋ยวนี้" พ่อออกคำสั่ง

บูมมองหน้าพ่อที่ดูไม่พอใจอย่างมากแล้วก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ทำตามที่พ่อบอกคงได้เป็นเรื่องแน่ๆ "ผมขอโทษครับแม่ แต่ผมทำตามที่แม่บอกไม่ได้ ยังไงผมก็ทำไม่ได้" บูมบอกพลางสะอื้น

"ทำไมทำไม่ได้ อย่าบอกนะว่าบูมก็..." คุณทิพย์นภาถึงกับมือไม้สั่น "บูม...บูมไม่ได้เป็นแบบนั้นใช่ไหม"

"แม่... ทิวกับบูมเขาเป็นเพื่อนกันนะครับ เขาไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ทำไมแม่จะต้อง..." บีมเริ่มช่วยน้องชาย

"แกเงียบไปเลยนะบีม เรื่องอื่นแม่ยังพอยอมได้บ้าง แต่เรื่องนี้ยังไงแม่ก็ไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม" คุณทิพย์นภาตวาดลูกชายคนโต "ว่าไงบูม ตอบแม่มาซิ บูมไม่ได้เป็นอย่างเพื่อนคนนั้นใช่ไหม"

"ผมไม่ทราบครับแม่" บูมตอบออกมาในที่สุด "แต่ไม่ว่าจะยังไง ผมก็จะไม่ยอมเลิกคบกับทิว ทิวเป็นเพื่อนผมนะครับแม่ ทิวเป็นคนดี ทิวเขาไม่ได้ผิดอะไร"

"ก็เอาสิ ถ้าบูมไม่เชื่อแม่ ไม่ทำตามที่แม่สั่ง ก็อย่ามาเรียกแม่ว่าแม่ละกัน"

ทั้งบูมและพี่ชายต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน

"แม่" บูมเสียงแหบพร่า เขาไม่คิดเลยว่าแม่จะรังเกียจเพื่อนของเขาถึงขนาดนั้น

----------------------------------------------------------------------------

เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศสดใสทีเดียว แต่ก็อาจจะร้อนไปหน่อยเพราะเป็นช่วงหน้าร้อน ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้ปิดเทอมแล้วและเป็นช่วงที่มีการสอบปลายภาค นักเรียนที่มาถึงโรงเรียนส่วนมากจึงนั่งอ่านหนังสือทบทวนการเรียนกันเป็นส่วนใหญ่เพื่อเตรียมตัวสอบ

สิ่งที่แปลกไปในวันนี้ก็คือ ทำไมอยู่ดีๆ บูมก็ย้ายที่นั่งไปอยู่ข้างหลังห้อง แถมมีสีหน้าท่าทางที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลยทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านพ้นวันเกิดมาเมื่อคืนนี้เอง ทิวเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ได้แต่หวาดหวั่นในใจ นี่จะต้องมีอะไรไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าหนอ

"บูม... ทำไมนาย...ย้ายมานั่งตรงนี้ล่ะ"

บูมซึ่งกำลังนั่งเหม่อลอยมองไปที่หน้าต่างหันมามองเพื่อน สายตาของบูมมีร่องรอยของความเจ็บปวดบางอย่างที่ทิวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

"ไม่มีอะไรหรอก เราแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศเฉยๆ เผื่อจะทำให้มีสมาธิมากขึ้น" บูมตอบแล้วก็หลบหน้าไป

มีสมาธิมากขึ้นงั้นเหรอ แล้วทำไมบูมถึงเอาแต่เหม่อลอยไม่ยอมอ่านหนังสือล่ะ "มีอะไรหรือเปล่าบูม เราว่ามันแปลกๆ นะที่อยู่ดีๆ นายก็มาย้ายมานั่งตรงนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า" ทิวถามอย่างเป็นห่วง

เพื่อนๆ คนอื่นๆ เริ่มทยอยออกจากห้องไปเพราะใกล้เวลาเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว

"ทิว..." บูมเรียกชื่อเพื่อนโดยไม่หันมามองหน้า "เรา...เลิกคบกันเถอะนะ" บูมกัดฟันพูดออกไปอย่างเจ็บปวด เขาไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดใจขนาดนี้มาก่อนเลย แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นใด เขาเคยชินกับการถูกบังคับให้คิดและให้ทำ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะขัดขืน โดยเฉพาะเมื่อแม่ได้ยื่นคำขาดมาถึงขนาดนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกินที่คนที่เป็นลูกจะเนรคุณพ่อแม่ ยังไงแม่ก็คือคนที่มีบุญคุณกับเขามากที่สุด เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นคนที่เลี้ยงดูเขามาจนเติบใหญ่ มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่เขาจะไม่สามารถเรียกแม่ของตัวเองว่าแม่ได้อีก มันเป็นการบีบบังคับที่เขาไม่มีทางสู้ได้เลย

เหมือนทิวจะโดนฟ้าผ่าในหน้าร้อนเสียอย่างนั้น หรือว่าเขาจะฟังผิดไป มันไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรนี่นาที่จะทำให้บูมต้องโกรธเขาจนถึงกับบอกให้เลิกคบกันแบบนี้ "อะไรนะบูม นายพูดว่าอะไรนะเมื่อกี้"

แต่บูมก็เงียบ ไม่มีเสียงตอบใดๆ แสดงว่าสิ่งที่บูมพูดเมื่อกี้ก็ชัดเจนแล้ว นี่หรือเปล่าคือสิ่งที่นายอยากบอกเราเมื่อคืนนี้ ทิวอุตส่าห์จินตนาการถึงเรื่องดีๆ มีความหวังว่าบูมก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเขา แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเลย

ทิววิ่งออกไปจากห้องทันที เขาวิ่งเข้าไปในห้องน้ำในตัวอาคารเรียนแล้วก็ปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น ส่วนบูม พอเพื่อนวิ่งออกไปแล้วเขาก็ซบหน้าลงโต๊ะเรียนและร้องให้เช่นกัน สิ่งที่เขาวาดหวังไว้ทั้งหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ "ขอโทษนะทิว เราขอโทษ" บูมเอ่ยประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ แต่จะมีประโยชน์อะไรเพราะทิวไม่ได้ยิน

-------------------------------------------------------------------

ตอนเที่ยง บูมก็แยกไปกินข้าวโดยลำพัง แต่ก็มีจิ๋วตามมาคุยด้วยอีกตามเคย แน่นอน นั่นย่อมต้องทำให้ทิวเข้าใจว่าบูมคงไม่ได้คิดกับจิ๋วแค่เพื่อนแล้วล่ะ และยิ่งทำให้ทิวเข้าใจไปในทางนั้นมากขึ้นเมื่อจิ๋วกับบูมเดินออกไปด้วยกันหลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว

จิ๋วพาบูมออกมายังที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่าน แล้วเธอก็ตัดสินใจสารภาพบางสิ่งบางอย่างเพราะเธอเองก็ทนเก็บมันไว้ไม่ไหวเช่นกัน ยิ่งรู้ว่าบูมกำลังจะจากไปเธอยิ่งอยากบอกให้บูมรู้ก่อนที่มันจะสายเกินไป "บูมจะว่าอะไรไหม ถ้าเราจะบอกว่าเรา...ชอบบูม" จิ๋วบอกด้วยท่าทางประหม่าปนเขินอาย

อาจไม่ใช่สิ่งที่ต่างไปจากที่บูมคิดมากนัก เขาก็เลยไม่ได้ตกใจอะไรมาก แต่ตอนนี้บูมไม่มีกะจิตกะใจที่จะรักหรือไม่รักใครทั้งนั้น "เราเป็นเพื่อนกันดีกว่านะจิ๋ว" บูมตัดสินใจบอกไป เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับใครอีกแล้วในตอนนี้

"เหรอ... บูมคงมีใครอยู่แล้วสินะ แต่ไม่เป็นไรหรอก จิ๋วก็แค่อยากบอกบูมเท่านั้นเองว่าจิ๋วคิดยังไง ก่อนที่จิ๋วจะไม่มีโอกาสได้บอกบูมอีกเลย"

บูมได้ฟังแล้วก็สะท้อนใจ อย่างน้อย จิ๋วก็ยังมีโอกาสได้บอกความรู้สึกของตัวเองกับคนที่เธอรัก แต่เขากลับไม่มีโอกาสนั้นเลย แถมยังต้องมาบาดหมางใจกันอีก

"ขอบใจนะจิ๋ว จิ๋วก็เป็นเพื่อนทีดีอีกคนของบูมนะ" บูมพยายามยิ้มทั้งๆ ที่ในใจเขาแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงใดแล้ว จิ๋วพยักหน้า กะพริบตาถี่ๆ แล้วก็รีบเดินจากไป ถึงเธอจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เธอก็อดเสียใจไม่ได้ที่ถูกปฏิเสธความรักนั่นเอง

ก่อนที่บูมจะได้ไปไหน ต้องก็ตามมาเจอเขาพอดี ไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงใดๆ ทั้งสิ้น ต้องรีบปรี่เข้าไปต่อว่าบูมทันที "บูม มึงเป็นบ้าอะไรของมึง ทำไมมึงทำแบบนี้วะ มึงรู้ไหมว่าทิวมันเสียใจมากแค่ไหน"

บูมหันมามองต้อง แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร "มึงเป็นอะไรล่ะบูม ทำไมทำแบบนี้ ไม่สงสารไอ้ทิวมันบ้างหรือไงวะ จะจากกันไปอยู่แล้ว มีปัญหาอะไรก็พูดคุยกันได้นี่" ต้องพยายามคาดคั้น

"กูขอโทษ แต่มึงไม่ใช่กู มึงไม่รู้หรอกว่าทำไม ปล่อยกูไปเถอะ ปล่อยให้ทิวได้เจอคนที่ดีกว่ากูดีกว่า คนขี้ขลาดอย่างกูไม่เหมาะกับคนดีๆ อย่างทิวหรอก" บูมพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา ต้องเห็นแล้วก็ตกใจ ถึงจะไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนพูดนักแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะไปคาดคั้นอะไรอีก

------------------------------------------------------------------------

วันสุดท้ายแล้วที่นักเรียนชั้น ม.6 ทั้งหมดจะได้อยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่เต็มไปด้วยความทรงจำและมิตรภาพที่สวยงามของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ในวันนี้ นักเรียนชั้น ม.6 ทุกคนจึงทำตามธรรมเนียมปฏิบัติคือการเขียน Friendship ให้เพื่อนๆ แต่หลายคนใช้วิธีการให้เพื่อนใช้ปากกาเคมีเขียนลงบนเสื้อนักเรียนแทนที่จะเขียนในสมุด นอกจากเพื่อนในห้องแล้วก็อาจจะให้เพื่อนในห้องอื่นๆ เขียนให้ด้วย หรือรุ่นน้องบางคนก็มาเขียนให้เพื่อนรุ่นพี่ที่เขาประทับใจด้วยเช่นกัน

ทิวก็เหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ ที่จะจบแล้ว เขาเดินไปทั่วโรงเรียนเพื่อที่จะเขียน Friendship ให้เพื่อนหรือไม่ก็ให้เพื่อนๆ เขียนให้เขา แต่ไม่ว่าเขาจะไปตรงไหน เขาก็ไม่เจอบูมเลย นี่บูมถึงกับจะไม่เขียนอะไรให้เขาบ้างเลยหรือ ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ ที่ผ่านมาสามปี ที่เคยดีต่อกัน ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ไม่มีความหมายใดๆ เลยหรือ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเป็นไปได้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบูมจะไม่ไยดีเขาเลย ทิวรู้สึกถึงความหวิวโหวงในใจ ใจหายเหลือเกิน ถ้าเขาเพียงแต่เจอบูมอยู่ตรงไหนสักแห่งในตอนนี้ เขาจะยอมทิ้งความเจ็บปวดขุ่นเคืองทุกอย่าง ขอแค่ให้เขาได้กอดเพื่อน ได้ร้องให้ ได้ร่ำลาและได้บอกความในใจสักครั้ง

ในส่วนของบูม หลังจากที่หลบหน้าทิวมาสักพัก เขาก็เริ่มรู้สึกว่าเขาฝืนหัวใจของเขาไม่ไหวแล้ว อีกแค่ชั่วโมงเดียวแม่ของเขาก็จะมารับแล้วเพราะบูมต้องบินไปอเมริกาคืนนี้เลย ไม่ได้แล้วล่ะ เขาจะต้องคุยกับทิวให้ได้ ไม่งั้นเขาจะไม่มีโอกาสอีกเลย คิดได้แล้วบูมก็วิ่งตามหาทิวไปทั่วโรงเรียน

"เห็นทิวไหม มีใครเห็นทิวบ้าง ทิว นายอยู่ไหน" บูมเดินถามเขาไปทั่ว แต่ก็ไม่มีใครเห็นทิวเลย จนกระทั่งเขาบังเอิญเจอต้อง บูมก็รีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนทันที "ต้อง...มึงเห็นทิวไหม กูอยากคุยกับทิว แม่กูกำลังจะมารับ กูจะต้องไปแล้ว กูอยากคุยกับทิว มึงช่วยตามหาทิวให้กูหน่อยได้ไหม"

เสียงเร่งเร้าของบูมนั้นทำให้ต้องแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดเลย "ได้ๆ เดี๋ยวกูจะช่วยตามหาให้" ต้องบอกแล้วก็รีบออกช่วยวิ่งตามหาทิวอีกแรง ผ่านไปซักพัก คนที่เจอทิวเป็นคนแรกก็คือต้อง ทิวหลบเข้าไปร้องให้ในห้องน้ำของครูที่ใต้ตึกเรียนนั่นเอง พอต้องเห็นทิวเดินออกมาจากห้องน้ำก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที

"ทิว..ไปเร็ว บูมมันตามหามึงอยู่รู้ไหม แม่มันจะมารับกลับบ้านแล้ว มันจะบินไปอเมริกาคืนนี้เลย เร็ว เดี๋ยวไม่ทัน"

ได้ฟังอย่างนั้นแล้วทิวก็ไม่รอช้ารีบวิ่งตามต้องไปทันทีด้วยใจระทึก ทิวได้แต่ภาวนาว่าขอให้เขาได้คุยกับบูมสักครั้ง ได้เห็นหน้าบูมอีกสักครั้งเถอะ นายอย่าเพิ่งรีบไปนะบูม รอเราก่อน

"ปุ้ย เห็นไอ้บูมไหม" ต้องถามเมื่อบังเอิญเจอปุ้ยที่กำลังเดินเขียน Friendship อยู่

"แม่มันมารับแล้ว สงสัยออกไปแล้วมั้ง" ปุ้ยตอบ

ใจของทิวหล่นวูบไปอยู่ที่พื้น แต่เขาไม่มีเวลาที่จะถามหรือคร่ำครวญอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ เขารีบวิ่งสุดแรงเกิดไปที่ถนนหน้าอาคารเรียนทันที รถเก๋งยุโรปหรูหราคันนั้นทิวจำได้ดี มันกำลังแล่นออกไปและพาคนที่เขารักจากไปด้วย ทิววิ่งตามสุดชีวิตพลางตะโกนร้องเรียกเพื่อน

"บูม บูม บูม"

แต่ก็ไม่มีทีท่าว่ารถคันนั้นจะหยุดและจะมีใครสักคนหันมามองเขาเลย ทิวทรุดตัวลงนั่งร้องให้โฮกลางถนนเมื่อรถเก๋งคันนั้นได้วิ่งพ้นเขตโรงเรียนไปแล้ว

"บูม"

เขาเรียกชื่อเพื่อนและคนที่เขารักเป็นครั้งสุดท้ายและก็ไม่มีเสียงพูดใดๆ จากทิวอีกนอกจากเสียงที่เขาร้องให้ปานจะขาดใจ ต้องและเพื่อนๆ ที่วิ่งตามมาได้แต่ยืนมองด้วยความสงสารเพื่อนอย่างจับจิตจับใจ และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทิวก็ไม่เคยได้เจอหรือได้ข่าวคราวของบูมอีกเลย ราวกับว่าได้ตายจากกันไปแล้ว เหลือแค่ความทรงจำที่บางครั้งก็นึกถึงด้วยความเจ็บปวด แต่บางครั้งก็ยิ้มมีความสุขกับเรื่องราวดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปเหมือนสายน้ำที่จะไม่มีวันไหลย้อนกลับมาที่เดิมอีกเลย

----------------------------------------------------------------

ไปเจอเพลงนี้โดยบังเอิญ คิดว่าเข้ากับตอนนี้ของเรื่องมากๆ เลย เฮ้อ เศร้าจัง
http://www.youtube.com/watch?v=_44-OSushbM

ป.ล. ผมเปลี่ยนบทนิดหน่อยนะครับ ตอนแรกตั้งใจจะให้จิ๋วกับบูมเป็นแฟนกัน แต่มันดูโหดร้ายกับทิวมากไปหน่อย ก็เลยเปลี่ยนดีกว่า

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
FIAT
Guest

39. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #38
 
18-Mar-12, 11:29 PM (SE Asia Standard Time)
 
   นั่งอ่านน้ำตาซึมเลยครับ รอคอยตอนต่อไปครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(T-T!)
Guest

40. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #39
 
19-Mar-12, 08:43 AM (SE Asia Standard Time)
 
   นิยายของคุณทำให้คนที่หัวใจสลายจากความรักมา 5 ปี อย่างผม มีกำลังใจ
และได้เห็นว่าไม่ได้มีเราคนเดียวที่เจ็บปวดจากความรักที่ไม่ลงตัวแบบนี้
ผมควรจะเศร้าไปกับทิว แต่ทำไมผมกับไม่รู้สึกมากมายขนาดนั้นก็ไม่รู้
อาจเป็นเพราะผมผ่านช่วงที่ยากลำบากที่สุดมาแล้ว จึงเหมือนกับว่าผมกำลัง
เป็นกำลังใจให้ทิวผ่านมันให้ได้อย่างผม แล้วก็จะมายืนอยู่ตรงจุดที่หัวใจ
ด้านชาอย่างผมได้ ณ วันนี้

รอติดตามตอนต่อไปนะครับ
ขอบคุณมาก


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
เล็กคุง
Guest

41. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #38
 
20-Mar-12, 02:46 PM (SE Asia Standard Time)
 
   อยากให้เรื่องนี้มีตอนต่อไปอะ
อยากรู้ว่า...ถ้าหากบูมกลับมา
แล้วบังเอีนไปเจอทิวที่ไหนสักแห่ง
แล้วจะเกีดอะรัยขื้น...แล้วบูมมีคนไหม่ในใจหรืยัง
ชอบมากเลยอะเรื่องนี้

ขอตอนต่ไปดว้ยน้าาาาาา ไม่อยากให้มันจบแต่เพียงเท่านี้อะ
น้าาาาาา แอบคบกันไม่ให้พ่อแม่บูมรู้ไม่ด้ายหรอ T.T


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

42. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
20-Mar-12, 08:49 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   เรื่องนี้ยังไม่จบนะครับ บูมคงจะได้กลับมาเจอกับทิวอีกแน่นอนครับ แต่เมื่อไรนั้น ติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆ นะครับ

------------------------------------------------------------

ตอนที่ 15

เช้าวันนี้ก็คงเป็นเหมือนกับเช้าของทุกๆ วันที่ทิวจะต้องตื่นขึ้นมา อาบน้ำแล้วก็ไปมหาวิทยาลัยเหมือนเช่นเคย ชีวิตในรั้วมหาลัยของเขาผ่านไปได้สองปีแล้ว ทุกอย่างก็ดูราบรื่นดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะถามถึงความรู้สึกของทิวว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ก็คงไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ เวลาได้ช่วยเยียวยารักษาจิตใจของเขาจนกลับมาหายดีดังเดิมแล้ว พอได้มาเจอคนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ บวกกับการเรียนที่จริงจังมากขึ้น ความเจ็บปวดนั้นก็ค่อยๆ ทุเลาเจือจางไป แต่ถ้าถามว่าลืมไหม... ก็คงไม่...

หลายๆ ครั้งทิวก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าเพื่อนคนนั้นของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมจึงไม่เคยติดต่อมาหากันบ้างเลย รวมทั้งอีกหลายๆ คำถามที่เขายังคงเก็บไว้ แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่จะตอบคำถามเหล่านั้นได้จะกลับมาเมื่อไร บางที บูมก็อาจจะลืมเขาไปแล้ว ความรักในวัยเด็กคงจะถือเอาจริงเอาจังไม่ได้นัก เมื่อชีวิตได้ไปเจอสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า ไม่นานเราก็จะลืมชีวิตเดิมๆ คนในวัยอย่างพวกเขาลืมกันง่ายจะตายไป ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าบูมยังนึกถึงเขาอยู่ก็คงติดต่อกันมาบ้าง

แม้ว่าจะไม่ได้เจ็บปวดทรมานกับเรื่องที่ผ่านไปเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าเมื่อไรมีสิ่งที่มากระตุ้นให้นึกถึงความทรงจำเหล่านั้น ความรู้สึกคิดถึงและโหยหาก็ยังคงเกิดขึ้นกับทิวเสมอ อย่างเช่นในวันนี้ที่จู่ๆ ต้องกับปุ้ยก็โผล่มาหาเขาที่มหาวิทยาลัย สองคนนี้เรียนอยู่คนละมหาวิทยาลัยกับเขา แต่เนื่องจากวันนี้ทั้งสองคนมีเรียนตอนบ่ายก็เลยแวะมาหาทิวช่วงเที่ยงๆ ทิวจึงชวนมากินข้าวเที่ยงด้วยกันที่โรงอาหารของคณะที่เขาเรียนอยู่เสียเลยเพื่อจะได้คุยไปกินไป

"มึงได้ข่าวไอ้บูมมั่งปะวะ" คำถามแรกของต้องก็ทำให้ทิวถึงกับชะงักเลยทีเดียว นานเท่าไรแล้วที่ทิวไม่ได้ยินคนเรียกชื่อนี้ เขาเองก็ไม่เคยได้เอ่ยเรียกชื่อนี้มานานแล้วเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมันคือชื่อเรียกติดปากที่แทบไม่มีวันไหนที่เขาจะไม่เรียกชื่อนี้เลย

ทิวส่ายหน้า สีหน้าเขาดูสลดลงเล็กน้อย

"ขอโทษนะเว้ยที่ถาม แต่กูอยากรู้จริงๆ ว่าไอ้บูมมันเคยนึกถึงมึงหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อนะ เป็นเพื่อนรักกันขนาดนี้ มึงก็ช่วยเหลือดูแลมันตั้งเยอะ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะลืมมึงได้" ต้องพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิในตอนท้าย

"เขาถึงได้บอกไงว่าหนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ไอ้บูมมันก็คงแค่หลอกใช้มึงเป็นเครื่องมือเท่านั้นแหละ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอยู่โรงเรียนเก่ามันถึงไม่ค่อยมีเพื่อน" ปุ้ยว่าอีกคน

"เฮ้ยพวกมึง ใจคอพวกมึงจะไม่ถามอะไรเกี่ยวกับกูมั่งเลยหรือไงวะ มาถึงก็ถามถึงแต่เรื่องบูม" ทิวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เขารู้สึกไม่ค่อยดีนักที่เพื่อนสองคนคิดไม่ดีกับบูมแบบนั้น ถึงทิวจะเจ็บปวดแค่ไหนในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ทิวก็ไม่เคยคิดร้ายแบบนั้น ไม่เคยคิดโกรธเคืองเพื่อนที่เขารักเลยแม้แต่น้อย บูมคงมีเหตุผลของบูมเอง

ดูเหมือนต้องกับปุ้ยจะรู้สึกตัวว่ากำลังสร้างความไม่สบายใจให้กับเพื่อน "เออๆ ขอโทษเว้ย ก็มันโมโหนี่นา กูยังจำภาพที่มึงวิ่งตามรถของมันได้ติดตาเลย ไม่คิดว่ามันจะใจดำกับเพื่อนที่รักมันได้ถึงขนาดนี้" ถึงจะขอโทษอย่างนั้นแต่ต้องก็ยังอดไม่ได้ที่จะต่อว่าบูม แต่แล้วก็เหมือนต้องจะนึกอะไรได้ "เฮ้ย เดี๋ยวๆ มีอีกเรื่องนึงว่ะที่กูลืมบอกมึง ขอพูดเกี่ยวกับไอ้บูมอีกนิดเดียว กูเคยคุยกับมันตอนที่มันมีปัญหากับมึงตอนปลายๆ ม.6 กูถามมันว่ามันทำอย่างนี้กับมึงทำไม รู้ไหมมันตอบว่าไง... มันบอกว่าปล่อยมันไปเถอะ คนขี้ขลาดอย่างมันไม่เหมาะกับมึงหรอก ปล่อยให้มึงไปเจอคนอื่นที่ดีกว่าดีกว่า ประมาณนี้แหละ"

"มันหมายความว่าไงวะ" ปุ้ยทำสีหน้าสงสัย

ทิวนิ่งเงียบ นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ทำไมบูมถึงได้ตำหนิตัวเองว่าเป็นขี้ขลาดอย่างนั้น แต่เขาก็จนปัญญาจริงๆ ที่จะคิดหาเหตุผล "เฮ้ยพวกมึง กูขอร้องนะเว้ย ให้อภัยบูมเถอะ มันผ่านไปแล้วล่ะ ตอนนี้กูก็โอเค ไม่ได้เป็นไรแล้ว"

"แต่กว่ามึงจะโอเคได้ก็ใช้เวลาเป็นปีเลยนะเว้ย" ต้องรีบหาช่องต่อว่า

"มันผ่านไปแล้วต้อง กูก็ผ่านมาได้ อยู่รอดปลอดภัย กูไม่เคยโกรธเคืองอะไรบูมเลย กูคิดว่าบูมคงมีเหตุผลบางอย่าง ยิ่งได้ฟังที่มึงพูดเมื่อกี้ กูก็คิดว่าบูมคงมีเหตุผลที่บูมคงบอกกูไม่ได้จริงๆ" ทิวบอกพลางถอนหายใจเบาๆ แต่สีหน้าที่เศร้าลงก็ทำให้ต้องอดสงสัยไม่ได้

"ถามจริงๆ มึงคิดถึงมันหรือเปล่าวะ มึงอยากเจอมันหรือเปล่า"

ทิวพยักหน้าโดยที่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา "คิดถึงสิ"

"ทำไมไม่ถามข่าวมันจากพี่บีมล่ะ พี่บีมก็อยู่" ปุ้ยเสนอความคิดเห็น

"อย่าเลย" ทิวปฏิเสธเกือบจะทันที "อย่าไปรบกวนชีวิตบูมเลยดีกว่า ที่บูมจากไปแล้วไม่ติดต่อมาหากูเลยก็คงจะบอกอะไรได้หลายอย่างแล้วล่ะ" ทิวหยุดไว้แค่นั้น เพราะถ้าพูดต่อเขาก็คงอดพูดอย่างน้อยอกน้อยใจเสียไม่ได้ แต่ไหนๆ เพื่อนสองคนก็ดูจะสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ ทิวจึงกำชับอีกครั้งว่า "อย่าโกรธบูมเลยนะต้อง...ปุ้ย" ทิวหันไปมองหน้าทีละคน "มันจบไปแล้ว พูดถึงไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ยังไงเราก็ต้องดำเนินชีวิตของเราต่อไป ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้นแหละ บูมก็มีเหตุผลของบูม" ทิวย้ำประเด็นเหตุผลของแต่ละคนอีกครั้ง

สิ่งที่พูดไปเมื่อกี้นี้ก็เหมือนการพยายามปลอบใจตัวเองของทิวไปด้วย ช่วงที่เขาทุกข์หนักๆ ในช่วงแรกๆ นั้น เขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนี้ เขายังมีแม่ที่ต้องดูแล ยังต้องเรียนหนังสือเพื่ออนาคต ชีวิตมันยังอยู่ได้แม้ว่าจะเจ็บปวดสักแค่ไหน เวลามันจะช่วยเขาได้เอง และมันก็ช่วยได้จริงๆ แต่ความทรงจำยังเป็นสิ่งที่เวลาไม่สามารถเอาชนะมันไปได้ ทิวยอมรับว่าช่วงนั้นเขาเจ็บหนักจริงๆ เจ็บจนไม่สามารถปิดบังแม่ได้เลย ทิวเล่าให้แม่ฟังในสิ่งที่เขาพอจะเล่าได้ รวมทั้งเรื่องที่เขาเป็นเกย์ด้วย แม้แม่จะตกใจ แต่สุดท้ายแม่ก็รับได้

"เออๆ" ต้องรับปาก "แต่ถามอีกนิดเดียว ถ้ามึงบังเอิญเจอมันอีก มึงจะทำไงวะ"

"ไม่รู้" ทิวตอบไปตามความเป็นจริง เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าหากได้เจอบูมแล้วเขาจะรู้สึกยังไง เขาก็อาจจะดีใจ แต่กาลเวลาที่ผ่านไปอาจทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม บูมอาจไม่ใช่คนที่เขาเคยรู้จักก็ได้ ถ้าหากเป็นอย่างนั้น การเจอบูมอีกครั้งก็คงเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดา ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นเขาไม่สามารถบอกได้

-------------------------------------------------------------------------

พอเพื่อนกลับไปแล้วทิวก็กลับขึ้นมาที่ห้องเรียน นั่งเรียนไปได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มันเป็นเสียงโทรศัพท์ที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่ทิวเคยได้ยินมา เพราะมันได้นำข่าวร้ายที่เขาไม่อยากได้ยินมาให้

"คุณเป็นลูกชายของคุณทิษณาใช่ไหมคะ" เสียงในสายถามอย่างร้อนรนจนทำให้ทิวอดสงสัยไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

"ครับ มีอะไรเหรอครับ"

"คุณทิษณาหัวใจวายเฉียบพลัน ตอนนี้เสียชีวิตแล้วค่ะ"

"อะไรนะครับ คุณพูดว่าอะไรนะครับ" ทิวถามเสียงดังลั่นห้องเรียนโดยไม่สนใจว่าจะรบกวนใครหรือไม่

"คุณทิษณาหัวใจวายเสียชีวิตแล้วค่ะ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล xxx"

"แม่!!!!" ทิวร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและช็อคสุดขีด นี่ชะตาชีวิตเล่นตลกอะไรกับเขา แล้วต่อไปนี้เขาจะอยู่กับใคร

-----------------------------------------------------------------------------

งานศพของแม่ผ่านไปแล้ว แต่ชีวิตของทิวก็ไม่ต่างจากชีวิตที่ไร้วิญญาณอย่างที่เขาเรียกกันว่า "ตายทั้งเป็น" ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดในช่วงงานศพ และจะอยู่เป็นเพื่อนทิวจนกว่าทิวจะทำใจได้ แต่พอต้องเห็นสภาพเพื่อนที่เอาแต่ร้องให้และนอนซมแล้วเขาก็อดสงสารเพื่อนและเสียน้ำตาไปด้วยไม่ได้ จนบางครั้งเขาอดนึกตำหนิเพื่อนที่อยู่ไกลแสนไกลของทิวไม่ได้ว่า "มึงไปอยู่ไหนวะไอ้บูม ในเวลานี้มีแต่มึงเท่านั้นแหละที่จะช่วยไอ้ทิวได้ ทำไมมึงไม่มาหามัน" แต่ก็คงเท่านั้น เพราะบูมก็อยู่ไกลจนเกินกว่าจะรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีคนมาหา ต้องรีบรับอาสาลงไปดูให้ทันที

"มาหาใครครับ" ต้องถามเพราะแขกที่มาดูไม่คุ้นหน้าเลย เป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดูดีพอสมควร มาพร้อมกับชายฉกรรจ์อีกสองคนสวมแว่นดำ ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจยิ่งนัก ต้องจึงไม่กล้าเปิดประตูให้

"เธอใช่ไหมที่เป็นลูกชายคุณทิษณา" หญิงคนนั้นถามเสียงดุ

"เปล่าครับ ทิวอยู่ข้างบนครับ" ต้องรีบบอก

"งั้นไปตามเขาลงมา ฉันมีธุระสำคัญที่จะคุยกับเขา"

"คุณน้ามีธุระอะไรพอจะบอกได้ไหมครับ ผมจะได้บอกทิวให้"

"มีสิ ถ้าไม่มีฉันจะมาเหรอ ธุระสำคัญมาก เรื่องเงิน เร็วเข้า ฉันมีเวลาไม่มากนัก" หญิงคนนั้นทำน้ำเสียงอารมณ์เสีย ต้องลังเลอยู่สักพักแต่ก็ตัดสินใจขึ้นมาตามทิว สักพักทิวก็ลงมาด้วยสภาพอิดโรยเหมือนคนที่ผ่านการร้องให้อย่างหนักมาหลายวันแล้ว

ทิวยกมือไหว้หญิงแปลกหน้าคนนั้นแม้จะไม่รู้จัก หญิงคนนั้นรับไหว้แล้วก็ถาม "เธอเป็นลูกชายของคุณทิษณาใช่ไหม"

"ครับ" ทิวพูดเสียงเบาหวิว จริงๆ แม้แต่แรงกายที่จะทรงตัวเขาก็แทบจะไม่มีแล้วล่ะ

"ฉันมาที่นี่เพื่อจะมาบอกเธอว่าคุณทิษณา แม่ของเธอที่เสียชีวิตไปน่ะ เป็นหนี้ฉันอยู่อีกสามแสนบาท ฉันก็เลยมาที่นี่เพื่อจะมาเตือนเธอว่าเธอจะต้องจ่ายหนี้แทนแม่ของเธอให้ฉันทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท"

"อ้าวคุณน้า มั่วหรือเปล่า มีหลักฐานอะไรมาหาว่าแม่ของทิวติดเงินน้าเยอะแยะขนาดนั้นล่ะครับ" ต้องรีบแย้งเพราะดูท่าทางหญิงคนนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไร อาจจะเป็นพวกมิจฉาชีพที่มาแอบอ้างก็ได้

"หลักฐานเหรอ เปิดประตูสิ แล้วฉันจะให้ดู เงินที่คุณทิษณากู้มาก็เอามาเป็นค่าเทอมกับค่าเล่าเรียนให้เธอไงล่ะ เธอไม่รู้เรื่องเลยเหรอ จริงๆ ฉันก็สงสารเธอนะ เห็นยังเป็นนักศึกษาอยู่ แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ ฉันคงจะให้เงินเธอมาใช้ฟรีๆ ไม่ได้"

ทิวได้ฟังแล้วก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น ที่หญิงคนนั้นพูดมาก็คงจะมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย เพราะทิวก็สงสัยเหมือนกันว่าแม่หาเงินมาให้เขาเรียนในมหาวิทยาลัยแพงๆ แบบนี้ได้ยังไง เงินเดือนของแม่ในฐานะผู้จัดการสาขาบริษัทเครื่องสำอางขายตรงแห่งหนึ่งก็ไม่น่าจะเยอะพอที่จะพาเขามาเรียนในมหาวิทยาลัยแบบนี้ได้ เขาเคยบอกแม่ว่าจะไม่สอบเอนทรานซ์ที่นี่เพราะมันค่อนข้างแพง แต่แม่ก็ให้เขาสอบ พอสอบได้แม่ก็ให้เขาเข้ามาเรียนที่นี่ แต่ทิวก็เข้าใจแม่ว่าอยากจะให้เขาได้เรียนในที่ดีๆ ถึงจะไม่มีโอกาสได้ไปเรียนต่างประเทศเหมือนบูม แต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีชื่อเสียงไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งได้เห็นหลักฐานเอกสารต่างๆ ที่แม่ไปกู้เงินนอกระบบมาแล้ว ทิวก็เถียงไม่ออก เขาจำลายมือกับลายเซ็นต์ของแม่ได้เป็นอย่างดี

"น้า...ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย ผมไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นให้น้าทุกเดือนหรอกนะครับ น้าลดให้ผมหน่อยได้ไหมครับ" ทิวขอร้อง

"ฉันคงจะลดให้เธอไม่ได้หรอกนะ แต่เอางี้ก็แล้วกัน เธอขายรถคันนี้ของแม่เธอดูก่อนไหม แล้วเอาเงินที่ขายได้มาให้ฉันก่อน แต่เธออย่าเบี้ยวเป็นอันขาดนะ ไม่งั้นจะหาว่าฉันใจร้ายไม่ได้ ฉันให้เวลาเธอสามเดือน ขายรถคนนี้ซะ" หญิงวัยกลางคนขู่ พร้อมกับหันไปยิ้มกับชายฉกรรจ์ที่สวมแว่นตาดำสองคนที่ตามมาด้วยอย่างมีเลศนัย ก็คงไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทิวไม่สามารถหาเงินมาคืนให้

ทิวมองดูรถเก๋งของแม่ที่ก็ใช้มาหลายปีแล้วก็รู้สึกใจหาย เขาเห็นมันตั้งแต่เด็กๆ และแม่ก็รักมันมากด้วย ถ้าขายมันก็คงได้เงินไม่เท่าไรหรอก แต่ทิวก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรกันหนักหนา เขาไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้มาเจอความโชคร้ายไม่จบไม่สิ้นแบบนี้

--------------------------------------------------------------------------------

ในที่สุดทิวก็ต้องประกาศขายรถคันนั้นไป แต่ก็ใช้เวลาเกือบสามเดือนทีเดียวกว่าจะขายได้เงินประมาณหนึ่งแสนบาทและใช้คืนให้กับเจ้าหนี้ก้อนแรกไปก่อน แต่แทนที่เขาจะได้มีเวลาพักหายใจบ้าง เขาก็ถูกชายฉกรรจ์สองคนนั้นตามมาข่มขู่เพื่อให้เขาจ่ายเงินที่เหลือคืนเดือนละหนึ่งหมื่นบาทตามที่ได้ตกลงในสัญญาไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วบ้านของเขาก็จะถูกยึด จริงๆ ทิวก็อาจจะขายบ้านเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ได้ แต่เขาก็รักบ้านหลังนี้เพราะอยู่กับแม่มาตั้งแต่เด็กๆ เขาอยากให้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ

ตอนนี้ทิวแทบจะไม่มีเงินใช้แล้ว เขาจึงต้องหยุดพักการเรียนไว้ก่อน แต่ดูๆ แล้วโอกาสที่เขาจะต้องหยุดเรียนไปเลยก็มีสูงเหมือนกันเพราะเขาคงไม่สามารถหาเงินค่าเทอมที่แพงขนาดนั้นมาได้ ไหนยังจะต้องหาเงินมาใช้หนี้ที่เหลืออีก เขาพยายามไปสมัครงานหลายแห่งแต่ก็ไม่มีใครรับเพราะเขามีวุฒิเพียง ม.6 เท่านั้นเอง แต่ก็โชคดีที่เพื่อนที่ทิวรู้จักที่มหาวิทยาลัยฝากฝังให้ทิวได้ไปร้องเพลงในร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดี ทิวจึงพยายามไปสมัครร้านอื่นๆ ไว้ด้วย จนสามารถมีงานได้สัปดาห์ละ 4-5 ร้าน แต่เขาก็ต้องเดินทางจนเหนื่อยและกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ตีสองตีสามทุกวัน โชคดีหน่อยที่ตอนหลังๆ นั้นทิวหัดเล่นกีตาร์ด้วย จึงสามารถร้องและเล่นกีตาร์แบบอะคูสติกได้ จึงพอเล่นเดี่ยวในบางร้านได้ เงินที่หามาได้นั้นก็พอจ่ายค่าหนี้และมีเหลือพอใช้ในแต่ละเดือนไม่มากนัก เขาจึงต้องประหยัดมากทีเดียว

มีอยู่วันหนึ่ง มีกลุ่มวัยรุ่นชายหญิงกลุ่มหนึ่งมาเลี้ยงฉลองวันเกิดในร้านที่ทิวกำลังเล่นอยู่ เขาจึงถูกขอให้เล่นเพลงวันเกิดให้กับเจ้าของวันเกิดในกลุ่มนั้นด้วย แต่เมื่อทราบชื่อเจ้าของวันเกิดแล้วก็ทำให้ทิวสะเทือนใจไม่น้อยเพราะเจ้าของวันเกิดนั้นชื่อ "บูม" เหมือนกับเพื่อนรักของเขาที่จากกันไปนานแล้ว

"ครับ พอดีวันนี้เป็นวันเกิดของน้อง...บูมนะครับ ก็อยากจะขอให้ทุกท่านในที่นี้นะครับได้ช่วยกันร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับน้อง...บูมพร้อมๆ กันด้วยครับ" ทิวกล่าวเสร็จแล้วก็ร้องเป็นต้นเสียงนำคนอื่นๆ พร้อมกับเล่นกีตาร์ไปด้วย "Happy birthday to Boom, Happy birthday to Boom, Happy birthday, Happy birthday, Happy birthday to Boom"

สิ้นเสียงเพลงแล้วน้องที่ชื่อบูมก็เป่าเค้กวันเกิดของเขาพร้อมกับเสียงเฮๆ ของเพื่อนๆ และคนในร้าน แต่ถ้าใครสักคนได้ทันหันมองมาเห็น ก็คงจะได้เห็นนักร้องต้นเสียงคนนี้ปาดน้ำตาที่รินไหลมาโดยไม่รู้ตัว สามปีแล้วสินะที่ทิวไม่เคยได้เอ่ยเรียกชื่อนี้ออกมาเลย พอได้มีโอกาสเรียกอีกครั้ง ภาพในความทรงจำต่างๆ ก็หวนคืนกลับมาเหมือนหนังที่ถูกฉายย้อนกลับไปในอดีต ตั้งแต่วันแรกที่ได้มาเจอกัน จนกระทั่งวันที่ต้องห่างไกล เหลือเพียงแค่ความจริงบางอย่างที่เขายังไม่เคยได้บอกเลย เขารู้สึกคิดถึงเพื่อนที่จากไปจับจิตจับใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน ยิ่งในยามที่เขาไม่เหลือใครเช่นนี้แล้วเขาก็ยิ่งคิดถึง เขาคงจะมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่มากกว่านี้ถ้าเพียงแต่มีเพื่อนที่เขารักอยู่ข้างๆ ในวันนี้ ทิวตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ในสภาพที่แร้นแค้นและเดียวดายเช่นนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน แต่ละวันที่ผ่านไปนั้นเขาต้องใช้พลังกายและใจมหาศาลที่จะสร้างกำลังใจให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ไม่คิดสั้นไปเสียก่อน

พอบรรยากาศของวันเกิดของน้องๆ ผ่านไป ทิวจึงร้องเพลงๆ หนึ่งซึ่งเขาจำและร้องมันได้เป็นอย่างดีเป็นเพลงสุดท้าย คงจะไม่ใช่เพลงอื่นใดเลยนอกจากเพลงนี้

ฉันดีใจที่มีเธอ

"ในโลกที่มี ความวกวน
ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นรน
ที่สับสน ร้อนรนจนใจ นั้นแสนเหนื่อย
ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ
ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อยๆ
จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร

แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ

ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้

ในอุปสรรค ที่มากมาย
ในความหวาดหวั่น ที่วุ่นวาย
และอนาคต ในปัจจุบัน และอดีต
ในความเป็นจริงที่ต้องเจอ

แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ

ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
แต่ฉันรู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้

แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด แน่ใจ

ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะไม่เหลือใครๆ
แต่ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่กับฉัน"

เมื่อเพลงจบลงเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วร้าน เพราะเขาร้องมันออกจากใจ ร้องออกมาจากความทรงจำที่เขาเก็บไว้ลึกที่สุด ร้องออกมาจากความรู้สึกโหยหาและคิดถึง มันจึงเป็นเพลงที่เขาร้องได้ดีที่สุดในวันนี้จนคนทั้งร้านรู้สึกได้

จากนั้นทิวก็เดินออกไปทางด้านหลังร้าน แล้วก็อ้อมมาด้านหน้าเพื่อจะเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ในขณะที่เขากำลังเดินไปที่ถนนนั้น ก็มีเสียงใครบางคนที่เขาคุ้นหูเรียกดังมาจากข้างหลัง

"ทิว รอก่อนสิ"

ทิวหยุดและหันไปดูก็พบว่าเป็น....

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
คีธ
Guest

43. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #42
 
21-Mar-12, 06:36 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมากๆครับ ไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีงานเขียนคุุณภาพเช่นนี้ ผมจะขอติดตามผลงานของคุณตลอดไป


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
FIAT
Guest

44. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #43
 
21-Mar-12, 10:01 PM (SE Asia Standard Time)
 
   รอติมตามตอนต่อไป


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sun
Guest

45. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #43
 
21-Mar-12, 10:14 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ กับนิยายดีๆ ที่กินใจ รออ่านนะครับ อยากให้มานำเสนอเร็วๆ ไม่รู้ขอมากไปหรือเปล่าครับ เป็นกำลังใจให้ครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

46. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #45
 
21-Mar-12, 10:25 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ขอบคุณทุกๆ คนที่ยังเข้ามาตามอ่านครับ จริงๆ คนเขียนก็อยากเขียนครับ แต่ตอนนี้ไม่สบายเสียอย่างงั้น ก็เลยจะขอพักสักวันสองวันก่อนครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
FIAT
Guest

47. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #46
 
22-Mar-12, 00:56 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ อย่าหักโหมมาก แต่อย่าให้ต้องรอนานนักนะครับ อิอิ
ขอให้หายป่วยไวๆครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
คีธ
Guest

48. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #47
 
22-Mar-12, 02:29 AM (SE Asia Standard Time)
 
   หายเร็วๆนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
คีธ
Guest

49. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #47
 
22-Mar-12, 02:30 AM (SE Asia Standard Time)
 
   หายเร็วๆนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

50. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #49
 
22-Mar-12, 08:28 AM (SE Asia Standard Time)
 
   พักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำเยอะ ๆ นะครับ จะได้หายไว ๆ
เป็นกำลังใจให้ครับ ...


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

51. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #50
 
22-Mar-12, 12:21 PM (SE Asia Standard Time)
 
   รักษาสุขขภาพครับผม บีบคั้นจัง สงสารทิวมากครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

52. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
24-Mar-12, 10:00 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 16

"จะกลับบ้านแล้วเหรอ ให้ผมไปส่งไหม"

"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเชน รบกวนเปล่าๆ ดึกแล้วด้วยครับ" ทิวตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวล คุณเชนนั้นก็คือลูกชายเจ้าของร้านอาหารที่ทิวมาร้องเพลงนั่นเอง เขาชอบมายืนฟังทิวร้องเพลงบ่อยๆ บางทีก็ให้เงินค่าจ้างพิเศษกับเขาอยู่หลายครั้ง ทิวก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเขาทำแบบนั้น แต่ก็เดาเอาเองว่าเขาอาจจะชอบการร้องเพลงของทิวเป็นพิเศษก็ได้

"ไม่ต้องเกรงใจหรอก ทิวเองก็มาช่วยทำให้ร้านของเรามีสีสันขึ้นเยอะเลย ให้ผมบริการทิวบ้างเป็นการตอบแทน"

"อย่าเลยครับ คุณเชนอยู่ดูร้านดีกว่าครับ ผมกลับแท็กซี่เองได้ครับ ไม่ลำบากอะไร" ทิวยังคงปฏิเสธด้วยนิสัยขี้เกรงใจของเขา จริงๆ เขาก็ไม่อยากนั่งแท็กซี่มากนักเพราะค่อนข้างเปลืองค่าใช้จ่าย แต่พอกลับดึกๆ อย่างนี้แล้ว เขาก็รู้สึกเหนื่อยและอยากกลับถึงบ้านไปนอนไวๆ

"ไม่เป็นไร มีคนดูเยอะแยะไป ทิวไม่ต้องเกรงใจผมหรอก ให้ผมไปส่งเถอะ จะได้รู้จักกันบ้านกันไว้ เผื่อมีปัญหาอะไรต่อไปจะได้ช่วยกันได้" เชนก็ยังคงไม่ละความพยายามที่จะไปส่งให้ได้ สุดท้ายทิวก็เลยต้องยอมให้เชนมาส่งเพราะดูท่าจะปฏิเสธไม่ได้ง่ายๆ เสียแล้ว

"ก่อนเล่นได้กินข้าวหรือยัง พอดีผมมัวแต่ยุ่งๆ อยู่เลยลืมไปดูให้" เชนถามขณะที่ขับรถมาส่งทิว

"เรียบร้อยแล้วครับ"

"ดีละ อืม...ปกติทิวเล่นคืนละกี่ที่เนี่ย"

"ไม่เกินสองที่ครับ แต่อาทิตย์หนึ่งก็ได้ประมาณ 4-5 ที่ครับ"

"เหรอ...แล้วรายได้พออยู่ได้ไหม หรือว่ามีทำอย่างอื่นอีกหรือเปล่า"

"ก็พอได้อยู่ครับ แต่ว่าก็ยังไม่มีอะไรอย่างอื่นทำครับ ร้องเพลงอย่างเดียว" จะว่าไป ทิวก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมคุณเชนถึงได้ถามเขาเรื่องนี้

"เหรอ...เอางี้ละกัน ผมจะลองคุยกับพ่อผมให้ เผื่อทิวจะได้ค่าตัวเพิ่มอีกสักหน่อย จะได้ไม่ลำบากจนเกินไปด้วย ผมเห็นทิวกลับบ้านด้วยแท็กซี่บ่อยๆ ไม่เปลืองแย่เหรอ"

"ขอบคุณครับ จริงๆ...ถ้าไม่จำเป็นผมก็จะไม่ใช้แท็กซี่ครับ ยกเว้นว่ามันดึกมาก"

"อืม...เข้าใจละ เดี๋ยวผมจะดูให้ละกันนะว่าพอจะหาค่าแท็กซี่ให้ทิวได้บ้างไหม ทิวช่วยดึงคนเข้าร้านได้เยอะเลย พ่อไม่น่าจะว่าอะไร ว่าแต่ว่า...เพลงสุดท้ายที่ทิวร้องวันนี้...เพราะมากๆ เลย อินแบบนี้ ร้องให้ใครเป็นพิเศษหรือเปล่า" เชนถามพลางขำเล็กน้อยในตอนท้าย

ทิวอึกอักๆ ไปทันทีเพราะไม่คิดว่าคุณเชนจะถามไปในทางนั้น "ก็...พอดีมันเป็นเพลงที่ผมชอบเป็นพิเศษด้วยครับ" ทิวบอกไปแค่นั้นเพราะไม่คิดว่าจะต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้าฟังมากเกินไป จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่บูมจากไป เขาก็ไม่เคยร้องเพลงนี้เลย ไม่ได้ลืมแต่ไม่อยากร้องให้มันสะเทือนใจต่างหาก

"เหรอครับ ผมก็ชอบเพลงนี้เหมือนกัน แล้วก็มีอดีตอะไรบางอย่างกับเพลงนี้ ไม่ได้ฟังนานแล้ว พอได้มาฟังอีกที มันก็ยังเพราะเหมือนเดิม แต่ทิวร้องเพลงได้ดีจริงๆ นะครับ เคยไปเรียนร้องเพลงที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า"

"เคยเรียนร้องเพลงตอนอยู่ ม.3 ครับ แต่ก็เรียนอยู่แค่ปีเดียว แต่ว่าหลังจากนั้นก็เป็นนักร้องประจำของวงที่โรงเรียนครับ"

"อ๋อ...มิน่าล่ะถึงได้ร้องเพลงดีแบบนี้ เออ...ว่าแต่ว่าตอนนี้ทิวไม่เรียนหนังสือเหรอ ดูอายุยังน้อยอยู่เลยนะ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วล่ะครับ"

มันช่างเป็นคำถามที่เสียดแทงใจของทิวเสียจริงๆ เขาไม่ชอบที่จะตอบคำถามเรื่องนี้กับใครนักถ้าไม่จำเป็น มันมีอะไรหลายอย่างเหลือเกินที่เขาไม่อยากพูดและไม่อยากนึกถึง เพราะนึกถึงทีไรมันก็เจ็บปวดทุกที โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงแม่ เขาเข้าใจแม่ทุกอย่าง แต่ทิวก็รู้สึกเสียใจที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแม่ต้องเครียดมากขนาดไหน เครียดจนกระทั่งเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันและจากไปอย่างกะทันหัน ถ้าเขารู้เสียก่อน เขาก็จะไม่ให้แม่ต้องมาลำบากเพื่อเขาขนาดนี้เลย "อายุ 21 ครับ แต่...ผมไม่ได้เรียนหนังสือแล้วล่ะครับ พอดี...มีปัญหาทางการเงินนิดหน่อย" นั่นคือสิ่งที่ทิวพอจะบอกได้

เชนหันมามองอย่างสนใจ แววตาของทิวนั้นบ่งบอกว่าเขากำลังเผชิญกับความทุกข์บางอย่างอยู่ เขาสังเกตเห็นความเหงาและความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในแววตาของทิวเสมอ แต่การที่เขาจะรุกล้ำถามอะไรมากกว่านี้ก็อาจจะไม่เหมาะนักเพราะยังไม่ได้สนิทกันมาก

"ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะ" เชนยิ้มให้กำลังใจ

"ครับ" ทิวตอบรับ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพียงแต่ตอบไปตามมารยาทเท่านั้น

พอมาถึงบ้านแล้ว เชนก็ถามคำถามที่ทำให้ทิวต้องลำบากใจอีกว่า "ตอนนี้ทิวอยู่กับใครครับ" ถามพลางเงยหน้าขึ้นมองทาวน์เฮาส์สามชั้นที่ปิดไฟมืดสนิทเพราะไม่มีคนอยู่เลย

"อยู่คนเดียวครับ"

"จริงเหรอ ทาวน์เฮาส์ตั้งสามชั้น ทำไมอยู่แค่คนเดียวล่ะครับ" ถามอย่างแปลกใจ แน่ล่ะ ใครที่รู้ว่าทิวอยู่คนเดียวในทาวน์เฮาส์สามชั้นนี้ก็ต้องแปลกใจทั้งนั้น

"เมื่อก่อนก็อยู่กับแม่ครับ แต่พอดีแม่...เพิ่งเสียไปครับ" ทิวตอบเสียงแผ่วและเศร้าในตอนท้าย

"ผมเสียใจด้วยนะครับทิว ทิวคงเหงาแย่เลยนะครับที่อยู่คนเดียวแบบนี้" เชนพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเห็นใจ

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชินแล้ว" ถึงจะตอบไปอย่างนั้นและพยายามยิ้ม แต่สีหน้าและแววตาของเขาไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกับคำตอบเลย "พี่ส่งผมแค่นี้ก็ได้ครับ"

เชนพยักหน้าพลางยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกับจะเห็นใจเสียมากกว่า ทิวเปิดประตูรถออกไปแล้วก็กล่าวลา "ขอบคุณมากนะครับคุณเชนที่อุตส่าห์มาส่ง ขับรถกลับดีๆ นะครับ"

คุณเชนยิ้มให้อีกรอบแล้วก็ค่อยๆ ขับรถออกไป ส่วนทิวก็หันกลับมาจัดการกับชีวิตของตัวเองอย่างที่เคยเป็น กว่าจะผ่านได้อีกวันก็เล่นเอาดึกดื่นเลยทีเดียว ตอนนี้ทิวดูผอมลงไปพอสมควรเพราะเขาต้องคอยประหยัดค่าใช้จ่าย กินน้อยลง จะใช้เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ก็ต้องคิดแล้วคิดอีก แถมยังต้องทำงานหนักดึกดื่นๆ

--------------------------------------------------------------------

พอทำงานหนักๆ เข้าทิวก็เกิดอาการไม่สบายจนได้ เขาต้องโทรไปลางานตามร้านต่างๆ ที่เขาต้องไปเล่นดนตรีและร้องเพลง กับร้านอื่นๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่กับร้านของคุณเชน หลังจากที่ทิวแจ้งคุณพ่อของคุณเชนไปแล้ว สักพักคุณเชนก็โทรมาหาทิวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

"ทิวเป็นไรมากหรือเปล่า ไปหาหมอไหม เดี๋ยวผมพาไป"

แต่ทิวก็ยังคงปฏิเสธด้วยความเกรงใจเช่นเดิม "ไม่เป็นไรหรอกครับคุณทิว แค่เป็นไข้หวัดเองครับ กินยาแล้วนอนพักผ่อนสองสามวันก็หายครับ"

"อย่าดื้อสิทิว ไม่สบายก็ต้องไปหาหมอสิ เราต้องรู้จักดูแลร่างกายเราบ้าง ใช้งานมันหนักก็ต้องดูแลมันให้ดี ทิวรอผมอยู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวผมไปหา" พูดจบก็วางสายไปเลยราวกับจะไม่ให้ทิวได้มีโอกาสตอบโต้ใดๆ

ทิววางโทรศัพท์ลงอย่างงงๆ พอรู้จักกันมาได้สักพักทิวก็รู้สึกถึงความแปลกๆ ของคุณเชนอยู่เหมือนกัน ทิวพอรู้สึกได้ว่าเขาคอยไต่ถาม ห่วงใยและดูแลเขามากกว่านักร้องหรือนักดนตรีคนอื่นๆ หลังๆ นี้เขาก็มาส่งทิวที่บ้านหลังเล่นดนตรีเสร็จเป็นประจำ จนทำให้ทิวต้องเผลอเล่าชีวิตและเรื่องส่วนตัวไปพอสมควร แต่มันก็เป็นธรรมดา เมื่อเรารู้สึกสนิทกันและไว้ใจกันมากขึ้น คนที่เราเริ่มสนิทด้วยก็จะค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเราทีละน้อยๆ

เชนมาถึงแล้ว ทิวลงมาเปิดประตูให้ พอเข้ามาในบ้านแล้วสิ่งแรกที่เชนทำก็คือเอามือแตะหน้าผากทิวเพื่อวัดความร้อน

"ก็ตัวร้อนเหมือนกันนะ ไปหาหมอดีกว่านะทิว ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาล เดี๋ยวผมจัดการให้"

"อย่าดีกว่าครับคุณเชน คุณเชนช่วยผมหลายอย่างแล้วครับ ผมไม่อยากรบกวน โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ"

"ทิว...ให้ผมช่วยเถอะนะครับ มันไม่ทำให้ผมเดือดร้อนแม้แต่นิดเดียว ทิวจะได้เก็บเงินไว้ อีกไม่กี่วันก็ต้องจ่ายเขาแล้วไม่ใช่เหรอ" ตอนนี้เชนรู้เรื่องที่ทิวเป็นหนี้แล้ว

"แต่..."

"ทิว...บางครั้ง คนเราก็ต้องรู้จักที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างเวลาที่เราลำบาก พอเราหายลำบากแล้วเราก็ค่อยหาโอกาสตอบแทนคืนได้ ทิวอย่ามัวแต่เกรงใจแบบนี้สิ ผมเต็มใจช่วยทิวนะ ผมเห็นทิวลำบากแบบนี้ ผมพูดตรงๆ ว่าผมรู้สึกเห็นใจจริงๆ ผมอยากเป็นกำลังใจให้ อยากให้ทิวรู้ว่าถึงทิวจะไม่เหลือใครเลย แต่ทิวก็ยังมีผมอยู่"

เอาล่ะสิ สิ่งที่คุณเชนพูดมันชักจะใกล้เคียงกับสิ่งที่ทิวสงสัยเข้าไปทุกทีแล้ว จริงๆ ความสงสัยนั้นมันไม่ได้มาจากตัวทิวเพียงอย่างเดียว เป็นเพราะเพื่อนนักดนตรีที่มาร้องเพลงที่ร้านของเชนด้วยกันเป็นคนจุดชนวนด้วย หลังจากที่เชนมาส่งทิวที่บ้านได้สามสี่ครั้ง ทิวก็ถูกเพื่อนนักดนตรีคนนั้นถามว่า

"ทิวกลับบ้านกับคุณเชนบ่อยๆ นี่ไม่เสียวข้างหลังบ้างเหรอ อย่าบอกนะว่าทิวชอบแบบนี้"

"พี่โอ๊บพูดอะไรครับ ไม่เห็นเข้าใจเลย ทำไมต้องเสียวข้างหลัง" ทิวถามอย่างพาซื่อขณะที่นั่งซ้อมดนตรีอยู่หลังร้าน

โอ๊บหันซ้ายหันขวา พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ก็หันมากระซิบกระซาบว่า "ไม่รู้หรือไงว่าคุณเชนน่ะเขาเป็นเกย์ ก่อนที่ทิวจะมาทำงานที่นี่ เขาก็มีแฟนเป็นผู้ชาย พ่อเขาก็รู้ ทุกคนในนี้ก็รู้ทั้งนั้นแหละ แต่ว่า...รู้สึกจะเลิกคบกันไปแล้วมั้ง"

ตั้งแต่วันนั้น ทิวก็ยิ่งสงสัยว่าที่คุณเชนทำดีกับเสียมากมายนั้นอาจจะเป็นเพราะเขา....ชอบทิวก็ได้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไรหรอก มันสำคัญที่ว่าทิวรู้สึกยังไงต่างหากล่ะ ตอนนี้อาจจะไม่ได้ชอบถึงขั้นนั้น อาจจะรู้สึกดีที่มีคนคอยห่วงใยในยามที่เขาไม่มีใคร แต่นานไปล่ะ เขาอาจจะหวั่นไหวก็ได้ แล้วความรู้สึกเดิมๆ ที่เขาเก็บไว้ให้บูมล่ะ มันจะหายไปหรือเปล่า หรือว่าทิวควรจะปล่อยให้มันหายไปตามธรรมชาติ ถ้าคุณเชนเป็นคนดี รักเขาจริงๆ และถ้าต่อไปเขาก็รู้สึกอย่างนั้นกับคุณเชน ทิวก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือ

"ปะ ไปโรงพยาบาลกันเถอะ อย่ามัวแต่รีรอเดี๋ยวจะยิ่งไม่สบายไปกันใหญ่" เชนพูดขึ้นหลังจากที่เห็นทิวเงียบๆ ไปสักพัก

ทิวรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเกรงใจหรือปฏิเสธในตอนนี้จึงตกลงใจแต่โดยดี แต่ก่อนที่เชนจะพาทิวออกไป เขาก็เหลือบไปเห็นรูปภาพหนึ่งที่ทิวตั้งไว้ตรงที่เขานั่งเล่นคีย์บอร์ด เป็นรูปทิวกับผู้ชายคนหนึ่งที่เชนเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนของทิว จริงๆ เมื่อก่อนทิวเก็บรูปนี้ไว้บนหัวเตียง แต่ตอนหลังเขาก็เอามาวางไว้ใกล้ๆ กับคีย์บอร์ด เวลาที่เขานั่งเล่น เขาจะได้รู้สึกว่าบูมยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน แต่เชนก็ไม่ได้ถามอะไรแม้ว่าจะสงสัยในความสนิทสนมที่แสดงออกมาให้เห็นจากภาพอยู่ก็ตาม เอาไว้ค่อยถามทีหลังแล้วกัน

--------------------------------------------------------------------

คงจะเป็นเรื่องยากทีเดียวที่ทิวจะไม่รู้สึกหวั่นไหวเมื่อมีเชนเข้ามาคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใย ในยามที่ทิวรู้สึกเหงาและไม่มีใครเช่นนี้ เขาก็ไม่ต่างจากคนที่ลอยคออยู่ในทะเลอย่างอ้างว้าง หมดแรงเมื่อไรเขาก็คงจมลงไปในที่สุด เมื่อมีสิ่งที่เขาพอจะไขว่คว้ายึดเหนี่ยวไว้ได้ ทิวก็ต้องคว้าสิ่งนั้นเอาไว้ก่อนเพื่อความอยู่รอด

ความสัมพันธ์ของเขากับเชนก็เริ่มจะเตลิดไปไกลมากขึ้นเมื่อทิวก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะคบหากับเชน จนกระทั่งวันหนึ่งทิวก็ยอมที่จะไปค้างที่คอนโดของเชน ทิวก็พอรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็เตรียมใจมาระดับหนึ่งแล้ว ที่ผ่านมาคุณเชนก็ดีกับเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คอยช่วยเหลือเขาทุกอย่าง แต่เรื่องหนี้สิน ทิวก็ยังไม่อยากให้คุณเชนเข้ามาช่วยมากนัก บางทีเขาก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อความสัมพันธ์มันเปลี่ยนไปแล้วมันอาจจะมีปัญหายุ่งยากมากขึ้นก็ได้

"ทิวเป็นของผมนะ" เชนพูดขณะที่เขากับทิวอยู่บนเตียงด้วยกันแล้ว เชนค่อยๆ โน้มใบหน้าของเขาเข้าใกล้ใบหน้าของทิว ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ทาบทับขึ้นมา

แม้ว่าทิวจะเตรียมตัวเตรียมใจมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในตอนนั้นทิวก็รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจ กลัวและรู้สึกไม่สบายใจกับบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อถูกปลุกเร้ามากเข้า ความต้องการตามธรรมชาตินั้นก็เหมือนจะมีพลังอำนาจมากกว่าความรู้สึกใดๆ ทิวจึงปล่อยตัวปล่อยใจไปกับแรงปรารถนาของร่างกายที่เตลิดจนเกินกว่าสติสัมปชัญญะจะเรียกกลับคืนมาได้ เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ แต่ก่อนที่อะไรๆ จะเตลิดไปไกลกว่านั้น ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยเรียกสติสัมปชัญญะของทิวให้กลับคืนมา

เพี๊ยะ!!!!

เสียงแส้ฟาดลงมาที่หลังของทิว แม้จะยังไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้ทิวถึงกับสะดุ้งและร้องด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก็ทำให้ทิวตกใจกลัวและหวาดผวาทันที

"คุณเชนอย่าครับ ผมไม่ชอบแบบนี้" ทิวรีบร้องห้ามเมื่อเชนเงื้อมือพร้อมที่ลงแส้เขาอีกครั้ง ทิวไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่ท่าทางใจดีและมีน้ำใจอย่างเชนจะชอบความซาดิสม์แบบนี้ได้

"ทิว...ทิวเจ็บแค่นิดเดียว แรกๆ ก็อย่างนี้แหละ ทิวอดทนหน่อยละกันนะ แต่ไม่นานทิวจะรู้ว่ามันมีความสุขมากแค่ไหน ทิวจะต้องติดใจอย่างแน่นอน เชื่อผม"

แววตาและท่าทางของเชนเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทิวไม่เคยเห็นเชนในลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ไม่ว่าเชนจะพูดอย่างไร ทิวก็ไม่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เสียแล้ว

"ไม่ครับคุณเชน ผมไม่ชอบแบบนี้จริงๆ ครับ ผมขอร้องนะครับ อย่าทำผมเลย" ทิวเริ่มเสียงดังด้วยความกลัว สติสัมปชัญญะที่หายไปเมื่อสักครู่นี้กลับคืนมาหมดแล้ว

ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อสีหน้าของเชนค่อยๆ เปลี่ยนไปเหมือนเริ่มได้สติ เขาค่อยๆ วางแส้ลงและเงียบไป

ทิวรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่แล้วก็วิ่งออกไปจากคอนโดของเขาทันที นับว่าโชคดีที่เชนไม่ได้ตามเขามาและไม่ได้ขู่บังคับให้เขาต้องมีเซ็กซ์แบบนั้นไปด้วย ที่โชคดีไปกว่านั้นก็คือ ทิวได้สติกลับคืนมา เขาได้แต่โทษตัวเองที่หวั่นไหวและเผลอไผลง่ายดายแบบนั้น นายลืมไปแล้วหรือว่านายรักใคร นายอย่าเป็นแบบนี้อีกนะทิว นายต้องซื่อสัตย์กับหัวใจของตัวเอง ขอให้นายเก็บสิ่งนี้เอาไว้จนกว่าจะได้เจอกับบูมอีกครั้ง ได้บอกความรู้สึกทั้งหมดที่นายมีให้บูมฟัง ไม่ให้มีสิ่งใดติดค้างในใจอีก หลังจากนั้น ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีของมัน เราจะรอนายนะบูม ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ เราจะไม่ให้ใครได้หัวใจของเราไปก่อนนาย เพราะว่านายคือคนแรกที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตเหน็บหนาวของเรา นายคือคนแรกที่เรายอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ เพราะว่านายคือ.........................


"รักแรก" ในชีวิตของเรา

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

53. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #52
 
24-Mar-12, 01:46 PM (SE Asia Standard Time)
 
   สงสารทิวจังครับ นัยน์ตาเศร้ามาก จะต้องลำบากอีกนานไหมครับ?


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
ต้น
Guest

54. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #53
 
24-Mar-12, 10:39 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ผมรอจนกว่าจะเขียนจบก่อนครับถึงจะอ่าน และผมจะอ่านตอนสุดท้ายก่อนว่า เรื่องจบ แฮปปี้ หรือป่าว ถ้าจบเศร้า ผมก็ไม่อ่านครับ ดีแค่ไหนก็ไม่อ่าน ไม่ว่าใครแต่งก็ตาม เพราะว่า ชีวิตของเกย์ส่วนใหญ่ก็เศร้าอยู่แล้ว อ่านเรื่องเศร้า ๆ อีกตายแน่

สำหรับ คุณ sarawat เขียนเรื่องก่อนได้ดีมาก ต้น สน อะครับ ผมชอบและประทับใจมากๆ เป็นนิยายอีกเรื่องที่อยู่ในความทรงจำ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
beyonce
Guest

56. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #52
 
25-Mar-12, 01:24 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ดีใจจังได้อ่านผลงานของคุณ Sarawatta อีกแล้ว ตั้งแต่ "ต้นสน" ก้อรอ มาตลอด

ขอบคุณคับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

57. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
25-Mar-12, 11:27 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   เป็นอีกตอนที่คนเขียนยอมรับว่าอินมาก บ้าไปแล้ว เขียนไปร้องให้ไป
ถ้าถามว่าชีวิตของทิวจะหายลำบากเมื่อไร ก็จนกว่าจะได้เจอกับบูมนั่นแหละครับ
แต่ไม่บอกว่าเมื่อไร อิๆ
--------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 17

ทิวกลับมาถึงบ้านแล้วก็ยืนเคว้งอยู่กลางบ้าน เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อที่จะระลึกถึงภาพในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ในวันที่บูมยังอยู่ บูมเคยมากินนอน เคยมาเล่น เคยมาอ่านหนังสือด้วยกัน เคยร้องเพลงด้วยกัน เคยรดน้ำต้นไม้ด้วยกันและอีกหลายๆ ความทรงจำที่เขาไม่เคยลืม

"เราขอโทษ บูม...เราขอโทษ" ทิวพูดทั้งน้ำตา แม้จะไม่รู้ว่าต้องขอโทษไปทำไม เพราะบูมเองก็อาจจะมีใครต่อใครที่เขาเองก็ไม่มีทางที่จะรู้ ยิ่งไปอยู่ในประเทศที่เสรีเรื่องแบบนี้ด้วยแล้ว เขาก็ไม่อยากจะคิดเลย แต่ช่างมันเถอะ ทิวก็รู้สึกผิดจริงๆ และไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เขารู้สึกขยะแขยงตัวเองทีเผลอตัวเผลอใจไปขนาดนั้น ปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มากอดจูบลูบคลำ นี่ถ้าไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเสียก่อน มันก็คงไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว ทิวเพิ่งได้รู้ว่าเขาหวงแหนความทรงจำ หวงแหนความรู้สึกที่เคยมีให้บูมมากขนาดไหน ถ้ารักแล้ว ถึงมันจะเจ็บ ถึงมันจะไม่มีหวัง แต่มันก็รักไปแล้ว และถ้าความรักนั้นยังอยู่ ทิวก็ไม่ควรทรยศหัวใจตัวเองอย่างครั้งนี้

ทิววิ่งขึ้นไปบนห้อง แล้วก็อาบน้ำ เขาใช้มือถูปาก ถูแขน ถูขา ถูเนื้อตัวแรงๆ ราวกับว่าจะให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นที่ถูกคุณเชนสัมผัสหลุดออกไปจากร่างกาย ทิวได้บทเรียนแล้ว ต่อไปนี้เขาจะต้องมีสติมากขึ้น เขาจะไม่ให้ใครมารุกร้ำพื้นที่ส่วนตัวของเขามากขนาดนี้อีกแล้ว ใครจะหาว่าเขาโง่หรือบ้าก็ช่างเถอะ ก็ในเมื่อหัวใจมันหยุดความรักและความคิดถึงไม่ได้ ชีวิตมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ชีวิตก็ยากลำบากอยู่แล้ว จะโกหกหัวใจตัวเองให้ชีวิตมันลำบากกว่านี้อีกทำไม

-------------------------------------------------------------------------

สุดท้ายแล้ว ทิวก็ตัดสินใจเลิกไปร้องเพลงที่ร้านของเชน ดูคุณพ่อของเชนจะเสียดายเขามากทีเดียว แต่ทิวก็ยืนยันที่จะเลิกโดยให้เหตุผลว่าร้านอาหารนี้ไกลเกินไปสำหรับเขา ทำให้ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากในการมาร้องเพลงแต่ละครั้ง แต่เหตุผลจริงๆ นั้นทิวคงไม่สามารถบอกได้ ทิวไม่สามารถสู้หน้าคุณเชนได้เลย เห็นทีไรทิวก็รู้สึกหวาดผวาทุกครั้ง

แต่การเลิกร้องเพลงร้านนั้นก็เป็นเหตุให้ชีวิตของทิวต้องลำบากมากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงรายได้เขาก็จะลดลงไปด้วย เขาจึงจำเป็นต้องตระเวนหาร้านใหม่ๆ แต่ดูเหมือนคราวนี้โชคจะไม่ค่อยเข้าข้างเขาเสียแล้ว ตระเวนหาอยู่หลายวัน หมดเงินค่าเดินทางไปก็ไม่ใช่น้อย แต่ทิวก็ยังไม่ได้ที่ร้องเพลงเพิ่มขึ้นเลย

สิ้นเดือนถัดไปทิวจึงมีเงินเหลือหลังจากใช้หนี้ไปแล้วแค่สองพันกว่าบาท แน่นอนมันไม่พอใช้อยู่แล้ว เมื่อหาเองไม่ได้ ทิวจึงลองปรึกษาเพื่อนนักร้องที่เขารู้จักดู

"บอย บอยพอจะรู้จักร้านอาหารที่ไหนอีกไหมที่เขาต้องการนักร้องเพิ่ม" ทิวนั่งปรับทุกข์กับเพื่อนร่วมอาชีพคนหนึ่ง เขารู้จักบอยมาระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าพอไว้ใจได้และน่าจะช่วยเขาได้บ้าง

"ร้อนเงินเหรอ" บอยถามโดยไม่หันมามองหน้าแต่กดมือถือเหมือนกำลังแช็ทกับใครอยู่ จากกิริยาท่าทางของบอยนั้น ทิวก็พอดูรู้ว่าบอยน่าจะเป็นเกย์ แต่ตัวเขาเองนั้นคนอาจจะดูยากสักหน่อย

"ก็นิดหน่อย พอดีเรายกเลิกไปร้องเพลงอีกที่หนึ่งมา มันไกลมาก เดินทางไม่สะดวก ค่าใช้จ่ายก็เยอะ" ทิวรับไปตามตรง

บอยเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วก็ถามว่า "แล้วอยากได้แบบเยอะๆ เร็วๆ หรือแบบธรรมดาล่ะ"

"มันมีแบบที่ได้เยอะๆ เร็วๆ ด้วยเหรอ" ทิวถามอย่างสงสัย "ถ้ามีแบบได้เยอะๆ เร็วๆ ก็เอาแบบนี้ก็ได้ บอยรู้จักร้านนั้นใช่ไหม" ทิวถามด้วยความตื่นเต้น

"มีสิ ทำแค่ไม่กี่ครั้ง ขี้คร้านทิวจะได้เงินเป็นหมื่นๆ ไม่เหนื่อยอะไรมากด้วย ว่าแต่ทิวจะใจถึงหรือเปล่าเท่านั้นแหละ"

เริ่มฟังดูแปลกๆ อีกแล้ว แต่ด้วยความอยากได้เงินมาใช้จ่ายประทังชีวิต ทิวก็ยังสนใจอยู่ดีว่ามันมีร้านอาหารที่จะทำให้เขาได้เงินมากๆ แบบนั้นหรือเปล่า "ทำไมเหรอ เพลงมันยากหรือเปล่า ให้เราไปลองก่อนก็ได้"

"โอ๊ย มันไม่มีอะไรยากหรอก" บอยทำเสียงคล้ายรำคาญ จริตจะก้านเขาเริ่มออกชัดมากขึ้น "จริงๆ เพลงก็ไม่ต้องร้องด้วยซ้ำ ใช้แค่ทักษะประจำตัวบางอย่างเท่านั้นแหละ ทักษะแบบนี้ทิวก็มี ไม่ต้องไปฝึกอะไรเพิ่มด้วย"

ยิ่งฟังก็ยิ่งแปลก นี่มันงานอะไรของบอยหรือนี่ ทำไม่กี่ครั้งก็ได้เงินเป็นหมื่น แถมไม่ต้องร้องเพลงและไม่ต้องไปฝึกอะไรเพิ่มเติม "บอย บอกเราตรงๆ ได้ไหมว่ามันเป็นงานอะไรกันแน่ เราไม่เข้าใจ"

บอยเห็นท่าทางไร้เดียงสาของทิวแล้วก็หงุดหงิดเล็กน้อย เขาเขยิบเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็กระซิบกระซาบที่ข้างหูของทิว พอทิวได้ฟังแล้วก็ตกใจ

"อะไรนะ งานแบบนั้นเราทำไม่ได้หรอก"

"ก็ตามใจ แต่ถ้าอยากทำก็บอกแล้วกัน เดี๋ยวจะพาไปฝากให้" บอยตอบอย่างไม่แยแสมากนัก

-----------------------------------------------------------------------------

"ต้อง... สงสัยเดือนนี้กูคงต้องขอรบกวนมึงแล้วล่ะ" ทิวตัดสินใจโทรไปหาต้องที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้ คนอื่นๆ ทิวไม่กล้ารบกวนเลยจริงๆ ตั้งแต่ที่เขาต้องออกจากมหาวิทยาลัย บางทีเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะไปสู้หน้ากับเพื่อนๆ คนอื่นๆ

"มีอะไรหรือเปล่าทิว" ต้องถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

"เรื่องเงิน... ตอนนี้กูแย่จริงๆ ว่ะต้อง ถ้าพอช่วยได้ เดือนนี้กูคงต้องขอให้มึงช่วยกูหน่อยละกัน" ทิวบอกไปอย่างลำบากใจ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลยในตอนนี้ จะให้เขาไปทำงานอย่างที่บอยแนะนำ เขาก็รู้สึกละอายใจจนเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้

"เออๆ มึงรอกูอยู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวกูจะไปหามึงเดี๋ยวนี้แหละ"

จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่บูมจากไป ทิวก็มีต้องนี่แหละที่คอยอยู่เป็นเพื่อนและคอยช่วยเหลือในยามลำบาก ยิ่งตอนที่แม่เพิ่งเสียไปนั้น ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเขาหลายวันเลยทีเดียว แต่ทิวก็เป็นคนขี้เกรงใจมาก แม้ว่าต้องจะเต็มใจช่วยในหลายๆ เรื่อง แต่เขาก็ไม่อยากรบกวนเพื่อนจนเกินไป แต่ครั้งนี้มันจำเป็นจริงๆ

"ทิว...ทีหลังมีอะไรแบบนี้อีกให้รีบบอกกูนะเว้ย อย่ารอให้ปัญหามันเกิดเสียก่อน นี่มึงไม่ได้อดข้าวใช่ไหม" มาถึงปุ๊บต้องก็รีบต่อว่าเพื่อนทันทีเพราะรู้ว่าทิวเป็นคนขี้เกรงใจ

"ยังหรอก แต่ดูท่าทางเดือนนี้กูจะสาหัสหน่อยว่ะ พอดีกูไม่ได้ไปเล่นอีกร้านหนึ่ง มันไกล ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมันเยอะ ก็เลยเลิกไปเล่น แต่มันก็ทำให้รายได้ลดลงไปด้วย ลดไปเยอะเลยล่ะ"

ทิวกับต้องเดินมานั่งลงที่เก้าอี้นั่งเล่นหน้าบ้าน ทิวถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ต้องเห็นแล้วก็ได้แต่สงสาร หน้าตาของทิวดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากทีเดียว ทิวดูผอมลงและมีแววตาเศร้า ต้องไม่ได้เห็นทิวหัวเราะร่าเริงเลยในช่วงหลังๆ มานี้

"อยากให้กูช่วยแค่ไหนล่ะทิว"

"สักสามพันก็แล้วกัน กูก็ไม่อยากรบกวนมึงหรอกนะต้อง กูรู้ว่ามึงต้องเรียนหนังสือ ใช้เงินเยอะ แต่กูก็ไม่รู้จะไปหาใคร ไม่รู้ว่ากูมีเคราะห์กรรมอะไรนักหนาว่ะต้อง" ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาชีวิตทวีขึ้นมาอีกแล้ว ทิวพยายามเข้มแข็งมาตลอด แต่ข้างในใจจริงๆ นั้นมันก็อ่อนล้าและสิ้นหวัง บางครั้งมันก็มีพลังมากจนเกินกว่าจะกดทับปิดซ่อนไว้

"เฮ้ยอย่าคิดมากทิว เข้มแข็งหน่อยสิวะ" ต้องพยายามปลอบใจ

"กูไม่รู้ว่าจะเข้มแข็งไปได้อีกแค่ไหนว่ะต้อง กูเหนื่อยกับชีวิตเหลือเกิน... ไม่เหลือใครเลย" แล้วทิวก็ร้องให้จนได้

"ไอ้ทิว มึงอย่าอ่อนแอสิวะ กูก็ยังอยู่นะเว้ย ยังไงกูก็ไม่ทิ้งมึงหรอก ยังไงมึงก็เป็นเพื่อนกูนะทิว เข้มแข็งหน่อยสิทิว ชีวิตมันต้องมีความหวังบ้าง มึงเชื่อกูสิ" ต้องพยายามปลอบใจ เขาเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วก็โอบไหล่ทิวไว้ ปล่อยให้ทิวร้องให้เพื่อระบายความเครียดและอัดอั้นตันใจอย่างเต็มที่ ต้องคงจะต้องเลิกพูดถึงปัญหาหรืออะไรก็ตามที่เป็นการมองโลกในแง่ร้ายไปมากกว่านี้ เพราะการพูดเช่นนั้นนอกจากจะไม่ช่วยปลอบใจแล้วก็ยิ่งจะทำให้ทิวหมดความหวังและอ่อนแอมากยิ่งขึ้น

ต้องรอจนกระทั่งทิวค่อยๆ สงบจิตใจลงแล้วจึงค่อยถามว่า "ไปกินข้าวกันไหมทิว มึงกับกูไม่ได้กินข้าวด้วยกันมาหลายวันละ เออ... ว่าแต่มึงต้องไปร้องเพลงคืนนี้หรือเปล่า"

ทิวส่ายหน้า "วันนี้ไม่มี"

"เออดี ไปกินข้าวกันดีกว่านะ เดี๋ยวกูเลี้ยงมึงเองวันนี้ มึงอยากกินไรบอกมาได้เลย วันนี้กูเต็มที่" ต้องบอกพลางยิ้ม เขาจะไม่พูดเรื่องเศร้าหรือแสดงความสงสารเพื่อนให้เห็นเลย เพราะเขาจะต้องช่วยฉุดเพื่อนให้พ้นจากความทุกข์ ไม่ใช่ซ้ำเติมให้เพื่อนเศร้ายิ่งกว่าเดิม แม้กระทั่งเรื่องของบูมต้องก็ต้องเลิกพูดหรือแม้กระทั่งเลิกคิดไปเลย ทิวอยู่ในภาวะชีวิตที่วิกฤติอย่างมาก เปราะบางเกินกว่าจะให้กระทบกระเทือนใจอะไรอีก

ทิวก็พยายามยิ้ม แม้ว่ามันจะไม่ง่ายเลยสำหรับเขา แต่เห็นเพื่อนดีกับเขาขนาดนี้แล้ว ทิวก็พอมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกอ้างว้างจนเกินไป

"ขอบใจนะต้อง ขอบใจที่มึงไม่ทิ้งกูไปอีกคน"

"เออๆ กูไม่ทิ้งมึงหรอก มึงนั่นแหละ อย่าลืมนึกถึงกูละกันเวลามีปัญหาอะไร ไปกินข้าวกันเถอะ กูหิวแล้ว" ต้องรีบตัดบทเพื่อที่จะให้ทิวหยุดคิดถึงแต่เรื่องที่บั่นทอนจิตใจ ถ้าชีวิตมีปัญหาแล้วยิ่งไปคิดถึงหรือจมอยู่กับปัญหา มันก็จะยิ่งทำให้ชีวิตหดหู่และสิ้นหวังมากขึ้น สู้ไปหาอะไรทำดีกว่า จะได้ไม่ต้องคิดมากและเลิกฟุ้งซ่านเพราะอยู่กับตัวเองมากเกินไป

-----------------------------------------------------

สิ้นเดือนอีกแล้ว ทิวจ่ายค่าหนี้ไปหนึ่งหมื่นบาทไปตามปกติ แต่คราวนี้ก็มีเงินเหลืออยู่แค่สองพันบาท แน่นอนว่ามันคงไม่พอใช้ นี่เขาจะต้องยืมเพื่อนอีกหรือ เพิ่งยืมไปเมื่อไม่นาน ยังไม่ได้ทันได้ใช้คืนเลยก็จะยืมอีกแล้ว ทิวคงรบกวนต้องอีกไม่ได้ ต้องเรียนหนังสืออยู่ จะเอาเงินที่ไหนมาให้เขายืมนักหนา

พอเป็นแบบนี้แล้ว ทิวก็นึกถึงบอย ทิวเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ยามที่คนเรามันจนตรอกจริงๆ มันทำอะไรก็ได้ แม้จะเป็นสิ่งที่ทิวไม่อยากทำเลยก็ตาม แต่ทางออกของเขาก็แทบจะไม่เหลืออะไรที่เป็นไปได้มากกว่านี้แล้ว ทิวนั่งทำใจอยู่นานจึงตัดสินใจโทรหาบอย

"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวบอยจัดให้ มาหาเราที่ xxx ละกัน กี่โมงน่ะเหรอ สักทุ่มหนึ่งก็ได้ เออๆ เดี๋ยวจะรอนะ อย่าเบี้ยวล่ะ"

ทิววางสายแล้วก็ยังต้องนั่งทำใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจออกจากบ้านไปตามที่นัดหมายกับบอยไว้ พอไปถึงสถานที่นัดหมาย ทิวก็พบว่ามันเป็นบาร์เกย์นี่เอง บอยพาเขาไปรู้จักกับพี่คนหนึ่งชื่อเจ๊เหมียว เป็นกะเทยที่น่าจะแปลงเพศแล้วล่ะและน่าจะเป็นเจ้าของบาร์นี้ ดูเจ๊เหมียวจะพอใจกับรูปร่างหน้าตาของทิวมากทีเดียว พอคุยตกลงในรายละเอียดกันแล้ว เจ๊เหมียวก็ให้ทิวเริ่มทำงานในวันถัดไปเลย

ทิวก็ไม่รู้ว่าเขาคิดดีแล้วหรือเปล่า แต่มันก็จำเป็นจริงๆ เขาตั้งใจว่าจะทำแค่ไม่กี่ครั้ง พอได้เงินสำหรับใช้หนี้เดือนนี้แล้วเขาก็จะหยุด แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะง่ายอย่างที่คิดหรือเปล่า

การทำงานเป็นเด็กขายของทิวในวันแรกนั้นยังดูเงียบๆ อยู่ เพราะเขาเพิ่งมาใหม่และยังไม่มีชื่อเสียงในกลุ่มลูกค้าขาประจำ รอจนกระทั่งดึกพอสมควร ก็มีลูกค้าผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาดีทีเดียว อายุน่าจะราวๆ สามสิบกว่าๆ เนื่องจากเด็กขายที่ขึ้นชื่อนั้นถูกออฟไปจนหมดแล้ว ทิวจึงได้ไปกับแขกคนนี้ ทิวไม่รู้ว่าเขาโชคดีหรือเปล่าที่ได้แขกในการทำงานวันแรก แต่ในใจเขาไม่มีความรู้สึกมั่นใจกับสิ่งที่ทำและที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้เลย

แขกผู้ชายคนนั้นซึ่งเขาแนะนำตัวเองว่าชื่อธนาธรพาทิวมาที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งด้วยรถส่วนตัวของเขาเอง พอมาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร ธนาธรก็ตรงเข้ามาจัดการปลุกอารมณ์ทิวทันที

"รู้ไหมว่าเราน่ะ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ถูกใจพี่มากเลย เห็นเจ๊เหมียวบอกว่ายังไม่เคยใช่ไหม"

ทิวเห็นสายตาหื่นๆ แบบนั้นแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ ท่าทางคืนนี้เขาคงจะไม่รอดแน่ๆ เลย "ยังครับ" ทิวตอบด้วยน้ำเสียงประหม่า

"ดีล่ะ โชคดีของพี่จริงๆ ที่จะได้เปิดซิงเราเป็นคนแรก" ธนาธรพูดจบแล้วก็ผลักทิวล้มลงไปบนเตียงพร้อมกับตัวเขาที่ขึ้นมาทาบทับ

แต่ไม่ว่าธนาธรจะพยายามมากแค่ไหน ทิวก็ไม่มีอารมณ์ร่วมเลยจริงๆ นี่เขาเพิ่งบอกกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ว่าจะไม่ให้ใครเข้ามารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้อีก แต่ทำไมวันนี้ทิวถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ก็อาจจะใช่ที่มันไม่ใช่ความรัก มันเป็นเพียงการใช้ร่างกายแลกกับเงิน แต่มันก็ทำให้ทิวรู้สึกผิดบาปในใจอย่างมาก แต่ทิวก็ต้องการเงิน ไม่อย่างนั้นแล้วเขาก็คงจะถูกคุกคามชีวิตหรือไม่ก็โดนทำร้ายจากเจ้าหนี้คนนั้น แต่เขาอยากได้เงินถึงขนาดนี้เลยหรือ ความคิดของทิวตีกันไปมาในหัว จนในที่สุดทิวก็ทนไม่ไหวกับความสับสนนั้น

"พี่...หยุดก่อนเถอะครับ" ทิวตัดสินใจบอกไป

ธนาธรหยุดชะงักเล็กน้อย "มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าไม่ชอบแบบนี้ ชอบแบบรุนแรงเหรอ"

กลายเป็นเรื่องนั้นไปเสียนี่ "ไม่ใช่ครับ แต่ผม...ไม่อยากทำแบบนี้แล้ว พี่ปล่อยผมไปเถอะนะครับ"

"นี่น้อง พี่จ่ายเงินไปแล้วนะ คิดจะมาเบี้ยวกันง่ายๆ แบบนี้เหรอ ไม่มีทางเสียหรอก" ธนาธรเริ่มโมโห เขาลุกขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์

"ผมขอร้องนะพี่ อย่าทำผมเลย ผมไม่อยากทำแบบนี้แล้ว" ทิวยกมือไหว้ขอร้องพร้อมกับร้องไห้

ธนาธรดูจะตกใจมากทีเดียว ตั้งแต่ออฟเด็กมา เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย "ไม่ได้ พี่จ่ายเงินไปแล้วนะน้อง อย่างนี้มันเอาเปรียบกันนี่นา" ธนาธรเริ่มเสียงแข็ง

ทิวหยิบกางเกงที่หล่นอยู่ข้างๆ เตียงมา ควานหากระเป๋าสตางค์ พอเจอแล้วเขาก็หยิบเงินสองพันที่เขามีอยู่ติดตัวส่งให้ธนาธร "ผมมีอยู่แค่นี้พี่ ไม่รู้ว่าพอหรือเปล่า แต่พี่ปล่อยผมไปเถอะนะครับ นึกว่าสงสารผมเถอะ ผมไม่อยากทำแบบนี้แล้ว" ทิวพูดพลางเริ่มสะอื้น

ธนาธรรับเงินไปอย่างอารมณ์เสียนิดๆ อาจจะได้คืนไม่เท่ากับที่จ่ายไป แต่พอเห็นทิวร้องให้แบบนี้เขาก็คงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้วล่ะ "เออ ไม่ทำอะไรก็ได้ แล้วนี่มีค่ารถกลับบ้านหรือเปล่า"

ทิวพยักหน้า จริงๆ ก็ยังมีเงินติดในกระเป๋าอีกประมาณสองร้อย คงพอกลับบ้านได้อยู่

"เอ้า จะไปก็ไปสิ พี่ไม่ทำอะไรแล้ว ซวยจริงๆ เลย อุตส่าห์เก็บกดมาตั้งหลายวันนึกว่าจะได้มีความสุขซะหน่อย"

ทิวรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วก็เดินออกไปอย่างร้อนรน เขานั่งมอเตอร์ไซค์ออกไปสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน จากนั้นก็มาลงที่สถานีลาดพร้าวแล้วก็ขึ้นรถเมล์ไปต่ออีกนิด จบท้ายด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาในซอยบ้านที่เขาอยู่

พอเข้ามาในบ้านแล้วเห็นรูปของแม่ที่ติดไว้ข้างฝาบ้าน เห็นรูปของบูมที่อยู่ตรงมุมคีย์บอร์ด ทิวก็ทรุดตัวลงนั่งร้องให้ เขารู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต และไม่รู้ว่าจะดิ้นรนไปเพื่ออะไร เขาไม่มีใครเลยสักคน ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อใครหรือเพื่ออะไร เขาไม่เคยคิดถึงความตายเลยจนกระทั่งวันนี้ เมื่อก่อนเขาคิดว่าคนที่ฆ่าตัวตายนั้นเป็นคนโง่และขี้ขลาด แต่วันนี้ ทิวรู้สึกว่าเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคนเหล่านั้นจึงได้คิดสั้น

"แม่...ยกโทษให้ทิวด้วยนะครับที่ทิวไม่เชื่อสิ่งที่แม่สอน ทิวไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย แต่ทิวไม่ไหวแล้ว ทิวไม่ไหวแล้วครับแม่ ให้ทิวไปอยู่กับแม่นะครับ" ทิวร้องให้สะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ วันนี้เขาอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว แต่มันก็คงจะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตที่เขาจะอ่อนแอแบบนี้ อีกไม่นานเขาก็คงจะหมดทุกข์โศกและไม่ต้องรับรู้อะไรที่เจ็บปวดอีกต่อไป

ทิวค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นเดินแล้วก็ขึ้นไปบนห้อง เขาหยิบน้ำยาล้างห้องน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ นั่งลงแล้วก็เขียนจดหมายร่ำลาอะไรบางอย่าง เขาเขียนจดหมายถึงบูมนั่นเอง เป็นความในใจของทิวที่เขาอยากจะให้เพื่อนได้รับรู้ เขาอาจจะไม่ได้มีชีวิตเพื่อที่จะอยู่บอกสิ่งนี้ด้วยตัวเขาเอง แต่ในเวลานี้ ขอแค่ให้บูมได้รับรู้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ทิวก็พอใจแล้ว ทิวเขียนไปก็ร้องไห้ไป เขียนเสร็จแล้วก็เอาจดหมายใส่ซอง จากนั้นก็เขียนข้อความไว้ที่หน้าซองว่า

"ใครก็ตามที่พบจดหมายฉบับนี้ ขอให้ช่วยนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้นายกรกฤต เทพสถิตย์พิทักษา ที่บ้านเลขที่..."

เขียนเสร็จแล้วทิวก็ฟุบหน้าลงร้องให้หนักขึ้นอีกครั้ง เมื่อนึกไปว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเพื่อนอีกครั้ง ไม่ได้บอกสิ่งนั้นด้วยตัวเองแล้วก็รู้สึกใจหาย "ขอโทษนะบูมที่เราคงไม่ได้บอกนายด้วยตัวเอง แต่เราไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้กลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้งนะบูม"

ทิวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาตัดสินใจแล้วที่จะไปจากโลกนี้ โลกที่เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว ชีวิตอยู่ไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่ความทุกข์ทรมานใจ มีแต่ปัญหา มีแต่เคราะห์กรรมที่ไม่จบไม่สิ้น ไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่มากพอแล้วในตอนนี้ที่จะทำให้ทิวเปลี่ยนใจ ทิวหยิบขวดน้ำยาล้างห้องน้ำมา เปิดฝา แล้วก็เทมันลงไปในแก้วจนเกือบเต็ม

ทิวยกแก้วมฤตยูนั้นขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้กลืนกินมันลงไปเลยทันที เขายังต้องทำใจอยู่สักพัก จังหวะที่เขากำลังจะตัดสินใจยกขึ้นดื่มนั้น เสียงโทรศัพท์บ้านที่ชั้นล่างก็แว่วมาให้ได้ยิน มันคงดังอยู่พักหนึ่งแล้วล่ะ ทิวตัดสินใจวางแก้วนั้นลงแล้วก็ค่อยๆ เดินลงมารับโทรศัพท์ที่ชั้นล่าง มันเงียบเสียงไปแล้ว แต่สักพักมันก็ดังขึ้นอีก ใครกันหนอที่โทรมาหาเขาตอนนี้ ปกติทิวไม่ได้ให้เบอร์บ้านใครเลย ให้แต่เบอร์โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นคนละเบอร์กับสมัยที่ทิวใช้ตอนเรียนมัธยม เบอร์นั้นเขาไม่ได้ใช้แล้วเพราะเปลี่ยนมาใช้โปรโมชั่นของอีกค่ายที่ถูกกว่า

ทิวยกโทรศัพท์ขึ้นแล้วก็พูดไปว่า "สวัสดีครับ ทิวพูดครับ"

ถ้าหากทิวมีตาวิเศษที่สามารถเห็นสิ่งที่อยู่ไกลคนละซีกโลกได้ เขาก็คงได้เห็นแล้วล่ะว่าคนที่โทรมานั้น ทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา น้ำตาเขาก็ไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่อาจจะเป็นสายสัมพันธ์บางอย่างที่ยังคงส่งถึงกันอยู่จนทำให้รับรู้ถึงความไม่ปกติหรืออันตรายบางอย่าง มันทำให้เขารู้สึกระวนกระวายจนต้องตัดสินใจโทรมาหา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง

"..................."

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ "ฮัลโหลๆ ใครโทรมาครับ จะพูดสายกับใครครับ" ทิวถามอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบใดๆ แถมคนที่โทรมานั้นก็ยังไม่ยอมวางสาย แต่ทิวก็ได้ยินเสียงพื้นหลังเป็นเสียงคนคุยกันไกลออกไป อะไรบางอย่างทำให้ทิวคิดไปว่า.....................

"บูม!!! ใช่บูมหรือเปล่า ใช่นายหรือเปล่าบูม บูม ใช่นายหรือเปล่า นายยังคิดถึงเราอยู่ใช่ไหมบูม ใช่นายหรือเปล่า" ทิวตะโกนถามซ้ำไปซ้ำมา แต่ก็ไม่เสียงตอบรับอีกเช่นเคย แล้วสายนั้นก็หลุดไป

ทิวทรุดตัวลงนั่งร้องให้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นบูมโทรมาแน่ๆ เพื่อนคนอื่นๆ ที่มีเบอร์มือถือของเขาคงไม่โทรเข้าเบอร์บ้านและคงไม่เงียบแบบนี้

เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ก็ช่วยทำให้ทิวเปลี่ยนใจ ไม่ว่าชีวิตมันจะยากลำบากสักแค่ไหน เขาก็ยินดีที่จะเผชิญกับมันเพื่อที่จะได้เจอกับคนที่เขารักอีกสักครั้ง ไม่ว่าในโลกนี้จะมีกี่ร้อยกี่พันคนมาช่วยปลอบใจเขา แต่ก็อาจจะไม่ช่วยให้ทิวมีกำลังใจได้มากนัก แต่เมื่อสักครู่นี้ ทิวก็พบว่า แค่เขาได้รู้ว่าบูมยังนึกถึงเขาอยู่ ทิวก็มีกำลังใจขึ้นอีกมหาศาลและมากพอที่จะทำให้เขาอยู่ต่อไปได้ เมื่อมีความรักอยู่เขาก็ยังคงพอมีความหวัง ไม่ว่ามันจะนานสักแค่ไหนเขาก็จะรอ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
LUMNAM
Guest

58. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #57
 
25-Mar-12, 04:13 PM (SE Asia Standard Time)
 
   เศร้าเน๊าะ ชอบอ่านมาก ตราบใดที่มีความหวังชีวิตก็จมีพลังเสมอ จะคอยอ่านต่อครับ ขอบคุณมากที่มอบความบันเทิงชั้นดีมาให้ตนับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sun
Guest

59. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #58
 
25-Mar-12, 10:18 PM (SE Asia Standard Time)
 
   สงสารทิวจัง คนเราเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่ทำให้คิืดสั้น แสดงว่าช่วงเวลานั้นเค้าคิดว่าเค้าไม่เหลือใครเลย แต่จริงๆ แล้วเค้าก็ยังมีคนที่ห่วงใยอยู่ไม่ว่าเพื่อนหรือคนที่เรารัก สู้นะครับชิวิตก็เป็นแบบนี้ บางครั้งก็ราบเรียบ บางครั้งก็มีอุปสรรคบ้าง อยู่ที่เราจะผจญกับมันอย่างไรเท่านั้น...รออ่านต่อนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

60. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
25-Mar-12, 11:22 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   อีกไม่นานนี้ ทิวกับบูมก็จะได้เจอกันแล้วนะครับ อดใจรออีกนิด

-----------------------------------------------

ตอนที่ 18

"พี่บีม บูมนะครับ"

"อ้าวบูม มีอะไรโทรมาดึกดื่นป่านนี้" บีมถามพลางหาวไปด้วย เขาเหลือบมองดูนาฬิกาที่หัวเตียงก็เห็นว่าเกือบตีสามแล้ว แต่เวลาที่อเมริกาคงยังประมาณเที่ยงๆ อยู่

"พี่บีม บูมมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อยครับ" บูมบอกด้วยน้ำเสียงร้อนใจจนบีมรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

"ว่ามาเลยบูม จะให้พี่ช่วยอะไร"

"พี่บีมได้เจอทิวบ้างไหมครับ บูมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีมาหลายวันแล้ว มันสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ครับ"

บีมเงียบและอึ้งไปสักพักที่อยู่ดีๆ บูมก็ถามถึงเพื่อนที่บูมเองก็ไม่เคยคิดจะไปหาหรือติดต่อใดๆ บีมเคยถามบูมอยู่สองสามครั้งเรื่องนี้ก็ได้ความว่า "บูมไม่กล้าไปสู้หน้าเพื่อน" และนั่นก็เป็นเหตุผลที่บูมได้หายไปจากชีวิตของทิว "ไม่เลย ไม่ได้ติดต่อเลย พี่นึกว่าบูมลืมทิวไปแล้วเสียอีก"

คราวนี้บูมเป็นฝ่ายสะอึกไปบ้าง ใครๆ ก็คงคิดอย่างนั้น การที่เขาไม่ติดต่อไม่ไปหาทิวเลยนั้นก็เท่ากับเป็นการบอกกลายๆ ว่าเขากับทิวได้ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้ว จนผ่านมาเกือบสี่ปี จนเขาจะเรียนจบอยู่แล้ว ทำไมเพิ่งมานึกถึงเพื่อนตอนนี้ แต่ในความเป็นจริงนั้น บูมก็ไม่เคยลืมทิวเลย ถึงจะไม่ได้ติดต่อ ไม่ได้ไปหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจำไม่ได้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง

"พี่ขอโทษ..." บีมรีบบอกเมื่อเห็นน้องชายเงียบไป

"ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับพี่ คนขี้ขลาดอย่างผม...ไม่สมควรที่จะกลับไปให้ทิวเห็นหน้าอีก แต่ผมไม่เคยลืมนะพี่ ผมไม่เคยลืมทิวเลย" น้ำเสียงของบูมฟังดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

"คิดอะไรอย่างนั้นล่ะบูม ถ้าบูมทำไม่ถูกต้อง บูมก็แค่กลับไปขอโทษเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่ว่าทิวเขาจะให้อภัยบูมหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่บูมจะหลบลี้หนีหน้าเพื่อนแบบนี้ พี่ถามจริงๆ นะ... บูมคิดอะไรกับทิวหรือเปล่า"

"ผม..." เสียงบูมเงียบและขาดช่วงไปเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาจะตอบยังไงดี เมื่อตอนสมัยเรียนนั้น เขายอมรับว่าเขารักทิว แต่เมื่อสี่ปีได้ผ่านไปแล้ว บูมได้พบเจอสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ และแม้กระทั่ง... มันก็เลยดูจะตอบได้ยากว่าเขายังรู้สึกกับทิวแบบนั้นอยู่ไหม วันเวลาและความห่างไกลทำให้เขาไม่แน่ใจในเรื่องนี้ แต่ที่เขายังแน่ใจก็คือ... เขาไม่เคยลืมทิวเลยและยังรู้สึกผิดอยู่เสมอเวลาที่นึกถึง

"ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่... ผมยังจำทิวได้เสมอนะพี่ ยังจำได้ว่าทิวคือเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา ถ้าพี่เจอทิว ฝากบอกทิวด้วยครับว่าผมไม่เคยลืมเขาเลย ผมคิดถึงทิวเสมอ"

ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างระหว่างทิวกับบูมที่บีมยังไม่เข้าใจ บีมยังปะติดปะต่ออะไรไม่ได้มากนัก เขาเคยถามน้องชายหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่กระจ่างชัดมาก แต่บีมรู้สึกว่าบูมคงยังไม่พร้อมที่จะพูดความจริงทั้งหมด "อืม... เอาอย่างนี้ละกัน บูมจะให้พี่ช่วยยังไง เกี่ยวกับทิวหรือเปล่า" บีมกลับเข้ามาสู่ประเด็น

"ครับ พี่ช่วยไปหาทิวหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากรู้ว่าทิวยังสบายดีอยู่หรือเปล่า ทิวเรียนที่ไหน แม่ของทิวเป็นไงบ้าง หรืออะไรก็ได้ครับที่เกี่ยวกับทิว"

"ทำไมบูมไม่โทรไปหาทิวเองล่ะ" บีมอดสงสัยไม่ได้

"คือ..." บูมอึกอัก "ผมไม่กล้าจริงๆ ครับพี่" บูมสารภาพ เขารู้สึกละอายใจจนไม่กล้าแม้แต่จะให้ทิวได้ยินเสียงเขา เขารู้ว่าทิวคงเจ็บมากตอนที่เขาจากมา แต่คนขี้ขลาดอย่างเขากลับไม่ได้ช่วยอะไรเพื่อนเลย แม้กระทั่งเมื่อกี้นี้ที่เขาโทรไปหาทิว เขายังไม่กล้าคุยกับทิวแม้สักคำเดียว

"ได้ แต่บูมอย่าลืมนะ อีกไม่นานนี้บูมก็จะกลับมาแล้ว คราวนี้ บูมต้องไปหาทิวนะ ไม่ต้องกลัวแม่ บูมโตขนาดนี้แล้วแม่คงไม่มาอะไรมากแล้วล่ะ สัญญากับพี่ได้ไหม"

บูมชั่งใจอยู่สักพักก็ตอบตกลง "ครับ"

"พี่เสียดายแทนเรานะบูม เพื่อนดีๆ อย่างทิวหาไม่ได้ง่ายๆ นะ ตั้งแต่ที่บูมรู้จักกับทิว บูมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเยอะเลยรู้ไหม เพื่อนที่ช่วยทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้โดยไม่หวังผลตอบแทนมีไม่กี่คนหรอกนะบูม พี่ก็ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมอะไรบูมนะ แต่พี่แค่อยากให้ข้อคิด ต่อไปบูมทำอะไรจะได้ระวังมากขึ้น พี่จะไปหาทิวให้ละกัน แล้วพี่จะโทรหาอีกที"

"ครับพี่ ผมเข้าใจครับ ขอบคุณพี่มากครับ"

น้องชายเขาวางสายไปแล้ว บีมนั่งนิ่งสักพักเหมือนคิดอะไรบางอย่างแล้วก็ถอนหายใจ "บูมเอ๊ย ไม่น่าทำแบบนี้เลย" บีมคิดอย่างนี้จริงๆ เขาไม่เห็นด้วยเลยกับเหตุผลที่บูมบอกว่าไม่กล้าไปสู้หน้าเพื่อน แต่นั่นก็เป็นชีวิตของบูม เขาไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่ายมาก พอนานๆ ไปเข้าเขาก็เลยลืมเรื่องนี้ไปด้วย พอนึกได้อีกครั้งก็รู้สึกเป็นห่วงทิวอยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง

---------------------------------------------------------------------------

ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ทิวก็ยังจำรถคันนี้ได้เสมอ เมื่อมันแล่นมาจอดที่หน้าบ้านในขณะที่ทิวกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าบ้านพอดี ทิวจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูด้วยความดีใจทันที

"พี่บีม" ทิวร้องเรียกพลางวิ่งเข้าไปหา

บีมลงมาจากรถแล้วก็ยิ้มอย่างดีใจ "โห...ทิว โตขึ้นเยอะเลยนะ หล่อขึ้นเป็นกองเลย อืม... แต่ดูเหมือนจะผอมๆ ไปหรือเปล่า"

"บูมเป็นไงบ้างครับพี่" ทิวไม่ได้สนใจคำถามของบีมเลย สิ่งแรกและสิ่งเดียวที่ทิวอยากรู้ก็คือเรื่องของบูมเท่านั้น

บีมหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ตอบไปว่า "บูมสบายดี เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า"

ทิวรีบทำตามอย่างว่าง่าย เขาพาพี่บีมเข้าไปในบ้าน หาน้ำมาให้แล้วก็รีบมานั่งคุยด้วยทันที บีมสังเกตดูก็เห็นว่าทิวดูผอมไปจริงๆ ด้วยเมื่อเทียบกับรูปร่างและอายุ แต่ที่น่าผิดสังเกตก็คือแววตาที่ดูเศร้าของทิว ตั้งแต่ที่รู้จักกันครั้งนั้นบีมก็ไม่เคยเห็นทิวมีแววตาแบบนี้เลย

"อีกไม่นานบูมก็จะกลับมาแล้วนะทิว ทิวอยากอยากเจอบูมหรือเปล่า" บีมถามขึ้นหลังจากที่รับน้ำมาดื่มแล้ว

"ครับ" ทิวต้องสะกดจิตสะกดใจอย่างมากทีเดียวที่จะไม่ร้องไห้ออกมา เขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาเมื่อคืนนี้ คิดว่าจะไม่ได้มีชีวิตอยู่เสียแล้ว ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์นั้นเขาก็คงตายไปแล้วล่ะ ที่ทิวคาดเดาว่าบูมน่าจะโทรมาหาเขาก็น่ามีเหตุผลอยู่บ้าง เพราะอยู่ดีๆ วันนี้พี่บีมก็มาหา ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยมาหาเขานานแล้ว บูมขอให้พี่ชายมาหาเขาหรือเปล่า

"วันนี้ไม่ได้ไปเรียนเหรอ"

ทิวชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า "ไม่ครับ"

"เหรอ แล้วแม่ล่ะ แม่สบายดีหรือเปล่า" บีมถามพลางยิ้ม

ทิวเงียบไปสักพัก เหมือนกับไม่แน่ใจว่าเขาควรจะบอกอะไรมากน้อยแค่ไหน อีกใจหนึ่งก็สงสัยว่า ถ้าบูมอยากรู้ ทำไมบูมไม่โทรมาถามเขาเองล่ะ ทำไมจะต้องให้พี่ชายมาถามแทน "สบายดีครับ" ทิวพูดเสียงเบาลง

บีมถอนหายใจเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับทิวยังไงดี จะให้บอกทิวว่าน้องชายเขาเป็นห่วง ก็เลยให้มาดู ทิวคงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ เบอร์โทรศัพท์ก็มี ก็ควรจะโทรมาถามเอง

"บูมเขาไปเรียนอะไรครับพี่" ทิวเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นบีมมีสีหน้าเหมือนรู้สึกอึดอัดกับบางอย่าง

"บริหารธุรกิจ ถ้าบูมกลับมา บูมก็คงจะมาทำงานบริษัทรับออกแบบสิ่งก่อสร้างที่พ่อลงทุนกับเพื่อน พ่อเขาเตรียมตำแหน่งไว้ให้แล้วล่ะ"

"เหรอครับ" ทิวยิ้มดีใจ เขาดีใจกับเพื่อนจริงๆ ที่ได้มีโอกาสดีๆ แบบนี้ ถึงเขาจะไม่มีโอกาสอย่างนั้นเลยก็เถอะ "บูมจะกลับมาวันไหนครับ"

"เอ... จำวันที่ไม่ได้ แต่อีกสองสามเดือนนี่แหละ ทิวจะ..." บีมกำลังจะถามว่าทิวจะไปรับบูมด้วยไหมก็ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อนึกได้ว่าแม่เขาไม่ชอบทิวอยู่ ถ้าให้ทิวไปรับด้วยคงเกิดเรื่อง "เดี๋ยวบูมเขาจะมาหาทิวนะ พี่บอกเขาแล้วให้เขามาหาทิว บูมเขารับปากแล้ว" บีมเปลี่ยนเรื่องไปทันที

"ครับ ผมคิดถึงบูมมาก อยากเจอบูม" ในที่สุดทิวก็ห้ามน้ำตาไม่ได้เสียแล้ว "แต่ทำไมบูมไม่เคยติดต่อมาหาผมเลยล่ะครับพี่ บูมเขาโกรธอะไรหรือเปล่า หรือเขาไม่อยากเจอผมอีกแล้ว"

บีมตกใจมากทีเดียวที่จู่ๆ ทิวก็ร้องไห้ นี่คงมีเรื่องราวบางอย่างระหว่างทิวกับบูมแน่ๆ ที่บูมไม่ได้เล่าให้เขาฟัง "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกทิว เมื่อคืนบูมก็โทรมาหาพี่ เขาเป็นห่วงทิวนะ เขาไม่ลืมทิวหรอก เขาบอกพี่ว่าเขาไม่เคยลืมทิว แต่บูมเขามีเหตุผลบางอย่าง ไม่ใช่เพราะเขาโกรธทิวหรือไม่อยากเจอหน้าทิว เอาเป็นว่า... อีกไม่นานทิวก็จะรู้ พี่ไม่อยากพูดแทนเขา บูมเขาคงจะมาบอกทิวเอง อย่าเสียใจเลยนะทิว บูมเขาไม่เคยคิดอย่างนั้นหรอก"

บีมพูดพลางตบไหล่ทิวเบาๆ เป็นการปลอบใจ

"จริงเหรอครับพี่ บูมเขาไม่ลืมผมใช่ไหมครับ"

บีมส่ายหน้า ทิวยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจที่รู้ว่าบูมไม่เคยลืมเขาเลย สักพักใหญ่ทิวก็ถามขึ้นมาว่า "แล้วบูมเขามีแฟนหรือยังครับ"

คำถามนี้เล่นเอาบีมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว เขาไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกันก็เลยบอกไปว่า "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ไว้ถามบูมอีกสองสามเดือนละกันนะ"

พอสังเกตดูดีๆ แล้ว บีมก็รู้สึกว่าทิวเหมือนจะคิดถึงบูมมากทีเดียว ไม่งั้นคงไม่ร้องห่มร้องไห้แบบนี้หรอก แม่เขาบอกว่าทิวเป็นเกย์ หรือว่าทิวจะคิดอะไรกับบูมมากเกินกว่าเพื่อนกันหรือเปล่า แล้วน้องชายเขาล่ะ บูมสนิทกับทิวมากในตอนนั้น มันจะไม่มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นเลยหรือ มันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่มากกว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อนกันธรรมดา ไม่อย่างนั้นผู้ชายกับผู้ชายก็ไม่น่าจะห่างเหินกันไปโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้ น้องชายเขาก็พูดคลุมเครือๆ และได้แต่ย้ำว่าไม่กล้ามาสู้หน้าเพื่อน แต่เขาก็ไม่รู้สาเหตุว่าบูมไม่กล้ามาสู้หน้าทิวเพราะอะไร

บีมอยู่คุยกับบูมสักพักก็ขอตัวกลับเพราะเขามีงานต้องไปถ่ายภาพงานแต่งงานในตอนเย็น แม้ว่าอาชีพแบบนี้จะดูต่ำต้อยสำหรับครอบครัวเขา แต่บีมก็ภูมิใจและรักงานเขามากทีเดียว

-------------------------------------------------------------------

จะบ่ายอยู่แล้ว ทิวยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เขาได้แต่มองเงินที่เหลือในกระเป๋าอยู่สี่สิบบาทอย่างใจหาย มันจะมีงานอะไรอีกไหมที่ทิวพอจะทำได้ช่วงกลางวัน ตอนนี้ฝีมือการเล่นดนตรีของเขาเริ่มเข้าที่แล้ว คงไม่ต้องฝึกเพิ่มในตอนกลางวันมากแล้วล่ะ ถ้าอยู่แบบนี้เขาคงไม่พ้นอดตายแน่ๆ เลย หรือว่าเขาควรจะขายบ้านหลังนี้เสีย ใช้หนี้แล้วก็ไปหาซื้อคอนโดอยู่ แต่คิดไปคิดมาเขาก็ยังเสียดายอยู่ หรือจะไปเสิร์ฟอาหาร แต่ว่างานพวกนี้ก็มักจะทำเลยไปจนถึงเย็น ตรงกับเวลาที่เขาต้องทำงานร้องเพลง คิดไปคิดมา สักพักก็เหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์ที่เขาเอาไว้ใช้ขี่ไปซื้อของที่หน้าปากซอย หรือจะลองขับวินมอเตอร์ไซค์ดู ทิวพอรู้จักกับพี่ๆ ที่ขับวินมอเตอร์ไซค์อยู่หลายคน ถ้าทิวไปขอร้องให้พี่ๆ เขาช่วยก็น่าจะพอมีความเป็นไปได้ กลางวันขับวินมอเตอร์ไซค์ ตอนกลางคืนก็ไปร้องเพลง-เล่นดนตรี ก็น่าจะช่วยให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นมาหน่อย คิดแล้วก็เข้าท่าเหมือนกันแฮะ ดีกว่าอยู่เฉยๆ รอวันอดตาย ถึงจะได้เงินไม่เยอะก็ยังดีกว่าต้องไปขายตัวเป็นไหนๆ

ตั้งแต่นั้นทิวก็เลยมีอาชีพเสริมด้วยการขับวินมอเตอร์ไซค์รับส่งคนในปากซอยในตอนกลางวัน กลางคืนก็ไปร้องเพลงและเล่นดนตรี ทำให้เขาพอหายใจหายคอได้คล่องขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็เหนื่อยมากทีเดียว ตอนกลางวันก็ตากแดดจนผิวคล้ำ กลางคืนก็นอนดึก บางวันมีเวลานอนแค่สามสี่ชั่วโมงเขาก็ต้องลุกขึ้นมาทำงานแล้ว

แต่เขาก็ทำงานนี้ได้ไม่นานเมื่อมีคนมาชวนให้เขาไปทำอย่างอื่น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่ที่รู้จักกันและอยู่ในซอยเดียวกันนั่นเอง คนมักจะเรียกเขาว่าพี่พงษ์ เป็นผู้จัดการร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย พี่พงษ์มักจะใช้บริการทิวอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ที่ทิวหันมาทำอาชีพนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่พงษ์ก็อยู่ในทาวน์เฮาส์ใกล้ๆ กับเขานั่นเอง แม้ว่าเมื่อก่อนจะเจอกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยทักทายกันตามวิถีชีวิตของคนกรุงเทพ แต่ทิวก็เห็นพี่คนนี้มานานแล้วล่ะ เพิ่งได้มารู้จักกันมากขึ้นเมื่อรับส่งพี่พงษ์ระหว่างบ้านและที่ทำงานบ่อยๆ

"สนใจทำงานที่เซเว่นไหมทิว" พี่พงษ์ถามขึ้นขณะที่ทิวมาส่งเขาที่ร้านเซเว่น-อีเลเว่นหน้าปากซอย

ทิวใช้เวลาคิดไม่นานนักก็ตอบไปว่า "สนใจครับ"

"โอเค งั้นไปคุยกันในร้านหน่อยไหม" พี่พงษ์ชวน ทิวจอดมอเตอร์ไซค์ไว้หน้าร้านแล้วก็ตามพี่เขาเข้าไปข้างใน

"พอดีพนักงานออกไปคนหนึ่ง พี่กำลังหาอยู่พอดี เผื่อทิวจะสนใจ จะได้ไม่ต้องไปทำงานตากแดดทั้งวันแบบนั้น"

ทิวก็คิดว่ามันก็น่าจะดีเหมือนกัน ขับวินมอเตอร์ไซค์นั้นคาดเดารายได้ค่อนข้างยาก บางวันก็แทบจะไม่มีคนใช้เลยก็มี ถ้ามีงานประจำแบบนี้ รายได้ก็น่าจะมั่นคงมากกว่า

"ผมสนใจครับพี่ แต่ว่า...มันต้องทำแบบเปลี่ยนกะไปเรื่อยๆ หรือเปล่าครับ ผมจะติดปัญหานิดหน่อย พอดีตอนเย็นๆ ผมจะต้องไปร้องเพลงตามร้านอาหาร ผมคงทำกะเย็นๆ ไม่ได้ครับ"

"ทิวสะดวกเวลาไหนล่ะ"

"เช้าๆ ครับพี่ เลิกไม่เกินสักหกโมงเย็น แต่ผมเคยได้ยินว่าพนักงานเลือกกะไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ" ทิวถามเพื่อความแน่ใจ เขาเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าพนักงานเซเว่นไม่สามารถเลือกกะที่จะเข้างานได้ ต้องเวียนกันไปเรื่อยๆ

"พี่จัดให้ได้ ว่าแต่ทิวสนใจไหมล่ะ ถ้าสนใจพี่จะให้ทิวเข้ากะเช้า เจ็ดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น สนใจไหม"

"สนใจครับพี่" ทิวรีบตอบแบบไม่ต้องคิดเลย ถึงแม้เขาพอจะรู้บ้างว่างานในเซเว่นก็ค่อนข้างหนักเพราะจะต้องยืนตลอดเวลา นั่งไม่ได้ แต่ก็น่าจะดีกว่าขับรถตากแดดตากลมทั้งวันแบบนี้

"งั้นพี่จะให้ผมเริ่มทำงานได้เมื่อไรล่ะครับ" ทิวละล่ำละลักถามอย่างดีใจ

"ถ้าวันนี้สะดวกก็มาสมัครงานก่อนละกัน พอพี่ส่งเรื่องแล้วก็มาทำได้เลย ใช้เวลาไม่นานหรอก ไม่เกินสองวัน" พี่พงษ์ตอบพลางยิ้ม เขาเห็นทิวมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วล่ะ และก็พอรู้เรื่องที่แม่ของเขาเสียจนทำให้ทิวต้องออกจากมหาวิทยาลัยมาหางานทำ ได้ยินแล้วเขาก็รู้สึกสงสารอยู่เหมือนกัน ให้ทิวมาทำงานที่นี่ก็น่าจะช่วยให้ทิวไม่ต้องลำบากมากจนเกินไป ถือว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่กำลังลำบาก

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
คีธ
Guest

61. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #60
 
26-Mar-12, 03:24 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณอีกครั้งครับ คงหายดีแล้วนะครับ ยังไงก็รักษาสุขภาพนะครับ คนไม่สะบายกันเยอะ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

62. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
26-Mar-12, 11:20 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   พอดีวันนี้เป็นวันเกิดของคนเขียนครับ ก็เลยอยากจะมอบตอนนี้เป็นพิเศษให้กับคนที่มาติดตามอ่าน
ทิวกับบูมได้เจอกันแล้วนะครับ แต่................................ ต้องติดตามตอนต่อไป
เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ด้วยก็ดีครับ

--------------------------------------------------------------

ตอนที่ 19

พอได้ทำงานที่เซเว่นอีเลเว่นแล้ว ชีวิตของทิวก็ดีขึ้นพอสมควร ทำให้เขาพอมีเงินเหลือเก็บบ้างเดือนละพันสองพัน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการำทำงานหนักและพักผ่อนน้อย เพราะบางวันเขาก็กลับดึกมาก ได้นอนอีกนิดหน่อยแล้วก็ต้องไปทำงานที่เซเว่นฯ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ก็พอทำให้ทิวได้มีเวลาพักหายใจจากเรื่องร้ายๆ ไปบ้าง ก็ดีมากพอสำหรับชีวิตในตอนนี้แล้วล่ะ ถ้าเขาเก็บเงินได้มากกว่านี้ เขาอาจจะหาที่เรียนต่อสักแห่ง อาจจะไปเรียนรามคำแหงก็ได้

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทิวตอนนี้ก็คือ บูมกำลังจะกลับมาแล้ว กำลังใจของทิวจึงทวีขึ้นอย่างล้นหลาม เขาจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและความหวังมากขึ้น การรอคอยที่แสนยาวนานของเขาก็คงจะสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้ ทิวเฝ้านับวันนับคืนอย่างใจจดใจจ่อ รอคอยวันที่เขาจะได้เจอบูมอีกครั้งและได้บอกสิ่งที่ค้างคาในใจ

แต่เมื่อนับวันนับคืนผ่านไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าบูมจะกลับมา ผ่านไปสามเดือนตามที่พี่บีมบอกแล้ว บูมก็ยังไม่กลับมา หลังจากนั้นก็ผ่านไปอีกหลายเดือน บูมก็ยังคงเงียบอยู่ กำลังใจและความหวังของทิวจึงค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปทุกทีๆ ใจหนึ่งก็อยากจะโทรไปถามพี่บีมว่าบูมกลับมาหรือยัง แต่คิดไปคิดมาแล้วทิวก็ไม่ติดต่อไป เขาอยากให้บูมกลับมาหาเขาเพราะว่าบูมอยากกลับมา ไม่ใช่เพราะใครบังคับให้ต้องมา ในใจของทิวได้แต่ร่ำร้องว่า "ไหนว่านายไม่ลืมเราไงล่ะบูม ทำไมนายไม่เห็นมาหาเราเลย เรารอยู่นะบูม ได้ยินไหมว่าเรารอนายอยู่"

"คุณคะ ตังค์ทอนด้วยค่ะ"

เสียงเรียกของลูกค้าทำให้ทิวได้สติ เขารีบคืนเงินทอนให้ลูกค้าแล้วก็หันกลับมาสนใจกับการทำงานต่อ พี่พงษ์ยืนมองเขาอย่างห่วงๆ เพราะเห็นทิวเหม่อลอยแบบนี้มาพักหนึ่งแล้ว

"ระวังหน่อยนะทิว ที่นี่มีกล้องอยู่" พี่พงษ์เดินเข้ามาเตือนเมื่อลูกค้าออกไปแล้ว

"ครับพี่ ผมขอโทษครับ" ทิวบอกอย่างเกรงใจ ช่วงหลังๆ นี้เขาเหม่อลอยมากไปจริงๆ สติไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวเลย บางทีทำอะไรบางอย่างอยู่สักพักก็จะเผลอเหม่อแบบนี้

------------------------------------------------------------

"อะไรนะครับน้า น้าจะขอเงินที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นคืนภายในสิ้นเดือนนี้เหรอครับ" ทิวร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อคุณน้าเจ้าหนี้ขอให้เขาจ่ายเงินที่ค้างอยู่อีกเจ็ดหมื่นบาทคืนทั้งหมด ในช่วงสองสามปีมานี้เขาพยายามหาเงินมาจ่ายให้ตลอดไม่เคยมีบิดพลิ้ว จนเหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะหมดแล้ว ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอแบบนี้อีก

"ก็ฉันจำเป็นต้องใช้เงินด่วนนี่นา ไม่รู้แหละ ยังไงก็ต้องหามาให้ฉันภายในสิ้นเดือนนี้ ไม่งั้นเธอได้เจอดีแน่" คุณน้าเจ้าหนี้เสียงแข็งและมองอย่างไม่พอใจ

"แต่น้าครับ ในสัญญา ผมต้องจ่ายแค่เดือนละหมื่นนะครับ นี่น้าเล่นจะขอตั้งเจ็ดหมื่น ผมจะไปเอาเงินที่ไหนมาให้ล่ะครับ" ทิวโอดครวญ

"อะไรกัน ทำงานมาก็ตั้งนาน จะไม่มีเงินเก็บบ้างเลยหรือไง" คุณน้าเจ้าหนี้เริ่มขึ้นเสียง

"โธ่คุณน้าครับ แค่ผมจ่ายให้คุณน้าเดือนละหมื่นผมก็แทบจะไม่มีกินอยู่แล้ว ผมจะเอาเงินที่ไหนมาเก็บครับ น้าพอจะหาจากที่อื่นได้ไหมครับ ยังไงผมก็ต้องขอจ่ายตามข้อตกลงเดือนละหมื่นเหมือนเดิม ผมไม่มีเจ็ดหมื่นจริงๆ ครับน้า ถ้ามีผมก็คงให้ไปแล้ว ผมก็อยากหมดหนี้หมดสิน จะได้ทำงานเก็บเงินกับเขาได้บ้าง"

แต่ดูเหมือนสิ่งที่ทิวขอร้องจะไม่เป็นผลเท่าไรนัก ขึ้นชื่อว่าหนี้นอกระบบแล้ว หลายครั้งข้อตกลงก็ไม่ได้มีความหมาย "อยากลองดีเหรอพ่อหนุ่ม ได้... ถ้าสิ้นเดือนนี้เธอไม่มีเงินให้ฉันเจ็ดหมื่น ก็คอยดูละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไป กลับ"

คุณน้าเจ้าหนี้หันไปบอกลูกน้องอีกสองคนที่ตามมาคอยอารักขาแล้วก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากบ้านทิวอย่างไม่สบอารมณ์ ทิวได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นึกว่าจะหมดเคราะห์หมดกรรมแล้ว แต่ก็ยังต้องเจอวิบากกรรมหนักอีกรอบ สงสัยมันคงถึงคราวจำเป็นแล้วล่ะ ถ้าทิวหาเงินไม่ได้ก็คงต้องขายบ้านแล้วไปหาคอนโดอยู่ตามแผนรับมือที่เคยคิดเอาไว้ แม้ว่าจะเสียดายและเสียใจสักแค่ไหน ทิวก็คงต้องตัดใจขายสมบัติชิ้นสุดท้ายที่แม่เขาหาไว้ให้แล้วล่ะ ทิวได้แต่ขอโทษแม่ในใจที่ไม่สามารถรักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้ได้

เมื่อนอนคิดทั้งคืนแล้ว วันรุ่งขึ้นทิวก็ประกาศขายบ้านทันที ใครที่ผ่านไปผ่านมาก็คงจะเห็นป้ายที่ติดไว้ตรงประตูหน้าบ้านว่า "ขาย 2 ล้าน ติดต่อ 08-xxxx-xxxx"

-------------------------------------------------

วันหนึ่งที่ต้องมาเห็นป้ายนี้เข้าก็โวยวายกับทิวใหญ่ว่า "มึงจะขายบ้านเหรอทิว แล้วมึงจะไปอยู่ไหนวะ"

"ว่าจะไปหาซื้อคอนโดอยู่ อาจจะซื้อใกล้ๆ แถวๆ นี้แหละ" เห็นเพื่อนโวยวายแบบนั้นทิวก็พอจะรู้ว่าเพื่อนไม่เห็นด้วย

"มีปัญหาอะไรหรือเปล่ามึงถึงต้องขายบ้านแบบนี้" ต้องเหมือนจะฉุกคิดอะไรได้

"ก็...." จะบอกต้องยังไงดีหนอ ทิวไม่อยากให้ต้องมาลำบากกับเรื่องนี้เลย "พอดีเจ้าหนี้ของกูเขาขอเงินที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นภายในสิ้นเดือนนี้ กูไม่รู้จะไปหาที่ไหน ก็เลย..."

"โห...ไอ้บ้าเอ๊ย แค่เงินเจ็ดหมื่นมึงถึงกับต้องขายบ้านเลยหรือไงวะ" ถึงต้องจะว่าเพื่อนแบบนั้น แต่ก็พอเข้าใจอยู่ว่าทิวคงหาเงินเจ็ดหมื่นนั้นไม่ได้ภายในสิ้นเดือนนี้แน่ๆ

"แล้วมึงจะให้กูทำไงวะต้อง เงินกูมีเก็บไว้ยังไม่ถึงหมื่นเลย แต่คราวนี้กูไม่ยืมเงินมึงหรอกนะเว้ย กูรบกวนมึงมาเยอะแล้ว อย่าให้กูต้องทำให้มึงเดือดร้อนมากกว่านี้เลย"

จริงๆ ต้องก็คงไม่มีเงินถึงเจ็ดหมื่นหรอก เขาเพิ่งเขัาทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้ไม่กี่เดือน ไม่มีเงินเก็บมากขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่อยากให้ทิวขายบ้านอยู่ดี จะว่าไปแล้วขายราคาสองล้านก็ดูจะถูกเกินไปด้วยซ้ำ

"จริงๆ กูก็ไม่มีเงินถึงเจ็ดหมื่นหรอกทิว แต่ยังไงก็แล้วแต่กูก็ไม่อยากให้มึงขายตอนนี้ มึงอย่าเพิ่งขายได้ไหม เดี๋ยวกูขอไปคิดก่อนว่าจะหาเงินเจ็ดหมื่นมาช่วยมึงได้ยังไง"

ได้ฟังแล้วทิวก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับความดีของเพื่อน ต้องไม่เคยทอดทิ้งเขาเลยจริงๆ เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้จักกันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วก็ยังคบกันมาจนกระทั่งวันนี้

"กูขอบใจมึงจริงๆ ว่ะต้อง ถ้าไม่มีมึง ชีวิตกูคงไม่อยู่มาถึงวันนี้"

"เออ... ไม่เป็นไรหรอก มึงกับกูเป็นเพื่อนกันนี่หว่า มึงก็เป็นเพื่อนที่ดีของกูนะเว้ยทิว ไม่งั้นก็ไม่คบกันมาจนป่านนี้หรอก เออ...ว่าแต่ว่า มึงรู้หรือยังว่าไอ้บูมมันกลับมาตั้งนานแล้ว"

คำถามนั้นของต้องทำให้ทิวถึงกับอึ้งไปทันที บูมกลับมาแล้วเหรอ กลับมาตั้งนานแล้วด้วย แล้วทำไมไม่มาหาเขาบ้างเลย

"มันเคยมาหามึงบ้างไหมเนี่ย" แต่พอเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของทิวแล้วต้องก็พอจะเดาได้ไม่ยาก "ไม่เคยเลยล่ะสิ กูว่าแล้ว เป็นเพื่อนรักกันประสาอะไรวะ กูก็ไม่ได้อยากจะอะไรกับมันมากหรอกนักนะทิว แต่กูเหลืออดจริงๆ ว่ะ"

ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่งั้นเขาก็คงอดด่าบูมอีกไม่ได้ ทิวยิ่งไม่ค่อยชอบด้วยเวลาที่เขาด่าบูม

"มึงรู้ได้ยังไงว่าบูมกลับมาแล้ว" ทิวถามหลังจากที่เงียบไปสักพักใหญ่

"รู้ดิ ก็กูโทรไปหาพี่บีม กูก็อยากรู้ว่ามันมาหรือยัง อ้อ... พี่บีมเขาก็เคยมาหามึงไม่ใช่เหรอ"

ทิวพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำท่าเหมือนคนจะร้องไห้อีกแล้ว

"กูอยากถามมันจริงๆ ว่ะว่าไอ้บูมมันคิดอะไรของมันถึงไม่เคยติดต่อมาหามึงเลย มึงจะว่าอะไรกูไหมทิวถ้ากูจะไปถามไอ้บูม" ต้องพูดอย่างอดโมโหไม่ได้

"อย่าเลยต้อง อย่าไปถามอะไรเขาเลย จริงๆ กูก็พอรู้ว่าบูมน่าจะกลับมาแล้วล่ะ แต่กูก็ไม่ได้โทรไปถาม กูอยากให้บูมมาหากูเพราะว่าบูมอยากมา ถ้าบูมพร้อมแล้วบูมก็คงจะมาเอง"

ต้องถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ไม่เข้าใจทิวเลยจริงๆ บูมทำตัวเองเจ็บขนาดนั้นแล้วยังให้อภัยอยู่ได้ "กูถามจริงๆ นะเว้ยทิว มึงยังรักมันอยู่หรือเปล่าวะ"

ทิวเบือนหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ใช้เวลาครุ่นคิดสักพักแล้วก็บอกไปว่า "รักหรือเปล่าไม่รู้ แต่กูไม่เคยลืมว่ะต้อง ถ้าหากไม่ลืมแปลว่ารัก ก็คงแปลว่ากูยังรักอยู่นั่นแหละ"

"เออ...ก็แค่นั้นแหละ กูจะได้ไม่ไปแตะต้องอะไรมันมาก แต่กูก็บอกตรงๆ นะเว้ยว่ากูโกรธมัน ถ้ากูเจอมันเมื่อไร กูไม่กล้ารับรองความปลอดภัยของมันว่ะ"

คำพูดของต้องในตอนท้ายทำให้ทิวต้องหันมามองเพื่อนอย่างตกใจ สรุปต้องก็ยังโกรธบูมอยู่นั่นเอง ไม่ว่าเขาจะขอร้องยังไงก็ตาม แต่จะไปโทษต้องก็คงไม่ได้เพราะบูมเองก็ทำให้เพื่อนรักของต้องต้องเจ็บหนัก ต้องคงเก็บความแค้นเคืองนั้นไว้หลายปีแล้ว

---------------------------------------------------------------------------

"บูมคะ มีน้ำเหลืออยู่ในรถมั่งหรือเปล่าคะ" สาวน้อยเสียงใสที่นั่งคู่มาด้วยถามขึ้น

"แพรวจะกินน้ำเหรอครับ" บูมหันไปถามแฟนสาว พลางใช้สายตาสำรวจภายในรถคร่าวๆ "สงสัยจะหมดแล้วล่ะ"

"งั้นบูมแวะซื้อให้แพรวหน่อยได้ไหมคะ"

บูมหันมายิ้ม "ครับ"

พอรถเลี้ยวเข้าถนนลาดพร้าวแล้ว ความทรงจำต่างๆ ก็เริ่มหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ปกติแล้วแม้ว่าบูมจะกลับมาเมืองไทย เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ ยกเว้นว่าจำเป็นจริงๆ เท่านั้น บูมรู้สึกว่าเขาแทบจะไม่มีแรงขับรถเลย ยิ่งใกล้บริเวณนั้นเท่าไรเขาก็ยิ่งใจสั่น

"บูม ซอยข้างหน้ามีเซเว่นค่ะ บูมจอดเลยก็ได้" แพรวบอกพลางชี้ให้บูมดู

ซอยบ้านทิวนั่นเอง เขายังจำได้ดี สี่ปีกว่าแล้วที่เขาไม่เคยได้กลับมาตรงนี้เลย แต่ทุกอย่างก็ยังดูคล้ายๆ เดิมอยู่ บูมเลี้ยวรถเข้าไปในซอยนั้นตามที่แฟนสาวบอก ตรงด้านหน้าซอยจะมีตลาดอยู่ เซเว่นก็อยู่ใกล้ๆ กับตลาดนั่นเอง ข้างหลังตลาดบูมจำได้ว่ามีที่จอดรถอยู่จึงเลี้ยวเข้าไปจอดตรงนั้น บูมรู้สึกว่าน้ำลายเขาเริ่มเหนียวขึ้นทุกทีๆ ตลาดตรงนี้เขาเคยนั่งมอเตอร์ไซค์ออกมาหาอะไรกินกับทิวอยู่บ่อยๆ เห็นแล้วก็คิดถึงทิวจับใจ เมื่อก่อนเขาคิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไรมาก เวลาที่คิดถึงทิวเขาก็เข้าใจว่าอาจเป็นแค่ความคิดถึงกันธรรมดาๆ ของคนที่เคยผูกพันกัน แต่พอเข้ามาในซอยนี้แล้ว ความรู้สึกบางอย่างก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนบูมแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแล้วล่ะ

"บูมอยู่นี่ดีกว่านะคะ เดี๋ยวแพรวไปซื้อเองดีกว่าค่ะ บูมจะได้ไม่ต้องดับเครื่อง เดี๋ยวแพรวมานะคะ"

บูมยังไม่ทันตอบอะไรแพรวก็เปิดประตูรถแล้วเดินแกมวิ่งออกไป แพรวเป็นคนคล่องแคล่วว่องไวแบบนี้แหละตามประสาสาวสมัยใหม่ ด้วยการแต่งตัวที่ดูหรูหรามากกว่าคนในตลาดแถวนี้ ใครๆ ต่างก็พากันหันมามองเธอเป็นตาเดียว โดยเฉพาะหนุ่มๆ

พอแฟนสาววิ่งหายเข้าไปในเซเว่นแล้ว บูมก็ใช้เวลาที่พอมีอยู่นั้นมองสำรวจไปยังที่ต่างๆ เพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาที่เขากับทิวเคยเป็นเพื่อนกัน บ้านของทิวก็อยู่ในซอยนี้อีกไม่ไกล เขาควรจะแวะเข้าไปดูสักหน่อยดีไหม เขาอยากรู้เหลือเกินว่าทิวเป็นยังไงบ้าง พี่บีมบอกว่าทิวคิดถึงเขามากและร้องไห้ใหญ่เลยตอนที่พี่บีมมาหา เขาก็อยากจะบอกทิวเหมือนกันว่าเขาก็คิดถึงทิวมากเช่นกัน คิดถึงมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก

บูมรู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าแฟนสาวของเขาหายไปนานแล้ว ไปซื้อน้ำแค่นี้เองทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนี้ ด้วยความเป็นห่วงบูมจึงดับเครื่องยนต์ ล็อกรถแล้วก็เดินเข้าไปตามแพรวในเซเว่น

พอเข้าไปแล้วก็เห็นแพรวกำลังจ่ายเงินอยู่พอดี "แพรว...ได้น้ำแล้วเหรอครับ"

"ค่ะ พอดีน้ำยี่ห้อที่แพรวอยากได้มันอยู่หลังๆ ค่ะ เพิ่งหาเจอ โทษทีนะคะ" แพรวบอกพลางหันมายิ้มให้แฟนหนุ่ม

"ไม่เป็นไร มา เดี๋ยวผมช่วยถือให้" บูมบอกแล้วก็เดินไปรับน้ำเปล่าในมือของแฟนสาวมาถือไว้ แพรวรับเงินทอนแล้วก็เก็บใส่กระเป๋าของตัวเอง

"ทิว"

บูมตกตะลึงสุดขีดเมื่อพบว่าพนักงานเซเว่นที่แพรวกำลังซื้อของด้วยนั้นคือทิว ไม่ว่าจะนานแค่ไหนบูมก็จำทิวได้ น้ำที่เขาถืออยู่ในมือหล่นลงพื้นไปโดยที่บูมก็ไม่รู้ตัว ส่วนทิวก็มีอาการไม่ต่างจากบูม ต่างคนต่างตกตะลึงและยืนตัวแข็ง

"บูมระวังหน่อยสิคะ" แพรวตำหนิแฟนหนุ่มพลางหยิบถุงขวดน้ำที่ตกไปมาถือไว้เอง "ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันนะคะ" แพรวว่าแล้วก็เดินออกไปก่อน แต่บูมยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่

"บูมคะ บูมจะซื้ออะไรอีกหรือเปล่าคะ ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวไม่ทันนะคะ" แพรวหันมาเรียกแฟนหนุ่มอีกครั้งหลังจากที่เธอเดินออกไปแล้วบูมก็ยังคงอยู่ที่เดิม

"ครับ" บูมตอบแล้วก็ค่อยๆ หันตัวกลับเดินตามแฟนสาวออกไปอย่างงงๆ

"บูมเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายหรือเปล่าคะ" แพรวถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นบูมเดินตัวแข็งๆ แถมยังมีสีหน้าเหมือนคนตกใจ

บูมค่อยๆ เรียกสติเขากลับคืนมา แต่มันก็กลับคืนมาได้ช้ามาก เขาฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าแพรวถามเขาว่าอะไรบ้าง

"บูม...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" แพรวหยุดเดินแล้วมองหน้าแฟนหนุ่มเพื่อสังเกตหาความผิดปกติ บูมก็ดูผิดปกติจริงๆ ด้วย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่นา จะว่าเป็นเพราะทำขวดน้ำตกก็ไม่น่าจะทำให้บูมดูตกใจขนาดนี้

"ไม่มีอะไรหรอกครับ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน" บูมตอบออกมาในที่สุด แล้วก็รีบเดินไปที่รถ แพรวเดินตามเขาไปอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเรื่องนี้อีก แล้วรถเก๋งคันหรูก็ขับออกไปจากซอยเพื่อที่จะไปงานเปิดโครงการคอนโดใหม่แห่งหนึ่งแถวๆ เกษตรนวมินทร์ซึ่งบูมเพิ่งเข้ามารับผิดชอบได้ไม่นาน

ทิวมองตามรถคันนั้นไปราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขายืนงง ทำอะไรไม่ถูก แต่ก็รู้ว่าเขาคงจะวิ่งตามออกไปไม่ได้ ผู้ชายเมื่อสักครู่นี้ที่มากับแฟนสาวคือบูมจริงๆ หรือ บูมมีแฟนแล้วนี่เองถึงได้ไม่อยากกลับมาเจอทิวอีกครั้ง เพราะอย่างนี้นี่เอง แค่จะทักทายกันสักคำบูมยังไม่ทำเลย แล้วจะให้ทิวเข้าใจว่ายังไง

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

64. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #62
 
26-Mar-12, 12:54 PM (SE Asia Standard Time)
 
   เจ๊บ จี๊ดที่หัวใจครับ...


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

63. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
26-Mar-12, 12:49 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 20

"ขายบ้าน!!!" นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทิวถึงได้ติดป้ายประกาศขายบ้าน บูมยืนมองป้ายนั้นแล้วก็ครุ่นคิด แล้วที่เมื่อวานเขาเจอทิวเป็นพนักงานในร้านสะดวกซื้อนั่นล่ะ มันเกิดอะไรขึ้นกับทิว เขาคิดว่าทิวน่าจะได้ทำงานที่ดีกว่านี้ แต่ทำไมทิวถึงไปทำงานที่นั่น ทำไมทิวต้องขายบ้าน ทิวมีปัญหาอะไรหรือเปล่า หรือว่าแค่ต้องการย้ายที่อยู่ แล้วทิวจะไปอยู่ที่ไหน ในช่วงเวลาสี่ปีกว่าๆ ที่บูมหายไปนั้นดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นกับทิวมากมายอย่างที่บูมเองก็คิดไม่ถึงมาก่อน

เขาไม่มีคำตอบใดๆ เลยเพราะบูมแทบจะไม่เคยรับรู้ข่าวคราวของทิวด้วยซ้ำ ตั้งแต่จากไปคราวนั้นเขาก็คือคนที่ตัดขาดการติดต่อกับทิวทุกอย่าง ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าเขาไม่กล้ามาสู้หน้าทิวอีก แต่เมื่อวานที่เขาได้เจอทิวโดยบังเอิญนั้น บูมก็เก็บเอาไปคิดทั้งคืน เขาได้แต่ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นทิวถึงต้องไปทำงานที่นั่น จนรู้สึกว่าทนไม่ไหว ไม่ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะมีเหตุผลมากมายที่จะไม่มา แต่หลังจากที่ได้เจอทิวเมื่อวานนี้แล้ว บูมก็โยนทิ้งความกลัวทุกอย่างไป เขาจะต้องมาหาทิวให้ได้ ไม่ว่าใครจะจับมัดไว้เขาก็ต้องมา เลิกงานปุ๊บเขาจึงรีบออกมาทันที แต่ก็ไม่ได้แวะดูที่เซเว่นหรอกเพราะคิดว่าทิวคงทำงาน คงไม่มีเวลาคุยกัน

บูมเดินกลับมาที่รถ แล้วก็เข้าไปนั่งข้างในพร้อมกับลดกระจกลงเพราะเขาดับเครื่องไปแล้ว กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านทิว ทิวนั่นเอง เขายังอยู่ในชุดพนักงานร้านนั้นอยู่เลย มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็เป็นคันที่บูมเคยเห็นทิวใช้ไปซื้อของที่หน้าปากซอยอยู่บ่อยๆ แค่เห็นเท่านั้น บูมก็แทบอยากจะวิ่งลงจากรถไปหาเพื่อนในทันที แต่เขาก็ยังไม่ทำอย่างนั้น ดูเหมือนทิวมีท่าทางสงสัยเหมือนกันว่ารถของใครมาจอดอยู่ข้างๆ บ้านเขา แต่ทิวก็หันกลับไปสนใจกับการไขกุญแจบ้านตามเดิม ในจังหวะนี้นี่เองที่บูมเปิดประตูรถออกไปแล้วก็เดินไปหาทิว พอไปยืนอยู่ใกล้ๆ เขาก็ยื่นมือไปแตะไหล่ทิวพลางเรียกชื่อ

"ทิว เรากลับมาแล้ว"

ทิวปล่อยกุญแจหลุดจากมือแล้วหันมามองเจ้าของมือที่แตะไหล่เขาอยู่

"บูม บูมจริงๆ ด้วย" ทิวอ้าปากค้างราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง แล้วก็โผเข้ากอดเพื่อนทันทีที่รู้ว่าเป็นบูมจริงๆ ไม่ได้ตาฝาดไป ส่วนบูมก็กอดตอบเพื่อนด้วยความคิดถึงสุดหัวใจเช่นกัน เสียงร่ำให้ค่อยๆ ดังขึ้นจากทั้งสองคน

"เรากลับมาแล้วทิว เรากลับมาแล้ว" บูมย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง ภาพที่ทิวคอยช่วยพยุงเขาตอนที่เขาตกบันได ภาพที่ทิวคอยสอนร้องเพลงให้เขาปรากฎชัดเจนขึ้นในหัวราวกับมันกำลังเกิดขึ้นจริงอยู่ในตอนนี้

"บูม" ทิวก็ได้แต่เรียกชื่อเพื่อนเช่นกัน เขาไม่รู้จะพูดอะไรในตอนนี้ มันมีอะไรหลายอย่างเหลือเกินที่เขาอยากจะพูด อยากจะเล่าให้บูมฟัง แต่ ณ นาทีนี้ เขาอยากกอดบูมให้แน่นและเนิ่นนานที่สุดให้สมกับที่รอคอยและคิดถึงมานานเหลือเกิน

สักพักใหญ่ทิวกับบูมก็ผละออกจากกันเล็กน้อยเพื่อที่จะมองหน้ากันให้ชัดๆ ทั้งทิวและบูมต่างก็ยิ้มทั้งน้ำตา นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เจอกัน บูมเคยคิดว่ากลับมาเจอกันอีกครั้งก็อาจจะมีความรู้สึกห่างเหินไปบ้าง แต่มันไม่ใช่เลย ความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้วก็ยังกลับคืนมาราวกับว่ามันไม่เคยไปไหนเลย

บูมดึงเพื่อนเข้ามากอดอีกครั้ง เขารู้สึกผิดอย่างมากเหลือเกินที่ทิ้งเพื่อนไป การที่ทิวต้องไปทำงานแบบนี้ก็คงพอจะบอกได้ว่าทิวต้องลำบากแค่ไหน ในขณะที่บูมกลับมีชีวิตที่สุขสบายทุกอย่าง

"เราขอโทษ... ทิว... เราขอโทษ" บูมบอกเพื่อนพลางสะอื่นไห้ เขารู้ว่าคำขอโทษแค่นี้คงไม่พอที่จะชดเชยอะไรได้ แต่บูมก็อยากขอโทษ

"ไม่เป็นไร...บูม" ทิวบอกเสียงเบา เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดเพื่อให้อีกคนรู้สึกดี คนที่เขารักและรอคอยกลับมาแล้ว ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่านี้ ที่เขายอมลำบากและอดทนก็เพื่อที่จะได้เจอคนๆ นี้เท่านั้น วันนี้ทิวก็ได้เจอแล้ว ความคิดถึงและความทรมานในช่วงสี่ปีกว่าๆ ที่ผ่านมาได้หายไปหมดสิ้น แม้ว่าภาพที่เขาวิ่งตามรถของบูมที่กำลังจากไปจะยังฉายวนซ้ำอยู่ให้เห็นเนืองๆ ในขณะที่กอดเพื่อนอยู่ แต่ความเจ็บปวดนั้นก็ถูกเยียวยาเมื่อทิวได้กลับมาอยู่ในอ้อมแขนของคนที่เขารักอีกครั้ง

เมื่อได้กอดกันจนพอใจแล้ว ทิวก็พาบูมเดินเข้ามาในบ้าน บูมก็ได้เห็นว่าทิวก็ยังชอบปลูกต้นไม้อยู่เช่นเดิม มุมคีย์บอร์ดที่เขากับทิวมักจะมาร้องเพลงด้วยกันก็อยู่ที่เดิม แต่มีรูปเขากับทิวมาตั้งไว้ด้วย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่มีความทรงจำหลายอย่างดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น บูมไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าเขาทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปอย่างง่ายดายราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นไปได้อย่างไร

"แม่ล่ะทิว แม่ยังไม่กลับอีกเหรอ" บูมถามเมื่อนึกขึ้นได้

"แม่เราเสียแล้วบูม" ทิวบอกเพื่อนแล้วก็ร้องไห้อีกครั้ง

"อะไรนะทิว" บูมอุทานราวกับจะไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง "ตั้งแต่เมื่อไร"

"เกือบสามปีแล้วล่ะ"

"โธ่แม่...." บูมหันไปมองรูปแม่ของทิวที่ติดไว้ตรงฝาบ้าน เขารู้สึกสะท้อนใจ เขาน่าจะได้มาอยู่กับทิวในช่วงเวลานั้น "แสดงว่านายก็...อยู่คนเดียว" บูมแทบจะพูดต่อไม่ได้ เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย ขอบตาเขาร้อนผ่าวอีกครั้ง สงสารทิวจับจิตจับใจ นี่เขาทิ้งเพื่อนไปแล้วก็ปล่อยให้เพื่อนที่เขารักต้องเผชิญชะตากรรมต่างๆ มากมายเพียงคนเดียวตลอดมาเลยหรือ ทิวเคยรักเคยดีกับเขามากขนาดไหน ทำไมเขาจึงทิ้งเพื่อนไปได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด เขาคงให้อภัยตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

"ทิว...เราจะไม่ว่าอะไรนายเลยสักคำถ้านายจะโกรธหรือเกลียดเรา นายจะเกลียดเราก็ได้ มันคงทำให้เรารู้สึกดีกว่านี้ ดีกว่าที่เราจะต้องมารับรู้ว่า... เราคือคนที่ทิ้งนายไปแล้วปล่อยให้นายลำบากอยู่คนเดียว ชาตินี้เราคงให้อภัยตัวเองไม่ได้เลยทิว" บูมค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นราวกับคนไม่มีเรี่ยวแรง เขารู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินที่ได้รู้ว่าเขาทำไม่ดีกับทิวมากแค่ไหน

ทิวรีบเข้ามาหาเพื่อนแล้วนั่งลงข้างๆ "อย่าคิดอย่างนั้นสิบูม เราไม่เคยโกรธนายเลย การที่นายกลับมา มันก็เป็นของขวัญที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเราแล้ว เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อรอนายนะบูม" แล้วทิวก็ตัดสินใจบอกสิ่งที่เขาเก็บไว้ในใจมาตลอด "เราเกลียดคนที่เรารักไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะยังไงเราก็ทำไม่ได้ เรารักนายนะบูม นี่คือสิ่งที่เราอยากจะบอกก่อนที่เราจะจากกัน" เขาจะไม่รอช้าอีกแล้วเพราะทิวไม่รู้จริงๆ ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อบูมอยู่ตรงนี้แล้วเขาก็ควรจะใช้โอกาสนี้โดยไม่ต้องรีรออะไรอีก เพราะมันอาจจะสายเกินไป เขาก็ไม่อยากจะรอนานๆ เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

บูมมองหน้าทิวแล้วยิ้มทั้งน้ำตา เขารู้ ถึงนายไม่ต้องบอกเราก็รู้แล้ว ทำไมเราจะไม่รู้ว่านายคิดยังไงกับเรา "ทิว... ก่อนที่เราจะจากกัน เราก็มีความรู้สึกเดียวกันเหมือนกับนาย เราพยายามที่จะบอก แต่เราก็ไม่มีโอกาส ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราคงจะไม่รีรอที่จะบอกว่ารักนาย เรารักนายนะทิว ถึงวันนี้ก็ยังรัก"

บูมดึงเพื่อนมากอดอีกครั้ง เขาแน่ใจแล้วว่าวันเวลาและระยะทางไม่ได้ทำให้ความรู้สึกในวันนั้นเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าเขาจะเจอใคร มีสังคมใหม่หรือแม้กระทั่ง...มีแฟน แต่ไม่ว่าจะห่างเหินไปนานแค่ไหน พอได้กลับมาเจอทิวในวันนี้อีกครั้ง บูมก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้สึกต่างจากวันนั้นเลย ความรักในวันนั้นก็ยังอยู่เหมือนเดิม

ทิวเองก็ตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าบูมเองก็รักเขาเหมือนกัน ความเจ็บปวดในช่วงสี่ปีกว่าที่ผ่านมาหายไปเสียสิ้นเมื่อทิวได้ยินคำนี้จากปากของบูมเอง ทิวดีใจเหลือเกินที่ได้รู้ว่าบูมก็รักเขาเหมือนกับที่เขารักบูม ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาได้แต่คิดน้อยใจว่าบูมคงไม่ได้คิดอะไรเกินกว่าความเป็นเพื่อนกัน หรือแม้กระทั่งความเป็นเพื่อน บูมก็อาจจะไม่มีเหลือให้เขาเลย การที่บูมจากไปไม่ติดต่อมาแบบนั้น ถึงจะพยายามไม่คิดในแง่ร้ายมันก็คงอดคิดอย่างนั้นไม่ได้

"เดี๋ยวเรามานะบูม" ทิวบอกเหมือนนึกอะไรได้

บูมพยักหน้าแล้วมองตาม ทิวลุกขึ้นแล้วก็รีบเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปบนห้องของตัวเอง ไม่นานนักทิวก็กลับลงมาด้วยเสื้อตัวหนึ่ง บูมเห็นแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเขาก็ไม่อาจจะห้ามน้ำตาได้อีกเมื่อเห็นเสื้อที่ทิวใส่ลงมานั้นเป็นเสื้อเฟรนด์ชิพสมัยเรียนมัธยมนั่นเอง ทิวยังคงเก็บเอาไว้เพราะในบรรดาเพื่อนๆ ทั้งหมดนั้นก็เหลือบูมเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้เขียนให้เขาเลย

ทิวถือปากกาสำหรับเขียนมาด้วยแท่งหนึ่ง พอเดินมาถึงบูม ทิวก็ยื่นให้แล้วบอกว่า "เขียนให้เราหน่อยนะบูม เหลือนายแค่คนเดียวที่ยังไม่ได้เขียนให้เราเลย"

บูมพยักหน้าพลางรับปากกาแท่งนั้นมาแล้วก็ค่อยๆ บรรจงเขียนข้อความลงไปบนเสื้อของทิวด้วยความสะเทือนใจ เขาไม่ต้องใช้เวลาคิดนานมากนักเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าอยากจะเขียนอะไร พอเขียนเสร็จแล้วบูมก็เอาปากกาไปวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ

"นายเขียนว่าอะไรบูม อ่านให้เราฟังหน่อยสิ" ทิวถามพลางก้มลงมองตรงที่บูมเขียน แต่มันก็กลับหัวและอ่านยาก แถมยังยาวอีกต่างหาก

"ได้สิ" บูมเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็ก้มมองตรงบริเวณที่เขาเขียนข้อความลงไป "ฟังนะทิว" บูมสูดลมหายใจเข้าแล้วก็ร้องเพลงๆ หนึ่งขึ้นมา "ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ เธอคือกำลังใจเดียวที่มีไม่ว่านาทีไหนๆ" จริงๆ บูมเขียนไว้แค่นี้เพราะมันเขียนยาวมากกว่านี้ไม่ได้ ไม่งั้นมันจะไปทับข้อความของคนอื่นๆ แต่บูมก็ร้องต่อโดยมีเสียงทิวร้องคลอตามเบาๆ "ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบอะไร ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ตรงนี้" จะว่าไปแล้ว การร้องเพลงร้องไห้ไปนี่มันก็ยากเอาการอยู่เหมือนกัน

แล้วทิวกับบูมก็มองหน้ากันเพื่อที่จะร้องท่อนสุดท้ายพร้อมกัน "ฉันก็รู้และฉันอุ่นใจ ว่าฉันนั้นนั้นจะมีเธออยู่...กับฉัน"

แล้วบูมก็ดึงทิวเข้าไปกอดอีกครั้งด้วยความรักสุดหัวใจ "เราขอโทษนะทิว เราขอโทษ" บูมพูดพลางใช้มือลูบไล้หลังเพื่อนเบาๆ "เราสัญญา ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่ทิ้งนายไปไหนอีก เราจะอยู่ดูแลนายไปจนกว่า...เราจะตายจากกัน"

ทิวได้ฟังแล้วก็กอดบูมแน่น สัมผัสที่อบอุ่นนี้เท่านั้นคือสิ่งที่ทิวโหยหาตลอดมา ทิวรู้สึกดีใจและขอบคุณตัวเขาเองที่ไม่ได้รักใครในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเก็บใจและกายของเขาไว้เพื่อรอคอยอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นนี้เท่านั้น และมันก็คุ้มค่ากับการรอคอยเสียจริงๆ เขานึกว่าชีวิตนี้จะไม่ได้มีวันนี้เสียแล้ว

บูมปล่อยอ้อมแขนออกจากตัวทิว ทั้งคู่มองหน้ากันเพื่อจะสำรวจหาอะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขาทั้งสอง

เมื่อทิวได้สังเกตดีๆ ก็พบว่าบูมดูหล่อเหลามากทีเดียว มากกว่าเมื่อตอนสมัยมัธยมหลายเท่า ใบหน้าของบูมสดใสไร้ริวรอย ผิวขาวเนียนละเอียด รูปร่างกำยำสมส่วน ริมฝีปากยิ้มละไม กลิ่นกายหอมเย้ายวนใจอย่างที่บุรุษเพศพึงมี เขาดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างที่ทิวไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งอยู่ในชุดกางเกงแสล็คสีดำและเสื้อเชิ๊ตทำงานยี่ห้อหรูหราสีขาวตัวนี้ก็ยิ่งทำให้บูมดูดีและภูมิฐานมาก ทิวยิ้มอย่างพอใจที่ได้เห็นเช่นนั้น ถึงเขาจะไม่โชคดีเหมือนบูม แต่ทิวก็ดีใจที่เห็นบูมเรียนจบและมีงานการทำสมกับที่ได้ร่ำเรียนมา

บูมไม่รู้หรอกว่าทิวกำลังคิดอะไรอยู่ในขณะที่ใช้สายตาสำรวจตัวเขา แต่เขาก็บอกกับตัวเองในใจว่า ทั้งร่างกาย ชีวิตและจิตใจของเขา เขาจะอยู่เพื่อทำให้ทิวมีความสุข เพื่อจะชดเชยความผิดบาปต่างๆ ที่เขาเคยทำไว้ ไม่ว่ามันจะมีอุปสรรคมากแค่ไหนก็ตาม

"นายกินข้าวหรือยังทิว" บูมถามขึ้นทำลายความเงียบ

"ยังเลย"

"ไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหม เราอยากจะพานายไปกินอาหารที่นายคิดว่าอร่อยและอยากกินมากที่สุด"

ทิวพยักหน้าพลางยิ้ม "ไปสิ" รอยยิ้มของทิวเริ่มกลับมาแล้ว บูมจูบที่หน้าผากเพื่อนอย่างรักใคร่เพราะรู้สึกว่ารอยยิ้มของทิวทำให้ทิวดูน่ารักทีเดียว

"อะไร" ทิวถามอย่างงงๆ

"คนรักกันเขาก็ทำแบบนี้แหละ" บูมตอบแล้วก็ขำ ทิวได้แต่ยิ้มเขินอาย

---------------------------------------------------------

แล้วบูมกับทิวก็มาอยู่ในร้านอาหารบรรยากาศดีแห่งหนึ่งแถวถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา มันเป็นร้านอาหารที่หรูพอสมควรสำหรับทิว หลายปีมานี้เขาไม่เคยได้มาในสถานที่แบบนี้เลย

"อยากกินอะไร สั่งได้เต็มที่เลยนะครับ...ที่รักของผม" บูมพูดพลางยักคิ้วให้ดูตลกๆ ในช่วงท้ายๆ

แต่ก็เล่นเอาทิวเขินไปเลย "ทำไมเรียกแบบนั้นล่ะ"

"อ้าว คนรักกันเขาก็เรียกแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ สงสัยนายจะยังไม่ชิน นายไม่เคยมีแฟนเหรอ"

คำถามท้ายสุดนั้นทำให้ทิวเงียบไปเลยจนบูมตกใจว่าเขาคงพูดอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า

"ขอโทษ เราพูดอะไรผิดหรือเปล่า" บูมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่เมื่อนึกอะไรได้เขาก็รีบบอกอย่างเขินๆ ว่า "ลืมไป แฟนของทิว ก็นั่งอยู่ข้างหน้าทิวแล้วนี่นา"

ได้ผลเลยเพราะทิวยิ้มและหน้าแดงด้วยความเขินอายทันที

"สั่งอาหารเถอะ หิวจะแย่ละ" บูมบอกพลางหยิบเมนูมาอ่านดู

"นึกว่าจะอิ่มน้ำตากันแล้วซะอีก" ทิวแอบแซว บูมก็พลอยขำไปด้วย เขาไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องร้องไห้มากมายขนาดนั้น

ก่อนจะเริ่มสั่งอาหาร บูมก็บอกทิวว่า "ทิว... วันนี้เรายังไม่อยากคุยเรื่องเครียดๆ นะ แต่พรุ่งนี้... ทิวช่วยเล่าให้เราฟังทั้งหมดได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตทิวบ้าง เราอยากฟัง นายจะใช้เวลาเล่าสามชั่วโมง หนึ่งวันหรือสิบวันก็ได้" แล้วบูมก็ยื่นมือมาจับมือทิวไว้พลางบีบเบาๆ "เล่าให้เราฟังนะทิว เราอยากรู้ทุกอย่าง... ทุกอย่างที่นายอยากจะเล่าให้เราฟัง"

ทิวพยักหน้ารับพลางยิ้มน้อยๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเล่าได้มากน้อยแค่ไหน แต่จะพยายามละกันนะ

พอได้อาหารมาแล้ว ทิวกับบูมก็หันมาสนใจกับการกินก่อนเพราะต่างก็หิวด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็กินไปคุยไป บูมเล่าให้ทิวฟังเกี่ยวกับชีวิตของเขาที่อเมริกาเพราะทิวอยากรู้ เขาพยายามเล่าใหัมันฟังดูสนุกและตลกเพื่อให้ทิวขำ แต่ไม่ว่าบูมจะเล่าอะไร ทิวก็ชอบฟังทั้งนั้นแหละ สิ่งที่บูมเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือบูมกลายเป็นคนที่คุยสนุกและมีเสน่ห์ บูมดูไม่เครียดเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะสลับกัน เพราะชีวิตของทิวในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมานั้นก็มีเรื่องให้เครียดหลายอย่างทีเดียว แต่บูมก็กำลังจะทำให้รอยยิ้มของทิวกลับคืนมา และเขาก็สามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย นี่ล่ะนะคืออานุภาพของความรัก กับคนที่ไม่รัก ให้กำลังใจกันแค่ไหนก็แทบจะไม่มีอะไรกระเตื้อง แต่คนที่รักกัน ยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ เห็นแค่รอยยิ้มอย่างเดียวก็มีพลังใจขึ้นมาอย่างมากแล้ว

ใครจะว่าทิวบ้าหรือโง่ที่ยังคงจริงจังกับความรักสมัยมัธยมมาจนถึงวันนี้ ทิวก็คงจะไม่โต้ตอบใดๆ ก็คนมันรักไปแล้ว มันเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ ก็คงต้องยอมให้ชีวิตเป็นแบบนั้น

---------------------------------------------------------------------------

กินอาหารเย็นเสร็จแล้วบูมก็ขับรถมาส่งทิวที่บ้าน หลังจากที่นั่งคิดในรถมาสักพัก บูมก็ตัดสินใจว่า "คืนนี้เรานอนเป็นเพื่อนนายดีกว่า ได้ไหม"

"นายจะนอนได้หรือเปล่าล่ะ มันแคบหน่อยนะ"

"เมื่อก่อนเราก็เคยมานอนออกบ่อย ทำไมจะนอนไม่ได้ล่ะ แคบก็ดีสิ จะได้..." บูมทำหน้าทะเล้นใส่ แล้วก็หัวเราะด้วยกัน

"เอาเหอะๆ ถ้านายไม่รังเกียจ เราก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"

สรุปว่าบูมก็จะนอนเป็นเพื่อนทิวนั่นแหละ เขาตั้งใจมาอยู่แบบนี้อยู่แล้วนี่นา ถ้าทิวไม่ยอมให้เขานอนด้วยวันนี้บูมก็จะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด

พออาบน้ำเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็อยู่ในชุดที่คล้ายๆ กันคือกางเกงขาสั้นแบบบ็อกเซอร์และเสื้อกล้ามสีขาว ล้วนแล้วแต่เป็นของทิวทั้งนั้นเพราะบูมไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย

"บูม นายรู้ตัวหรือเปล่าว่านาย... หล่อมากเลยนะ ดูภูมิฐานขึ้นเยอะเลย" ทิวบอกขณะที่เขากับบูมยืนอยู่กลางห้องด้วยกัน บูมสวมกอดเขาไว้หลวมๆ

"แล้วทิวชอบหรือเปล่าล่ะ" บูมถามด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ที่ทิวไม่เคยได้ยินมาก่อน แววตาของบูมก็ดูแปลกๆ ไปด้วย พอบูมเขยิบเข้ามาใกล้ ทิวก็ยิ่งหวั่นไหวมากขึ้นจนใจเต้นไม่เป็นส่ำ รูปร่างที่กำยำสมส่วนราวเทพบุตร กลิ่นกายที่แสนรัญจวนใจปลุกอารมณ์ของทิวให้เตลิดไปไกลเสียแล้ว

พอเห็นทิวไม่ตอบแต่เขินอาย บูมก็ยิ่งรุกหนักขึ้น "ชอบหรือเปล่าล่ะทิว" ใบหน้าของบูมกับทิวอยู่ห่างกันนิดเดียวจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

ทิวพยักหน้าน้อยๆ แล้วยิ้มเขิน พอเผลอปั๊บ บูมก็ดันตัวเขาลงมานั่งบนเตียง จากนั้นบูมก็ดันตัวทิวให้ค่อยๆ นอนลงบนเตียง พร้อมกับใบหน้าของเขาที่โน้มต่ำตามลงมาเรื่อยๆ

"เรารักนายนะทิว เราคิดถึงนาย เรารอคอยเสมอที่จะได้พบนายอีกครั้ง ต่อไปนี้ เราจะอยู่ดูแลนายเอง ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากแค่ไหนเราก็จะไม่ทิ้งนายไปไหนอีก" แม้ว่าจะพูดด้วยเสียงที่เบา แต่ทุกคำพูดของบูมก็ดูหนักแน่นจริงจัง

"เราก็รักนาย" ทิวพูดได้แค่นั้น ริมฝีปากของบูมก็ปิดปากเขาไว้ทันที บูมค่อยๆ บรรจงจุมพิตทิวอย่างรักใคร่ อ้อยอิ่งและเนิ่นนาน ทิวเสียวสะท้านจนต้องกอดเขาไว้เสียแน่น

บูมหยุดและยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็เปลี่ยนจุดหมายไปที่บริเวณต้นคอและใบหู ทิวดูเหมือนจะจั๊กกะจี้ก็เลยขำออกมา บูมเห็นแล้วก็อดเอ็นดูและหมั่นเขี้ยวไปด้วยไม่ได้

"ทิวพร้อมหรือยัง" บูมถามพลางยิ้มละไม

ทิวพยักหน้าเบาๆ แม้จะหวั่นๆ บ้าง แต่เมื่อเป็นบูมแล้วทิวก็ไว้ใจทุกอย่าง ไม่ว่าบูมจะให้ทำอะไรหรือพาไปทางไหน ทิวก็พร้อมที่จะตามไปทุกที่

"ไม่กลัวใช่ไหม" น้ำเสียงนั้นแฝงความห่วงใยอยู่ในที

ทิวส่ายหน้า

บูมจึงเริ่มบทรักที่หนักหน่วงขึ้น เขาไม่เคยรู้สึกว่าจะมีบทรักครั้งไหนที่ช่างอบอุ่น หอมหวานและสมบูรณ์แบบได้เท่าครั้งนี้อีกแล้ว บูมมีความสุขอย่างไที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทิวเองก็เหมือนกัน ไม่ว่าบทรักนั้นจะหนักหรือเบา เขาก็พร้อมที่จะไปกับบูม เพราะทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมาจากความรัก หาใช่ความต้องการตามธรรมชาติเพียงอย่างเดียวไม่ เมื่อมีความรักแล้วไม่ว่าจะทำอะไรก็มีความสุขทั้งนั้น บูมจึงใช้เวลาในคืนนี้ปรนเปรอความสุขให้ทิวอย่างเต็มที่ เขายินดีที่จะทำให้ทิวมีความสุขเท่าที่เขาจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นแรงกาย ร่างกาย ความรักและชีวิตของเขา เพื่อที่จะชดเชยให้กับความเจ็บปวดทรมานที่ทิวเคยได้รับมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ค่ำคืนที่แสนยาวนานนี้คงจะเป็นค่ำคืนที่เขาทั้งสองคนจะต้องจดจำไว้ตราบนานเท่านาน

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

65. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #63
 
26-Mar-12, 01:14 PM (SE Asia Standard Time)
 
   โรแมนติดสุด ๆ เลยครับ
อิจฉา อิจฉา อิจฉา อิ อิ อิ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
FIAT
Guest

66. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #65
 
27-Mar-12, 09:43 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ว้าว.... อิจฉาเรยยยย


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
โอ
Guest

67. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #66
 
28-Mar-12, 04:05 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ผมเพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรก วางไม่ลงเลยคับอ่านตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนล่าสุด ประทับใจมาก อ่านไปก็น้ำตาคลอไปอยากให้ทำเป็นหนังหรือซีรีย์เลย คงจะสนุกและซึ้งมากๆ เป็นกำลังใจให้นะคับจะรอติดตามตลอด ^^


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
ตาแป๊ะขายขวด
Guest

68. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #67
 
28-Mar-12, 06:08 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบครับ ลุ้นๆ มาต่อไวๆนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

69. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
28-Mar-12, 10:16 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 21

เช้าวันใหม่แล้ว ทิวตื่นขึ้นแต่เช้ามืดเป็นคนแรกเพราะต้องเตรียมตัวไปทำงานให้ทันตอนเจ็ดโมงเช้า แต่พอนึกได้ว่ามีใครบางคนนอนอยู่ข้างๆ ทิวก็หันไปมองดูบูมที่นอนหลับไหลอย่างเป็นสุข มือข้างหนึ่งของบูมพาดทับอยู่บนตัวเขา ทิวค่อยๆ ดึงมือข้างนั้นมาแนบแก้มของตัวเอง น้ำตาแห่งความดีใจมันจะไหลออกมาอีกแล้ว ชีวิตที่เคยอ้างว้างเดียวดายของทิวได้หมดไปเมื่อมีบูมอยู่ข้างๆ มันทำให้เขามีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

ทิวค่อยๆ วางมือของบูมลงและค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้บูมตื่น แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเพราะบูมเริ่มรู้สึกตัวและลืมตาขึ้น เขาถามทิวด้วยอาการงัวเงียว่า "ทิวจะไปไหนครับ"

วิธีเรียกของบูมทำให้ทิวต้องมองด้วยความสงสัย ทำไมบูมถึงพูด "ครับ" กับเขา

"ไปอาบน้ำ เราต้องไปทำงานแต่เช้า"

"เดี๋ยวก่อนสิ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ นี่ยังเช้ามืดอยู่เลยนะ กี่โมงแล้วเนี่ย" แล้วบูมก็หันไปดูนาฬิกาที่หัวเตียง "ตีห้าครึ่งเอง ทำไมต้องรีบไปล่ะ"

"เราต้องเข้างานเจ็ดโมงเช้า" ทิวบอกพลางแอบขำที่บูมทำงัวเงียเหมือนเด็ก

บูมลุกขึ้นนั่งแล้วก็สวมกอดทิวไว้เบาๆ จากข้างหลัง "อยู่กับเราก่อนนะ ตั้งสี่ปีกว่ากว่าจะได้มาเจอกัน เราคิดถึงนายมากรู้หรือเปล่า"

ทิวได้แต่ยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร

"ทิว..." บูมเรียกเสียงเบา

"หืม"

"เมื่อคืน... นายมีความสุขหรือเปล่า"

เจอคำถามนี้เข้าไปทิวก็เลยก้มหน้าด้วยความเขินอาย

"ว่าไงล่ะทิว ชอบหรือเปล่า" บูมถามย้ำเหมือนกับจะต้องได้คำตอบนี้ให้ได้

ทิวพยักหน้าด้วยความเขินอาย

"จริงเหรอ..." บูมยิ้มดีใจ "เราดีใจที่นายมีความสุขนะ" แล้วบูมก็กระชับอ้อมแขนเพื่อให้ทิวเข้ามาแนบชิดกับตัวเขามากขึ้น "ทิว... แล้วนาย... อยากมีความสุขแบบเมื่อคืนอีกไหม" พูดไม่พูดเปล่า มือของบูมก็เริ่มอยู่ไม่สุข

"บูม... เดี๋ยวนี้นาย..." จะบอกว่าไงดีล่ะ บ้ากามหรือหื่นดี แล้วมันจะแรงไปไหม

"เฉพาะกับนายเท่านั้นแหละ" บูมเหมือนจะเดาได้ว่าทิวจะว่าเขาว่าอะไร "ก็ใครใช้ให้นายน่ารักแบบนี้ล่ะ นะทิวนะ นะๆๆๆ"

ทิวหัวเราะขบขันกับการอ้อนเหมือนเด็กของเพื่อน แต่มันก็ทำให้หัวใจที่เคยแห้งผากของเขาชุ่มชื้นพองโตขึ้นมากทีเดียว ทิวยังไม่ตอบ แต่หมุนตัวแล้วหันหน้าไปหาบูม ก่อนจะพูดว่า "เรื่องอะไร"

แล้วทิวก็ทำท่าจะลุกหนี แต่ไม่มีทางเสียละ บูมคว้าตัวทิวไว้แล้วก็เล่นกอดปล้ำกันไปมาอย่างสนุกสนาน "จะหนีไปไหน"

เสียงหัวเราะหยอกล้อค่อยๆ เงียบลงเมื่อบูมขึ้นมาทาบทับอยู่บนตัวทิว "เราไม่ได้เป็นคนหื่นนะทิว แต่พออยู่ใกล้ๆ กับนายแล้วเราอดใจไม่ไหว เราอยากจะปลอบให้นายหายเศร้า เราอยากจะทำให้นายมีความสุข"

แต่พอเห็นทิวทำเป็นเงียบๆ บูมก็เริ่มน้อยใจ "แต่ถ้านายไม่ชอบก็ไม่เป็นไร" พูดจบแล้วเขาก็หันตัวออกไปนอนบนหมอนของตัวเอง

"ได้ไงล่ะ มาทำให้เราตื่นแบบนี้แล้วต้องรับผิดชอบสิ"

บูมได้ยินทิวพูดแบบนั้นแล้วก็หัวเราะชอบใจเสียงดัง เขาหันมามองหน้าทิว จากหน้าที่ยิ้มๆ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซึ้งๆ "เรารักนายนะทิว ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้นายจำไว้นะว่าเรา...รักนาย"

ทิวพยักหน้ารับคำแล้วก็ยิ้ม สรุปว่า ตอนเช้านี้ทิวก็ถูกพายุความต้องการทั้งของบูมและของเขาเองพัดโหมกระหน่ำไปอีกรอบ เล่นเอาแทบจะไม่มีแรงไปทำงานเลย

ใครอาจจะหาว่าบูมเป็นคนบ้ากาม แต่บูมไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ที่เขาเลือกที่จะมีสัมพันธ์ทางกายกับทิวนั้นเพราะเขาต้องการที่จะผูดมัดตัวเองไว้ให้แน่นขึ้น ความสัมพันธ์ทางใจอย่างเดียวอาจไม่ทำให้สายใยแห่งความรักนั้นเหนียวแน่นมากพอ โดยเฉพาะเมื่อจะต้องเผชิญกับอุปสรรคในวันข้างหน้าที่เขาเองก็คาดเดาอะไรไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

บูมคิดว่าเขาตัดสินใจไม่ผิด หลังจากที่ความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น ทำให้เขารู้สึกหวงแหนและอยากปกป้องคนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย ความรู้สึกโหยหา คิดถึง อยากอยู่ใกล้ อยากสัมผัสก็มีมากขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะความรู้สึกของการเป็นเจ้าของทั้งใจและกายได้เกิดขึ้นตามกลไกธรรมชาติเมื่อมีความสัมพันธ์ทางกายนั่นเอง

ก่อนออกจากบ้าน พอบูมเห็นทิวใส่ชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อ เขาก็อดที่จะน้ำตาไหลด้วยความสงสารทิวไม่ได้ เขายังไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับทิวบ้าง แต่บูมก็พอเดาได้ว่าชีวิตของทิวคงลำบากมาก เห็นแล้วก็ยังอดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าเขาไม่ควรหนีหายไปแบบนั้นเลย ถ้าเขายังอยู่ ทิวก็อาจจะไม่ลำบากถึงขนาดนี้

บูมขับรถมาส่งทิวที่หน้าสะดวกซื้อหน้าปากซอย พี่พงษ์ดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่เห็นทิวมาทำงานด้วยรถยนต์ยี่ห้อหรูราคาแพงแบบนั้น

"ตอนเย็นเรามารับนะ" บูมบอก ทิวพยักหน้าและยิ้มให้ แล้วบูมก็ค่อยๆ ขับรถออกไป

----------------------------------------------------------------------

ตอนเย็นๆ บูมก็มารับทิวที่ร้านตรงเวลาเป๊ะ วันนี้บูมขอให้ทิวยกเลิกไปเล่นดนตรีก่อนเพราะเขาอยากจะฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงสี่ปีกว่าๆ ที่ผ่านมาของทิว รวมทั้งเรื่องราวบางอย่างที่ทิวอาจไม่รู้ และเป็นต้นเหตุให้เขาต้องไปจากทิวทั้งที่ยังรักกัน

หลังจากกินข้าวที่ซื้อมาจากข้างนอกแล้ว บูมกับทิวก็มานั่งคุยกันตรงที่นั่งเล่นหน้าบ้าน ทิวเห็นบูมปิดโทรศัพท์ เขาก็เลยปิดโทรศัพท์บ้าง การคุยกันครั้งนี้คงยาวนานและบูมไม่ต้องการให้ใครรบกวน

"ทิว... เล่าให้เราฟังเท่าที่นายจะเล่าให้เราฟังได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายอย่าหยุด เราจะฟังจนกว่านายจะเล่าจบ หลังจากนั้น เราจะเล่าอะไรบางอย่างให้นายฟัง ตกลงไหม"

ทิวพยักหน้าเห็นด้วย "ได้"

"พร้อมหรือยัง"

ทิวพยักหน้าแล้วก็เริ่มเล่า "วันสุดท้ายที่โรงเรียน เราพยายามมองหานาย แต่ก็ไม่เจอ ตอนนั้นเราน้อยใจมากว่าทำไมนายถึงไม่อยากเขียนอะไรให้เราบ้าง เราเจอต้อง ต้องมาบอกว่านายกำลังจะกลับบ้าน เราก็รีบวิ่งไปหานาย แต่ก็ไม่ทัน เราเห็นรถเก๋งของแม่นายวิ่งออกไปแล้ว เราก็วิ่งตาม แต่..." ทิวหยุดพูดด้วยความสะเทือนใจ แต่เมื่อตกลงกับบูมไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเล่าต่อให้จบ ทิวก็ต้องเล่าต่อ

ฟากของบูมนั้น เขาก็รู้สึกสะเทือนใจไม่ต่างกัน น้ำตาเริ่มไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว แต่พอรู้ตัวแล้ว เขาก็ปล่อยให้มันไหลอยู่อย่างนั้น ไม่คิดจะทำอะไรกับมัน

"ช่วงปีแรก เรา...เสียใจมาก แต่ก็พยายามคิดว่า นายคงมีเหตุผลบางอย่างที่เราอาจจะไม่รู้ และก็อาจจะสำคัญมากจนทำให้นายต้องจากไปแบบนั้น แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันคือเหตุผลอะไร บางครั้งเราก็สงสัยว่าเราทำอะไรผิดหรือเปล่า และที่สงสัยมากก็คือ ทำไมนายไม่เคยติดต่อเรามาเลย นายลืมเราไปหรือเปล่า บางครั้งก็สงสัยว่านายเคยคิดถึงเราบ้างไหม มันทรมานมาก พอแม่เห็นเรากินไม่ได้นอนไม่หลับ บางครั้งก็ร้องไห้ แม่ก็เลยถาม เราก็เลยต้องเล่าให้แม่ฟัง พอแม่ฟังจบก็ถามเราว่า เราเป็นเกย์หรือเปล่า เราก็ตอบว่าใช่ แต่แม่... ก็ไม่ได้รังเกียจเรา แม่รับได้ จนกระทั่งเราเรียนมหาลัยปีสอง เราก็เริ่มทำใจได้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเราต้องเรียนหนัก ก็เลยไปใช้เวลากับการเรียน แต่ก็ไม่ได้ลืมนะ เพื่อนเก่าๆ ของเราอย่างไอ้ต้อง ไอ้ปุ้ยก็เคยมาถามเราว่าได้เจอกับนายหรือได้ข่าวคราวของนายบ้างไหม เราก็ตอบว่าไม่เคยเลย เหมือนพวกนั้นก็ไม่ค่อยพอใจนายอยู่เหมือนกัน"

"แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น แม่ของเรา...หัวใจวายเฉียบพลันเพราะความเครียด แล้วแม่ก็จากไป ตอนนั้นต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเราอยู่หลายวันเพราะเขากลัวว่าเราจะคิดสั้น ชีวิตตอนนั้นเราแย่มาก เราแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เลย" ทิวหยุดอีกครั้งเพราะพูดถึงแม่ทีไรเขาก็อดจะสะท้อนใจไม่ได้ "เราเพิ่งมารู้ตอนหลังว่า... ที่แม่เครียดเป็นเพราะว่า แม่ต้องคอยหาเงินมาใช้หนี้ เพราะแม่ไปกู้เงินนอกระบบมาให้เราเรียนหนังสือ แต่หลังจากแม่เราเสียไปแล้ว เจ้าหนี้ของแม่ก็มาหาเรา แล้วบอกให้เราหาเงินที่เหลือมาใช้หนี้ที่แม่กู้มาสามแสนกว่าบาท รวมดอกเบี้ยแล้วก็เกือบสี่แสน ตอนแรก เราต้องขายรถของแม่ ได้เงินมาประมาณแสนหนึ่งเราก็ให้เขาไป แต่หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าให้หาเงินมาจ่ายให้เขาเดือนละหนึ่งหมื่นบาททุกเดือนตามข้อตกลงในสัญญา เราก็เลยต้องออกจากมหาลัยมาทำงานใช้หนี้"

พอทิวพูดมาถึงตรงนี้บูมก็กำมือแน่นพร้อมกับสะอื้น เขามองดูทิวด้วยสายตาเจ็บปวด มิน่าล่ะ ทิวถึงต้องมาทำงานแบบนี้ ทิวสบตากับบูมเหมือนจะถามว่าไหวไหม บูมพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ทิวเล่าต่อไป

"เราไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้เพราะเราเรียนไม่จบ โชคดีที่เพื่อนที่มหาลัยพาไปฝากงานที่ร้านอาหารที่หนึ่ง เราก็เลยหันมายึดอาชีพร้องเพลงในร้านอาหาร ก็ทำอยู่หลายที่ บางคืนก็ทำสองที่ แต่มากกว่านั้นก็ไม่ไหวเพราะบางที่ก็อยู่ไกลกัน เราไม่มีรถขับไปเอง ต้องใช้แท็กซี่ ขึ้นรถเมล์ก็กลัวจะไปไม่ทัน บางวันก็กลับดึกมาก ก็ได้เงินมาพอใช้หนี้และใช้ส่วนตัวบ้าง แต่ก็ไม่มีเหลือเก็บเลย ตอนกลางวันเราก็ฝึกเล่นกีตาร์ที่บ้านเพิ่มเติม บางร้านเราก็ทั้งร้องทั้งเล่นเอง แต่บางร้านเราก็ไปร้องอย่างเดียว แล้วเราก็ได้รู้จักกับคุณเชน ลูกชายเจ้าของร้านอาหารที่หนึ่งที่เราไปร้องเพลง คุณเชนมาชอบเรา ตอนนั้นเราอ่อนไหวมาก พอมีคนมาทำดีด้วยเราก็เผลอใจ แต่เราไม่ได้รักเขาหรอก เราแค่อยากมีใครสักคนบ้างเพราะตอนนั้นเราไม่มีใครเลย แม่ก็ไม่อยู่ ตอนนั้นก็เหลือต้องเพียงคนเดียวที่ยังคบเป็นเพื่อนกัน แต่ต้องก็ไม่ได้มาหาเราบ่อยๆ แต่ท้ายที่สุด เราก็เลิกคบกับคุณเชนไปเพราะมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นพวก...ซาดิสม์ แล้วเราก็เลิกไปร้องเพลงที่ร้านนั้นด้วย"

"แต่พอเลิกแล้วเราก็ได้รายได้น้อยลง แทบไม่พอใช้หนี้และไม่พอกิน ตอนแรกเราก็ยืมต้อง แต่เดือนต่อมามันก็ไม่พอใช้อีก เราไม่รู้จะทำยังไง พอดีมีเพื่อนที่รู้จักคนหนึ่ง เขารู้จักพี่เจ้าของบาร์เกย์ ตอนแรกเราก็ไม่คิดจะทำแบบนี้หรอก แต่ตอนนั้น เราไม่มีทางเลือก เราก็เลยต้องไป" ทิวสะอื้นด้วยความสะเทือนใจเมื่อพูดถึงตรงนี้

บูมก็สะเทือนใจไม่แพ้กัน ดูเขาตกใจมาก ไม่คิดว่าชะตาชีวิตของทิวจะเข้าตาจนถึงขนาดนั้น ถ้าเขาอยู่ ทิวคงไม่ต้องทำแบบนี้ เขาเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ทิ้งทิวไปในเวลานั้น เขาทำไปได้ยังไง

"วันแรกที่เราไปทำงานนี้ ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไรเพราะเรายังหน้าใหม่ จนเริ่มดึก เราก็ได้แขกคนหนึ่ง เราก็ออกไปกับเขา แต่พอเขาจะทำอะไรเราจริงๆ เราก็รับไม่ได้ ก็เลยบอกให้เขาหยุด ตอนแรกเขาไม่ยอมเพราะจ่ายเงินแล้ว แต่เราก็ไหว้อ้อนวอนเขาว่าอย่าทำอะไรเราเลย แล้วก็เอาเงินในกระเป๋าที่เรามีสองพันให้เขาไป เราไม่รู้ว่าพอหรือเปล่า แต่เขาก็ยอม ตอนนั้นเราก็กลับมาบ้าน มีเงินเหลือติดตัวแค่สองร้อย วันนั้นเรารู้สึกสภาพจิตใจย่ำแย่มาก จนเราคิดจะฆ่าตัวตาย จริงๆ เรากำลังจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำฆ่าตัวตายแล้วล่ะ แต่เราได้ยินเสียงโทรศัพท์ เราสงสัยว่าใครโทรมาก็เลยลงมารับ แต่ก็ไม่มีเสียงคนพูด เราคิดว่าเป็นนายโทรมา ก็เลยถามว่า ใช่บูมหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ แต่มันก็ทำให้เราเลิกคิดฆ่าตัวตาย เรารู้ว่าเป็นนาย แค่เรารู้ว่านายยังนึกถึงเราอยู่ เราก็มีความหวัง เราก็เลยคิดในใจว่า ต่อให้ลำบากอีกสักแค่ไหน เราก็จะยอมลำบากทุกอย่าง ขอให้เราได้เจอนายอีกครั้ง"

ถึงตรงนี้บูมก็สะอื้นด้วยความสะเทือนใจ "ทิว...เราขอโทษ" บูมพูดด้วยเสียงเบาหวิว เขาจำได้ว่าเขาโทรมาเพราะรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เขานึกขอบคุณที่อะไรบางอย่างดลใจให้เขาโทรมา ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาก็อาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าทิวอีกเลย

"แต่ตอนนั้นเราก็ลำบากมากจริงๆ เพราะหลังจากจ่ายค่ารถไป เราก็มีเงินเหลือแค่ไม่กี่บาท ตอนเช้าวันนั้นพี่บีมมาหาเรา เราเดาเอาว่านายคงบอกให้พี่บีมมา พี่บีมบอกว่านายยังคิดถึงเราอยู่ นายไม่ลืมเรา เราดีใจมากที่ได้รู้อย่างนั้น มันทำให้เรามีกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป พอพี่บีมไป เราก็ไปขอให้พี่ๆ วินมอไซค์ช่วยให้เราได้ขับวินมอร์ไซค์ในซอยเพื่อหารายได้เสริม เราก็ทำอยู่พักหนึ่ง ก็ได้รู้จักกับพี่พงษ์ที่เป็นผู้จัดการที่เซเว่น พี่พงษ์ชวนเรามาทำงานที่นี่ เราก็เลยมา ก็ช่วยเราได้เยอะ เพราะทำให้เรามีรายได้หลัก แล้วก็ร้องเพลงเป็นรายได้เสริม จนกระทั่ง วันนั้นเราก็ได้เจอกับนายโดยบังเอิญ..." พูดมาถึงตรงนี้แล้วทิวก็รู้สึกสะดุดใจ เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่าบูมมีแฟนแล้วนี่นา...

"แล้วทำไมนายต้องขายบ้านล่ะทิว" บูมถือโอกาสถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเรื่องมาถึงปัจจุบันแล้ว เขารู้ว่าทิวน่าจะนึกได้แล้วเรื่องที่เขามีแฟน แต่เขาจะยังไม่พูดเรื่องนี้ตอนนี้

"ก็... เจ้าหนี้ของเรา เขาจะขอให้เราจ่ายเงินที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นบาท เพราะเขาต้องใช้ด่วนภายในสิ้นเดือนนี้ แต่เราไม่มีให้ เราก็เลยจะขายบ้าน คงพอมีเงินเหลือบ้าง เราก็ว่าจะไปซื้อคอนโดอยู่"

"โธ่ทิว" บูมพูดด้วยความสะเทือนใจ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาทิว ทิวเหมือนจะรู้ว่าบูมต้องการอะไร เขาจึงลุกขึ้นแล้วบูมก็กอดเขาไว้

"เราขอโทษ... เราขอโทษจริงๆ ทิว เรามันขี้ขลาด เรามันเห็นแก่ตัว ปล่อยให้นายลำบากอยู่คนเดียว เราเสียใจที่เราไม่ได้มาอยู่กับนายตอนที่นายต้องการใครสักคน ทั้งๆ ที่นายก็ดีกับเรามาก นายเป็นเพื่อนคนแรกที่ดีกับเรามาก เราตกบันไดเจ็บขานายก็มาช่วยทั้งๆ ที่เราก็ทำไม่ดีกับนาย เราอยากเข้าชมรมดนตรีนายก็มาสอนร้องเพลงให้ จนเราได้เป็นนักร้องนำของวง นายดีกับเรามากขนาดนั้น แต่เรากลับทิ้งนายไป เราเกลียดตัวเองเหลือเกินทิว เราเกลียดตัวเอง... เราเกลียดตัวเองที่ขี้ขลาดแบบนั้น" บูมร้องไห้ฟูมฟาย

"ช่างมันเถอะบูม มันผ่านไปแล้ว แต่เราเชื่อว่านายมีเหตุผลบางอย่าง นายเล่าให้เราฟังได้ไหม"

บูมค่อยๆ ปล่อยเพื่อนแล้วพยักหน้าตกลง เขากลับไปนั่งที่เดิม สงบสติอารมณ์สักพักก็เริ่มเล่าบ้าง "เรื่องมันเกิดในวันเกิดของเราเอง ที่เราเชิญเพื่อนๆ มางานวันเกิดของเราที่บ้าน ตอนก่อนจะกลับ เราตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะบอกนายว่าเราคิดยังไงกับนาย แต่แม่ก็มาเรียกเราเสียก่อน พอทุกคนกลับไป เราก็ถูกแม่เรียกขึ้นไปถามว่า... เรากับนายสนิทกันมากแค่ไหน เราก็ตอบไปว่าสนิทกันมาก แต่แล้วแม่ก็ขอให้เราเลิกคบกับนายอย่างเด็ดขาด เพราะแม่ไปรู้มาว่า...นายเป็นเกย์ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่รู้ได้ยังไง วันต่อมา... ถ้านายจำได้เราก็บอกนายว่า เราเลิกคบกันเถอะ เราเสียใจมากนะทิว แต่เราก็ขี้ขลาดเกินไป เรามัวแต่กลัวจนลืมไปว่าเราควรทำอะไรบางอย่าง วันสุดท้ายที่โรงเรียน ตอนแรกเรายอมรับว่าเราหลบหน้านายเพราะเราละอายใจตัวเอง แต่พอรู้ว่าจะต้องจากไปเราก็วิ่งตามหานาย เราเจอต้อง เราบอกให้ต้องช่วยตามหา แต่แม่ก็มาเสียก่อน เราก็เลยต้องไป"

"ถามว่าเราเสียใจไหม เราก็บอกได้เลยว่าเราเสียใจมาก เราแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนเลยในปีแรกๆ ที่ไปเรียนที่อเมริกา ผลการเรียนก็ย่ำแย่มาก ก็ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะผ่านมาได้ แต่เราอยากติดต่อนายนะทิว แต่เราก็ละอายใจจริงๆ ที่เราเป็นคนขี้ขลาด เราคิดว่าเราไม่คู่ควรกับนาย นายควรจะได้เจอคนอื่นๆ ทีดีกว่าเรา พอคิดแบบนั้น มันทำให้เราไม่กล้าติดต่อมาหานาย แม้กระทั่งเวลาที่เรากลับบ้าน เราก็ไม่ได้มาหาหรือโทรมา แต่ถามว่าคิดถึงไหม ก็คิดถึงมาก เราไม่เคยลืมนายเลย แต่... ชีวิตของเราก็ไม่มีอะไรมาก พออยู่ที่นั่นเราก็มีอิสระมากขึ้น หลังๆ พ่อแม่ก็เริ่มเข้มงวดกับเราน้อยลง แต่เรื่อง...ผู้หญิงคนนั้นที่นายได้เจอเขาแล้วที่เซเว่น เขาเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อ อายุเท่ากับเรา ไปเรียนเมืองนอกพร้อมๆ กับเรา เรียนที่เดียวกัน พ่ออยากให้เราเป็นแฟนกันก็เลย...ทำให้เรากับแพรวคบกันมาจนถึงทุกวันนี้ เราหมั้นกันแล้ว แล้วครอบครัวของเราก็อยากให้เราแต่งงานกันภายในปีสองปีนี้"

บูมสบตากับทิว เห็นสายตาที่มีคำถามของทิวแล้วบูมก็พูดอะไรไม่ออก จุดเริ่มต้นของความยุ่งยากคงจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ เขาจะดึงให้ทิวต้องมาเจ็บช้ำและเสียใจอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่เขาตัดสินใจกลับมาหาทิวและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบนี้

"แล้วนาย...รักเขาหรือเปล่าล่ะ" ทิวถามเสียงเบาพลางมองหน้าบูมด้วยความสงสัยและไม่แน่ใจระคนกัน มันเจ็บไม่ใช่เล่นเลยที่ได้รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับคนที่มีเจ้าของแล้ว

แล้วบูมจะตอบคำถามนั้นของทิวยังไงล่ะทีนี้???

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
beyonce
Guest

70. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #69
 
28-Mar-12, 11:26 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ฮือๆๆๆ อ่านไปน้ำตาไหลไป ...

เศร้า อ่ะ

แต่ก้อขอบคูณ คุณ Sarawatta ที่มาต่อให้ รอตอนต่อไปอยู่นะครับ อยากอ่านต่อไวๆ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

71. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
30-Mar-12, 05:14 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 22

บูมถอนหายใจด้วยความหนักใจ มันอาจจะไม่ใช่คำถามที่ตอบได้ยากนัก แต่การที่เขาจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับแพรวเลยนั้นก็ดูจะเกินความจริงมากไป

"เรา..." บูมพูดแล้วก็หยุดเพราะไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ทิวก็ดูเหมือนจะรอคำตอบจากเขาอยู่ "เรารู้จักกับแพรวมาสี่ปีกว่า ก็...เป็นธรรมดาที่เราคงรู้สึกผูกพันกัน"

ได้ยินแค่นี้ทิวก็หันหน้าหนีและกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมาอีก เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น นี่บูมกำลังเล่นอะไรอยู่ เขาจะรู้ไหมว่าเขากำลังสร้างความยุ่งยากให้กับชีวิตของทิวและผู้หญิงคนนั้น

บูมเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วเขาก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรต่อดีหรือไม่ เขาไม่อยากทำให้ทิวต้องเสียใจ ทิวเสียใจเพราะเขามามากพอแล้ว "แต่ถ้าเลือกได้...เราก็เลือกนาย"

ทิวหันกลับมามองบูมด้วยความสนใจอีกครั้ง รอคอยฟังสิ่งที่บูมจะพูดต่อไป

"นายไม่รู้หรอกทิวว่าชีวิตของเราที่ดูสะดวกสบายไปทุกอย่างนั้น ในอีกด้านหนึ่งเราก็ไม่แทบจะไม่มีอิสระที่จะเลือกหรือคิดอะไรเลย แม้กระทั่งความรัก...เราก็เลือกเองไม่ได้ ถ้านายคิดว่า...ที่เรามาหานายครั้งนี้จะสร้างปัญหาให้กับนาย เราก็ขอโทษ...แต่เราอยากให้นายรู้ว่า...ถ้าเราไม่รักนายจริงๆ เราก็คงไม่กลับมาหา เราคงไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับนายแบบนั้น จริงๆ เรื่องนี้เป็นเหตุผลสำคัญหนึ่งที่ทำให้เราไม่ติดต่อนายและไม่คิดจะกลับมาหาอีก เรารู้ว่ามันมีแต่จะทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ที่ผ่านมาเราก็ทำปัญหาให้นายมากพอแล้ว เราไม่อยากกลับมาทำให้นายต้องเจ็บปวดอีก แต่ที่เรากลับมาก็เพราะเราได้เจอนายโดยบังเอิญวันนั้น แล้วมันก็ทำให้เราห้ามใจตัวเองไม่ได้ จนในที่สุดก็ต้องกลับมา เราไม่ได้อยากนำปัญหามาให้นายหรอกนะทิว เรามาเพราะว่าเราคิดถึงและรักนายเท่านั้น แต่เราก็รู้ว่า...มันไม่ถูกต้องหรอกที่คนที่มีคู่หมั้นอย่างเราจะมีความสัมพันธ์กับอีกคน ก็แล้วแต่นายนะทิว ถ้านายไม่อยากมีปัญหา เราก็เข้าใจ เราก็ยินดีที่จะยุติทุกอย่าง เราก็จะกลับไป เราก็คงจะต้องแต่งงานกับคนที่พ่อกับแม่หาให้"

"บูม" ทิวเรียกด้วยน้ำเสียงเศร้าสะเทือนใจ นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ทิวจะตัดสินใจ จะปล่อยให้ความสัมพันธ์มันเกิดขึ้นต่อไปเขาก็ไม่อยากทำร้ายผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จะยุติความสัมพันธ์แบบคนรักกันก็คงจะเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย จะทำอย่างไรดี จะกลืนก็ไม่เข้าจะคายก็ไม่ออก

"แต่ไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง เราก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอร้องนาย" บูมหยุดแล้วก็ลุกขึ้นเดินมาหาทิว ทิวก็ลุกขึ้นตาม

"ขอให้เราได้ช่วยนายบ้างนะทิว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนี้สินหรือเรื่องเรียน ถ้าเราไม่ได้ช่วยนาย เราคงรู้สึกผิดบาปไปตลอดชีวิต เพราะเราก็มีส่วนทำให้ชีวิตนายต้องลำบากแบบนี้ นะทิว...ให้เราช่วยนาย เราอยากให้นายเรียนหนังสือ เราอยากให้นายมีอนาคตที่ดีกว่านี้"

"บูม" ทิวก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธเรื่องไหนหรือตอบรับเรื่องไหนก่อน เขาต้องการเวลาคิดทบทวน เขาตอบอะไรตอนนี้ไม่ได้

เห็นทิวเงียบแบบนั้นบูมก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงเร่งเร้ามากเกินไป เพราะแต่ละเรื่องคงไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินใจได้ง่ายขนาดนั้น

"นายคิดดูก่อนก็ได้ทิว ทั้งสองเรื่อง" แล้วบูมก็ดึงมือทั้งสองข้างของทิวมาจับไว้ "แต่ถ้านายเชื่อใจและมั่นใจในตัวเรา เราก็อยากให้นายไปกับเรา อยู่ข้างๆ เรา ต่อสู้ปัญหาทุกอย่างด้วยกัน ที่เราตัดสินใจกลับมาครั้งนี้ เรารู้ว่ามันจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน แต่ถ้าเรามัวแต่กลัวมัน เราก็จะต้องหนีมันตลอดไป เราก็จะเป็นคนขี้ขลาดอยู่วันยังค่ำ ลองคิดดูละกันนะทิว ถ้านายเองก็รักเรา อยากอยู่กับเรา เราก็ต้องสู้ไปด้วยกัน ก็ชีวิตเรามันเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่เราก็ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้ต่อไป เราก็มีชีวิต เราก็มีหัวใจของเรา หัวใจที่มันควรจะได้รักคนที่อยากรัก เพราะยังไงมันก็รักคนที่มันไม่ได้รักไม่ได้ เราต้องการนายนะทิว"

คราวนี้ทิวเป็นคนที่โผเข้ากอดบูมบ้าง ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ทำใจยากสักแค่ไหน ตามความรักก็มีอิทธิพลมากกว่า

"ทิว...เราต้องการนาย เราอยากให้นายอยู่ข้างๆ เรา ถ้านายไม่กลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา นายอยู่กับเรานะ อยู่กับเรานะทิว เราจะไม่จากกันไปไหนอีก"

ยิ่งได้ฟังแบบนี้ จากที่รักมากอยู่แล้วก็คงจะยิ่งรักสุดหัวจิตหัวใจ ทิวแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิดทบทวนใดๆ เลย

ทิวกับบูมมองหน้าและสบตากัน จากนั้นก็ยิ้มให้กัน ทิวให้คำตอบแรกกับบูมได้แล้ว ก็เหลือแค่คำตอบที่สองที่ทิวคงต้องใช้เวลาคิดมากหน่อย

"อืม... เห็นคนเศร้าแบบนี้ สงสัยเราคงต้องอยู่ปลอบขวัญคนเศร้าอีกคืนแน่ๆ เลย" บูมพูดติดตลกด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง

"คนบ้ากาม" ทิวแอบว่าด้วยการทำปากขมุบขมิบ

"ว่าเราเหรอ" บูมถามพลางขำเบาๆ มองดูทิวด้วยสายตาเอ็นดู "เราไม่ใช่คนบ้ากามเสียหน่อย เราแค่สงสารคนเศร้าก็เลยอยากปลอบใจเท่านั้นเอง"

"ไม่เศร้าแล้ว เห็นไหมเรายิ้มแล้ว" ทิวแย้งพลางฉีกยิ้มให้ดู

บูมหัวเราะชอบใจแล้วก็โอบศีรษะเพื่อนมากอดไว้ "โอ๋...ถ้าทิวไม่ชอบเราก็ไม่ทำหรอก เราขู่ไปงั้นแหละ" แล้วบูมก็ดันตัวทิวออกเพื่อมองหน้า "ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เอ...ตกลงอยากให้ทำหรือไม่อยากให้ทำกันแน่เนี่ย"

ทิวจึงขำบ้าง "ก็แล้วแต่"

"โธ่...เรารู้หรอกน่าว่าที่แท้...นายก็ชอบ" บูมทำหน้าล้อเลียน ก็ไม่ได้อยากจะทะลึ่งเท่าไรหรอก แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศที่มันอึมครึมเมื่อกี้ให้ดูสดใสขึ้นมาบ้างเท่านั้นเอง แต่บูมก็มีความสุขชะมัดเลย ความรู้สึกมันเหมือนกับตอนที่ทิวพาเขาไปลองร้องเพลงกับวง ตอนนั้นทิวได้เตรียมการทุกอย่างไว้ให้เขาหมดแล้ว พอเขารู้ เขาก็อยากจะบอกทิวว่า "โฆตรรักทิวเลย" ตอนนี้ก็เหมือนกัน เขาก็ "โฆตรรักทิวเลย" ที่ทิวจะอยู่เคียงข้างเขาไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นตามมา

-------------------------------------------------------------------------

"บีม...บีม...เปิดประตูให้แม่หน่อย" เสียงแม่เรียกและเคาะประตูห้องนอนในยามนี้ทำให้บีมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีอีกแล้ว เขารีบมาเปิดประตู ก็เห็นแม่อยู่ในชุดนอนพร้อมกับเสื้อคลุมสีขาว แต่สีหน้าหมดูบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด

"ครับแม่ มีอะไรครับ"

"รู้ไหมว่าบูมหายไปไหนตั้งสองคืนแล้ว"

"โธ่แม่ บูมเขาโตแล้วนะครับ แม่ไม่ต้องห่วงเขาหรอกครับ เขาดูแลตัวเองได้" บีมพูดอย่างระอาใจ

"แม่ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่แม่สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ โทรไปก็ไม่ติด จะถามอะไรก็ไม่ได้ นี่คงไม่ได้แอบไปหาเพื่อนคนนั้นหรอกนะ บีมรู้ไหมว่าบูมแอบไปหาเพื่อนคนนั้นที่เป็นเกย์หรือเปล่า" คุณทิพย์นภาหันมาซักลูกชายคนโตแทน

"ก็ไม่นี่ครับแม่ ผมไม่เห็นว่าบูมมีท่าทางอยากจะไปหาทิวเลย ไม่เห็นพูดถึงเลยด้วยซ้ำ เขาก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานหลายปี สงสัยบูมคงลืมไปแล้วล่ะครับ" บีมพยายามพูดให้แม่สบายใจ แต่น้องชายเขาก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ไม่เคยเอ่ยถึงทิวเลยตั้งแต่กลับมา เขาเคยทวงสัญญาอยู่ครั้งหนึ่งบูมก็ตอบว่าไม่พร้อมและทำท่าเหมือนไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ เขาก็เลยไม่เซ้าซี้

"จริงเหรอ..." คุณทิพย์นภาทำหน้าเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ "ก็ดีแล้ว แต่ยังไงบีมก็ช่วยดูน้องให้แม่ด้วย ถ้าเห็นบูมกลับไปหาเพื่อนคนนั้นเมื่อไร ให้บอกแม่ทันที เข้าใจไหม น้องเราเป็นผู้ชาย อย่าให้เขาต้องไปเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ แม่รับไม่ได้ อีกอย่าง บูมก็มีคู่หมั้นแล้ว สงสัยแม่คงจะต้องให้รีบแต่งงานกันแล้วล่ะ"

บีมได้แต่ทอดถอนใจ พ่อกับแม่นี่ก็ช่างบังคับบูมไม่เลิกเสียจริงๆ จบจากบังคับเรื่องเรียนก็มาบังคับเรื่องแฟนต่อ

"ครับแม่" บีมรับคำเพื่อให้แม่สบายใจ ไม่อย่างนั้นแล้วแม่ก็จะบ่นไม่เลิก เฮ้อ สงสารบูมจริงๆ เลย บูมอายุยังไม่เท่าไรก็จะถูกบังคับให้แต่งงานเสียแล้ว บีมยังไม่คิดจะแต่งงานตอนนี้เลย เขายังสนุกกับชีวิตโสดอยู่และเขาก็เชื่อว่าบูมคงไม่อยากแต่งงานตอนนี้เหมือนกัน

--------------------------------------------------------------------------

ไม่ใช่เฉพาะแต่คุณทิพย์นภาเท่านั้น แพรวเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่พยายามโทรหาบูมอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่ติด ทำให้เธอหงุดหงิดพอสมควร แพรวหยุดไปพักใหญ่ก็โทรอีก แต่คราวนี้โทรติดเพราะบูมเพิ่งเปิดเครื่องตอนที่ทิวกำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ส่วนเขาอาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว

"แพรว...มีอะไรหรือเปล่าครับ" บูมถามแล้วก็รีบเดินออกไปที่ระเบียงข้างนอกเพราะไม่อยากให้ทิวมาได้ยิน

"บูมปิดเครื่องหรือเปล่าคะ แพรวนึกว่าอยู่ที่ทำงานเสียอีก โทรไปหาคุณพ่อถึงได้รู้ว่าบูมออกมาแล้ว ตอนนี้บูมอยู่ไหนคะ"

น้ำเสียงที่สั้นห้วนนั้นก็ทำให้บูมรู้ว่าเจ้าของเสียงใสนั้นไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก "พอดีบูมมาหาเพื่อน ไม่ได้เจอกันนานก็เลยคุยกันเพลินไปหน่อย ตอนนี้บูมก็อยู่บ้านเพื่อน แพรวมีอะไรหรือเปล่าครับ"

"บูมนี่ก็แปลกนะคะ ก็แพรวเห็นบูมปิดเครื่องก็เลยเป็นห่วง เราเป็นคู่หมั้นกันแล้วนะคะบูม"

แพรวย้ำเตือนมาแบบนั้นแล้วบูมก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ

"พรุ่งนี้แพรวว่าจะไปงานอีเวนต์ที่เพื่อนจัดที่เซ็นทรัลเวิร์ลด์ แพรวอยากให้บูมไปด้วย เพื่อนๆ ของแพรวเขาอยากรู้จักบูมน่ะค่ะ"

"แพรว...บูมไม่ค่อยชอบไปงานแบบนั้นเท่าไรแพรวก็รู้"

"บูมคะ แต่แพรวบอกเพื่อนๆ ไว้แล้วนะคะ แค่วันเดียวเอง แพรวไม่ได้ให้บูมไปบ่อยๆ เสียหน่อย นะคะบูม อย่าทำให้แพรวเสียหน้าสิคะ"

บูมเริ่มมีท่าทางหนักใจมากขึ้น จริงๆ ถ้าไม่ติดอะไรเขาก็คงไม่มีปัญหา แต่เมื่อกี้เขาเพิ่งตกลงกับทิวว่าจะพาทิวไปหาซื้อต้นไม้ที่ตลาดเทเวศร์ แล้วจะให้เขาบอกทิวว่ายังไง

"แพรวไปกี่โมงครับ นานหรือเปล่า"

"ก็...งานเขาเริ่มสิบโมงเช้า แต่แพรวว่าจะไปสักสิบเอ็ดโมง พอดีเพื่อนๆ เขาจะนัดทานข้าวกลางวันกันด้วยค่ะ แพรวว่าออกสักสิบเอ็ดโมงก็น่าจะดี ไปถึงก็จะได้ไปทานข้าวเลย แล้วก็คงอยู่สักสองสามชั่วโมงค่ะ ไปนะคะบูม" แพรวทำเสียงอ้อนในตอนท้าย

"ก็...ครับ เดี๋ยวผมไปรับแพรวที่บ้านตอนสิบเอ็ดโมงละกันครับ"

"ค่ะบูม เดี๋ยวแพรวขอตัวไปนอนก่อนนะคะ กู๊ดไนท์ค่ะ" แพรวบอกเสียงใสพลางยิ้มดีใจ

"ครับ กู๊ดไนท์ครับแพรว แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับ"

พูดจบแล้วบูมก็กดวางสายแล้วหันตัวจะเดินกลับเข้ามาในห้อง แย่แล้วสิ ทิวมายืนอยู่ตรงหน้าประตูที่จะออกมาตรงระเบียงตั้งแต่เมื่อไร ทิวจะได้ยินอะไรหรือเปล่านะ

"อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ ไวจัง" บูมพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่ทำไมทิวไม่ยิ้มเลยล่ะ

"แค่บททดสอบแรก...มันก็ยากเอาการอยู่เหมือนกันนะบูม"

ได้ฟังอย่างนั้นแล้วบูมก็อดสงสารทิวไม่ได้ "นายเข้าใจเราใช่ไหมทิว"

ทิวพยักหน้า แต่สีหน้าก็ดูเศร้าๆ

"อดทนหน่อยนะทิว มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะหาทางออกให้กับปัญหานี้ แต่เราจะพยายาม" บูมพูดเป็นเชิงให้คำมั่นสัญญา

ทิวพยักหน้าอีกครั้งและยิ้มน้อยๆ เพื่อให้บูมมั่นใจว่าทิวเข้าใจจริงๆ แต่ลึกๆ แล้วทิวก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก อย่างแรก ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน ทิวก็ไม่ต่างจากมือที่สาม อย่างที่สอง ถ้าเกิดบูมหาทางออกไม่ได้ แล้วเขาจะเป็นยังไงต่อ คงไม่พ้นที่จะต้องเจ็บอีกครั้ง

"ขอบใจนะทิวที่นายเข้าใจเรา"

แววตาซาบซึ้งใจของบูมก็ทำให้ทิวพอสลัดความกังวลไปได้บ้าง ก็ในเมื่อรักกันแล้ว มันก็คงต้องช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ช่วยกันแล้ว จะเรียกว่ารักกันได้ยังไง

-------------------------------------------------------------------

ตอนสายของวันต่อมา บูมก็ไปรับแพรวไปงานอีเวนต์สินค้าตัวหนึ่งที่เพื่อนของแพรวทำการตลาดให้อยู่ วัตถุประสงค์หลักๆ ที่แพรวอยากไปงานนี้เพราะแพรวอยากไปให้กำลังใจเพื่อนที่เพิ่งเริ่มทำงานชิ้นใหญ่ รวมทั้งจะถือโอกาสนี้แนะนำบูมให้เพื่อนๆ ของแพรวรู้จักด้วย

ปกติเมื่อก่อนบูมก็ไปงานแบบนี้ได้โดยไม่มีปัญหาอะไรนัก แม้จะไม่ค่อยชอบเท่าไร แต่คราวนี้บูมกลับรู้สึกเบื่อๆ และไม่สนุก เขาต้องคอยปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อถูกแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของแพรวในวงอาหารกลางวันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีเพื่อนของแพรวมาร่วมกินนับสิบกว่าคน แพรวดูจะมีความสุขที่ได้เจอกับเพื่อนๆ และเมาท์กันตามประสาผู้หญิง รวมทั้งก็แอบภูมิใจที่พาแฟนที่หล่อเหลาและเป็นลูกคนมีชื่อเสียงมาให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก

แต่กว่าแพรวจะคุยกับเพื่อนจนหนำใจก็ปาเข้าไปเกือบสี่โมงเย็น กว่าจะไปส่งแพรวถึงบ้านได้ก็ห้าโมงเย็นกว่าๆ เพราะแถวนั้นรถติดมาก พอส่งแฟนสาวเสร็จแล้ว บูมก็รีบบึ่งรถมาที่บ้านทิวทันที

----------------------------------------------------------------------

ทิวออกมาเปิดประตูให้บูมด้วยอาการงงๆ เพราะจริงๆ เขาบอกบูมไปแล้วว่าเย็นนี้เขาจะไปร้องเพลงที่ร้านอาหาร บูมไม่ต้องมาก็ได้ หรือว่าทิวจะลืมบอก หรือบอกแล้วบูมไม่เข้าใจหรือบูมลืมหรือเปล่าว่าเขาจะไม่อยู่

"บูม ตอนเย็นนี้เราไม่อยู่นะ เราต้องไปร้องเพลงที่ร้านอาหาร" ทิวบอกขณะที่พาบูมเดินเข้ามาในบ้าน

"เรารู้แล้ว"

"อ้าว รู้แล้วทำไมนายถึง..." ทิวสงสัย

"เดี๋ยวเราจะไปส่งนายที่ร้านอาหาร แล้วก็จะไปรับนายกลับด้วย"

"บูม... ไม่ต้องหรอก นายกลับบ้านเถอะ ไม่ต้องไปรับไปส่งเราหรอก เกรงใจ มันดึกนะบูม"

บูมหยุดเดินแล้วหันมามองทิว "เรากลับมาคราวนี้ก็เพื่อจะมาอยู่ดูแลนายนะทิว ให้เราได้ดูแลนายบ้างเถอะ เราจะได้รู้สึกผิดน้อยลงบ้าง นายเหนื่อยกายเหนื่อยใจมาเยอะแล้ว ให้เราดูแลนายบ้างนะทิว"

ทิวถึงกับพูดไม่ออกที่ได้ยินเช่นนั้น จริงๆ เขาก็ไม่ได้ต้องการให้บูมชดใช้อะไรให้เขาหรอก แค่ได้เจอบูมอีกครั้งทิวก็พอใจแล้ว แต่ทิวก็เข้าใจว่าบูมคงรู้สึกผิดจริงๆ ถ้าไม่ให้บูมได้ทำสิ่งที่เขาคิดว่าพอจะชดเชยความรู้สึกผิดได้ บูมก็คงจะไม่สบายใจต่อไป นั่นคือสิ่งที่ทิวไม่อยากเห็น แต่ทิวยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน

"ไอ้บูม มึงกลับมาแล้วเหรอ"

เสียงที่ดังมาจากประตูหน้าบ้านทำให้ทิวกับบูมรีบหันไปดูเจ้าของเสียงด้วยความสงสัยทันที

"ไอ้ต้อง" ทิวอุทานเบาๆ ไม่คิดว่าต้องจะมาหาเขาในวันนี้ สงสัยต้องคงลืมว่าทิวมีร้องเพลงตอนเย็นวันเสาร์แน่ๆ เลย แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ต้องไม่พอใจและอาฆาตบูมที่ทอดทิ้งทิวไปมากทีเดียว

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sun
Guest

72. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #71
 
30-Mar-12, 08:47 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เอาอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่าช้านะครับ รออยู่ รู้ว่าเป็นนิยาย แต่มันก็เหมือนชีวิตจริงยังไงก็ไม่รู้ สงสารทิว มีแต่ต้องที่เป็นเพื่อนส่วนบูมจะช่วยได้แค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะบูมอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องคนรักของตัวเอง ต้องคอยแคร์สังคมกับคนรอบข้าง เหนื่อยแทนบูมเหมือนกัน แต่บูมโตแล้วควรจะตัดสินใจเองได้แล้วว่าจะเลือกอะไร ที่ผ่านมาน่าจะเป็นบทเรียนของบูมได้ดี ถามบูมว่ามีชีวิตอยู่เพื่อใคร ควรจะเคลียร์กับทุกๆ คน และไม่ต้องแคร์สังคม ควรจะซื่อสัตย์ต่อใจตนเองให้มาก แล้วแต่ผู้เขียนนะครับ ยังไงก็รออ่านอยู่นะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

73. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #72
 
31-Mar-12, 09:36 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

74. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
31-Mar-12, 06:33 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาตามอ่านครับ
ถ้าหากอ่านแล้วอยากให้ความเห็น อยากติ อยากชมหรืออยากเสนออะไร
การให้ความคิดเห็นต่างๆ เหล่านี้จะมีประโยชน์กับคนเขียนมากครับ

----------------------------------------------------------------

ตอนที่ 23

ต้องเห็นบูมยืนอยู่กับทิวแล้วก็ปรี่เข้ามาหาทันที "กลับมาได้แล้วเหรอ นึกยังไงถึงได้กลับมาหาทิว คู่หมั้นอนุญาตแล้วเหรอ"

บูมกับทิวดูจะตกใจมากทีเดียวเมื่อเห็นต้องเข้ามาด้วยท่าทางไม่พอใจแบบนั้น

"ต้อง มึงพูดอะไรของมึง" บูมถามอย่างงงๆ ทำให้ต้องอารมณ์ขึ้นอีกเท่าตัว ต้องตรงมากระชากคอเสื้อบูมพร้อมสีหน้าเอาเรื่อง

"มึงทำอะไรไว้มึงเคยรู้ไหม ไอ้ทิวมันดีกับมึงขนาดไหน มึงยังทิ้งมันไปได้ มันเสียใจแค่ไหน มันลำบากจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว มึงเคยเป็นห่วงมันบ้างไหม เคยมาดูดำดูดีมันบ้างไหม"

"เฮ้ยต้องอย่า" ทิวรีบเข้ามาห้ามแต่ต้องก็ยังไม่ยอมปล่อยอยู่ดี "มึงอยู่เฉยๆ เหอะทิว วันนี้กูขอละกัน ถ้าไม่ได้เอาเลือดออกจากปากไอ้นี่กูคงตายตาไม่หลับว่ะ" น้ำเสียงต้องดูเด็ดเดี่ยวมากทีเดียว ทิวได้แต่ยืนใจสั่นมองเพื่อนสองคนที่กำลังมีเรื่องกัน

"กูเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมาต้อง แต่ยังไงกูก็รักทิว กูไม่เคยที่จะไม่คิดถึงทิว แต่กูมีเหตุผลบางอย่างที่กูมาไม่ได้" บูมพยายามบอกเพื่อนเก่าด้วยความใจเย็น เขาไม่คิดว่าต้องจะโกรธแค้นเขาถึงขนาดนี้

"มีเหตุผลเหรอ แล้ววันนี้ที่มึงกลับมามึงมีเหตุผลอะไร" ต้องกำคอเสื้อบูมแน่นขึ้น

"กูรักทิว รักมาตั้งนานแล้ว มึงก็รู้ ถึงตอนนั้นกูไม่ได้หาทิว แต่กูก็ยังรักทิวอยู่"

"รักเหรอ แล้วที่มึงมีคู่หมั้นมึงหมายความว่ายังไง มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้ คู่หมั้นมึงก็มีแล้วมึงจะมายุ่งกับทิวทำไม มึงกำลังจะทำให้ทิวเป็นมือที่สามรู้ไหม ทิวมันเสียใจเพราะมึงมามากพอแล้ว มึงจะให้มันต้องเสียใจกับมึงอีกแค่ไหนกัน"

บูมได้แต่เงียบ จริงๆ เขาคุยกับทิวเข้าใจแล้ว แต่ต้องไม่รู้เรื่องอะไรด้วย

"กูไม่รู้จะบอกมึงยังไงนะต้อง แต่กูอยากให้มึงรู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กูก็จะรักทิวและจะอยู่กับทิว ไม่ว่าจะมีอุปสรรคมากมายแค่ไหน"

"แล้วมึงทำได้จริงหรือเปล่าล่ะ ที่ผ่านมามึงเป็นยังไง มึงทำได้ไหม มึงเป็นคนขี้ขลาด อ่อนแอ ไอ้ทิวมันไม่ใช่หนูทดลองของมึงนะเว้ย ถ้าเกิดมึงทำไม่สำเร็จ ไอ้ทิวมันก็ต้องเจ็บเจียนตายเพราะมึงอีก ไอ้คนเห็นแก่ตัวเอ๊ย" ต้องว่าแล้วก็ปล่อยหมัดชกไปที่ใบหน้าของบูมจนบูมเซล้มลงกับพื้น

"บูม" ทิวร้องด้วยความตกใจ ก่อนที่ต้องจะปรี่เข้าไปทำร้ายบูมอีก ทิวก็รีบวิ่งไปขวางไว้ "ต้อง มึงหยุดก่อนได้ไหม"

เห็นทิวมาขวางไว้แบบนั้นต้องก็หยุดชะงัก "ทิว มึงจะปกป้องมันทำไมคนเลวๆ แบบนั้น"

ทิวรู้สักเจ็บแปลบที่เห็นต้องด่าทอคนที่เขารักด้วยคำที่รุนแรงเช่นนั้น ทิวจึงตวาดเสียงดังว่า "ต้อง มึงหยุดเดี๋ยวนี้ กูกับบูมคุยกันรู้เรื่องแล้ว ทีหลังมึงอย่าว่าบูมแบบนี้อีก ถือว่ากูขอละกัน"

ต้องดูจะช็อกไปเลยทีเดียวเมื่อเห็นทิวรักและปกป้องบูมถึงขนาดนี้ แถมยังมาตวาดใส่เขาอีก

"ได้...ทิว กูอุตส่าห์เป็นห่วงมึง แล้วมึง...จะต้องเสียใจเพราะมัน" ว่าแล้วต้องก็เดินลิ่วออกไป

พอทิวรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็ได้แต่รู้สึกเสียใจ นั่นก็เพื่อน นี่ก็เป็นคนที่เขารัก เขารู้ว่าต้องคงน้อยใจที่เขาดูจะแคร์บูมมากกว่า แต่จะว่าไปแล้ว สายตาของต้องเมื่อสักครู่นี้ดูเหมือนน้อยใจและเจ็บปวดอย่างที่ทิวไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ

"บูม เจ็บหรือเปล่า"

ทิวนั่งลงแล้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง "รอเดี๋ยวนะ" พอเห็นมีเลือดซึมออกมาจากปากบูมแล้วทิวก็รีบวิ่งไปหาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กและน้ำแข็งในตู้เย็นมาเช็ดเลือดให้

"นายคิดยังไงกับสิ่งที่ต้องพูด" บูมถามโดยไม่หันมามองหน้าทิว

ทิวหยุดแล้วก็มองหน้าบูมอย่างใช้ความคิด "อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยนะบูม"

บูมนิ่งเงียบ เขารู้ว่าสิ่งที่ต้องพูดมานั้นคงทำให้ทิวหวั่นไหวไม่มากก็น้อย แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาก็ต้องคิดหนักเช่นกัน ต้องพูดถูก ทิวไม่ใช่หนูทดลอง ถ้าเกิดเขาทำไม่สำเร็จก็เท่ากับว่าเขาได้ลากทิวเข้ามาเป็นมือที่สาม ทิวจะกลายเป็นคนผิดและคงต้องเสียใจเพราะเขาอีกครั้ง ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ก็เท่ากับว่าบูมยังคงอ่อนแออยู่ เป็นที่พึ่งให้ใครไม่ได้ เขาจะอ่อนแอถึงขนาดปกป้องคนที่เขารักไม่ได้เลยหรือ ทำไมคนอื่นๆ จึงคิดว่าเขาเป็นแบบนั้น หรือว่าจริงๆ แล้วเขาก็คงจะเป็นแบบนั้น แต่เขาอาจมองไม่เห็นด้านนี้ของตัวเอง

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ทิวกับบูมหันไปมองด้วยความสงสัยแล้วทิวก็ลุกเดินไปเปิดประตูบ้าน ก็เห็นว่าเป็นคุณน้าเจ้าหนี้นั่นเอง มาพร้อมกับชายสองคนนั้นเช่นเคย คงจะมาทวงเงินก้อนที่เหลือ

"ว่าไงล่ะ เจ็ดหมื่นน่ะได้หรือยัง" เข้ามาข้างในปุ๊บคุณน้าเจ้าหนี้ก็ถามเรื่องนี้ปั๊บเลย

"ผม..." ทิวก้มหน้าด้วยความหนักใจ

"อย่าบอกนะว่าไม่มี ฉันบอกแล้วไงว่าฉันต้องใช้เงินก้อนนี้ด่วนที่สุด อยากลองดีใช่ไหม" คุณน้าเจ้าหนี้เสียงเขียวด้วยความไม่พอใจ

บูมเห็นความไม่ชอบมาพากลก็รีบเดินเข้ามาถามคุณน้าคนนั้นทันที "มีอะไรเหรอครับ"

"จะอะไรซะอีกล่ะ ฉันก็มาทวงเงินของฉันคืนน่ะสิ" คุณน้าเจ้าหนี้หันมามองบูมพลางทำหน้าสงสัยเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน

"เท่าไรครับ เดี๋ยวผมจัดการให้" บูมรีบเสนอ

"บูม ไม่ต้อง" ทิวรีบร้องห้าม

"เจ็ดหมื่น" คุณน้าเจ้าหนี้รีบตอบ ท่าทางทิวคงจะทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ อ้อยเข้าปากช้างแล้วคุณน้าคงไม่ปล่อยหลุดไปง่ายๆ

"ทิว...นายอยู่เฉยๆ ก่อน เดี๋ยวเราจัดการเอง แล้วค่อยมาว่ากัน" บูมหันมาบอกเพื่อนด้วยเสียงกึ่งดุ แล้วก็หันไปบอกน้าคนนั้นว่า "ผมขอเบอร์บัญชีด้วยครับ ผมจะจัดการโอนให้เดี๋ยวนี้เลย"

คุณน้าเจ้าหนี้รีบควานหาสมุดบัญชีเงินฝากในกระเป๋าถือแทบจะทันที พอเจอแล้วก็ส่งให้บูม บูมรับมาแล้วก็ใช้มือถือของเขาล็อกอินเข้าเว็บธนาคารแล้วก็ดำเนินการโอนเงินเจ็ดหมื่นบาทเข้าบัญชีนั้นไป

"เรียบร้อยแล้วครับ นี่ครับ หลักฐานการโอนเงิน" บูมบอกพลางยื่นโทรศัพท์ให้คุณน้าเจ้าหนี้ดู

"ก็แค่นี้แหละ ขอบใจมาก จะได้หมดหนี้หมดสินกันเสียที ไป กลับ" คุณน้าเจ้าหนี้รับสมุดเงินฝากมาจากบูมแล้วก็เดินยิ้มออกไปพร้อมกับลูกน้องอีกสองคนอย่างอารมณ์ดี

"ไปหรือยังทิว เดี๋ยวไม่ทันนะ" บูมหันมาเตือนเมื่อเห็นทิวยืนนิ่งเหมือนใช้ความคิดบางอย่าง

ทิวเหมือนจะรู้สึกตัว เขารีบพยักหน้าแล้วตอบว่า "อ๋อ...ไปกันเถอะ อ้อ" ก่อนจะไปทิวก็เพิ่งนึกได้ "นายยังเจ็บอยู่หรือเปล่า"

บูมส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆ "แค่นี้ไม่ถึงตายหรอก ไม่ต้องห่วงนะ แล้วก็ไม่ต้องกังวลด้วยว่าเราจะโกรธต้อง เราไม่โกรธมันหรอก" บูมรีบบอกดักไว้

ทิวยิ้มด้วยความโล่งใจ แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็กังวลถึงความรู้สึกของบูม บูมกำลังมีความรู้สึกบางอย่างที่ทิวเองก็ยังไม่กล้าถามในตอนนี้ แต่ทิวรับรู้ได้ว่าคงเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีนัก

--------------------------------------------------------------------

ตลอดทางที่บูมขับรถมาส่งทิวที่ร้านอาหาร ต่างคนก็ต่างเงียบและใช้ความคิด มาถึงร้านอาหารก็ประมาณสองทุ่ม แต่ทิวมีคิวร้องประมาณสองทุ่มครึ่ง เขาจะต้องร้องสองรอบ รอบละครึ่งชั่วโมง ส่วนบูมพอส่งเสร็จแล้วเขาก็ขอมานั่งในร้านอาหารเพราะอยากฟังทิวร้องเพลงและเล่นดนตรี เขาสั่งอาหารมากินสองสามอย่างพร้อมกับเครื่องดื่มเบาๆ

ได้ฟังทิวร้องเพลงแล้วก็ทำให้เขาหวนรำลึกถึงอะไรหลายๆ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงมัธยมปลาย ทิวยังร้องเพลงเก่งเหมือนเดิม แถมดูจะร้องได้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำด้วยชั่วโมงบินที่สูงขึ้น แต่ที่บูมรู้สึกทึ่งก็คือทักษะการเล่นกีตาร์ของทิวที่เขานึกไม่ถึงว่าทิวจะเล่นได้ดีขนาดนี้ ทิวคงฝึกหนักน่าดู แน่ล่ะ ทิวต้องทำอย่างนี้เพราะความอยู่รอดด้วยส่วนหนึ่ง

ทิวร้องเพลงเสร็จก็ประมาณสี่ทุ่ม บูมเช็คบิลแล้วก็ออกไปรอทิวที่รถ พอเห็นทิวเดินมาบูมก็ยิ้มให้

"นายเก่งมากเลยทิว เราชอบทุกเพลงเลย"

คำชื่นชมนั้นทำให้ทิวยิ้มเล็กน้อย บูมเดินมาเปิดประตูรถให้ทิวเข้าไปนั่งข้างใน แล้วเขาก็อ้อมเดินไปนั่งตรงคนขับ แล้วก็ขับออกไป ระหว่างทางก็ยังคงดูเงียบๆ เหมือนเคย ไม่ทำให้ถึงกับอึดอัดแต่ก็ทำให้บรรยากาศอึมครึมไปพอสมควร

บูมเข้ามาส่งทิวถึงในบ้าน ก่อนจะกลับบูมก็เอ่ยถามเรื่องที่เขายังค้างคาใจอีกว่า

"ทิว...นายคิดยังกับสิ่งที่ต้องพูด"

ทิวรู้แล้วว่าบูมติดค้างในใจที่เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถามซ้ำถึงสองครั้ง "เรา..." แล้วทิวก็เงียบเหมือนไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไร ความเป็นจริงทิวก็กังวลอย่างที่ต้องพูดไว้ไม่น้อย แต่จะให้ไม่รู้สึกอย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องยาก ตอนนี้ทิวอยู่ในสถานะมือที่สาม เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลย ถ้าเกิดพ่อกับแม่หรือแฟนของบูมรู้เรื่องนี้เข้า ทิวก็แทบจะไม่มั่นใจเลยว่าเขากับบูมจะผ่านพ้นมันไปได้ แต่ปัญหาทั้งหมดนี้บูมคือคนที่จะต้องทำให้มันชัดเจน ถ้าเขาคิดว่าไม่อยากทำให้เกิดความยุ่งยาก ก็แค่ยุติความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบูม แต่ถ้าบูมมั่นใจว่าจะผ่านไปได้ บูมก็ควรจะต้องทำให้เขามั่นใจมากกว่านี้

เห็นทิวเงียบไปแล้วบูมก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าทิวคงหวั่นไหวและไม่มั่นใจในตัวเขาจริงๆ

บูมเม้มริมฝีปากก่อนจะเอ่ยมาว่า "เราขอโทษนะ...ที่ทำให้นายลำบากใจ" บูมถอนหายใจแล้วก็หันหลังเดินออกไป แต่แล้วก็หยุดและหันกลับมามอง "อยู่คนเดียว ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะ เราเป็นห่วง" แล้วก็เดินออกไปจริงๆ

สายตาของบูมเศร้าเหลือเกิน ทิวเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารและรู้สึกผิดในใจ บูมคงเสียใจที่ไม่มีใครเชื่อใจเขาเลย แม้กระทั่งทิวเองที่เป็นคนที่บูมรักมากที่สุด ทิวรู้สึกสับสน แต่แล้วก็ตัดสินใจเดินตามบูมออกไป


บูมนั่งอยู่ในรถ ยังไม่ได้ขับออกไป แต่เห็นบูมซบหน้าอยู่กับพวงมาลัย บูมกำลังร้องไห้ ทิวเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน เหมือนบูมจะรู้ว่ามีคนยืนมองเขาอยู่ เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พอรู้ว่าเป็นทิวบูมก็เปิดประตูรถออกมา แม้จะรู้ว่าเขาอ่อนแอแค่ไหนในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เป็นเพราะไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวเขาเลยต่างหาก แต่บูมก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่เขาจะพูดและสัญญา หากการกระทำไม่เกิดแล้วคำพูดไม่ว่าจะฟังดูดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ที่จะทำให้คนอื่นมั่นใจในตัวเขาได้ คงถึงเวลาที่เขาต้องทำอะไรบางอย่าง

"เราไม่รู้ว่าเราคิดถูกหรือคิดผิดที่กลับมาหานาย นายช่วยบอกเราได้ไหมทิว คนอ่อนแอ...ไม่มีความเป็นผู้นำอย่างเราไม่ควรที่จะรักนายใช่ไหมทิว ใช่ไหม"

ถ้าหากคุณเป็นทิวคุณจะตอบบูมว่าอย่างไร ทิวรักบูมแค่ไหนนั้นคงไม่ต้องสงสัย แต่การที่จะให้ทิวอยู่ในสภาพมือที่สามนั้นเป็นเรื่องที่ทิวทำใจได้ลำบากมาก บูมต้องทำอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่แค่พูด ที่ไม่ใช่แค่ความรัก ไม่ว่ามันจะลงเอยแบบนั้นก็ขอแค่ให้มันชัดเจนเท่านั้น

"บูม...เรารักนายมากนะ และเราก็เชื่อว่านายก็รักเราเช่นกัน แต่...นายต้องทำอะไรบางอย่าง เราไม่อยากบีบคั้นนายหรอก แต่ก็อยากให้นายเข้าใจเราด้วยว่าเราก็เจ็บปวดที่ต้องอยู่ในสถานะแบบนี้ เราพยายามจะไม่คิดถึงมัน แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ยังไงเราก็เป็นมือที่สาม เราอยากให้นายทำอะไรบางอย่างเพื่อให้มันเกิดความชัดเจน ไม่ว่ามันจะลงเอยแบบไหน เราก็ยินดีที่จะให้มันเป็นแบบนั้น ถึงเราจะเจ็บอีกครั้งก็ไม่เป็นไร"

บูมกอดทิวไว้ น้ำตาที่รินไหลค่อยๆ หายไป เขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทิวคือคนที่เขารักมากที่สุด เพราะฉะนั้น เขาก็ไม่ควรต้องบังคับให้ทิวต้องมาทนทุกข์ทรมานกับปัญหาของเขา มีอะไรบางอย่างที่บูมคิดว่าน่าจะช่วยทำให้ทิวเห็นความจริงใจของเขา เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่เขาจะเริ่มมันในไม่ช้านี้ มันอาจจะต้องใช้เวลาสักนิด แต่เขาก็หวังว่ามันจะต้องมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เขาไม่อยากทำให้ใครเจ็บ แต่...คนที่ทำเขาเจ็บก็ยังคงทำให้เขาเจ็บอยู่อย่างนั้น ไม่เคยรู้สำนึกเลยว่าคนเหล่านั้นได้ทำอะไรกับเขาบ้าง ทำไมเขาต้องกลายเป็นเหยื่อเพราะความหิวกระหายในลาภยศสรรญเสริญของคนที่เป็นพ่อกับแม่ ถึงแม้เขาจะเข้าใจในความหวังดี แต่ความหวังดีเหล่านั้นกลับทำร้ายบูมที่เป็นลูกของเขาเอง บางที ถ้าเขาทำให้คนเหล่านั้นได้รับรู้ว่าเขาถูกทำร้ายบ้างก็คงจะดีเหมือนกัน มันอาจจะต้องมีคนเจ็บ...และมันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น

--------------------------------------------------------------------------------

จริงๆ แล้วบูมกลับมาคราวนี้เขาไม่ได้ตั้งใจมาทำงานที่บริษัทที่พ่อเขาลงทุนกับเพื่อนเป็นหลัก ตอนนี้พ่อให้เขาดูแลโปรเจกต์คอนโดแห่งหนึ่งอยู่ เขาแค่เข้ามาเรียนรู้การทำงานเท่านั้นและไม่ได้ไปทำงานทุกวัน เขาวางแผนว่าจะไปเรียนต่อปริญญาโทแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปเรียนที่ไหนดีจึงขอพ่อกลับมาฝึกงานก่อน บางทีเขาอาจจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้น

พอมีเวลาว่างบ้าง บูมจึงไปเข้าสมาคมแห่งหนึ่งของประเทศไทยที่มีสมาชิกเป็นหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่มีโอกาสไปเรียนที่ต่างประเทศและมีใจอยากจะช่วยสังคมเป็นงานอดิเรก แพรวก็อยู่ในสมาคมนี้เช่นเดียวกัน เมื่อสามเดือนที่แล้วบูมเพิ่งรวมกลุ่มเพื่อนๆ ที่อยู่ในสมาคมเดียวกันห้าหกคนทำโครงการชิ้นหนึ่ง เขาส่งโครงการไปให้แหล่งทุนใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทยพิจารณา หลังจากที่ปรับแก้โครงการจนเป็นที่พอใจ บูมก็ได้รับข่าวดีว่าโครงการของเขาได้รับการอนุมัติแล้ว สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในต้นเดือนหน้า

โครงการระยะเวลาปีครึ่งที่เขากำลังจะทำนั้นเป็นโครงการพัฒนาต้นแบบทางเท้าในกรุงเทพมหานครให้มีความสวยงาม ทุกคนใช้งานร่วมกันได้ เนื่องจากตอนที่บูมอยู่เมืองนอกนั้นทำให้เขาเห็นความแตกต่างของทางเท้าเมืองไทยกับต่างประเทศมาก เมืองที่เขาอยู่นั้นทุกคนใช้ทางเท้าในการเดินทาง ทางเท้าที่นั่นกว้างขวางน่าเดิน ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีคนขายของ คนพิการสามารถใช้ทางเท้าแบบนี้ร่วมกับคนทั่วไปได้และเขาก็เห็นคนพิการหรือแม่ที่มีรถเข็นเด็กใช้ทางเท้าเหล่านี้จนเป็นเรื่องปกติ เขาอยากจะนำสิ่งที่เขาเห็นและความรู้ที่เขามีมาช่วยทำสิ่งดีๆ ให้กับสังคม เมื่อรวมกลุ่มกันได้แล้วเขาจึงไม่รอช้า ในโครงการนี้บูมจึงเป็นเสมือนผู้จัดการโครงการ มีแพรวเป็นเลขานุการ ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็มาช่วยเรื่องการประชาสัมพันธ์ ระดมทุนและหาเครือข่ายสนับสนุน ออกแบบเว็บไซต์และสื่อสิ่งพิมพ์ของโครงการ ช่วยถ่ายรูปก็มี แต่ยังขาดคนที่จะมาเป็นผู้ประสานงานโครงการแม้ว่าจะเป็นเพียงตำแหน่งเดียวที่มีเงินเดือนให้ เพราะไม่มีใครว่างพอที่จะมาทำได้อย่างเต็มที่ บูมคิดอยู่ตั้งนานว่าจะหาใครมาช่วย เขาเพิ่งได้คำตอบเมื่อไม่นานนี้เอง

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

75. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #74
 
01-Apr-12, 07:56 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ความรัก.....เฮ้อ ใันช่างไม่มีเหตุผลเลยนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

76. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
01-Apr-12, 12:24 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 24

ตั้งแต่วันนั้นก็ดูเหมือนว่าบูมจะเงียบๆ ไป ไม่โทรและไม่ได้มาหาทิวหลายวันแล้ว ทำให้ทิวอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าบูมจะน้อยใจเขาหรือเปล่าที่เหมือนยังไม่ให้ความมั่นใจกับความเข้มแข็งของบูมอย่างเต็มที่ แต่ทิวก็ไม่ได้โทรไปหาบูมเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เพราะโกรธหรือมีปัญหาอะไร

แต่คนที่ทิวนึกถึงอีกคนก็คือต้อง ตั้งแต่วันนั้นต้องก็ดูเงียบๆ ไปเหมือนกัน ทิวยังจำสายตาแปลกๆ ของต้องในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ต้องคงเสียใจเหมือนกันที่เขาออกรับแทนบูม ช่วงพักเที่ยง ทิวจึงขอตัวมาโทรศัพท์หาต้องที่หลังร้านและให้เพื่อนอีกคนช่วยอยู่เฝ้าตรงเคาน์เตอร์

"มีอะไรล่ะทิว อย่าบอกนะว่าไอ้บูมมันทำให้มึงเสียใจอีกแล้ว" นั่นคือประโยคแรกที่ต้องทักเขามา

"เปล่า...ไม่ใช่เรื่องนั้น ตอนนี้ยังไม่มีอะไรให้กูเสียใจหรอก แต่กูเป็นห่วงมึง เห็นมึงเงียบๆ ไป"

"นึกว่าจะห่วงแต่ไอ้บูมเสียอีก" ต้องแค่นเสียง

"ต้อง...มึงไม่ได้โกรธกูใช่ไหม" ทิวรีบเข้าเรื่องเพราะเขามีเวลาคุยไม่มากนัก

"กูจะโกรธมึงทำไมวะ กูไม่โกรธมึงหรอก คนที่กูโกรธคือไอ้บูมต่างหากล่ะ แม่งเอ๊ย คนอะไรขี้ขลาดชิบเป๋งเลย โลเลก็ที่หนึ่ง อุตส่าห์ไปเรียนตั้งเมืองนอกเมืองนา ช่วยอะไรบ้างไหมเนี่ยนอกจากความรู้ในตำรา" สุดท้ายต้องก็อดค่อนแคะบูมอีกไม่ได้

"ต้อง...กูขอมึงเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม อย่าว่าบูมแบบนี้อีกเลย บูมมีปัญหาแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มึงก็รู้ว่าที่บ้านมันเป็นยังไง เราไม่อยากให้นายซ้ำเติมถากถางบูมเรื่องนี้อีก มีแต่จะทำให้บูมหมดกำลังใจและท้อถอย"

ต้องเงียบเหมือนคิดอะไรบางอย่าง "ก็กูโมโหมัน มันทำมึงเจ็บแค่ไหนล่ะทิว มึงจำไม่ได้เหรอ แถมตอนนี้มันยังเห็นแก่ตัว จะทำให้มึงเป็นมือที่สามอีก"

"ต้อง...มันผ่านไปแล้ว กูไม่อยากให้มึงเจ็บแค้นกับเรื่องในอดีต มาพูดถึงเรื่องปัจจุบันดีกว่า...จริงๆ กูคุยกับบูมแล้ว เข้าใจกันแล้วล่ะ ทั้งเรื่องที่บูมไม่เคยติดต่อกู แล้วก็เรื่องที่บูมมีคู่หมั้นแล้ว"

"แล้วไงล่ะ เข้าใจของมึงหมายความว่าไง หมายความว่ามึงจะยอมเป็นมือที่สามงั้นเหรอ มึงคิดดีแล้วเหรอทิว"

"กูไม่ได้อยากเป็นมือที่สามของใครหรอกต้อง... กูก็ต้องการความชัดเจน แต่กูก็ต้องให้โอกาสบูมในการพิสูจน์ตัวเอง กูไม่เชื่อว่าบูมเป็นคนขี้ขลาดหรอกนะต้อง บูมแค่ยังไม่มีความมั่นใจมากพอเท่านั้น อีกอย่าง บูมคงต้องคิดหนัก มีหลายคนที่ต้องเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นคู่หมั้น พ่อกับแม่ของบูม หรือแม้กระทั่ง...ตัวกูเอง มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบูมที่จะทำอะไรผลีผลาม"

"แล้วถ้ามันทำไม่ได้ มึงก็จะยอมเจ็บอีกงั้นเหรอทิว"

คำถามนี้ทำให้ทิวเงียบไปสักพัก "มันคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องหรอก กูรู้ แต่กูก็รักบูมไปแล้วนี่หว่าต้อง มึงจะให้กูทำยังไง"

"ทิว" ต้องถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะความรักทำให้ทิวต้องยอมถึงขนาดนี้เลยหรือ ใช่... มันก็ไม่ต่างกันกับเขาหรอก เพราะความรัก... เขาจึงต้องยอมทนดูอยู่อย่างเงียบๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเหมือนกัน ได้แต่รอว่าเมื่อไรทิวจะเปลี่ยนใจแต่ก็ไม่เคยมีวันนั้น จนกระทั่งถึงวันนี้ต้องก็ไม่เห็นแสงแห่งความหวังใดๆ

"มึงเข้าใจใช่ไหมต้อง"

"อือ..." ต้องพูดสั้นๆ แค่นั้น

"แค่นี้ก่อนนะต้อง เดี๋ยวกูต้องไปทำงานแล้ว"

"อือ" น้ำเสียงเหมือนไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว

ทิววางโทรศัพท์แล้วก็เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะรีบวิ่งมาทำงานต่อ เขาต้องลืมเรื่องอื่นๆ ในตอนนี้ไว้ก่อนเพราะงานที่เซเว่นค่อนข้างหนัก เขาต้องยืนตลอดวัน แทบนั่งไม่ได้ แถมมีเวลาพักได้นิดเดียวเพราะลูกค้าเข้ามาในร้านแทบตลอดเวลา

--------------------------------------------------------------------

พอทิวกลับมาถึงบ้านก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะบูมมายืนรอเขาอยู่หน้าบ้านแล้ว ต่างคนต่างยิ้มให้กัน จะว่าไปแล้วทิวก็คิดถึงบูมมากไม่ใช่เล่นเลย หายไปหลายวันไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ชักจะงอนแล้วเหมือนกัน แต่แปลกแฮะ ทำไมบูมทำเหมือนมีระยะห่างแบบนั้น ไม่เข้ามาใกล้ ไม่เข้ามาคลอเคลียเหมือนเคย

ทิวพาบูมเข้ามานั่งในบ้านแล้วก็ไปหาน้ำมาให้ บูมหยิบเอกสารปึกหนึ่งมาด้วย พอทิวนั่งลงแล้วบูมก็เอาเอกสารออกมาจากแฟ้มเอกสารใสๆ

"ทิว...เรามีบางอย่างมาให้นายทำ ไม่รู้นายจะสนใจหรือเปล่า" ในที่สุดบูมก็พูดออกมาหลังจากที่ทำยิ้มๆ เงียบๆ มาสักพัก

"อะไร" ทิวถามอย่างอารมณ์ดี

"พอดีเรากำลังจะทำโครงการสบายวอล์กเวย์ เป็นโครงการปรับปรุงทางเท้าแถวๆ สยาม เราอยากให้กรุงเทพมีทางเท้าสวยๆ แล้วก็เดินสบายๆ เหมือนประเทศอื่นๆ ตอนนี้โครงการผ่านการอนุมัติแล้ว เรากำลังหาคนมาเป็นผู้ประสานงานโครงการ ก็เลยจะถามนายว่านายสนใจไหม เป็นโครงการปีครึ่ง เรามีเงินเดือนให้คนประสานงานด้วย เดือนละสองหมื่น"

ได้ฟังแล้วทิวก็สนใจไม่น้อย แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำได้หรือเปล่า "สนใจสิ แล้วต้องทำอะไรบ้าง นายเล่าให้เราฟังหน่อยสิว่าโครงการมันเป็นยังไง"

บูมยิ้มหวานแล้วก็เล่าภาพรวมของโครงการให้ฟังว่า "เราก็จะสร้างต้นแบบทางเท้าที่น่าเดิน เดินสบาย ทุกคนใช้ร่วมกันได้ นายเคยเห็นไหมทางเท้าแบบนี้" บูมพูดแล้วก็เปิดภาพทางเท้าในเมืองที่เจริญแล้วของโลกให้ทิวดูในไอแพดของเขา "นายเห็นไหมว่ามันสะอาด น่าเดิน คนที่เมืองนอกนะ ถ้าไม่ไกลมาก 1-2 กิโลเขาก็จะเดินกัน แต่บ้านเราเดินไม่ได้เพราะทางเท้าไม่ดี ไม่น่าเดิน แถมร้อนด้วย เราก็เลยคิดว่าถ้าเรามีทางเท้าตัวอย่างแบบนี้ในกรุงเทพบ้างก็น่าจะดี พอทำเสร็จแล้วก็อาจจะขยายไปทำพื้นที่อื่นๆ ต่อไป อันนี้เป็นแผนการทำงาน" บูมบอกแล้วก็หยิบเอกสารที่เป็นแกนท์ชาร์ทมาให้ทิวดู "สามเดือนแรกเราจะหาเครือข่ายก่อน ก็คงจะเป็น กทม. ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ทั้งหลายที่ชอบเอาของมาวางเกะกะบนทางเท้า ชุมชนที่อยู่แถวๆ นั้นแล้วก็หน่วยงานอื่นๆ ที่อยากสนับสนุน จากนั้นเราก็จะประกวดแบบทางเท้า ให้คนส่งประกวดแบบทางเท้าตามโจทย์ที่เราให้ไป ก็น่าจะใช้เวลาสักหกเดือน แต่ว่าในช่วงระหว่างนี้เราว่าจะจัดงาน auction อ๋อ...งานประมูลด้วย เราว่าจะไปขอข้าวของเครื่องใช้ของดาราหรือคนดังๆ แล้วก็เอามาประมูล หาเงินมาสมทบการปรับปรุงทางเท้า ตอนนี้เงินที่เราได้รับสนับสนุนมายังไม่พอ ทีนี้เราก็จะประกาศผลแบบทางเท้าที่ได้รับรางวัล ก็มีเงินรางวัลให้ด้วย ที่หนึ่งได้ 1 แสนบาท ที่สองได้ 5 หมื่นบาท ที่สามได้ 2 หมื่นบาท แล้วก็รางวัลชมเชย 2 รางวัลๆ ละ 1 หมื่นบาท พอเสร็จแล้วก็จะเอาแบบที่ได้ที่หนึ่งมาสร้างจริง ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ก็ใช้เงินหลายล้านอยู่ จริงๆ นอกจาก auction ก็จะมีวิธีการระดมทุนอื่นๆ ด้วย แต่อันนี้เรามีเพื่อนๆ มาช่วยทำ พอทางเท้าเสร็จแล้วเราก็จะทำพิธีเปิดแล้วก็ส่งมอบให้ กทม. เอาไปดูแลต่อไป"

"โห...น่าสนใจนะ ทางเท้าบ้านเรามันก็แย่จริงๆ แหละ ถ้ามีทางเท้าแบบในรูปที่นายให้ดูเมื่อกี้คงจะดีมากๆ เลย กว้างน่าเดินดี อืม...แล้วเราต้องทำอะไรบ้างล่ะ" ทิวถามอีกครั้ง

"ก็...นายก็จะต้องช่วยเราประสานงานกับหน่วยงานที่เราว่ามาเมื่อกี้นี้นี่แหละ แล้วก็คนที่ส่งแบบมาประกวด คนที่จะมางาน auction บริษัทรับเหมาที่จะมาปรับปรุงทางเท้า คนที่จะมาเป็นออร์กาไนเซอร์ช่วยจัดงานเปิดตัวทางเท้า อะไรทำนองนี้ แล้วเวลามีประชุม นายก็จะต้องไปประชุมกับเรา แต่เรามีเลขาฯ ที่จะมาช่วยจดบันทึกการประชุมแล้วล่ะ นายไม่ต้องทำอันนี้ก็ได้ ยกเว้นว่าเลขาฯ ไม่ว่างเราก็อาจจะขอให้นายช่วยทำให้เราหน่อย แบบนี้พอไหวไหม"

"อืม...ก็ท้าทายดีนะ น่าสนุกดี แล้ว...งานเริ่มเมื่อไรล่ะ"

"เดือนหน้านี้ ถ้านายสนใจ เราจะพาไปรู้จักกลุ่มเพื่อนๆ ของเราที่สมาคมนักเรียนนอกที่มาช่วยเราทำโครงการก่อน ส่วนมากก็วัยเดียวกับพวกเรานี่แหละ มีฝรั่งมาช่วยด้วย ก็เพื่อนๆ ที่รู้จักกัน เดี๋ยวเราดูก่อนนะว่าจะประชุมวันไหนดี อาจจะก่อนเริ่มงาน เดี๋ยวเราจะโทรมาบอกถ้าได้วันแล้ว"

"ได้ๆ เราอยากทำ ขอบใจนะบูมที่นายให้โอกาสเราได้ทำงานแบบนี้" ทิวบอกพลางยิ้ม แต่ทำไมบูมดูห่างเหินจังเลย

"ไม่เป็นไร..." เหมือนบูมมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูด แต่แล้วก็พูดเสจากสิ่งที่คิดในใจ "นายมีคำถามอะไรเกี่ยวกับโครงการนี้อีกไหม แต่ว่ายังไงเราก็จะทิ้งเอกสารให้นายไว้อ่านนะ ถ้าเกิดตอนนี้นายยังนึกคำถามไม่ออกก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอ่านรายละเอียดแล้วมีคำถามก็โทรไปหาเราได้"

"เดี๋ยวเราขออ่านก่อนละกันนะ ถ้าจะให้ถามตอนนี้ก็คงมีคำถามเยอะเลยล่ะ แต่ถ้าอ่านแล้วอาจจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น จะได้ไม่ต้องถามนายเยอะเกินไป" ทิวบอกพลางขำ

"อืม... ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราขอตัวกลับ...ละกันนะ" บูมพูดด้วยท่าทางประหม่าพอสังเกตเห็นได้

ทิวอึ้งไปพอสมควรที่บูมมาหาเขาเพื่อคุยเรื่องงานแล้วก็จะกลับ หมายความว่าไง เกิดอะไรขึ้น บูมไม่รู้หรือไงว่าทิวคิดถึงเขามากแค่ไหนที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน

"เหรอ..."

บูมเห็นสีหน้าอึ้งๆ และสายตาละห้อยของทิวแล้วก็แทบจะอดใจไม่อยู่ แต่ช่วงนี้เขาต้องหักห้ามใจตัวเองบ้าง ในเมื่อเขายังทำให้มันเกิดความชัดเจนไม่ได้ก็ไม่ควรเอาเปรียบทิวเหมือนที่ผ่านมา

ทิวเริ่มหน้าม่อย เขาเดินออกมาส่งบูมอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเปิดประตูบ้านออกไปทิวก็หันกลับมามองบูมที่เดินตามมาข้างหลัง แล้วก็ถามว่า "นายจะกลับแล้วจริงๆ เหรอ มาแป๊บเดียวเอง"

บูมพยักหน้า "อืม"

ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งเศร้า บูมเป็นไปอะไรไปทำไมไม่อยากอยู่คุยกับเขาอีกสักหน่อย แต่ทิวก็ตัดใจ เปิดประตูแล้วก็เดินนำบูมออกมา

"ไปก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน" บูมบอกเสร็จแล้วก็เดินไปเปิดประตูรถที่จอดไว้หน้าบ้านทิว พอเข้าไปนั่งแล้วก็เริ่มสตาร์ทรถ ทิวก็ได้แต่ยืนมองตาละห้อยอยู่อย่างนั้น

ติดเครื่องแล้วบูมก็ยังไม่ขับออกไปทันที เหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่ สุดท้ายก็ดับเครื่องแล้วลงมาจากรถ บูมเดินมาจูงมือทิวแล้วก็พาเข้ามาในบริเวณบ้าน พอลับตาคนแล้วก็ดึงทิวเข้ามากอด ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวจริงๆ ด้วย

"คิดถึงทิว ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน" เสียงบูมที่พูดพร้อมกับเสียงลมหายใจบอกว่าเขาคิดถึงทิวมากจริงๆ

"เราก็คิดถึงบูม เราอยู่เหงาๆ คนเดียวมาหลายวันแล้วเหมือนกัน" อ้อมกอดของบูมก็ยังคงอบอุ่นสำหรับทิวเสมอ เมื่ออยู่ในอ้อมกอดนี้แล้วทิวรู้สึกปลอดภัย ทำให้ชีวิตที่อ้างว้างเดียวดายแห้งแล้งของเขาชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนี้จะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่อาจห้ามใจที่จะเรียกร้องหาสิ่งนี้

สองหนุ่มสบตากันแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ชีวิตไม่ได้ยืนยาวนัก ความทุกข์ของชีวิตก็มีอยู่ แต่ลืมๆ มันไปบ้างก็ดี หาความสุขให้กับชีวิตบ้าง

"เดี๋ยวคืนนี้เราอยู่เป็นเพื่อนนายละกันนะ นายจะได้ไม่เหงา"

ทิวพยักหน้า ถ้าบูมไม่กลับมา ถ้าชีวิตนี้เขาไม่ได้มีผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้าง ชีวิตของทิวก็คงแห้งแล้งเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุด เหมือนกับที่เขาเคยเกือบตายมาแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ในโลกที่ทิวรู้จัก ผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดาหรือเป็นแค่เพื่อน แต่เป็นผู้ชายที่นำความรักและความอบอุ่นมาให้เขา ที่สำคัญ เขาก็รักผู้ชายคนนี้มากเสียด้วยสิ แม้ว่าบูมอาจจะยังไม่เข้มแข็งมากนัก แต่เขาก็จะให้กำลังใจบูมและเอาใจช่วยบูมต่อไป เขากับบูมก็ไม่ได้ต่างกัน ต่างคนต่างก็ต้องการความรักและกำลังใจจากกันและกัน ไม่อย่างนั้นชีวิตมันก็คงอยู่ลำบาก รักแล้วก็คงต้องยอมแลกกับความเจ็บปวดล่ะนะทิว

--------------------------------------------------------------------------

เย็นวันหนึ่งใกล้ๆ สิ้นเดือน บูมก็จัดประชุมคณะทำงานโครงการที่ที่ทำการของสมาคม คนที่มาประชุมก็อย่างที่บูมบอก แต่ละคนก็วัยไล่เลี่ยกับทิวทั้งนั้นเลย ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเรายังมีเยาวชนที่ยังคิดดีและอยากทำดีเพื่อสังคมแบบนี้อยู่ ทิวรู้สึกประทับใจที่ได้เห็นแบบนี้ แถมแต่ละคนยังดูเป็นกันเองมาก ทิวนึกว่านักเรียนนอกพวกนี้จะหยิ่งเสียอีก

สิ่งหนึ่งที่ทิวได้เห็นแล้วก็รู้สึกประทับใจมากก็คือ บูมดูเปลี่ยนไปมากทีเดียวในเรื่องทักษะทางสังคม บูมยิ้มแย้มแจ่มใสและคุยได้กับทุกคน ดูเหมือนเขาก็จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ในกลุ่มนั้นในฐานะที่เป็นหัวเรือใหญ่ของโครงการนี้เป็นอย่างดี เวลาที่คุยกันก็มีทั้งคุยภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพราะมีเพื่อนชาวต่างชาติมาร่วมประชุมด้วยหลายคน แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้ทิวหนักใจอยู่บ้างก็คือ... คู่หมั้นของบูมที่นั่งประกบบูมอยู่ไม่ห่าง แต่ดูเหมือนแพรวจะจำไม่ได้ว่าเคยเจอทิวมาก่อน

"เริ่มประชุมกันเลยดีกว่านะครับ Shall we start the meeting now?" เมื่อเห็นเพื่อนๆ คุยกันออกรสออกชาติอยู่ระยะหนึ่ง บูมจึงขอเริ่มประชุม เสียงคุยกันค่อยๆ เงียบลง

"เดี๋ยวเราจะเริ่มด้วยการแนะนำตัวกันก่อนดีไหมครับ เริ่มจากผมเลยละกัน ผมชื่อบูมนะครับ เป็นผู้จัดการโครงการสบายวอล์กเวย์ครับ Starting from myself, I'm Boom, Sabai Walkway project manager" พอบูมแนะนำตัวเสร็จแล้ว คนต่อไปก็เป็นแพรว

"แพรวนะคะ มาช่วยเป็นเป็นเลขาฯ ให้กับบูมค่ะ I'm Praew, secretary to Boom, our project manager ka"

พอแพรวพูดจบเพื่อนๆ ก็แซวกันเพราะรู้ว่าแพรวเป็นอะไรกับบูมมากกว่านั้น จากนั้นคนต่อไปก็แนะนำตัว

"ผมเอิร์ธนะครับ มาช่วยทำเว็บไซต์แล้วก็ออกแบบกราฟฟิคแล้วก็สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ I'm Earth. I'll be in charge of the website, graphic design and publication" และนี่ก็คือเอิร์ธ หนุ่มน้อยมาดเซอร์ตามสไตล์นักออกแบบ

"I'm Leena, helping with the fundraising" และนี่ก็คือลีน่า สาวต่างชาติที่จะมาช่วยเรื่องการระดมทุน

"I'm Anderson, photographer" ส่วนนี่ก็คือแอนเดอร์สันที่จะมาช่วยถ่ายภาพ

"สรวิชญ์ครับ หรือว่าวิท จะมาช่วยคุณลีน่าระดมทุนแล้วก็ช่วยเรื่องประชาสัมพันธ์ของโครงการด้วยครับ I'm Wit, working closely with Khun Leena on the fundraising and I will also help with the public relation of the project" นี่ก็คือวิท หนุ่มหน้าตี๋อีกคนที่หน้าตาดีทีเดียว เขาใส่แว่นสายตาสั้นด้วย แต่งตัวดูดีตามสไตล์หนุ่มออฟฟิศ

พอจะถึงคิวที่ทิวแนะนำตัว บูมก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เพื่อให้กำลังใจ จริงๆ ทิวก็พูดภาษาอังกฤษพอได้ ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยสองปีกว่าๆ นั้นเขาก็เรียนภาษาอังกฤษกับอาจารย์ต่างชาติ

"ชื่อทิวนะครับ พอดีเป็นเพื่อนกับบูม บูมก็เลยชวนมาให้ช่วยเป็นผู้ประสานงานโครงการครับ I'm Tiew and I'm a friend of Khun Boom. We've known each other for a long time. I'll be the project coordinator. Pleased to meet you all."

ดูเหมือนบูมจะนั่งลุ้นมากทีเดียวตอนที่ทิวแนะนำตัว เขาแอบดึงมือทิวข้างหนึ่งมาจับไว้เพื่อให้กำลังใจตลอด ดูเหมือน Anderson จะสังเกตเห็น แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก

"เก่งมากทิว Brilliant" บูมชมเบาๆ แล้วก็หันไปบอกเพื่อนๆ คนอื่นๆ ว่า "ผมรู้จักกับบูมมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้วครับ เมื่อก่อนทิวเขาสอนผมร้องเพลง ผมก็เลยได้เป็นนักร้องนำวง Zenith ที่เป็นวงประจำของโรงเรียนกับทิวด้วย พอดีเห็นทิวอยู่ว่างๆ ก็เลยชวนมาทำโครงการนี้ด้วยกัน Tiew is my really really close friend. I've known him since we were in high school. He taught me to sing and we then became the singers of the school's band called 'Zenith'."

พอบูมพูดถึงตรงนี้เพื่อนๆ ก็ฮือฮากันใหญ่แล้วขอให้เขากับทิวร้องเพลงให้เพื่อนๆ ฟัง ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่าบูมเคยเป็นนักร้องของวงด้วย

"Not now, later. I'll sing with Tiew on the opening day of the project" บูมรีบปฏิเสธ แล้วก็เลยบอกไปว่าจะขอร้องเพลงกับทิวในวันเปิดตัวโครงการแทน

บูมหันมายิ้มกับทิว เห็นทิวเข้ากับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดีแล้วก็โล่งใจ ตลอดการประชุม บูมก็มานั่งอยู่ข้างๆ ทิวตลอด ทำให้เพื่อนๆ ได้เห็นถึงความสนิทสนมกันระหว่างเขากับทิวที่ดูไม่ธรรมดาเลย

"พักกินข้าวกันก่อนไหมครับ อาหารมาแล้ว You guys, shall we break for the dinner? 30-minute intermission" บูมพูดติดตลกในช่วงท้าย เพื่อนๆ ก็หัวเราะชอบใจกันใหญ่ แล้วแต่ละคนก็ลุกเดินไปตักอาหารซึ่งสั่งมาจากข้างนอก มีอาหารอยู่สองสามอย่างทั้งไทยและอาหารตะวันตก

บูมไปดูแลแพรวเลือกอาหารอยู่พักหนึ่งก็กลับมาหาทิว เขาพาทิวไปเลือกอาหารและคอยแนะนำว่าอันไหนอร่อย

"ทิวกับบูมนี่ดูสนิทกันจังเลยนะครับ" วิทซึ่งเลือกอาหารอยู่ใกล้ๆ หันมาคุยด้วย

"ครับ ก็ตอนเรียนมัธยม ทิวเขาช่วยผมหลายอย่างเลย มาสอนร้องเพลงให้ทุกวัน จากที่ผมร้องเพลงไม่เป็นเลยก็สามารถร้องได้จนได้เป็นนักร้องนำของวง" บูมอวดอย่างภาคภูมิใจ

"ไม่น่าเชื่อเลยว่าบูมจะเคยเป็นนักร้องนำด้วย" เอิร์ธหันมาคุยด้วยอีกคน

"เดี๋ยวเล่าให้ฟัง นึกทีไรก็ขำตัวเองทุกที ใช่ไหมทิว" บูมถามพลางหันมายิ้มด้วย ดูวันนี้เขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

"บูมเขาเก่งครับ หัวไว สอนไม่นานก็ร้องได้แล้วครับ ใครอยากฟังบอกผมได้นะครับ มีคลิปเก็บไว้อยู่" ทิวถือโอกาสแกล้งเสียเลย

"เฮ้ย จะดีเหรอ อายเขา" บูมรีบร้องท้วง

แต่ดูท่าจะห้ามยากเสียแล้ว เพื่อนๆ ของบูมสนใจอยากดูกันมาก เรียกร้องทิวให้เปิดคลิปให้ดูกันใหญ่ ตอนมานั่งกินข้าวทิวก็เลยทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว เขาเปิดคลิปวันที่เขาพาบูมไปทดลองร้องเพลงกับวงวันแรกมาให้เพื่อนๆ ของบูมดู ช่วงบูมร้องเพลงทุกคนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจแต่ก็มีฮือฮาเป็นระยะๆ บูมหลบไปนั่งกินข้าวอีกที่หนึ่งแล้วหันมายิ้มเขินเป็นระยะ โดยเฉพาะเวลาที่เพื่อนๆ ทำเสียงฮือฮา บูมจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นอย่างดีเพราะมันทำให้เขารู้ว่าทิวรักเขามากแค่ไหน และเขาก็รักทิวมากเช่นกัน

"โห...ทิวเก่งมาก สอนบูมร้องเพลงได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย วันหลังสอนแพรวมั่งดิ" แพรวพูดขึ้นหลังจากที่ดูคลิปไปได้ระยะหนึ่ง ทิวได้แต่ยิ้มๆ

"ก็ให้บูมสอนสิแพรว เห็นไหมบูมร้องเพลงเก่งจะตาย" เอิร์ธบอก

"จริงด้วย" แล้วแพรวก็หันไปยิ้มกับบูม

---------------------------------------------------------------------

ประชุมเสร็จแล้วบูมให้ทิวติดรถไปกับเขาด้วย เขาไปส่งแพรวที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปส่งทิว แพรวกับบูมนั่งข้างหน้า ส่วนทิวก็นั่งข้างหลัง ระหว่างที่นั่งไปนั้นทิวก็มีหลายความรู้สึกเกิดขึ้น

อย่างแรก เขารู้สึกละอายใจที่แพรวเองก็คุยดีกับเขา แต่ถ้าวันหนึ่งแพรวเกิดรู้ว่าเขากับบูมมีความสัมพันธ์กันมากกว่านั้น แพรวจะรู้สึกยังไง ทำให้ทิวเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมบูมถึงหนักใจ การที่จะทำร้ายจิตใจผู้หญิงที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนหนึ่งมันก็เป็นเรื่องโหดร้ายทีเดียว

อย่างที่สอง ทิวเริ่มนึกถึงอนาคตของบูม ถ้าบูมเลือกเขา ที่ยืนในสังคมของบูมคงจะน้อยลง พ่อแม่ก็รับไม่ได้ งานของบูมจะเป็นยังไง บูมอาจจะหมดอนาคตเพราะความรัก ทิวไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย บางทีก็อาจจะต้องเลือกระหว่างความรักกับความจริงของชีวิต ดูแพรวกับบูมก็เหมาะสมกันดี ถ้าได้แต่งงานกัน พ่อแม่ของทั้งคู่คงชื่นใจ อนาคตของบูมก็คงจะสดใสมากกว่าที่จะอยู่กับคนที่เป็นเกย์อย่างเขา คนที่สังคมยังคงรังเกียจอยู่

อย่างที่สาม ทิวรู้สึกว่าบูมทำตัวแปลกๆ ในห้องประชุมบูมมาอยู่กับเขาตลอด แทบจะไม่อยู่กับแพรวเลย อยู่เฉพาะช่วงแรกๆ เท่านั้น บูมกำลังทำอะไรอยู่ หรือว่าคนแรกที่จะต้องเจ็บจากความรักครั้งนี้ก็คือแพรว ทิวรู้สึกไม่สบายใจเสียเองถ้าหากสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ แพรวไม่ผิดอะไรเลยนี่นา แต่มันเป็นความผิดของใครกัน เขาผิดหรือเปล่าที่รักบูม บูมผิดไหมที่รักเขา แล้วบูมผิดไหมที่ถูกจับคู่กับแพรวและรู้สึกผูกพันกัน แล้วแพรวผิดไหมที่รักบูมจริงๆ ความรักครั้งนี้ซับซ้อนจนเกินกว่าที่จะหาทางออกได้ง่ายๆ เสียแล้ว

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

77. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #76
 
01-Apr-12, 03:59 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ใครลิขิต? ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
chayra ชรา-ณี
Guest

78. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #77
 
01-Apr-12, 10:59 PM (SE Asia Standard Time)
 
  
สนุกมากค่ะ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

79. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #78
 
03-Apr-12, 06:50 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ยังไม่มาครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

80. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
03-Apr-12, 12:07 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ในฐานะคนเขียน ก็ขอสารภาพว่ารู้สึกยุ่งยากใจเหมือนกันที่ผูกเรื่องซะจนยุ่งอีนุงตุงนังไปหมด
บางทีก็นั่งคิด แล้วตรูจะแก้ยังไงวะเนี่ยยยยยย
แต่ก็นะ ไม่งั้นก็ไม่ท้าทาย ความสนุกของการเขียนนิยายมันอยู่ตรงนี้แหละ

----------------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 25

บูมเห็นท่าทางครุ่นคิดของทิวมาตลอดทางก็พอจะเดาได้ว่าทิวคงมีเรื่องกังวลใจบางอย่าง เขาไม่รู้ว่าทิวสงสัยสิ่งที่เขากำลังทำอยู่หรือไม่ แต่ถ้าทิวอยากรู้จริงๆ เขาก็ไม่มีปัญหาที่จะเล่าให้ฟังหรอก เขาเองก็อยากให้ทิวเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน พอมาส่งทิวถึงบ้าน บูมจึงขอเข้ามาคุยกับทิวในบ้านด้วย

"ทิว...นายรู้สึกยังไงบ้างตอนนี้ ทั้งเรื่องงานแล้วก็...เรื่องแพรว บอกเรามาตรงๆ นะ เราอยากรู้ เรามีบางอย่างที่คิดว่าเราต้องคุยกันให้เข้าใจ"

ทิวมองหน้าบูมเหมือนกับกำลังชั่งใจก่อนที่จะพูดบางสิ่งบางอย่าง "เราชอบงานนะ เพื่อนๆ ที่มาช่วยกันทำงานทุกคนก็น่ารักมาก ทุกคนเป็นกันเอง เรานึกว่านักเรียนนอกส่วนมากจะหยิ่งเสียอีก เราว่าการทำงานนี้จะช่วยให้เราได้ประสบการณ์การทำงานเยอะเลย" สีหน้าของทิวเริ่มหม่นลงเมื่อจะพูดถึงอีกเรื่อง "ส่วน...เรื่องของแพรว...เรา...บอกตรงๆ ว่า...เราไม่ค่อยสบายใจ มันเหมือนกับ...เอาเมียน้อยกับเมียหลวงมาอยู่ด้วยกัน เรารู้สึกละอายใจเวลาที่เรา...เจอแพรว เรารู้สึกเหมือนเรา...กำลังจะแทงข้างหลังเขา เราไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลยบูม มันทำให้เรากังวลเหมือนกันว่าเราจะรับงานนี้ดีไหม"

ทิวช่างเปรียบเทียบได้เห็นภาพเสียจริงๆ...เมียหลวงกับเมียน้อย ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเรื่องของเขาเองก็คงขำไปแล้ว

"นายกำลังทำอะไรอยู่เหรอบูม เรารู้สึกกลัว... กลัวว่าจะมีใครต้องเจ็บ กลัวว่าเรา...จะละอายใจจนสู้หน้าแพรวไม่ไหว เรารู้สึกผิดจริงๆ นะบูม" สีหน้าของทิวบ่งบอกว่าเขากลัวสิ่งที่เขาพูดจริงๆ

บูมเองก็มีสีหน้าเครียดมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจแล้วก็พูดไปว่า "ทิว... ถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็คงมีสักคนต้องเจ็บ ไม่เราก็แพรวหรือนาย...หรือทั้งหมด เราไม่อยากทำให้ใครเจ็บเพราะเราหรอกนะทิว แต่เรา...ก็อดทนมามากแล้ว อดทนที่จะยอมเพื่อให้ทุกคนสบายใจ อดทนที่จะหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เราเหนื่อย...และเราก็คิดว่าเราจะมีชีวิตอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้ คนที่เราจะรักและใช้ชีวิตอยู่ด้วยตอนนี้คือนาย...ไม่ใช่แพรว เราไม่ได้รักแพรว...แม้ว่าจะมีความผูกพันบ้างก็ตาม แต่เราก็ไม่ได้รักเขาเลย ใช่...ที่นายคาดเดาก็ถูกแล้ว ต้องมีใครสักคนเจ็บ...แต่คนนั้นไม่ใช่นาย" พูดถึงตรงนี้บูมก็หันมาสบตากับทิว

"ทิว...เราอยากให้นายอดทน เราอยากให้นายช่วยเรา เราคงจะเดินไปบอกกับแพรวตรงๆ ไม่ได้ว่าเราไม่ได้รักเขา แล้วเราก็คงจะบอกกับแพรวตรงๆ ไม่ได้เหมือนกันว่าเรา...ไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่เราจะทำให้เขาค่อยๆ รับรู้ ทำให้เขาค่อยๆ เห็นและเข้าใจทีละน้อย ให้เขาได้มีเวลาเตรียมตัว เขาจะได้ไม่เจ็บมากจนเกินไป เขาไม่ผิดอะไรหรอกนะทิว แพรวไม่ผิดอะไรเลยจริงๆ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่อยากให้เขาต้องเจ็บมาก เรารู้...ว่านายอาจจะอึดอัด ไม่สบายใจ แต่เราไม่ได้คิดจะแทงข้างหลังแพรวนะทิว ตรงกันข้าม...เรากำลังจะช่วยทำให้เขาเห็นความจริงบางอย่างที่เขาไม่รู้ต่างหาก เรามีทางเลือกเดียวนะทิว เมื่อเรารักนาย อยากอยู่กับนาย...เราก็ต้องทำร้ายเขา มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องเป็นแบบนี้ แต่เราก็อยากให้เขาเจ็บน้อยที่สุด นายเข้าใจสิ่งที่เราพูดหรือเปล่าทิว เราสองคนต้องช่วยกัน นายพอจะอดทนได้ไหม แต่ถ้านายรู้สึกอึดอัดใจจนเกินไป เราก็จะไม่บังคับให้นายต้องเข้าใจ"

ทิวไม่เคยรู้สึกว่าในชีวิตนี้จะมีเรื่องใดที่ต้องตัดสินใจยากเท่านี้อีกแล้ว ไอ้รักก็รักอยู่หรอกนะ แต่ครั้นจะให้ต้องทำร้ายคนอื่นด้วยมันก็ลำบากใจไม่น้อย ทิวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเล่นบทนางอิจฉาเหมือนในละคร เป็นการเล่นที่ร้ายลึกเสียด้วยสิ

บูมเห็นทิวครุ่นคิดอยู่ก็เลยสำทับไปอีกว่า "ทิว... ถ้าเราไม่ทำร้ายแพรว เราก็ต้องทำร้ายทิว เรามีทางเลือกอยู่แค่นี้"

"แล้วครอบครัวของนายล่ะบูม พ่อกับแม่นายจะว่ายังไงถ้านาย...เลิกกับแพรว...แล้ว...เลือกเรา มันจะง่ายกว่าไหม ถ้านายเลือกทำร้ายเราแค่คนเดียว เราเจ็บอีกครั้งเดียวก็ไม่เป็นไรหรอกบูม แต่เราไม่อยากให้ชีวิตนายลำบาก พ่อกับแม่นายมีหน้ามีตาในสังคม ถ้านายเลือกเรา นายจะอยู่ในสังคมนี้อย่างภาคภูมิใจได้ยังไง ไม่มีใครยอมรับความรักของเราหรอกนะบูม ไม่ใช่ว่าเราไม่รักนาย แต่เราต้องคิดถึงความจริงของชีวิตด้วย" ในที่สุดทิวก็พูดออกมา นี่คือความจริงที่บูมจะต้องเผชิญ ความรักที่สวยงามอาจเป็นสิ่งที่มีเพียงแต่ในอุดมคติ แต่ชีวิตจริงยังมีอะไรอีกมากมายที่นอกเหนือไปจากความรักและสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

สิ่งที่ทิวพูดทำให้บูมเจ็บแปลบไปถึงข้างในใจเลยทีเดียว เขารู้ความจริงเหล่านั้นเป็นอย่างดี แต่เขาตัดสินใจแล้ว ยังไงเขาก็เลือกทิว ไม่ว่าใครจะรับได้หรือไม่เขาก็อยากให้ทุกคนรู้ว่าชีวิตและตัวตนเขาเป็นแบบไหน

"อีกครั้งเดียวเราก็ให้นายเจ็บเพราะเราอีกไม่ได้ เข้าใจไหมทิว... ถ้าเราเลือกแพรว ไม่ใช่นายคนเดียวหรอกนะที่จะเจ็บ เราก็เจ็บด้วย เพราะเราไม่ได้รักเขา ถ้าเราไม่ทำร้ายเขาในวันนี้ ต่อไปเราก็จะต้องทำร้ายเขาอยู่ดี เขาจะเจ็บยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก ถ้าชีวิตเราไม่ได้รักนาย ไม่ได้อยู่ดูแลนาย เรา...ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร มันทรมานนะทิวกับการที่ต้องมีชีวิตที่ไม่เป็นของตัวเอง กับการต้องถูกบังคับ ถ้าเราไม่คิดจะเลือกนาย เราก็คงไม่กลับมาหานายอีก แต่เรากลับมาแล้ว มาพร้อมกับความหวัง ถ้าเราทำให้นายต้องเจ็บอีกครั้ง... เราก็ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตเราไม่ได้อยู่เพื่อหน้าตาในสังคมอย่างเดียว มันก็สำคัญระดับหนึ่ง แต่ถ้าข้างในของเรายังว่างเปล่า ยังหลอกตัวเอง จะอยู่ที่ไหนมันก็ไม่มีความสุข จะมีหน้าตาหรือไม่มีหน้าตาในสังคมมันก็ไม่มีความสุข"

"บูม..." ท่าทีที่ขึงขังจริงจังของบูมทำให้ทิวก็ต้องอึ้งไปเหมือนกัน

"นายรับได้หรือเปล่าทิวที่เราจะทำแบบนี้ เราคงจะต้องทำร้ายแพรวเป็นคนแรก แต่เราก็จะให้เขาเจ็บน้อยที่สุด ส่วนพ่อกับแม่ของเรา... เราก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะทำยังไง แต่เราบอกนายได้เลยว่า... เขาจะบังคับหัวใจเราไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันอาจจะฟังดูโหดร้ายสำหรับใครๆ แต่เราก็อยากให้คนอื่นๆ เข้าใจด้วยว่า คนที่ถูกทำร้ายด้วยความหวังดีอย่างเรา... ถูกกระทำมานานแล้ว มันโหดร้ายยิ่งกว่า มันเจ็บยิ่งกว่า เพราะมันเหมือนเราเป็นคนที่ไม่มีชีวิต ได้แต่ทำตามความต้องการของคนอื่นไปวันๆ ทั้งๆ ที่เราก็มีหัวใจ ถ้าจะต้องมีชีวิตแบบนี้ต่อไป ก็อย่ามีชีวิตเสียเลยดีกว่า" บูมดูจะสะเทือนใจมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

เห็นบูมเน้นย้ำเรื่องความเป็นความตายบ่อยเข้าทิวก็ชักใจเสีย

"บูม...นายอย่าพูดแบบนี้สิ" ทิวลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ บูม ดึงมือบูมทั้งสองข้างมาจับไว้เพื่อให้กำลังใจ "เอาเป็นว่า...เราเข้าใจสิ่งที่นายกำลังจะทำ เราขอบคุณที่นายพยายามจะทำเพื่อเรา ทำให้มันเกิดความชัดเจน มันก็จริงของนาย...เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องมีใครสักคนต้องเจ็บ"

"แต่ไม่ใช่นายเจ็บนะทิว...ไม่ใช่นาย เราต้องช่วยกันทำให้แพรวเข้าใจความรักของเรา ทำให้เขาเจ็บน้อยที่สุด" บูมรีบพูดดัก "ใช่ไหมทิว... ถ้านายรักเรา นายต้องมั่นใจ นายไม่ต้องละอายใจ นายไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว เรารักกันแล้ว มีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว เราเป็นคู่รักกัน เป็นแฟนกัน เป็นสามีภรรยากัน เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตเราต้องอยู่ด้วยกัน นายมาก่อนทุกคน คนที่จะต้องเข้าใจความรักของเราก็คือแพรว รวมทั้งครอบครัวของเราด้วย ไม่ใช่ว่าเราใจร้าย...แต่เราไม่ควรจะหลอกตัวเองอีกต่อไป" บูมพูดแล้วก็ใช้แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ทิวเอาไว้

"ต้องมันบอกว่าเราจะให้นายเป็นหนูทดลอง เราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกทิว ชีวิตของนายไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอามาทดลองเล่น เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อความหวังนะทิว ที่ผ่านมาเราอาจไม่ได้ลงมือทำอะไรจริงจังเพราะมัวแต่กังวล แต่คราวนี้...เป็นไงก็ก็เป็นกัน เราอาจจะให้นายช่วยบ้างในบางเรื่อง แต่ก็จะพยายามไม่รบกวนมากให้นายต้องอึดอัดใจ เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อความรักของเรา...นะทิวนะ" พูดจบแล้วบูมก็หันมาสบตากับทิว

บูม...เราไม่รู้ว่าเราจะพูดคำไหนหรือแสดงออกยังไงให้นายรู้ว่าเรารักนายเหลือเกิน ยิ่งเห็นความตั้งใจของนายที่จะทำเพื่อความรักของเราก็ยิ่งรักมากขึ้น ทิวทำได้แค่กอดและซบใบหน้าบนอกที่แสนอบอุ่นของบูม เขาเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าบูมจะเข้มแข็งมากพอที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เขาต้องช่วยบูมอีกแรงหนึ่ง ไม่ใช่เพราะต้องการแย่งชิงบูมมาจากคนอื่น แต่เพราะต้องการช่วยให้บูมเป็นอิสระมากขึ้น เขาเองก็เคยเห็นว่าบูมมีความทุกข์มากแค่ไหนที่ต้องมีชีวิตที่ถูกบังคับแบบนั้น

บูมใช้มือลูบผมทิวไปมาอย่างแผ่วเบาด้วยความรักใคร่ ถ้าทิวไม่เชื่อใจเขาอีกสักคนแล้วชีวิตของเขาก็คงอยู่ลำบากเหมือนกัน ขอบใจที่นายมั่นใจและเชื่อใจเรา ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเราก็ทำได้เพื่อนาย ไม่มีสิ่งใดที่เราจะต้องกลัวถ้านายยังอยู่เคียงข้างเราอย่างนี้ต่อไป

------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากนั้นทิวก็เข้ามาทำงานเป็นผู้ประสานงานโครงการสบายวอล์กเวย์อย่างเต็มตัว พี่พงษ์ดูจะเสียดายไม่น้อยที่ทิวลาออก แต่เขาก็เข้าใจว่างานแบบนี้คงมีคนทนทำได้ไม่นาน การเข้ามาแล้วออกไปเป็นเรื่องที่เขาเห็นจนชิน เมื่อทิวมีงานทำที่ดีกว่าเขาก็ยินดีด้วย นอกจากนี้ ทิวก็ว่าจะเลิกร้องเพลงตอนกลางคืนด้วย แต่จะเปลี่ยนไปหาที่เรียนแบบภาคค่ำแทน

งานช่วงแรกๆ นั้นจะเป็นการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่จะเชิญเข้ามาร่วมเป็นภาคีเครือข่าย ช่วงนี้ทิวจะต้องโทรศัพท์ ส่งแฟกซ์ ส่งจดหมายเกือบทั้งวัน บางวันก็ออกไปประชุมกับบูมและแพรวข้างนอก ที่สมาคมจัดห้องทำงานไว้ให้โครงการหนึ่งห้อง ทิวใช้วิธีเดินทางไปทำงานด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์ไปรถไฟฟ้าใต้ดินก่อน แล้วก็ต่อบีทีเอสไปลงสถานีซึ่งอยู่ใกล้ที่ทำงาน แต่ถ้าวันไหนบูมเข้ามาทำงานและไม่ได้ไปรับแพรว บูมก็จะมารับทิวถึงที่บ้าน หรือไม่ก็มาค้างที่บ้านทิวแล้วก็ไปทำงานด้วยกันตอนเช้าเลย

เวลาอยู่ในที่ทำงาน ดูเหมือนบูมก็จะมาขลุกอยู่กับทิวมากกว่าใคร อย่างเช่นวันนี้ ในขณะที่แพรวทำสรุปรายงานการประชุม เอิร์ธเข้ามาช่วยทำเว็บไซต์ บูมก็มาช่วยทิวทำไฟล์นำเสนอ เพราะว่าจะต้องนำมาใช้ในงานเปิดโครงการในปลายสัปดาห์หน้า ทิวทำ Presentation ยังไม่เก่งนัก แถมที่นี่ยังใช้เครื่องแมคทำงานกันอีก

เหมือนแพรวกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ จะสงสัยในความสนิทสนมที่ไม่ธรรมดานั้นอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะแพรวที่คอยเหลือบหันมาสังเกตอยู่บ่อยๆ บูมรู้ว่าแพรวคงเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง แต่นี่ก็คือชีวิตจริงๆ ของเขา นี่คือหัวใจจริงๆ ของเขา แม้ว่าแพรวจะยังไม่รู้อะไรมากนัก บูมก็ได้แต่ขอโทษแพรวในใจ อย่าให้ชีวิตนี้ผมต้องฝืนใจตลอดไปเพื่อใครอีกเลย ผมเหนื่อยกับมันเหลือเกิน เป็นครั้งเป็นคราวก็คงพอได้

"แพรว...วางแผนจะแต่งงานกับบูมเมื่อไรครับ เห็นหมั้นกันมาหลายเดือนแล้ว" อยู่ๆ เอิร์ธก็ถามขึ้นขณะที่เข้ามาชงกาแฟในห้องเตรียมอาหารพร้อมกับแพรว ปล่อยให้ทิวกับบูมทำงานกันไปสองคนในห้อง

"ก็คุยๆ กับคุณแม่ไว้ว่าอาจจะเป็นปีหน้า" แพรวบอกพลางยิ้มแล้วก็หันไปจัดการกับการชงกาแฟต่อ บ่ายๆ อย่างนี้แล้วได้กาแฟสักแก้วก็ช่วยให้หายง่วงได้เยอะเหมือนกัน

เอิร์ธพยักหน้าเข้าใจ

"รู้สึกว่าบูมกับทิวนี่ดูสนิทกันมากเลยนะ" จู่ๆ เอิร์ธก็เปลี่ยนเรื่องคุย จริงๆ เขาสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ หลายอย่างทีเขาเองก็ไม่เข้าใจ เช่น ทำไมเวลานั่งสอนงานกันจะต้องโอบไหล่กันด้วย ทำไมจะต้องไปส่งทิวถึงบ้านทุกครั้งที่มีโอกาส ทิวก็มาเองได้ แถมไวกว่าด้วยเพราะมารถไฟฟ้า แล้วบางทีก็เห็นแอบจับมือกัน บางทีเอิร์ธก็เห็นสองคนนี้เดินจับมือกันไปห้องน้ำ พอเขาเดินมาก็รีบปล่อย ดูเหมือนบูมจะดูแลเทคแคร์ทิวดีกว่าแพรวเสียอีก

"เขารู้จักกันมานานแล้วนี่ ก็สนิทกันเป็นธรรมดาแหละ" แพรวแก้ต่างให้ ถึงเธอจะรู้สึกอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรมากกว่าความเป็นเพื่อนกัน

"ก็คงใช่" เอิร์ธพยักหน้าเข้าใจ ไม่รู้ว่าจะบอกแพรวยังไงเหมือนกันว่าเขาสงสัยอะไร "แพรวคบกับบูมตั้งแต่สมัยเรียนที่เมกาเลยเหรอ"

"ค่ะ แต่ช่วงแรกๆ ก็ไม่ได้เป็นแฟนกันหรอก แค่รู้จักกันเฉยๆ เพิ่งมาเป็นแฟนกันตอนปีสามได้แล้วมั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ"

"ก่อนหน้านั้นบูมเคยมีแฟนไหม"

แพรวทำท่าครุ่นคิด "อืม...เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยเห็นนะ บูมเขาเป็นเด็กเรียน เขาขยันเรียน ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากหรอก ส่วนมากก็เพื่อนๆ กัน เอิร์ธมีอะไรหรือเปล่าคะ" แพรวอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ดูท่าทางของเอิร์ธแปลกๆ ไป

"เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ" เอิร์ธชวน แล้วก็เดินนำแพรวออกมา พอดีช่วงนั้นมีคนเดินเข้ามาในห้องเตรียมอาหารด้วย ก็เลยรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะคุยกันเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น

---------------------------------------------------------------------------------------

บูมสอดส่ายสายตาสักพัก เขาก็เจอต้องนั่งรออยู่ในศาลาเล็กๆ ที่จัดไว้ให้คนที่มาเดินในสวนสาธารณะนั่งพักผ่อน เขารู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ ต้องก็โทรหาเขาแล้วบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่สำคัญอยากจะคุยด้วย พอบูมเลิกงานแล้วก็รีบนั่งรถไฟฟ้ามาที่สวนแห่งนี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก ตอนแรกว่าจะนัดเจอกันที่อื่นแต่ต้องบอกว่าอยากคุยที่เงียบๆ คนไม่เยอะ แม้จะเป็นช่วงเย็นๆ มีคนมาออกกำลังกายและเดินเล่นในสวน แต่ตรงบริเวณที่ต้องนั่งอยู่ก็มีเขาแค่คนเดียว

"นั่งสิ" ต้องบอกเมื่อเห็นบูมมาถึงแล้ว สีหน้าต้องดูเครียดๆ บูมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าต้องมีเรื่องอะไรจะคุยกับเขา หรือจะเป็นเรื่องที่ต้องต่อยเขาวันนั้น แต่บูมก็ไม่ได้เก็บเอามาโกรธเคืองแต่อย่างใด

พอบูมนั่งลงแล้วต้องก็พูดสืบไปว่า "วันนั้นกูขอโทษละกัน กูรู้สึกโมโหมากไปหน่อย หวังว่ามึงคงเข้าใจ กูเจ็บแทนไอ้ทิวที่ถูกมึงทอดทิ้งไปแบบนั้น" ต้องพูดโดยไม่หันหน้ามามองเพื่อน

"กูเข้าใจ ไม่มีปัญหาอะไรหรอกเรื่องนั้น ว่าแต่นายจะคุยกับอะไรกับเรา เดี๋ยวเราจะต้องไปรับแพรวไปบ้านเรา" บูมถามเข้าเรื่องทันที แต่วันนี้เขาก็หนักใจอยู่อย่างที่พ่อกับแม่บอกให้เขาไปรับแพรวมาที่บ้านเพราะว่าคุณตาคุณยายจะมาหา ก็เลยอยากให้บูมพาว่าที่สะใภ้มารู้จักกับผู้ใหญ่ แถมแม่ยังโทรไปคุยกันแพรวไว้ก่อนแล้วเสียอีก ก็เลยดูจะเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ

"มีสิ...เรื่องสำคัญด้วย เรื่องที่มึงไม่เคยรู้... แต่กูคิดว่ามึงควรจะต้องรู้..."

บูมยังคงรอฟังอยู่โดยไม่พูดอะไร

"ตอนที่มึงไม่อยู่... ตอนที่แม่ทิวมันเพิ่งเสีย กูไปอยู่เป็นเพื่อนทิวทุกวันเพราะกูกลัวว่ามันจะคิดสั้น กูเห็นมันร้องไห้ทุกวัน ก็เห็นมันหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต บอกตรงๆ ว่ากูสงสารมันมาก กูได้แต่โมโหมึงและเกลียดมึง ถ้าตอนนั้นมึงอยู่ มึงคงช่วยมันได้เยอะกว่ากู"

ไม่ว่าจะได้ยินหรือนึกถึงเรื่องนี้สักกี่ครั้ง บูมก็รู้สึกเจ็บปวดและรู้สึผิดในใจเสมอ แต่ต้องกำลังบอกเขาเรื่องนี้เพื่ออะไรกัน

"กูไม่ได้เกลียดมึงแค่เพราะว่ามึงไม่มาหามันเท่านั้น แต่อีกอย่างที่กูเกลียดก็เพราะว่า... ทำไมกูไม่เคยที่จะทดแทนมึงได้เลย ไม่ว่าจะทำอะไรมากแค่ไหน แม้กระทั่งเวลาที่มึงไม่อยู่ ทิวมันก็นึกถึงแต่มึง แม้ว่ากูจะคอยมาดูแลเป็นห่วง ทิวก็ไม่เคยเห็นกูอยู่ในสายตา" น้ำเสียงของต้องบ่งบอกว่าเขาเจ็บปวดกับสิ่งที่กำลังพูดเพียงใด แต่บูมฟังแล้วกลับไม่เข้าใจแม้แต่อย่างเดียว

"มึงหมายความว่าไงต้อง"

"หึ" ต้องแค่นเสียง เขาถอนหายใจยาวแล้วก็หันหน้าไปทางอื่น "กู...ชอบทิว"

บูมตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้ยินไม่น้อย นี่ถ้าต้องไม่มาพูดด้วยตัวเองเขาจะไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาด

"กูไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะกูสงสารมันที่ไม่มีใครก็ได้ จริงๆ กูก็รู้จักมันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วล่ะ ก็ไม่เคยคิดว่าจะชอบมันแบบนั้น จนวันที่แม่มันจากไป"

บูมพูดอะไรไม่ออก เขากับต้องหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างใช้ความคิด

"ทิวรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง" บูมถามเสียงเบา

ต้องส่ายหน้า แล้วก็ก้มหน้าลง "กูยังไม่กล้าบอกมันหรอก" แล้วก็พูดสืบไปว่า "ที่กูบอกมึง เพราะมีเรื่องที่อยากจะขอร้องมึง" ต้องหันมามองบูมแวบหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าตามเดิม

บูมมองด้วยความสงสัยและรอคอยสิ่งที่ต้องกำลังจะบอกเขา

"กูอยากให้มึงปล่อยทิว"

ได้ยินแค่นั้นบูมก็ถึงกับตกใจ ทำไมเขาจะต้องทำแบบนั้นด้วย

"กูไม่คิดว่ามึงจะทำอะไรได้มากนัก มึงมีคู่หมั้นแล้วนะบูม ไม่นานมึงก็ต้องแต่งงานกัน แล้วทิวล่ะ.... มึงไม่สงสารทิวหรือไง ให้มันเจ็บเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีกว่าที่มึงจะมาหลอกให้มันมีความหวัง แล้วสุดท้ายมึงก็ต้องทิ้งมันไป กูรู้ว่าพ่อกับแม่มึงไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ได้"

"ไม่" บูมรีบตอบปฏิเสธ

"ทำไม" ต้องเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ "มึงจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือบูม ทำไมมึงจะต้องลากไอ้ทิวเข้าไปเป็นมือที่สามแบบนั้น ใครมารู้เข้าเขาก็ต้องหาว่าทิวเป็นคนไม่ดี"

"ทิวไม่ได้เป็นมือที่สามและไม่เคยเป็น" บูมพูดเสียงหนักแน่น "กูกับทิวรักกันมาตั้งนานแล้ว คนที่จะเป็นมือที่สามก็ควรจะเป็นคนอื่น ไม่ใช่ทิว"

"อะไรนะ" ต้องดูแปลกใจและงุนงงกับสิ่งที่บูมพูด

"สิ่งที่กูจะต้องทำก็คือทำให้คนอื่นๆ เข้าใจความรักของกูกับทิว มึงได้ยินไหมต้อง ทิวไม่ใช่มือที่สาม กูไม่เคยรักใครนอกจากทิว ทิวจะเป็นมือที่สามไม่ได้อย่างเด็ดขาด"

"แต่มึงกำลังจะแต่งงาน" ต้องรีบแย้งเสียงดัง

"ตอนนี้ยังไม่ได้แต่ง ยังไงกูก็ยังมีความหวัง" บูมเถึยง

"แล้วถ้ามึงทำไม่ได้ล่ะ ไอ้ทิวมันจะเป็นยังไง มึงเคยคิดบ้างไหม" ต้องเริ่มเสียงดังมากขึ้น เขาเริ่มโมโหอีกแล้ว

"คิดสิ ทำไมกูจะไม่คิด ทิวไม่ได้เป็นหนูทดลองสำหรับกูอย่างที่มึงพูดวันนั้น ไม่ว่าจะยังไงกูก็จะพยายามให้ถึงที่สุด หัวใจกูอยู่ที่ทิว ถ้ากูจะต้องอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ทิว ถ้าจะต้องถูกบังคับขนาดนั้น ก็ให้กูตายเสียดีกว่า" บูมเริ่มพูดถึงความตายอีกแล้ว ถ้าทิวมาได้ยินคงไม่ชอบใจน่าดู

แล้วบูมก็พูดต่อไปว่า "กูไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่กูก็ยังมีความหวัง กูจะไม่เลิกพยายาม ไม่ว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยทิวก็จะไม่เสียใจว่ากูไม่เคยพยายามทำอะไรเลย ทิวจะไม่มีวันเสียใจว่ากูไม่ได้พยายามทำเพื่อความรักของกูกับทิว"

ต้องดูเงียบไปทันที ดูเหมือนสองคนนี้จะรักกันจนเขาไม่มีพื้นที่จะยืนร่วมได้เลย

"แต่ถ้ามึงรักทิว...กูก็ไม่ได้ว่าอะไร กูเข้าใจว่าเรื่องหัวใจมันคงห้ามไม่ได้ คนที่จะต้องตัดสินใจก็คือทิว ถ้าทิวไม่ได้รักมึง... มึงก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เหมือนกัน ถ้าทิวไม่ได้รักกู... กูก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน"

ต้องถอนหายใจอย่างหนักใจแล้วก็กุมขมับ ที่บูมพูดมันกูถูกของมัน จริงๆ ต้องก็ยังไม่เคยบอกทิวเลย ยังไม่เคยพยายามที่จะทำให้ทิวรับรู้ ถ้าทิวรู้...ทิวจะทำยังไง ทิวจะหันมามองเขาบ้างไหม แต่ถ้ามัวแต่คาดเดา ต้องก็อาจจะไม่ได้คำตอบอะไร หรือว่า...เขาควรจะต้องลองดูสักครั้ง!!!???

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

81. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #80
 
03-Apr-12, 04:28 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ ขอรูป ต้อง กับ แพรว ครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

82. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #80
 
03-Apr-12, 04:29 PM (SE Asia Standard Time)
 
   เริ่มเห็นแววความยุ่งยากแล้ว ... ไม่อยากจะเดาเลยว่า อะไรจะเกิดต่อไป ...
แต่คิดว่าเดาไม่พลาดแน่... ติดตามอยู่นะครับ ขอบคุณมาก


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Nueng
Guest

83. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #82
 
05-Apr-12, 10:23 AM (SE Asia Standard Time)
 
   อย่าให้ทิวต้องเจ็บอีกเลยนะ ขอร้อง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

84. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
06-Apr-12, 10:04 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 26

"นี่เหรอคู่หมั้นของบูม ชื่ออะไรล่ะจ้ะหนู" ดูเหมือนคุณยายของบูมจะถูกใจว่าที่หลานสะใภ้เข้าให้แล้ว

"แพรวค่ะคุณยาย" แพรวตอบพลางยิ้ม

"หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา สวยน่ารักเชียว" คุณยายชมพลางพิศดูใบหน้าของสาวน้อยที่มานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มพอใจและชมไม่ขาดปาก "ว่าไหมพ่อ" คุณยายหันไปถามคุณตา ท่านก็พยักหน้าและยิ้มพอใจไม่ต่างกัน

"บูมเขาตาแหลมค่ะแม่" คุณทิพย์นภาพูดเสริม ดูๆ ไปแล้วในบ้านนี้ก็ดูจะไม่มีใครไม่ชื่นชมและอยากได้แพรวมาเป็นลูกสะใภ้สักคน มีแต่บูมเท่านั้นแหละที่ทำหน้าเครียดๆ ไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส เขายอมรับว่าเขาเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อได้กลับมาหาทิว สิ่งที่เขาปฏิบัติกับแพรวก็เป็นเพียงมารยาทสังคมที่ชายหนุ่มจะพึงกระทำต่อหญิงสาวเท่านั้น บูมอยากจะบอกแม่เหลือเกินว่า เขาไม่ได้ตาแหลมใดๆ ทั้งสิ้น คนที่เลือกมาให้เขาก็คือพ่อกับแม่ แพรวสวยน่ารัก เขายอมรับในเรื่องนี้ แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่เขาต้องการ

"แล้วทิพย์ไปหาฤกษ์หายามงานแต่งงานให้บูมกับหนูแพรวแล้วหรือยังลูก" คุณตาเป็นฝ่ายถามบ้าง

"ยังเลยค่ะพ่อ เดี๋ยวทิพย์ว่าจะปรึกษาพ่อกับแม่เรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ จริงๆ ทิพย์ก็อยากให้บูมแต่งงานกับหนูแพรวเร็วๆ เหมือนกันนะคะ ทางพ่อกับแม่ของหนูแพรวก็อยากให้แต่งงานกันเร็วๆ เหมือนกันค่ะ"

แม่ไม่ได้ถามบูมสักคำเลยว่าบูมอยากแต่งงานหรือยัง แต่คราวนี้บูมคงอยู่เฉยๆ ไม่ได้ "แม่ครับ บูมเพิ่งอายุ 23 เองนะครับ ยังไม่อยากแต่งงานไวขนาดนั้นครับ"

แม่ทำสีหน้าไม่พอใจอย่างที่บูมก็พอจะเดาออก "ทำไมพูดแบบนี้ต่อหน้าหนูแพรวล่ะบูม ก็หมั้นกันแล้วยังไงก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดี" แต่แล้วคุณทิพย์นภาก็หยุดพูดไปทั้งๆ ที่คงอยากพูดอะไรอีกหลายอย่าง แต่เนื่องจากพ่อกับแม่ของเธออยู่ที่นี่จึงไม่อยากทะเลาะกับลูกชายให้ผู้บังเกิดเกล้าเห็น

แพรวเองได้ยินแบบนั้นก็หน้าเสียไปเหมือนกัน บูมก็สังเกตเห็น แต่เขาก็อยากให้แพรวเริ่มรับรู้อะไรบางอย่างจึงไม่ได้พูดแก้แต่อย่างใด

"คุณพ่อกับคุณแม่คงจะหิวข้าวแล้วล่ะคุณ ผมว่าเราไปทานข้าวเย็นกันเลยดีไหมครับ" คุณลิขิตรีบพูดขึ้นเมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดี แล้วก็หันไปมองหน้าลูกชายคนเล็ก คุณลิขิตยังไม่เคยคุยกับบูมเรื่องการแต่งงานของบูมกับแพรวอย่างจริงๆ จังๆ เลย เห็นทีเขาคงจะต้องคุยกับลูกชายคนเล็กให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียทีเพราะเขาก็เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างเหมือนกัน

---------------------------------------------------

'ให้มันเป็นเพลงบนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉันอยู่ด้วยกันตราบนาน ดั่งในใจความบอกในกวีว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง คือทุกครั้งที่รักของเธอส่องใจฉันมีแต่เธอ'

เสียงโทรศัพท์ของบูมดังขึ้นด้วยเสียงเพลงประกอบภาพยนต์ดังเรื่องหนึ่งที่ออกฉายเมื่อนานหลายปีมาแล้ว ความน่าสงสัยคงไม่ได้อยู่ที่ว่าทำไมเขาไปเอาเพลงเก่าๆ มาทำเป็นเสียงเรียกเข้า แต่เพราะมันเป็นเพลงประกอบภาพยนต์เกย์นี่สิ เพื่อนๆ ในที่ทำงานพอได้ยินก็เลยหันมามองเขาเป็นตาเดียวกัน แล้ววันนี้ก็ดันเป็นวันที่ทุกคนมาทำงานที่สำนักงานอย่างพร้อมเพรียงกันเสียด้วย ขาดแต่เพื่อนต่างชาติสองคนเท่านั้นที่นานๆ จะเข้ามาที

บูมคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วก็หันไปยิ้มกับเพื่อนๆ ที่มองมาที่เขาด้วยสีหน้าเหมือนกับสงสัยอะไรบางอย่าง

"มีใครเคยดูหนังเรื่องรักแห่งสยามบ้างป้ะ" บูมถามแก้เขิน

"โห...หนังเขาจบไปไม่รู้กี่ปีกี่ชาติ เพิ่งได้ดูเหรอ" วิทแซวพลางหัวเราะชอบใจ คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะไปด้วย

"บูมเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปดู วันๆ ก็ทำแต่งาน เมื่อก่อนก็เอาแต่เรียนหนังสือ" แพรวพูดแล้วก็ขำไปกับเพื่อนๆ ด้วย แต่ในใจก็เริ่มรู้สึกหวาดหวั่นอะไรบางอย่าง

"ทำไมอยู่ๆ ถึงถามขึ้นมาล่ะ ประทับใจฉากไหนในหนังเรื่องนี้เหรอ อย่าบอกนะว่าฉากที่โต้งกับมิว..." เอิร์ธถามแล้วก็ทำตาโต

"อืม...ก็ฉากนั้นแหละ" บูมพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงพลางหันไปยิ้มกับทิว แต่ดูเหมือนทิวก็ไม่รู้่ว่าจะทำหน้ายังไงเหมือนกัน

"เฮ้ยจริงเหรอ เดี๋ยวนี้บูมเปลี่ยนรสนิยมไปชอบแบบนั้นแล้วเหรอ" วิทถามขึ้นอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ แต่สิ่งที่เขาถามก็เหมือนกับน้ำมันที่ราดเข้าไปเติมเชื้อแห่งความสงสัยของแพรวให้เพิ่มมากขึ้น

บูมยิ้มแล้วก็ตอบไปว่า "ผมไม่เคยเปลี่ยนรสนิยม" บูมหันไปพูดกับวิทแล้วก็พูดสืบไปว่า "พอดีเมื่อวานไปบ้านทิว เห็นทิวมีแผ่นอยู่ก็เลยยืมมาดู ไม่คิดว่าจะสนุก"

พอบูมพูดถึงตรงนี้ จุดสนใจของสายตาก็เคลื่อนจากบูมไปหาทิวทันที ทิวได้แต่ทำหน้ายิ้มๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร แต่บูมก็ดึงกลับมาด้วยการพูดต่อว่า "ดูแล้วก็ได้แง่คิดหลายอย่างนะ โดยเฉพาะเรื่องความรักของชายกับชาย เราว่าสังคมของเราน่าจะเข้าใจคนเหล่านี้มากขึ้นนะ เขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา"

"บูมดูแล้วอยากมีแฟนเป็นผู้ชายบ้างหรือเปล่าล่ะ ระวังนะแพรว ก่อนแต่งงานอย่าลืมไปสืบดูล่ะว่าบูมซ่อนกิ๊กผู้ชายไว้หรือเปล่า" เอิร์ธพูดแล้วก็หัวเราะด้วยความคึกคะนองตามประสาคนในวัยอย่างพวกเขา แต่ก็ทำให้แพรวเริ่มแสดงสีหน้ากังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด

"โอ๊ย...แพรวไม่กลัวเรื่องนั้นหรอก บูมเขาแมนจะตาย จริงไหมคะบูม" แพรวพยายามกลบเกลื่อนแล้วก็หันไปถามกับแฟนหนุ่มพลางยิ้ม

บูมได้แต่ยิ้มๆ และขำนิดๆ ส่วนทิวนั้นก็เริ่มรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์แบบนี้เสียแล้ว เขาคิดว่าเขาน่าจะอดทนได้ แต่เมื่อบูมค่อยๆ ทำให้แพรวสงสัยมากขึ้นก็กลับทำให้ทิวยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นตามไปด้วย

พอเห็นเพื่อนๆ เริ่มหมดท่าทีสนใจ บูมก็เดินมาหาที่ทิวที่โต๊ะทำงานแล้วก็ถามเบาๆ ว่า "เรื่องเรียนเรียบร้อยแล้วไช่ไหมทิว"

ทิวเงยหน้าขึ้นมาตอบว่า "อืม...ขอบใจนายมากนะที่ช่วยเป็นธุระให้ตั้งหลายอย่าง"

"ไม่เป็นไร เราอยากให้นายเรียนหนังสือให้จบ จะได้ไม่ลำบาก..." บูมยิ้มนิดๆ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดมาก "พรีเซนเทชั่นเป็นไงบ้าง"

ทิวพยักหน้า "เสร็จแล้ว นายอยากดูไหม"

"ก็ดีเหมือนกัน" บูมพูดแล้วก็เดินไปลากเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานเขามานั่งข้างๆ ทิว ความสนิทสนมของเขากับทิวนั้นก็ยิ่งทวีความน่าสงสัยมากขึ้น

---------------------------------------------------------------------------

"ทิว...มึงจะเลิกเรียนหรือยัง"

"อีกประมาณครึ่งชั่วโมง มีอะไรหรือเปล่าต้อง" ทิวตอบพลางใช้มือป้องปากไว้เพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องเรียน

"จะมารับ" ต้องตอบ เขาเพิ่งผ่อนรถมาใหม่หลังจากที่ทำงานมาได้ระยะหนึ่ง วันนี้ก็เลยคิดว่าจะมารับทิวเสียหน่อยเป็นการฉลองใช้รถวันแรก

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวบูมก็จะมารับกูแล้ว"

"ได้ไง กูมารอมึงที่มหาลัยแล้วรู้เปล่า โทรไปบอกไอ้บูมเลยว่าไม่ต้องมาแล้ว กูเพิ่งถอยรถคันใหม่มา อยากให้มึงมาเจิมเป็นคนแรก มึงคงไม่คิดจะบอกให้กูกลับไปไช่ไหมทิว กูมาถึงแล้วนะโว้ย มึงเป็นเพื่อนคนแรกของกู กูก็เลยอยากให้มึงได้นั่งรถของกูเป็นคนแรก มึงสำคัญสำหรับกูนะทิว เร็ว...รีบโทรไปบอกไอ้บูมเลยว่าไม่ต้องมาแล้ว" ต้องพยายามหว่านล้อม

แล้วจะให้ทิวทำยังไงก็ต้องมันมารอแล้วนี่นา เขาคงไม่กล้าบอกให้ต้องกลับไปหรอก ทิวจึงขอตัวออกมาข้างนอกห้องเรียนแล้วก็โทรไปหาบูมทันที

"อยู่บนทางด่วนแล้ว อีกไม่เกิน 20 นาทีก็น่าจะถึง" บูมตอบเมื่อทิวถามเขาว่าเขาออกมาแล้วหรือยัง

"คือ..." จะพูดยังไงดี กลัวบูมโกรธจังเลย แต่เขาก็ไม่อยากโกหกเพราะนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่ไว้ใจกัน "พอดี...ต้องมันมารับเราน่ะบูม ตอนนี้มันอยู่ที่มหาลัยแล้ว เราก็ไม่กล้าบอกให้มันกลับ เดี๋ยวมันจะน้อยใจ"

บูมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ต้องไปรับทิวที่มหาวิทยาลัยอย่างนั้นหรือ "ก็...ไม่เป็นไรนี่ เราก็ไปรับนายแล้วต้องก็มากับเราด้วยก็ได้ มากันสามคนก็ได้ จะได้คุยกัน ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่ กับต้องเราก็ไม่ได้ติดใจอะไร"

"แต่ว่า...ต้องมันเอารถมารับเราน่ะสิ มันบอกว่ามันเพิ่งถอยรถมาแล้วอยากให้เรานั่งรถมันเป็นคนแรก" น้ำเสียงของทิวดูหนักใจไม่น้อย

"เหรอ..." บูมครุ่นคิด ถ้าเขาเป็นทิวก็คงเกรงใจต้องอยู่เหมือนกัน ยังไงทิวกับต้องก็เป็นเพื่อนกันมานาน จะบังคับให้ทิวหักหาญน้ำใจเพื่อนทิวก็คงทำไม่ได้อยู่แล้วล่ะ "อืม...งั้น...นายก็ให้ต้องมารับละกัน เดี๋ยวเราจะกลับบ้าน"

"บูม...เราขอโทษนายจริงๆ นะ เราไม่รู้จริงๆ ว่าต้องจะมา มันไม่ได้นัดเราเลย อยู่ดีๆ มันก็โทรมาบอกว่าอยู่ที่มหาลัยแล้ว เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ขอโทษนะบูม ขอโทษจริงๆ" ทิวพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด กังวลใจกลัวว่าบูมจะน้อยใจและคิดมาก

"ไม่เป็นไรทิว...เราเข้าใจ นายกับต้องเป็นเพื่อนกันมานาน เรารู้ว่านายบอกให้ต้องกลับไปไม่ได้หรอก ถ้าเราเป็นนายเราก็ทำไม่ได้เหมือนกัน" แต่จะบอกว่าบูมไม่กังวลเลยนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะมีบางอย่างที่บูมรู้แต่ทิวยังไม่รู้

ได้ฟังแล้วทิวก็พอยิ้มออก "ขอบใจบูมมากนะที่เข้าใจเรา คิดถึงบูมนะ"

"คิดถึงทิวเหมือนกันครับ แล้วเจอกันนะ บาย"

บูมวางสายไปแล้ว ทิวก็เลยกลับเข้าไปในห้องเรียนตามเดิม ตอนแรกทิวตั้งใจจะเรียนภาคค่ำ แต่ว่าหลักสูตรที่เขาเรียนนั้นไม่เปิดเรียนภาคค่ำเขาก็เลยต้องมาเรียนเสาร์อาทิตย์แทน ทำให้ทิวไม่มีเวลาว่างเลยแม้แต่วันเดียวในหนึ่งสัปดาห์

--------------------------------------------------------------------------------

"เดี๋ยววันนี้กูจะพามึงไปกินข้าวข้างนอก ห้ามปฏิเสธนะเว้ย วันนี้วันพิเศษของกู" ต้องรีบขู่ก่อนที่จะขับรถออกไป

"เออๆ เอาเป็นว่าเย็นนี้กูให้เวลามึงเต็มที่เลยละกัน จะพากูไปไหนก็ได้ทั้งนั้น" ทิวบอกแล้วก็ขำ

"จริงนะเว้ย" ต้องถามยืนยัน

"เออ..."

ดูต้องมันจะมีความสุขและภูมิใจมากทีเดียวที่ได้พาทิวขับรถไปตรงนั้นตรงนี้ แล้วก็พาไปกินข้าวที่ร้านอาหารแพงๆ เห็นต้องมีความสุขแบบนั้นแล้วทิวก็รู้สึกดีไปด้วย แต่ทิวก็ไม่รู้หรอกว่าที่ต้องดูมีความสุขขนาดนั้นเพราะอะไรกันแน่ ทิวคิดแต่เพียงว่าต้องคงดีใจที่ได้พาเพื่อนสนิทมานั่งรถคันใหม่ เอ...ทำไมต้องไม่หาตุ๊กตาหน้ารถมานั่งด้วยสักคนนะ ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปเขาก็คงอยากให้แฟนมานั่งด้วยมากกว่าที่จะเป็นเพื่อน แต่เขาก็ไม่เคยเห็นต้องพูดถึงแฟนเลย คบกันมาก็ตั้งนาน ทิวเพิ่งรู้สึกว่ามันแปลกก็วันนี้ หรือว่าต้องจะมีแล้วแต่ไม่ได้บอก?

"เฮ้ยต้อง...กูถามมึงอย่างดิ" ทิวหันไปถามเพื่อนขณะที่ต้องกำลังขับรถมาส่งเขาที่บ้าน

"ว่ามา"

"มึงมีแฟนหรือยังวะ"

คำถามนี้เล่นเอาต้องแทบจะเหยียบเบรกทันที เขาครุ่นคิดอยู่สักพักก็ตอบไปว่า "ยังเว้ย...หาอยู่ แต่เหมือนจะเจอแล้วล่ะ"

"จริงเหรอ ใครวะ กูรู้จักหรือเปล่า" ทิวถามอย่างตื่นเต้น

"รู้จักดีเลยแหละ ให้ถึงบ้านมึงก่อนเดี๋ยวกูจะบอกมึง" วันนี้แหละที่ต้องได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะบอกทิวเรื่องที่เขาคุยกับบูมวันนั้น เป็นไงก็เป็นกัน ดีกว่าเก็บไว้ในใจ บางทีพอเขาบอกไปแล้วเขาก็อาจจะมีความหวังมากขึ้น อย่างน้อย...วันหนึ่งถ้าทิวไม่มีใครจริงๆ ทิวก็จะรู้ว่ายังมีเขาอีกคนที่ยังรออยู่

------------------------------------------------------------------------

"บูมคะ วันงานเปิดโครงการ ตอนเช้าๆ แพรวว่าจะแวะไปทำผมที่ร้านซะหน่อย บ่ายๆ บูมไปรับแพรวได้ไหมคะ"

"แพรว...บูมเป็นผู้จัดการโครงการ วันเปิดโครงการบูมต้องอยู่แสตนด์บายที่งานตลอดเวลา บูมคงไปรับแพรวไม่ได้จริงๆ ครับ" บูมปฏิเสธไปตามเหตุผลที่เขาบอก

"บูมคะ แค่ช่วงบ่ายนิดเดียวเอง บูมแวบออกมาแป๊บนึงก็ได้นี่คะ คนอื่นๆ ก็ช่วยอยู่ดูได้" แพรวต่อรอง ในวันงานเธอจะเป็นพิธีกรคู่กับบูมด้วยก็เลยอยากจะแต่งตัวให้สวยเป็นพิเศษ

"แพรว...บูมไม่กล้ารับปากจริงๆ แพรวมาเองได้ไหม นั่งแท็กซี่มาก็ได้ วันนั้นบูมต้องเตรียมหลายอย่างจริงๆ บูมกลัวว่าจะไปไม่ได้ บูมขอโทษจริงๆ" บูมยังยืนยันเช่นเดิม เขาก็หวังว่าแพรวจะเข้าใจบ้าง

"แพรวไปเองก็ได้ค่ะ" แพรวพูดเสียงต่ำแล้วก็วางสายไป คงจะงอนไปตามประสาผู้หญิง

บูมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน จริงๆ เมื่อก่อนเขาก็ง้อได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้...เขาไม่อยากทำอย่างนั้นเลย อีกอย่าง...มันก็ไม่ได้จริงๆ ตามที่เขาบอกนั่นแหละ ในฐานะผู้จัดการโครงการเขาต้องอยู่ดูแลความเรียบร้อย ไม่ควรที่หายไปด้วยเรื่องส่วนตัวแบบนั้น

บูมว่าจะกลับมานั่งอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาตามเดิม จู่ๆ เขาก็นึกถึงพี่ชายขึ้นมา บางทีถ้าพี่บีมรู้อะไรบางอย่าง พี่บีมอาจจะช่วยเขาได้ คิดได้แล้วบูมก็วางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะที่เขานั่งอ่านหนังสือ แล้วก็รีบไปที่ห้องพี่ชายซึ่งอยู่ติดกันทันที

"เข้ามาเลยบูม พี่ไม่ได้ล็อกห้อง" เสียงพี่บีมดังแว่วออกมาหลังจากที่บูมเคาะประตูเรียก

บูมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นพี่ชายกำลังโหลดภาพจากกล้องถ่ายรูปลงเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ "พี่บีมทำงานอยู่เหรอครับ ผมมากวนหรือเปล่า"

บีมหันมามองน้องชายแล้วก็รีบตอบไปว่า "ไม่เป็นไร พี่ก็มีเรื่องอยากคุยกับบูมอยู่พอดี"

"วันนี้พี่ไปถ่ายรูปที่ไหนมาครับ" บูมถามพลางเดินไปนั่งลงบนเตียงของพี่ชาย

"งานอีเวนต์เปิดตัวสินค้า มีดารามาหลายคนเลย" บีมบอกแล้วก็เดินมานั่งข้างๆ กับน้องชาย "ว่าไง...เรื่องแต่งงานของเรา เห็นแม่บอกว่าจะรีบไปหาฤกษ์ให้ไม่ใช่เหรอ ทำไมรีบแต่งนักล่ะบูม อายุแค่ 23 เองนะ" บีมรีบเข้าเรื่องทันที

"ผมไม่ได้อยากแต่งเร็วขนาดนั้นซะหน่อยพี่ แม่เขาพูดเองเออเอง" บูมบอกด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

บีมสังเกตเห็นแล้วก็ถาม "ถามจริง...บูมอยากแต่งงานหรือเปล่า"

บูมหันไปมองพี่ชาย ครุ่นคิดอยู่สักพักก็ส่ายหน้า "ไม่อยากแต่งครับ"

"บูมไม่ได้ชอบแพรวใช่ไหม" บีมถามอย่างรู้ทัน เขาสังเกตเห็นท่าทีของบูมที่มีต่อแพรวมานานแล้วล่ะ

บูมถอนหายใจอย่างเคร่งเครียด "ผมจะทำไงดีครับพี่บีม ผมไม่อยากแต่งงานจริงๆ นะครับ ผมไม่ได้คิดอะไรกับแพรวเกินเพื่อนเลย"

บีมเองก็หนักใจเช่นกัน เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่บูมจะไปบอกพ่อกับแม่ว่าเขาไม่อยากแต่งงานกับแพรว "พี่คิดว่า...บูมต้องบอกความจริงกับพ่อแม่นะ แต่ต้องหาโอกาสเหมาะๆ หน่อย ไม่งั้นก็จะเป็นเรื่องอีกจนได้"

"ผมว่ายังไงก็เกิดเรื่องครับ ไม่ว่าจะบอกตอนไหน"

ก็คงจะจริงอย่างที่บูมว่า บีมยังนึกไม่ออกเลยว่าโอกาสเหมาะๆ ที่เขาพูดถึงเมื่อกี้มันควรจะเป็นตอนไหน

"อ้อ...แล้วบูมไปหาทิวมาหรือยัง" บีมเปลี่ยนเรื่องเมื่อเพิ่งนึกได้ นี่ก็จะเป็นปีอยู่แล้วที่บูมกลับมาจากเมืองนอกแล้วยังไม่ได้ไปหาทิวเลย
บูมพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ "ไปมาแล้วครับ หลายเดือนแล้ว"

"อ้าวเหรอ" บีมทำหน้าแปลกใจ แต่ก็ดีใจที่น้องชายยอมไปคุยกับเพื่อนอีกครั้ง "แล้วทิวว่าไง เขาดีใจหรือเปล่าที่ได้เจอบูม"

"ดีใจสิครับพี่ ผมก็ดีใจ ตอนนี้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วครับ"

"ดีแล้ว เอ๊ะ...กลับมาเป็นเหมือนเดิมนี่เป็นยังไงเหรอ" บีมถามด้วยความสงสัย จริงๆ เขาก็สงสัยความสัมพันธ์ของน้องชายกับเพื่อนคนนี้มานานพอสมควรแล้วล่ะ

"คือ..." บูมทำสีหน้าลังเล

"พี่ว่ามันถึงเวลาแล้วนะที่บูมจะบอกความจริงกับพี่เรื่องเพื่อนของเรา บูมชอบทิวหรือเปล่า" บีมไม่รอช้ารีบถามเข้าประเด็น น้องชายเขาเป็นคนคิดมาก ขี้กังวล ขั้นตอนเยอะ ถ้าอยากจะคุยให้ได้เรื่องเลยก็ต้องถามตรงๆ แบบนี้แหละ

บูมถึงกับสะดุ้งตกใจที่ถูกจู่โจมรวดเร็วปานสายฟ้าแล่บแบบนั้น แต่เขาก็ตั้งใจอยู่แล้วล่ะว่าจะบอกพี่บีม

"ครับ" บูมตอบพลางลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของพี่ชาย เขาไม่รู้ว่าพี่ชายเขาจะรับได้หรือเปล่าที่เขาชอบผู้ชายด้วยกันแบบนี้

"พี่นึกอยู่แล้วเชียว ตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันเลยหรือเปล่า"

บูมพยักหน้า

"นี่ใช่ไหมที่เป็นเหตุผลที่ทำให้บูมไม่อยากแต่งงาน"

"ครับ" บูมรีบตอบทันที

"เรื่องไม่อยากแต่งงานนี่ก็เรื่องใหญ่แล้วนะ แต่อันนี้...เรื่องคอขาดบาดตายเลยล่ะ" บีมพูดแล้วก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ

"พี่บีม...คิดยังไงครับที่ผม...เป็นเกย์" บูมถามด้วยท่าทางไม่มั่นใจ

"พี่ไม่ได้มีปัญหาที่จะยอมรับเรื่องนั้นหรอกบูม พี่คิดว่าพี่รู้มาตั้งนานแล้วล่ะ"

บูมยิ้มดีใจที่พี่ชายไม่รังเกียจเขาในเรื่องนี้

"พี่บีมจำโครงการสบายวอล์กเวย์ของบูมได้ไหมครับ"

"อ๋อ...จำได้ๆ ที่จะเปิดตัวอาทิตย์หน้านี้แล้วใช่ไหม เดี๋ยวพี่จะไปถ่ายรูปในงานให้ด้วย พี่เกือบลืมเลย ขอบใจที่เตือน"

"ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ" บูมรีบบอก บีมหันมามองแล้วเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

"ผม...ชวนทิวมาทำงานเป็นผู้ประสานงานโครงการด้วยครับ" บูมสารภาพความจริงออกไป

ตายล่ะสิ...นี่บูมกำลังจะทำอะไร เอาคู่หมั้นกับคนรักมาทำงานด้วยกัน นี่ถ้าแม่รู้เข้า... เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าเรื่องมันจะเป็นแบบไหน

"บูมพูดจริงเหรอ" บีมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

บูมพยักหน้า เขาก็พอจะรู้ว่าพี่ชายกังวลใจเรื่องอะไร มันก็คงจะต้องเกิดเรื่องอย่างที่เขาทั้งสองคนกังวล ไม่ว่าจะทำแบบไหน จะบอกด้วยวิธีไหน ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน แต่อย่างน้อยถ้าเขาทำให้แพรวเข้าใจและหลีกทางให้เขาได้ พ่อแม่ก็จะบังคับให้เขาแต่งงานกับแพรวไม่ได้เพราะแพรวคงไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายที่เป็นเกย์อย่างเขา แต่มันจะง่ายขนาดนั้นหรือเปล่า...ตอนนี้คงไม่รู้ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็คงจะได้รู้ตอนนั้นแหละ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

85. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
06-Apr-12, 11:11 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ช่วงนี้ผมอาจจะขอหยุดพักงานเขียนไว้ก่อนนะครับ ขอเวลาตั้งตัวและทำใจสักหน่อย
พยายามที่จะไม่รู้สึกอะไร ไม่คิดอะไร แต่มันก็รู้สึกไปแล้ว
เหมือนจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดคิด ขอพักไปทำใจและฝึกปรืออะไรอีกนิดหน่อย
แล้วจะกลับมาเขียนให้จบครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

86. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #85
 
07-Apr-12, 07:37 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ยังไงก็ต้องรอจนได้ครับ

มีอะไรหนักใจ ก็ค่อยๆ คิด ค่อยๆ อ่าน นะครับ ไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ ทุกอย่างมีทางออกครับ

สวัสดีวันสงกรานตืครับ ท่านนักประพันธ์


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

87. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #86
 
07-Apr-12, 10:10 AM (SE Asia Standard Time)
 
   พักผ่อนเถอะครับ
ทำจิตใจให้สบายก่อน ดูแลตัวเองเป็นลำดับแรก
การที่คุณนำสิ่งดี ๆ มาสร้างความสุขให้คนในบอร์ด
กุศลนี้จะทำให้ทุกสิ่งที่กำลังทำร้ายจิตใจคุณแคล้วคลาด
ไปในเร็ววัน ผมเป็นกำลังให้เสมอครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
ลุ่มน้ำ เวียงเก่า
Guest

88. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #87
 
07-Apr-12, 11:52 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ในชีวิตคนเรา มีสิ่งกวนใจหนักบ้าง เบาบ้างผ่านเข้ามาเสมอ ๆ การก้าวผ่านไปให้ได้เป็นเรื่องยุ่งยากและเหน็ดเหนื่อย แต่มันต้องผ่านมันไปให้ได้ แล้วอุปสรรคเหล่านั้นจะเป็นบทเรียนที่สำคัญทำให้ชีวิตเราแข็งแกร่งขึ้น เพราะอย่างไร...พรุ่งนี้พระอาทิตย์จะยังขึ้นและส่องสว่างเสมอ เป็นกำลังใจให้น่ะครับ คุณมีเพื่อน...ถึงแม้พวกเราจะไม่รู้จักกันก็ตาม


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
beyonce
Guest

89. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #85
 
08-Apr-12, 00:09 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ไม่ว่า สิ่งที่ทำให้คุณ sarawatta หนักใจคืออะไร

ในฐานะที่เป็น fan club คนหนึ่ง ขอเป็นกำลังใจให้นะคับ

เชื่อว่า ยังมีอีกหลายคนที่เอาใจช่วยเช่นกัน สู้ๆ คับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
คีธ
Guest

90. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
08-Apr-12, 06:08 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ปัญหาทุกอย่างเวลาเราเผชิญกับมัน ก็ดูยากหนาสาหัส แต่ถ้าเวลาผ่านไป แล้วเราย้อนกลับไปดู เราก็จะยิ้มกับตัวเองได้ว่าเราก็แก้ไขปัญหาเหล่านั้นมาได้
ผมจะภาวนา และเอาใจช่วยครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Aon
Guest

91. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #90
 
09-Apr-12, 12:51 PM (SE Asia Standard Time)
 
   มาต่อเร็วๆนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

92. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
09-Apr-12, 04:40 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   คิดๆ อยู่สองสามวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจกว่า กลับมาเขียนต่อดีกว่า
พอได้กลับมาเขียน ก็รู้สึกว่า...ก็ยังอยากเขียน ก็ยังมีความสุขที่จะเขียน
ก็จะเขียนอย่างนี้ต่อไปจนกว่าจะจบครับ
ในอนาคตก็คงจะไปเขียนแบบอื่นๆ บ้าง แต่ก็ยังตอบไม่ได้ว่าจะเขียนแบบไหน
อาจจะดราม่ายิ่งกว่าเดิม อาจจะตลก อาจจะสบายๆ หรืออะไรก็ไม่รู้
แต่อยากเขียนในสิ่งที่คิดว่าพอจะให้สาระประโยชน์กับคนอ่านได้บ้าง ไม่มากก็น้อยครับ
ที่สำคัญ ต้องเป็นสิ่งที่เชื่อและอยากจะเขียนด้วยครับ

ตอนนี้จะให้พระเอกกับนายเอกได้หวานกันสักหน่อยนะครับ ก่อนจะเจอมรสุมลูกใหญ่

-----------------------------------------------------------------

ตอนที่ 27

"ทิว...ถ้า...ความรักของมึงกับบูมไม่สมหวัง มึงจะทำไงวะ" จู่ๆ ต้องก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมาขณะที่นั่งคุยกันอยู่หน้าบ้านหลังจากกลับมาจากข้างนอกด้วยกันแล้ว

ตั้งแต่เข้ามาในบ้าน ทิวผิดสังเกตว่าต้องดูมีอาการประหม่า ปกติต้องไม่ค่อยมีอาการแบบนี้ให้เขาเห็นบ่อยนัก

"อะไรวะ ไหนว่ามึงจะเล่าเรื่องแฟนให้กูฟังไง มาถามอะไรเนี่ย" ทิวพยายามพูดติดตลกพร้อมกับทวงถามเรื่องที่ต้องจะเล่าให้ฟัง เขารู้สึกอึดอัดที่จะคุยเรื่องนี้กับต้อง

"ก็กูอยากรู้เรื่องนี้ก่อน เรื่องแฟนมึงได้ฟังแน่ๆ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอบกูมาก่อน" ต้องทำเสียงเหมือนรำคาญ

ทิวมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าต้องจะมาคาดคั้นถามเขาเรื่องนี้ทำไม "ก็...คงเสียใจ"

"อันนั้นกูรู้แล้ว แต่หลังจากนั้นล่ะ มึงจะทำไง"

แล้วต้องจะอยากรู้ไปทำไมกัน... "ไม่รู้ว่ะต้อง มันยังไม่เกิดขึ้น...กูยังตอบอะไรตอนนี้ไม่ได้ แต่ถึงมันจะเป็นอย่างนั้น กูก็ดีใจที่เราได้พยายามทำอะไรบางอย่าง มันก็ดีกว่าที่เราจะไม่ทำอะไรแล้วบอกว่า...มันทำอะไรไม่ได้"

ดูเหมือนทิวก็พูดเหมือนที่บูมบอกเขาเมื่อวันนั้นเลยว่า "อย่างน้อยทิวก็จะไม่มีวันเสียใจว่ากูไม่เคยทำอะไรเพื่อความรักของกูกับทิวเลย"

"มึงสนุกหรือทิวที่ต้องอยู่ในสถานะที่ไม่ต่างจากมือที่สามแบบนี้ บูมมันกำลังจะหมั้นนะทิว"

ทิวรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกทีที่ต้องยังไม่เลิกคุยเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าต้องก็สังเกตอาการนี้ของทิวได้ เขาจึงค่อยๆ ลดท่าทีแข็งกร้าวลง "ขอโทษ...กูก็ไม่ได้อยากกดดันมึงขนาดนั้นหรอก" ต้องหันหน้าไปทางอื่น ครุ่นคิดสักพักก็ตัดสินใจถามว่า "แล้วมึง...ไม่คิดจะรักใครคนอื่นบ้างเหรอ"

ทิวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "แล้วมึงจะให้กูรักใครวะ"

ต้องหันหน้ากลับมา เขามีอาการประหม่ามากขึ้น แต่ก็ต้องพยายามรวบรวมความกล้าทุกอย่างที่เขามีอยู่ในตอนนี้เพื่อที่จะบอกสิ่งที่เขาเก็บไว้ในใจมานานหลายปีให้ทิวรู้ "ก็กูไง"

"อะไรนะต้อง เมื่อกี้มึงพูดอะไร" ทิวถามเสียงเบาเหมือนกับไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือไม่

"กูชอบมึง ไอ้ทิว ได้ยินไหมว่ากูชอบมึง ชอบมาหลายปีแล้วด้วย" ต้องพูดเสียงสั่นเครือ เมื่อตัดสินใจพูดออกไปแล้วมันก็ช่วยให้ต้องรู้สึกโล่งใจมากขึ้น แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกตื่นเต้นและประหม่ามากก็ตาม ผลที่จะตามมาจะเป็นแบบไหนเขาก็พร้อมที่จะยอมรับมัน

ทิวได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เขาฟังไม่ผิดจริงๆ หรือนี่ ต้องชอบเขาจริงๆ ทำไมทิวไม่เคยเห็นต้องมีท่าทางที่ทำให้เขาระแวงสงสัยเรื่องนี้เลย คบกันมาตั้งเกือบ 20 ปี ทิวไม่คาดคิดมาก่อนว่าต้องจะชอบเขา

"กูรู้ว่ามึง...คงไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นกับกูแล้วไอ้ทิว กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง"

"ต้อง..." ทิวเรียกเพื่อนด้วยเสียงแหบพร่า ใครบางคนคงกำลังเล่นตลกกับชีวิตของพวกเราอยู่ แต่คนที่สั่งให้เล่นก็คงลืมถามความสมัครใจของผู้เล่นว่าอยากจะเล่นเกมส์รักหลายเส้าแบบนี้หรือไม่

ต้องก็เงียบไปเช่นกัน เงียบไปนานเลยทีเดียวจนบรรยากาศเริ่มอึดอัด จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น บูมโทรมาหาทิวนั่นเอง ทิวหันไปมองต้องด้วยความลังเลใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรับ

"ทิว...กลับมาหรือยัง" น้ำเสียงของบูมดูเป็นห่วงและมีลูกอ้อนอยู่ในที

"เพิ่งกลับมาถึงไม่นานนี้แหละ"

"เหรอ...เราไปหานายได้ไหม จะไปตอนนี้เลย คิดถึงทิว...ไม่ได้ไปนอนบ้านทิวหลายวันแล้ว ได้หรือเปล่า พรุ่งนี้เราจะได้ไปส่งนายที่มหาลัยไง"

น้ำเสียงอ้อนๆ นั้นทำให้ทิวใจอ่อนมานักต่อนักแล้ว แต่วันนี้เพิ่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แถมต้องก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ ทิวก็เลยรู้สึกลำบากใจที่จะตอบตกลง

"เดี๋ยวเราโทรกลับได้ไหมบูม ตอนนี้ยังไม่ค่อยสะดวกคุยเท่าไร" ทิวบอกเสียงเบาพลางใช้มือป้องปากไว้

"เหรอ...โอเค... แล้วรีบโทรกลับมานะ เราจะรอ ดึกแค่ไหนเราก็จะรอ คิดถึงนะครับ"

พอวางสายไปแล้ว ทิวก็เจอกับสายตาของต้องที่ทำให้ทิวรู้สึกลำบากใจทีเดียว ต้องมันจะน้อยใจหรือเปล่านะที่เขากับบูมรักกันแบบนี้

"ทิว...กูก็แค่บอกให้มึงรู้ว่ากูคิดยังไง ถ้ามึงกับบูมยังรักกันอยู่กูก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ไม่ต้องมากลัวว่ากูจะน้อยใจ" ดูเหมือนต้องจะรู้ทันเสียด้วยสิ แต่ต้องน้อยใจหรือเปล่าล่ะ... ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่าบูมโทรมาหาทิวเมื่อกี้นี้ มันก็ยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่มีพื้นที่ที่จะยืนแทรกระหว่างสองคนนี้ได้เลย ถึงจะเบียดเข้าไปได้แต่มันก็อึดอัดเสียจนสุดท้ายเขาก็ต้องเดินออกมาเอง

"กูกลับก่อนละกันนะ" ต้องพูดแล้วก็รีบลุกขึ้นเตรียมตัว ก่อนออกไปก็หันพูดดักไว้ว่า "ไม่ต้องไปส่งกูหรอก" ว่าแล้วก็เดินลิ่วเปิดประตูออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกของทิว

ทิวได้แต่นั่งงง ตอนนี้ต้องคงควบคุมอารมณ์ที่แปรปรวนของตัวเองไม่ค่อยได้ เขาก็รู้สึกเห็นใจต้อง แต่...เขาก็คงจะตอบ

สนองสิ่งที่ต้องต้องการไม่ได้ ทิวถอนหายใจอย่างหนักใจ ถ้าต้องไม่ใช่เพื่อนที่เขาต้องรักษาน้ำใจ ทิวก็คงจะบอกไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไร แต่ด้วยความที่เป็นเพื่อนรักกันมานาน มันก็พูดยาก แล้วที่ต้องถามว่าเขาจะทำยังไงถ้าบูมกับเขาถึงทางตัน...ต้องหมายความว่าต้องจะรอเขาอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนใครๆ ก็คิดว่าความรักของเขากับบูมคงไปได้ไม่ถึงไหน แต่ถึงมันจะเป็นอย่างนั้น ทิวก็ยังตอบไม่ได้อยู่ดีว่าเขาจะหันมามองต้องแบบนั้นหรือไม่ บางทีเพื่อนก็อาจจะเป็นแค่เพื่อนจริงๆ คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้

-------------------------------------------------------------------------

เสียงรถมาจอดหน้าบ้านทิวก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร มาบ่อยเสียจนทิวจำเสียงเครื่องยนต์ได้แล้ว ตั้งแต่กลับมาหาทิวในวันนั้น บูมก็ไปมาหาสู่ที่นี่เป็นประจำ ชีวิตที่ไม่เหลือใครของทิวทำให้บูมค่อนข้างเป็นกังวลว่าทิวจะเหงาหรือคิดมาก เขาจึงพยายามมาหาและใช้เวลาอยู่กับทิวเท่าที่จะเป็นไปได้

ทิวเปิดประตูบ้านต้อนรับคนที่มาถึงด้วยรอยยิ้มดีใจ บูมโอบไหล่เขาไว้แล้วก็พาเดินเข้ามาในบ้าน

"มาดึกๆ แบบนี้ที่บ้านเขาจะไม่สงสัยเอาเหรอบูม"

"ไม่รู้เหมือนกัน แต่เราคิดถึงนาย...ยังไงก็ต้องมา"

"ทีหลังถ้ามันดึกมากไม่ต้องมาก็ได้ เราอยู่คนเดียวได้ ไม่เป็นไรหรอก เราก็อยู่แบบนี้มาตั้งหลายปี ชินแล้วล่ะ นายจะได้พักผ่อน เก็บแรงไว้ทำงาน ทำประโยชน์ให้สังคม"

บูมหยุด จับไหล่สองข้างของทิวให้หันมามองหน้า "เรารู้ แต่คนมันคิดถึงนี่นา ช่วงนี้ทำงานเยอะ ไม่ค่อยได้มาหา ก็ตอนเย็นว่าจะมาหาแล้วก็ไม่ได้มา" น้ำเสียงในตอนท้ายแฝงความน้อยใจไว้ในที

ทิวได้แต่ยิ้ม ตอนสมัยเรียนเขาไม่ค่อยเห็นภาพบูมเป็นคนขี้อ้อนหรือมีรอยยิ้มที่สดใสมากนัก บูมดูหน้าตาถมึงทึงแทบตลอดเวลา ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้บูมจะกลายเป็นคนขี้อ้อนได้ด้วย แต่ทิวก็ชอบเหมือนกันที่บูมเปลี่ยนไปแบบนี้

"ต้องกลับไปแล้วเหรอ" บูมถามเมื่อนึกขึ้นได้

ทิวเปลี่ยนจากสีหน้ายิ้มๆ เป็นเคร่งขรึมเล็กน้อย "กลับไปแล้ว"

ตอนนี้พอพูดถึงต้อง ทิวรู้สึกตะขิดตะขวงใจชอบกล เขาทำตัวไม่ถูกจริงๆ ที่รู้ว่าต้องแอบชอบเขามานานแล้ว บูมจะรู้เรื่องนี้หรือยังหนอ... หรือเขาควรจะบอกบูมดีไหม... แต่ก็กลัวบูมหวาดระแวงเพราะต้องกับเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน เจอกันบ่อย กลัวบูมจะคิดมาก

"ไปเที่ยวกับต้องสนุกไหม" ถามพลางยิ้ม

ทิวพยักหน้า "ก็...สนุกดี ต้องมันเห่อรถใหม่น่าดู ขับพาเราไปนั่นไปนี่จนจำไม่ได้แล้วว่าไปตรงไหนมาบ้าง แล้วก็ไปกินข้าว เพิ่งกลับมาถึงไม่นานนี้เอง"

ได้ฟังแล้วบูมก็รู้สึกหึงๆ อยู่บ้าง แต่เขาก็ไว้ใจทิว การที่ทิวอดทนรอเขามาได้จนสี่ปีกว่าก็คงจะเพียงพอที่จะพิสูจน์ความมั่นคงของทิวได้เป็นอย่างดี

"กินอะไรมาหรือยัง" ทิวถามเมื่อนึกได้

"กินแล้ว...นายหิวอีกเหรอ"

"ไม่ไหวแล้ว ให้กินอีกก็คงอ้วก ต้องมันเล่นเลี้ยงเราซะจุกเลย" ทิวบอกพลางขำ

"ต้องนี่ก็เป็นเพื่อนทีดีเหมือนกันนะ ถ้าตอนนั้นไม่มีต้อง นายก็คงแย่เนาะ"

ทิวรู้สึกสะดุดใจจนต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ทิวก็ยิ้มแล้วตอบไปว่า "อืม...ถ้าใครถามเราว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของเราคือใคร เราก็คงตอบว่าเป็นต้องอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่มีต้อง...เราก็คงแย่อย่างที่นายว่า"

บูมเขยิบเดินไปทางด้านหลังของทิว แล้วก็กอดทิวทางด้านหลังไว้ "แล้วเราล่ะ มีอะไรเป็นที่สุดหรือเปล่า"

"เป็นคนขี้อิจฉาที่สุดไง" ทิวล้อแล้วก็หัวเราะชอบใจ

"โห...นายอะ...เอาดีๆ หน่อยสิ" บูมแกล้งทำหน้ากระเง้ากระงอด

"ก็...เป็นคนที่เรารักที่สุดตอนนี้ไง" ทิวพูดเอาใจ

บูมกอดกระชับทิวแน่นขึ้น ยิ้มด้วยความพอใจ แต่สักพักก็ทำจมูกฟุดฟิดๆ "หืม...เราว่านายไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ตัวเหม็นแล้ว"

แล้วก็ขำด้วยกันทั้งคู่

-------------------------------------------------------------------

บูมไม่รู้ว่าความลับของเขากับทิวจะถึงหูพ่อกับแม่ของเขาตอนไหน ชีวิตในตอนนี้จึงดูน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก แต่ก่อนที่มันจะเกิดเรื่องใหญ่โต เขาอยากจะใช้เวลาตอนนี้กับทิวให้คุ้มค่าที่สุด บูมกระชับอ้อมแขนข้างหนึ่งของเขาเพื่อให้ทิวซบอยู่บนหน้าอกของตัวเอง สายตาของเขาที่มองดูทิวเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสน่หา เขาดีใจที่ช่วยทำให้ชีวิตที่อ้างว้างของทิวอบอุ่นขึ้น และมันก็เป็นเหมือนเงื่อนไขที่ทำให้บูมต้องต่อสู้เพื่อให้เขากับทิวได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

"นายคิดถึงแม่ไหมทิว"

"คิดถึงสิ คิดถึงทุกวันเลย"

"ไว้วันไหนว่างๆ เราไปทำบุญที่วัดให้แม่กันไหม"

"ได้สิ ก็ดีเหมือนกัน ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ไปทำบุญให้แม่เลย"

บูมลูบไล้ไปตามเนื้อตัวทิวเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ แต่ในใจก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ว่าเขาจะมีโอกาสทำแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน

"ชีวิตนายเป็นไงบ้างทิว รู้สึกเหงา อ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่หรือเปล่า เงินทองไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม มีอะไรลำบากหรือเปล่า"

"ตอนนี้เหรอ...ก็โอเคนะ จริงๆ การที่ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนเหลืออยู่เลยมันก็เหงานะ แต่พอ...นายกลับมา เราก็รู้สึกอย่างนั้นน้อยลง"

"เราดีใจนะที่ได้ยินอย่างนั้น ว่าแต่ว่า...นายเคยอยากเจอหน้าพ่อของนายบ้างไหม"

"ไม่หรอก...เขาจากไปนานจนเราไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เราต้องนึกถึง ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้"

"อืม...ดีแล้วทิว นายไม่ต้องกังวลหรอก ถ้านายเหงา ถ้านายขาดความอบอุ่น เราจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้นายเอง"

ทิวเงยหน้ามองบูมแล้วก็ยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณที่ฟ้าได้นำพาและลิขิตให้เขาได้มาเจอผู้ชายคนนี้ แม้จะไม่รู้ว่าความรักที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นสิ่งที่ฟ้าตั้งใจหรือไม่ แต่เขาก็พอใจกับสิ่งที่ได้รับแม้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะต้องสูญเสียสิ่งนี้ไป

"ต่อไปนี้นะ ไม่ว่านายจะไปไหนหรือลำบากอะไร นายบอกเรานะ เรายินดีทำให้ทุกอย่างที่เราทำได้"

ทิวพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

"ทิว..." บูมเรียกเสียงเบา

"หืม..."

"เราคงต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วนะ เราคิดว่า...อีกไม่นานนี้...คงจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น"

ได้ยินแล้วก็อดที่จะใจหายไม่ได้ ถ้าบูมไม่เตือนขึ้นมาทิวก็อาจจะมัวแต่หลงระเริงไปกับความสุขจนลืมที่จะคิดถึงความจริง
บูมถอนหายใจแล้วก็ถามสืบไปว่า "ถ้าเราหนีไป นายจะไปกับเราไหม"

"ไปสิ" ทิวตอบโดยไม่ลังเล

"แล้วถ้าหาก...เราจะต้อง...จะต้อง...จะต้องตาย นายจะอยู่คนเดียวได้ไหม"

บูมพูดเรื่องนี้อีกแล้ว บูมคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดเรื่องนี้บ่อยๆ จนทำให้ทิวรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของมัน ทิวลุกขึ้นนั่ง มองหน้าบูมแล้วก็ตอบไปว่า "ถ้าตาย...ก็ต้องตายด้วยกัน"

บูมลุกขึ้นนั่งบ้าง เขาถอนหายใจแล้วก็กอดทิวไว้ "เราจะพยายามไม่ให้มันไปถึงขนาดนั้นหรอก เราแค่ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วเรื่องมันจะไปลงเอยตรงไหนก็เลยถามเผื่อไว้ แต่ที่แน่ๆ เราจะไม่ยอมถูกบังคับให้แต่งงานเป็นอันขาด แต่นายต้องอดทนนะทิว ไม่ว่ามันจะบีบคั้นกดดันขนาดไหน แต่ถ้านายกลัวหรือไม่มั่นใจ ก็ขอให้บอกเราตั้งแต่ตอนนี้"

ถ้าจะบอกว่าทิวไม่รู้สึกกลัวเลยนั้นก็ดูจะผิดความเป็นมนุษย์ไปหน่อย ตอนอยู่ที่สำนักงานบางทีเขาก็รู้สึกอัดอัดและไม่สบายใจเพราะอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังจะแอบทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของคนรักของเขา ไม่ว่าใครจะมาก่อนมาหลัง แต่แพรวก็คือคู่หมั้นของบูมในตอนนี้ แล้วเขาจะตอบบูมว่ายังไงดี...

"นอนดีกว่าทิว ขอโทษด้วยที่เราชวนคุยเรื่องเครียดๆ ตอนก่อนนอน" บูมเอ่ยขึ้นเมื่อนึกได้ จริงๆ เขาก็ไม่ควรกดดันทิวมากเกินไป อย่าให้ทิวต้องสัญญาเลยดีกว่า บางทีอะไรหลายๆ อย่างก็ขึ้นอยู่ที่การตัดสินใจและความเข้มแข็งของเขา ทิวไม่ควรจะต้องแบกรับภาระความกดดันนี้มากเกินไป

บูมล้มตัวลงนอนก่อนแล้วก็ค่อยๆ ดึงทิวให้นอนตามลงไปด้วย ทิวยอมตามอย่างว่าง่าย บูมรอจนคิดว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายแล้วจึงแกล้งหยอกว่า

"คืนนี้...เราขอนอนกอดนายแบบนี้ละกันนะ คงไม่ทำอะไรมากกว่านี้"

"ก็ตามใจสิ เราไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย ไม่ได้บ้ากามเหมือนใครบางคน" เมื่อหยอกมา ทิวก็หยอกไปบ้าง

"นายว่าใครบ้ากาม ว่าเราหรือเปล่า"

"เปล่านี่...ถ้านายไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนนี่นา"

"แต่สงสัยเราจะเดือดร้อนแล้วล่ะ เพราะเราเป็นคนบ้ากาม"

พูดจบบูมก็พลิกตัวขึ้นมาอยู่ข้างบนตัวทิวทันที เล่นเอาทิวตั้งตัวแทบไม่ทันแต่ก็หัวเราะกิ๊กด้วยความชอบใจ

"ถอดเสื้อให้ผมหน่อยสิครับ...ที่รัก"

สายตายิ้มกรุ้มกริ่มของบูมนั้นทำให้ทิวอดเขินอายไม่ได้ เลือดในกายแล่นพล่านปลุกพลังความต้องการให้ตื่นขึ้นอย่างทันทีทันใด ทิวทำตามอย่างว่าง่าย ค่อยๆ ใช้สองมือดึงชายเสื้อกล้ามของบูมขึ้นแล้วถอดออก

"เอาไปซักให้ด้วยนะ ผมจะนอนละ" บูมทำหน้าตายแล้วก็กลับมานอนตามเดิม แอบสะใจเล็กๆ ที่ได้แกล้งทิวให้เสียรู้

"บ้า นายนี่" ทิวว่าแล้วก็ใช้มือหมายจะทุบให้สะใจ ให้สมกับที่ทำให้เขาเสียรู้ แต่บูมก็จับไว้ได้ทั้งสองมือ ต่างคนก็ต่างหัวเราะ

แต่เมื่อปลุกความต้องการกันถึงขนาดนี้แล้ว จะนอนเฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรก็คงจะยาก คืนนี้ก็คงเป็นอีกคืนที่บูมได้ป้อนความสุขทางกายและใจให้กับทิวจนแทบล้นทะลักอีกเช่นเคย

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ในที่สุดวันเปิดตัวโครงการก็มาถึง บูมกับเพื่อนๆ มาถึงโรงแรมที่จะจัดงานตั้งแต่เช้าตรู่ เอิร์ธกับวิทวุ่นวายกับการจัดและตกแต่งเวทีและคอมพิวเตอร์ ทิววุ่นวายกับการประสานงานกับโรงแรมและแขกที่จะมาในงาน ส่วนบูมก็คอยดูความเรียบร้อยต่างๆ บางทีก็มาช่วยจัดโต๊ะจัดเวทีด้วย บางทีก็ช่วยทิวประสานงานกับโรงแรม

ช่วงเที่ยงหลังจากพักกินข้าวกันแล้วทุกคนก็กลับมาเตรียมงานกันต่อ แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากนักเพราะได้เตรียมไว้เรียบร้อยเกือบหมดตั้งแต่เช้าแล้ว พี่บีม แอนเดอร์สันและลีน่ามาถึงแล้วในเวลาไล่เลี่ยกัน ส่วนแพรวคงจะมาถึงอีกสักพักเพราะเธอเพิ่งโทรมาบอกบูมว่าเพิ่งทำผมเสร็จ

"มาถ่ายรูปด้วยกันหน่อยไหม"

เสียงพี่บีมดังขึ้น ทำให้บูมซึ่งกำลังช่วยติวให้ทิวนำเสนอพรีเซนเทชั่นหยุดและหันมามองหาเจ้าของเสียง

"อ้าว พี่บีม เมื่อกี้พี่บีมว่าอะไรนะครับ"

"บูมกับทิวมาถ่ายรูปกันหน่อยไหม เดี๋ยวพี่ถ่ายให้ เร็ว... เดี๋ยวแขกมาจะไม่มีเวลาถ่าย" บีมบอกซ้ำอีกครั้ง เห็นบูมกับทิวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วเขาก็รู้สึกดีไปด้วย

"ตรงไหนดีครับ" บูมถาม

"ตรงนั้นดีกว่า" บีมชี้ไปตรงมุมหนึ่งของห้องซึ่งมีภาพวาดธรรมชาติติดไว้

บูมกับทิวเดินไปด้วยกันแล้วก็่ตั้งท่าถ่ายรูป บีมถ่ายไปได้สองสามรูปแล้วก็ยังไม่ค่อยถูกใจ

"เอางี้ดีกว่า ท่าพวกนี้มันดูธรรมดาไป ทำยังไงก็ได้ให้คนเขารู้ว่าเราสองคนน่ะ...เป็นแฟนกัน" บีมยิ้มทีเล่นทีจริง

ทิวดูตกใจมากทีเดียวที่ได้ยินแบบนั้น เขาหันมามองหน้าบูมก็ดูเหมือนบูมจะอึ้งๆ ไปเหมือนกัน ดีนะที่คนอื่นๆ ไม่ได้หันมาสนใจ ไม่งั้นก็คงได้ยินไปแล้ว

"ให้ทำยังไงล่ะครับ" บูมถามด้วยน้ำเสียงอายๆ

บีมกวักมือเรียกให้น้องชายมาหาแล้วก็กระซิบว่า "อย่ามัวแต่ชักช้า พี่รู้นะว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ กล้าๆ หน่อย เอางี้ละกัน กอดทิวก็ได้ ผู้ชายกอดกันไม่น่าเกลียดหรอก"

เอาล่ะสิ บูมนึกในใจ แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาคิดไม่ผิดเลยที่ยอมเปิดเผยเรื่องนี้กับพี่ชาย เขาเดินกลับมาหาทิวแล้วก็เขยิบไปข้างหลังทิวเล็กน้อย แล้วก็ตัดสินใจกอดทิวไว้จากทางด้านหลัง

"อ้าว ยิ้มหน่อยครับ" พี่บีมส่งเสียงให้สัญญาณ

"ยิ้มสิทิว" บูมบอกเบาๆ เมื่อเห็นทิวทำท่าอึ้งๆ อยู่ แต่สุดท้ายก็ยอมยิ้มอย่างงงๆ แล้วบีมก็กดชัตเตอร์

"อีกภาพนะ กันเหนียว" พี่บีมบอกแล้วก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายอีก เสียงพูดของพี่บีมทำให้คนอื่นๆ หันมามองทิวกับบูมด้วยความสนใจทันที ดูเหมือนว่าแต่ละคนที่ได้เห็นก็มีอาการไม่ต่างกันคือ ขมวดคิ้ว สงสัยและไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของคนสองคนนี้ แต่บางคนก็เริ่มคิดไปในทางที่บูมอยากจะให้คิดแล้วล่ะ

"บูมคะ แพรวมาแล้วค่ะ ขอโทษทีที่มา...." พอแพรวเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น กระเป๋าที่เธอถือไว้ในมือก็หล่นหลุดมือลงไป

"บูม!!!!!" นี่มันอะไรกัน แพรวไม่เคยเห็นเพื่อนกันที่ไหนเขาถ่ายรูปด้วยการกอดกันแบบนี้เลย นี่ตกลงบูมกับทิวเป็นอะไรกันแน่!!!!!

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

93. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #92
 
09-Apr-12, 04:42 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ขอบคุณทุกคนที่มาให้กำลังใจด้วยครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
reaw
Guest

94. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #93
 
09-Apr-12, 11:46 PM (SE Asia Standard Time)
 
   สวัสดีครับคุณsarawatta
แวะมาขอบคุณก่อน
ขอพักสายตาแบบ อ่านรอบเดียวเกือบจบ
เหลือตอนสวีทของวันนี้
เดี๋ยวมาอ่านต่อ
ขอตัวไปล้างคราบน้ำตาก่อน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Aon
Guest

95. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #94
 
10-Apr-12, 00:15 AM (SE Asia Standard Time)
 
   จบตอนนี้สยองแฮะ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
แฟนคลับ
Guest

96. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #93
 
10-Apr-12, 11:10 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมากๆ ครับ สนุกมากมากเลย ขอสมัครเป็นแฟนคลับครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อ๊อด
Guest

97. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #96
 
10-Apr-12, 05:46 PM (SE Asia Standard Time)
 
   เรื่องราวจะโหดร้าย สาหัสสากรรจ์ยังไงก็แล้วแต่ ขอให้จบแบบมีความสุขน่ะครับ
เหมือน ต้นสนน่ะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
OKe
Guest

98. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #97
 
11-Apr-12, 00:44 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบททิวได้โอกาสได้รุกบูมบ้างนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

99. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #98
 
11-Apr-12, 04:32 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ความจริงก็คือความจริง ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
นพ
Guest

100. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #99
 
12-Apr-12, 01:08 AM (SE Asia Standard Time)
 
   100!


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

101. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
15-Apr-12, 07:54 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   กลับมาแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบ สรุปว่าผมก็กลายเป็นคน "ร้อยเอ็ด" ไปซะแล้ว อิๆ
ก่อนอื่น ขอสวัสดีปีใหม่แบบไทยๆ ของเราแก่ทุกคนที่มาติดตามครับ ขอให้สุขีและมั่งมีกันทุกคน รวยๆ กันถ้วนหน้าครับ

------------------------------------------

ตอนที่ 28

บูมค่อยๆ ปล่อยมือออกจากทิวและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ จริงๆ ถ้าไม่ติดว่ากำลังทำงานอยู่เขาก็คงไม่ขัดข้องที่จะคุยกับแพรว แต่ตอนนี้งานกำลังจะเริ่มในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาจำเป็นต้องเอางานไว้ก่อน บูมจึงพยายามยิ้มแล้วเดินไปหาแพรวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก้มหยิบกระเป๋าของเธอที่ตกลงบนพื้นมาเก็บไว้

"มาทันเวลาพอดีเลยแพรว เดี๋ยวเรามาซักซ้อมกันอีกซักรอบก่อนไหม" บูมพยายามยิ้มทำใจดีสู้เสือ

"ไม่เป็นไรค่ะ แพรวจำได้" แพรวตอบเสียงห้วนแล้วก็ดึงกระเป๋าจากมือบูมมาถือไว้เอง "เราต้องคุยกันนะคะบูม" แพรวบอกแล้วก็เดินลิ่วออกไปข้างนอก ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรทั้งนั้น ขอเวลาสงบสติอารมณ์สักพัก ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะโวยวายไปแล้ว แต่แพรวเลือกที่จะรักษางานไว้ก่อน อีกอย่างคงไม่เป็นผลดีนักถ้าเธอจะตีโพยตีพายหรือทะเลาะกับบูมให้คนอื่นเห็น

บูมหันไปสบตากับทิว เห็นแววตาหวาดหวั่นของทิวแล้วเขาก็รู้สึกสงสารไม่น้อย ยิ่งทำให้เขาตระหนักว่าเขาจะต้องรีบทำให้เรื่องราวที่ยากลำบากเหล่านี้จบลงโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งปล่อยไว้นานวันก็มีแต่จะทำให้ทิวต้องเจ็บปวดมากขึ้น บางทีเขาก็กลัวว่าทิวจะทนไม่ไหวไปเสียก่อน

"เย็นนี้ คุยกับแพรวให้รู้เรื่องนะบูม" พี่บีมเดินมาบอกเบาๆ เขาบีบไหล่น้องชาย ยิ้มแล้วก็เดินไปถ่ายรูปต่อ คนอื่นๆ ก็เริ่มหันกลับมาสนใจกับการเตรียมงานของตัวเอง แต่ก็ยังคอยชำเลืองและแอบคุยกันด้วยความสงสัยอยู่บ้าง

พอแพรวกลับมา บูมก็มานั่งคุยด้วยและขอซ้อมพิธีการเล็กน้อย ดูเหมือนสีหน้าของแพรวจะดีขึ้นแต่ก็สังเกตได้ว่าการพูดคุยก็ดูไม่สนิทใจเหมือนเดิม ส่วนทิวก็กลับมาวุ่นวายกับการประสานงานและต้อนรับแขกที่เริ่มทยอยเข้ามาในงาน แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะดูเหมือนว่าคนอื่นๆ มองเขาด้วยสายตาที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด บางครั้งเขาก็เห็นแพรวแอบลองมองเขาอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ว่าจะอึดอัดแค่ไหน ทิวก็ยังต้องทำหน้าที่เพื่อให้งานเลี้ยงต้อนรับผู้ที่จะเข้ามาช่วยกันทำงานในโครงการออกมาดีที่สุด เรื่องส่วนตัวคงต้องเอาไว้ทีหลัง

เมื่อถึงเวลาเปิดงาน บูมกับแพรวก็เป็นพิธีกรคู่กันตามที่ตกลงกันไว้ ทั้งสองคนกล่าวต้อนรับคนที่มาในงาน บอกที่มาของโครงการและวัตถุประสงค์ของการจัดงานในวันนี้ จากนั้นก็เชิญตัวแทนจากผู้สนับสนุนขึ้นมากล่าวเปิดงานประมาณ 10 นาที แล้วก็ให้ทิวมานำเสนอรายละเอียดของการทำงานในโครงการว่ามีอะไรบ้าง มีความสำคัญอย่างไร จะแก้ปัญหาอะไร ขั้นตอนเป็นอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไร เป็นต้น

ดูเหมือนบูมไม่อาจจะห้ามสายตาชื่นชมของเขาได้เลยเมื่อมองดูทิวที่กำลังนำเสนองานได้เป็นอย่างดี แม้จะมีติดๆ ขัดๆ ไปบ้างในช่วงแรกๆ เพราะทิวค่อนข้างตื่นเต้น แต่พอเริ่มชินเขาก็สามารถนำเสนอได้อย่างไม่เคอะเขินและเป็นธรรมชาติมากขึ้น แพรวสังเกตสายตาของแฟนหนุ่มแล้วก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ ดูเหมือนมันจะชัดเจนจนไม่เหลืออะไรให้ต้องสงสัยแล้วว่าบูมกับทิวรู้สึกยังไงต่อกัน

เมื่อทิวนำเสนอจบลง บูมกับแพรวก็ชักชวนให้แขกที่มาในงานทำกิจกรรมสั้นๆ ด้วยการวาดรูปที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของแต่ละคน เริ่มด้วยการให้วาดภาพทะเลทรายในจินตนาการ จากนั้นก็ให้เติมกล่อง เติมบันได เติมพายุ เติมม้า เติมดอกไม้ลงไปตามลำดับ แล้วจึงค่อยเฉลยว่าขนาดของกล่องก็คืออีโก้ของตัวเรา บันไดเป็นความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อน พายุเป็นมุมมองของเราที่มีต่อปัญหา ม้าคือภรรยาหรือสามีและดอกไม้ก็คือลูกๆ ของเราเอง ลักษณะที่แตกต่างกันของสิ่งที่วาดก็จะบ่งบอกความคิดของเราที่มีต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างกันไป จากนั้นก็เชิญให้ทุกคนกินของว่างที่จัดไว้ตามมุมต่างๆ ในห้อง จะเห็นว่างานนี้ก็เป็นงานที่จัดขึ้นง่ายๆ เพื่อให้คนที่จะทำงานร่วมกันได้มาเจอกันและรู้จักกัน จึงไม่มีพิธีรีตรองมาก

พอแขกเริ่มเดินกินของว่างและจับกลุ่มคุยกัน บูมกับแพรวก็หมดภาระการเป็นพิธีกร แล้วต่างคนต่างก็แยกกันเดินไปคุยกับแขกที่มาในงาน ทิวก็เช่นกัน เขาต้องไปคุยกับแขกด้วยเพราะเขาเป็นคนประสานงานหลักและรู้จักทุกคนที่มาในงาน แม้ว่าส่วนมากจะรู้จักแค่ชื่อก็ตาม

แพรวคอยจับตาดูทิวอยู่เกือบตลอดเวลา พอเห็นทิวขอตัวเดินออกไปข้างนอกแล้วเธอก็รีบเดินตามไปทันที พอเห็นทิวเข้าไปในห้องน้ำแพรวก็เลยหยุดยืนรอ พอทิวออกมาเธอก็รีบแสดงตัวให้เห็นว่ามารออยู่และต้องการคุยด้วย

ทิวหยุดชะงัก สายตาเขามีความประหม่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็รู้ว่าแพรวคงไม่ปล่อยให้เขาไปง่ายๆ แน่ๆ แพรวเดินเข้ามาใกล้ สายตาสงสัยปนไม่พอใจนั้นยิ่งทำให้ทิวรู้สึกประหม่ามากยิ่งขึ้น

"ทิว...บอกแพรวได้ไหม ทิวกับบูมเป็นเพื่อนกันจริงเหรือเปล่า" แพรวถามด้วยสายตาและน้ำเสียงคาดคั้น

"คือ..." ทิวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ไม่คิดว่าคนที่จะต้องถูกถามก่อนคนแรกจะเป็นเขาเสียเอง เขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะตอบคำถามนี้เลย

"บอกแพรวมาตรงๆ ได้ไหม แพรวสังเกตมานานแล้วว่าทิวกับบูม...มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ใช่ไหมทิว ทิวคิดอะไรกับคู่หมั้นของแพรวอยู่หรือเปล่า"

ทิวได้แต่หลบตาลงต่ำ เขาไม่กล้าสู้หน้าแพรวเลย แต่ก่อนที่เขาจะตอบคำถามก็มีเสียงเรียกของบูมดังขึ้น

"แพรว"

แพรวหันไปตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นบูมเธอก็เลยต้องหยุด แต่ในใจก็รู้สึกน้อยใจที่เห็นบูมตามมาเพื่อปกป้องทิวโดยเฉพาะ

บูมสาวเท้าเดินเข้ามาหาแพรวด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก "ถ้าแพรวอยากรู้อะไร ถามบูมดีกว่านะแพรว บูมอยากคุยกับแพรวเย็นนี้ ถ้าแพรวพร้อม"

สีหน้าของแพรวดูเศร้าสลดลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เห็นบูมปกป้องทิวแบบนี้แล้วมันก็ตอบคำถามที่เธอสงสัยได้มากกว่าคำพูดเสียอีก "ค่ะ เราต้องคุยกัน แพรวต้องคุยกับบูมแน่ๆ ค่ะ" น้ำเสียงของแพรวแฝงด้วยความเสียใจและผิดหวัง เธอมองหน้าบูม...และทิว...แล้วก็เดินลิ่วกลับเข้าไปในห้องจัดงานตามเดิม

พอแฟนสาวลับตาไปบูมก็เดินมาหาทิวพลางถอนหายใจอย่างหนักใจ เขาบีบไหล่ทิวเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจและให้กำลังใจ ทิวคงจะอกสั่นขวัญแขวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากทีเดียว

"เราขอโทษนะทิวที่ทำให้นายต้องลำบาก ต่อไปนี้...ทิวไม่ต้องตอบคำถามใคร ถ้าใครอยากรู้ ให้เขามาถามเรา...นะทิว ไม่ว่าใครจะถามอะไรนาย นายไม่ต้องตอบอะไรทั้งนั้น" ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่รโหฐานแบบนี้ บูมคงจะกอดทิวเพื่อปลอบใจแล้วล่ะ

แต่สายตาของทิวก็ยังคงมีแววหวาดหวั่นและไม่แน่ใจอยู่เช่นเดิม ใครที่อยู่ในสถานะแบบเดียวกับเขาคงจะรู้ว่ามันทำใจได้ยากแค่ไหน เวลาที่ถูกคนอื่นๆ มองด้วยสายตาเหมือนดูถูกเหยียดหยาม ทิวรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ในใจเพราะใครๆ ก็คงคิดว่าเขาเป็นมือที่สามที่เข้ามาทำให้คู่รักเขาต้องแตกแยกกัน ใครๆ ก็ต้องคิดแบบนั้น

"เรารู้ว่านายรู้สึกยังไงนะทิว... เอาเป็นว่า... เราจะพยายามทำให้มันจบเร็วที่สุด" นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่บูมจะทำได้ในตอนนี้และเขาก็ควรจะต้องทำให้ได้เสียด้วยสิ

ทิวพยักหน้าเข้าใจ เขารู้ว่าบูมเองก็คงเครียดและหนักใจมากแค่ไหนเพราะเป็นคนที่จะต้องเจอศึกหนักมากกว่าใคร มันกำลังเริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีใครตอบได้หรอกว่ามันจะจบลงแบบไหน เขาก็ได้แต่ภาวนาให้ตัวเขาเองสามารถอดทนและต่อสู้ไปกับบูมได้ตลอดรอดฝั่ง

"กลับเข้างานกันเถอะ งานใกล้จะเลิกแล้ว" บูมบอกเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปบูมก็หันมาบอกว่า "เย็นนี้เราคงไม่ได้ไปส่งนายนะ เราคงต้องคุยกับแพรว เดี๋ยวเราจะให้พี่บีมไปส่งนายละกัน"

ทิวพยักหน้ารับ ในใจก็รู้สึกกลัวแทนบูมเหลือเกิน แพรวจะเข้าใจได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่เขาสองคนเคยคิดหรือเปล่าหนอ ผู้หญิงที่กำลังจะเสียคู่หมั้นไปคงไม่สามารถทำใจได้ง่ายขนาดนั้นหรอก ถ้าเป็นเขาก็คงไม่ต่างกัน

--------------------------------------------

"แพรว..." บูมเอ่ยขึ้นเมื่อได้นั่งลงและเตรียมตัวเตรียมใจสักพักแล้ว เขาสบตากับแฟนสาวแล้วก็ตัดสินใจบอกความจริงที่เกิดขึ้น "แพรวฟังดีๆ นะ สิ่งที่บูมจะพูดต่อไปนี้...เป็นความจริงทุกอย่าง มันอาจจะทำให้แพรวตกใจ...เสียใจ...แต่บูมก็จำเป็นที่จะต้องบอกให้แพรวรู้"

ท่าทางของแพรวบอกให้บูมรู้ว่าเธอเตรียมตัวและเตรียมใจที่จะฟังแล้ว จะว่าไปแพรวก็เริ่มทำใจไว้ในระดับหนึ่งแล้วล่ะ หลังๆ มานี้บูมไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับเธอ ชวนไปไหนก็ปฏิเสธ เวลาอยู่ที่ทำงานก็มักจะไปขลุกอยู่กับทิวมากกว่าที่จะอยู่กับเธอ ทำให้เธอน้อยใจจนไม่รู้จะน้อยใจยังไงแล้วล่ะ

"จริงๆ แล้ว บูมกับทิว...เรารักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้วล่ะ" ในที่สุดบูมก็ได้พูดสิ่งนี้ออกไปเสียทีหลังจากที่ทนอึดอัดเก็บไว้มานาน

"อะไรนะคะ" แม้ว่าจะเตรียมใจมาในระดับหนึ่งแล้วแต่แพรวก็อดที่จะตกใจไม่ได้ที่ได้ยินเรื่องนี้จากปากของบูมเต็มทั้งสองหู มันเป็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับเธอได้ น้ำตาของแพรวค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้ม "บูมพูดว่าอะไรนะคะ" แพรวถามด้วยเสียงสั่นเครือ

"บูมกับทิว...รักกัน รักกันมาตั้งนานแล้ว" บูมเองก็รู้สึกเจ็บไม่น้อยเมื่อบอกความจริงออกไป เขาเองก็ไม่ได้อยากทำร้ายแพรวเลย แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างแพรวก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับชะตากรรมที่แสนตลกนี้ "บูมขอโทษนะแพรว...แต่ว่า...จริงๆ แล้ว...บูมไม่ได้รักแพรว"

แพรวกำมือแน่น มันแสนจะเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อคนที่เคยคิดว่ารักกัน หมั้นกันและวางแผนที่จะแต่งงานด้วยกันมาบอกเช่นนี้ แพรวรู้สึกเหมือนใครเอามีดมากรีดหัวใจของเธอ แล้วคนที่กรีดนั้นไม่ใช่ใคร ก็คือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า คนที่กำลังจะเป็นสามีเธอในไม่ช้านี้เอง

"แล้วนี่อะไรคะ นี่คืออะไรคะ" แพรวถามด้วยเสียงสั่นเครือพลางชี้ให้บูมดูแหวนหมั้นที่นิ้วมือของเธอ "ถ้าไม่ได้รัก...แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง"

บูมมองที่แหวนหมั้นนั้นแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจ "แพรว...บูมขอโทษ" เสียงบูมแหบพร่า รู้สึกสงสารแพรวอย่างจับจิตจับใจ เขาเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้ ถ้าเขาขัดขืนพ่อกับแม่เสียบ้างตอนนั้นมันก็อาจจะไม่เป็นแบบนี้เลยก็ได้ "บูมผิดเองแพรว...ทั้งหมดเป็นความผิดของบูมเอง บูมเสียใจที่มันเป็นแบบนี้"

"หยุดพูดว่าเสียใจเถอะค่ะ มันไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น แต่บูมช่วยบอกแพรวหน่อยได้ไหมคะว่า...ถ้าไม่ได้รัก...แล้วเรามาคบกันได้ยังไง"

นั่นสินะ...แพรวไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการคบกันของเขากับแพรวเป็นแผนการของผู้ใหญ่ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้เห็นเป็นใจ แล้วบูมก็เป็นฝ่ายที่ถูกกำหนดให้เป็นคนเริ่มก่อน ตอนปิดเทอมคราวนั้น บูมกลับมาบ้านแล้วก็ถูกพ่อกับแม่บังคับให้พาแพรวไปดูหนัง ไปเที่ยว พามาที่บ้านและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แพรวไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น กลับคิดไปว่าเขาเป็นคนเข้าไปจีบเธอและต้องการเริ่มความสัมพันธ์นี้เอง มันก็ไม่ผิดที่แพรวจะเข้าใจไปแบบนั้น ไม่ผิดเลยจริงๆ...

"ถ้าแพรวอยากฟัง...บูมก็จะเล่าให้ฟัง" บูมหยุดดูท่าทีของแพรว เมื่อเห็นว่าแพรวไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน เขาจึงเล่าต่อไปว่า "ก่อนที่บูมจะไปเรียนเมืองนอก พ่อกับแม่สั่งห้ามบูมอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้ติดต่อกับทิวอีก จนกระทั่งหลังจากที่บูมจบปีสอง ตอนนั้นบูมกลับมาอยู่ที่เมืองไทยช่วงซัมเมอร์ พ่อกับแม่ก็..." บูมรู้สึกว่าเขาทำใจได้ยากเหลือเกินที่จะบอกแพรวเรื่องนี้ มันคงจะยิ่งทำให้แพรวเสียใจมากขึ้นไปอีกถ้าได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับเธอเกิดขึ้นเพราะแผนการของผู้ใหญ่ หาใช่ความรักไม่

"บูมกำลังจะบอกว่า...ที่บูมมาคบกับแพรว...เพราะว่าถูกพ่อกับแม่บังคับอย่างงั้นเหรอคะ มันจะไม่เหมือนละครน้ำเน่าหลังข่าวไปหน่อยเหรอคะบูม" แพรวแค่นเสียงพูดในตอนท้ายคล้ายจะประชดประชัน

"แต่มันเป็นเรื่องจริงนะแพรว" บูมกระพริบตาถี่ๆ เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ สงสารแพรวและสงสารตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอจนปล่อยให้เรื่องมันบานปลาย

"แพรว...บูมรู้ว่าแพรวเสียใจมากแค่ไหน บูมเองก็เสียใจที่ปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ตอนแรก...บูมก็ไม่คิดจะบอกแพรวหรอกเพราะบูมตัดสินใจแล้วว่า...จะไม่ติดต่อกับทิวอีก ก็คงจะแต่งงานมีครอบครัวเหมือนผู้ชายทั่วไป ตลอดเวลาที่บูมไปเรียนที่เมืองนอก บูมไม่เคยติดต่อทิวเลย ไม่เคยมาหาทิว บูมตัดใจแล้ว แต่...พอบูมได้เจอทิวอีกครั้งเมื่อไม่นานนี้ บูมก็รู้ว่า...บูมก็ยังรักทิวอยู่ ทิวเป็นรักแรกของบูมที่บูมไม่เคยลืม ตอนสมัยเรียน ทิวดีกับบูมมาก...มากจนทำให้บูม...ซึ่งคิดมาตลอดว่า...เป็นผู้ชาย คงไม่คิดที่จะรักผู้ชายด้วยกันได้ แต่ทิวก็ทำให้บูม...รักเขา รักมากจนลืมไม่ได้ บูมจึงตัดสินใจว่า...บูมจะขอทำตามหัวใจของตัวเองบ้าง มันอาจจะทำให้แพรวเจ็บปวดในวันนี้ แต่ก็ดีกว่าให้แพรวมารู้ทีหลังว่าบูมเป็น...เป็นเกย์ ถึงตอนนั้น...เราอาจจะเสียใจมากกว่านี้นะแพรว บูมก็เลยคิดว่าให้เราเสียใจตั้งแต่ตอนนี้ ก็ดีกว่ารอให้อะไรมันสายเกินไป แล้วเราจะเสียใจมากกว่านี้ในภายหลัง แพรวเข้าใจบูมใช่ไหมครับ"

แพรวหยิบกระเป๋าถือมาไว้ในมือแล้วก็บอกบูมไปว่า "พอเถอะค่ะ แพรวไม่อยากฟัง บูมไม่ใช่แพรว บูมไม่ใช่คนที่จะต้องเสียหาย บูมไม่ใช่คนที่ถูกหลอก บูมไม่มีวันรู้หรอกว่าแพรวเจ็บแค่ไหน"

พูดจบแพรวก็ลุกขึ้นแล้วเดินลิ่วออกไปจากร้านอาหารทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกตามของบูม

"น้องครับ เช็คบิลด้วยครับ" บูมเรียกพนักงานเสิร์ฟมาคิดเงิน ก็ใช้เวลาพอสมควรอยู่เหมือนกันกว่าจะเรียบร้อย แต่พอวิ่งตามแพรวออกมาข้างนอก แพรวก็นั่งรถแท็กซี่ออกไปเสียแล้ว

บูมได้แต่ยืนถอนหายใจ คิดๆ ดูแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดูจะโหดร้ายกับแพรวมากทีเดียว ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องกลายเป็นเหยื่อความหวังดีของพ่อกับแม่ ผู้หญิงที่หลงเข้าใจผิดว่าคนที่เธอกำลังหมั้นและจะแต่งงานด้วยรักเธอ จนกระทั่งวันนี้ ผู้หญิงคนนั้นจึงได้รู้ว่าทุกอย่างคือแผนการของพ่อกับแม่ ไม่ได้เกิดจากความรักแต่อย่างใด บาปกรรมที่เกิดขึ้นครั้งนี้ใครจะเป็นคนชดใช้ให้เธอ เขาหรือเปล่า... ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเลือกได้... เขาก็ไม่อยากชดใช้ด้วยการแต่งงาน นั่นจะยิ่งเป็นการสร้างบาปกรรมให้แพรวมากขึ้นไปอีก จะให้เขาทำอะไรก็ได้...แต่ต้องไม่ใช่การแต่งงาน

---------------------------------

ในที่สุด แพรวก็ขอลาออกจากการเป็นเลขานุการของบูม แต่ในระหว่างที่ยังหาใครมาแทนไม่ได้ ทิวก็เลยต้องกลายเป็นเลขาฯ ของบูมไปพลางๆ ก่อน จริงๆ งานก็ไม่มีอะไรมาก ให้ผู้ประสานงานทำไปเลยก็ได้ แต่เนื่องจากตอนนั้นแพรวอยากเข้ามาช่วย บูมจึงแบ่งงานของผู้ประสานงานส่วนหนึ่งมาให้แพรวช่วยทำ

แต่หลังจากที่แพรวลาออกไปได้ไม่กี่วัน ทิวก็มาขอลาออกด้วยอีกคน

"ทำไมล่ะทิว นายจะลาออกทำไม นายกำลังเรียนหนังสืออยู่นะ ถ้านายออกไป นายจะไปทำงานอะไร เราไม่อยากให้นายลำบากอีกนะทิว" น้ำเสียงของบูมดูตกใจไม่น้อยทีเดียวที่จู่ๆ ทิวก็เดินเข้ามาบอกเขาว่าจะขอลาออก จริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ทิวยังไม่กล้าบอกพ่อกับแม่เรื่องเขากับทิว เขากลัวว่าถ้าเกิดท่านทั้งสองรู้เข้า ทิวจะไม่ได้ทำงานที่นี่และต้องไปตกระกำลำบากอีก บางทีอะไรต่อมิอะไรก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป บางอย่างก็ต้องคิดแล้วคิดอีก

"เรา...มองหน้าใครไม่ติดแล้วบูม เรา...รู้สึกผิดจน...ไม่อยากมาทำงานเลย" ทิวตัดสินใจบอกสิ่งที่เขากำลังเครียดและกังวล แม้จะเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนวันที่เกิดเรื่องวันนั้นอีก แต่ทิวก็รู้สึกละอายใจอยู่ดี

"ทิว...ไม่มีใครมองนายอย่างนั้นหรอก ทุกคนเขารู้เรื่องหมดแล้วนะ ไม่เชื่อลองถามเอิร์ธดูสิ" บูมบอกพลางพยักเพยิดไปทางเอิร์ธที่กำลังหันมามองทิวกับบูมด้วยความสนใจ เนื่องจากเอิร์ธนั่งอยู่ไม่ไกลมากจึงพอได้ยินการสนทนากันของทิวกับบูม

"นายหมายความว่าไง" ทิวถามอย่างงงๆ

"เฮ้ยทิว ไม่ต้องออกหรอก อยู่ช่วยพวกเราทำงานต่อเถอะ คนขยันทำงานอย่างทิวหายากจะตาย อยู่ช่วยพวกเราต่อเถอะนะ อย่าเพิ่งออกเลย เรื่องนั้น...พวกเรารู้หมดแล้วล่ะ เราคุยกับบูมแล้ว พวกเราเข้าใจ ไม่มีใครคิดว่าทิวเป็นมือที่สามหรอก" เอิร์ธอธิบาย

ทิวหันไปมองเอิร์ธแล้วก็หันกลับมามองบูม พอเห็นว่าทิวยังคงงงๆ อยู่ บูมก็เลยให้วิทช่วยอีกแรง "ว่าไงวิท วิทอยากให้ทิวออกหรือเปล่า"

หนุ่มตี๋หล่อลุกจากโต๊ะทำงานแล้วก็เดินมาหาทิวกับบูมทันทีที่บูมหันไปเรียก วิทตบไหล่ทิวเบาๆ แล้วก็บอกไปว่า "อยู่ทำงานกับพวกเราเถอะทิว พวกเราเข้าใจความรักของบูมกับทิวนะ ไม่มีใครรังเกียจอะไรเลย ไม่มีใครคิดว่าทิวเป็นมือที่สามด้วย ทิวออกไป บูมก็จะเป็นห่วงทิวแย่เลยสิ" วิทหันไปสัพยอกกับบูมในตอนท้าย

"นี่มันอะไรกัน เรางงไปหมดแล้ว"

ดูเหมือนว่าคำอธิบายต่างๆ ของทุกคนกลับทำให้ทิวงงเสียยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เอิร์ธก็เลยลุกจากโต๊ะมาคุยด้วยใกล้ๆ อีกคน "พวกเราขอโทษทิวด้วยก็แล้วกันที่เคยมองทิวไม่ดี แต่ตอนนี้พวกเราเข้าใจแล้วว่าทิวกับบูมน่ะ รักกันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยมัธยมเลยใช่ไหมบูม" เอิร์ธหันไปถามยืนยันกับบูมอีกครั้ง บูมพยักหน้าพลางยิ้ม "เพราะฉะนั้น อยู่ช่วยพวกเราทำงานต่อดีกว่านะ แล้วพวกเราก็จะเอาใจช่วยความรักของทิวกับบูมสองคนด้วย"

"ใช่...พวกเราอยากให้ทิวทำตัวตามสบาย ไม่ต้องกังวลหรอก ทุกคนรู้เรื่องหมดแล้วล่ะ ส่วนแพรว...เราก็เห็นใจเขานะ แต่ว่า...ความรักมันบังคับกันไม่ได้ เราเข้าใจ ก็ดีแล้วล่ะที่บูมบอกแพรวเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าไปบอกทีหลัง แพรวจะยิ่งเสียใจมากกว่านี้อีก" วิทสำทับอีกคน

ดูเหมือนว่าทิวจะเริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้ว เขาหันไปมองบูม เอิร์ธแล้วก็วิทเพื่อให้มั่นใจอีกครั้งว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป

"ขอบคุณทุกคนนะครับที่เข้าใจเราสองคน" บูมถือโอกาสขอบคุณทุกคนเสียเลย นี่ถ้าเกิดวิทกับเอิร์ธไม่เข้าใจ บรรยากาศการทำงานมันคงแย่ยิ่งกว่านี้ เผลอๆ สองคนนี้ก็อาจจะลาออกไปพร้อมกับแพรวเลยก็ได้ โครงการเขาคงจะมีปัญหาน่าดู

"ทิวเข้าใจแล้วนะ ไม่ลาออกแล้วใช่ไหม" เอิร์ธถามย้ำ

ทิวพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็ยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงานสองคนด้วยความซาบซึ้งใจ พอทุกคนเข้าใจแบบนี้มันก็ช่วยทำให้ทิวรู้สึกคลายความอึดอัดไปได้มากทีเดียว

----------------------------

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เมื่อบูมกลับมาถึงบ้านในเย็นวันหนึ่งเขาก็ถูกพ่อเรียกให้ขึ้นไปหา บูมเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องของแพรวกับเขา เพราะตอนนี้แพรวเงียบหายไป ไม่ได้มาที่บ้านเขานานจนผิดสังเกต พ่ออาจจะสงสัยอะไรบางอย่างก็ได้

บูมขึ้นมาถึงก็เห็นพ่อยืนเอามือไพล่หลังรออยู่แล้ว พอเขานั่งลงพ่อก็หันมาคุยเข้าเรื่องทันที

"คุณโฉมศรีเขาโทรมาบอกพ่อว่าหนูแพรวเขาจะขอถอนหมั้นกับบูม บูมมีปัญหาอะไรกับหนูแพรวเขาหรือเปล่า"

ที่บูมเดาไว้ก็ไม่ผิดจริงๆ แต่เขาไม่รู้เรื่องที่แพรวจะขอถอนหมั้นมาก่อนเลยเพราะเขาไม่ได้คุยกับแพรวมาหลายวันแล้ว

"ว่าไงล่ะบูม ทะเลาะกับหนูแพรวเขาหรือเปล่า มีปัญหาอะไรก็บอกพ่อกับแม่สิ ถ้าแก้เองไม่ได้พ่อกับแม่ก็จะได้ช่วย" คุณลิขิตถามย้ำเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กยังเงียบอยู่

"แม่เขายังไม่รู้เรื่องหรอก พ่อยังไม่ได้บอกแม่เขา ว่าไงล่ะบูม มีอะไรก็บอกพ่อมาก่อน" คุณลิขิตไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะบูมกลัวแม่หรือเปล่าถึงได้ไม่กล้าพูด จึงได้บอกไปว่าเขายังไม่ได้คุยกับภรรยาเรื่องนี้เลย

"คือว่า...ผม...กับแพรว..." บูมสบตาผู้เป็นพ่ออีกครั้งเหมือนจะหยั่งดูท่าทีก่อนจะบอกออกไปว่า "เราไม่ได้รักกันครับ"

คุณลิขิตขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เห็นพ่อทำท่าไม่ค่อยพอใจแบบนั้นบูมก็ได้แต่หลบตาและเริ่มรู้สึกกลัวมากขึ้น แต่เขาก็พยายามข่มใจไม่ให้รู้สึกแบบนั้น มาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะมัวแต่กลัวอีกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเรื่องมันก็จะไม่จบเสียที

"แกพูดว่าอะไรนะบูม ลูกกับหนูแพรวไม่ได้รักกัน หนูแพรวก็เลยจะขอถอนหมั้นอย่างงั้นเหรอ แล้วที่ว่าไม่รักกันเนี่ย หมายถึงแกไม่ได้รักหนูแพรวเขาใช่ไหม" น้ำเสียงของพ่อเริ่มดุมากขึ้นจนเกือบจะเป็นตวาด

"ครับ" บูมตอบโดยไม่รีรอ "ผมคิดว่า...พ่อกับแม่...ก็คงจะรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมกับแพรวถึงได้หมั้นกัน"

"นี่แกย้อนพ่อเหรอบูม" คุณลิขิตมองหน้าลูกชายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ถึงตอนนี้บูมถอยไม่ได้แล้ว

"ผมขอโทษครับพ่อ แต่ผมไม่ได้รักแพรว...ไม่เคยรักเขาเลย ไม่ได้อยากแต่งงานกับเขา ผมบอกแพรวตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังดีกว่าที่จะไปบอกเขาตอนที่เราแต่งงานกันไปแล้ว" บูมเริ่มเสียงดังขึ้นมาบ้าง

"บูม" คุณลิขิตตวาดเสียงดัง แต่พอนึกได้ว่าเขาตั้งใจจะไม่ใช้อารมณ์คุยกับบูมในวันนี้จึงพยายามลดท่าทีแข็งกร้าวลง เขาควรจะต้องลองตะล่อมบูมดูก่อน

"เอาอย่างงี้ละกัน พ่อจะยังไม่บอกแม่เขา แต่บูม...ต้องไปเคลียร์กับหนูแพรวให้รู้เรื่อง แล้วพ่อก็หวังว่า...ลูกกับหนูแพรวจะกลับมาเหมือนเดิม"

"พ่อ..." บูมรู้สึกเหนื่อยใจกับครอบครัวของเขาเหลือเกิน ขนาดเขาบอกว่าไม่ได้รักแพรว ทำไมเขายังจะต้องถูกบังคับให้ไปคืนดีกับแพรว ทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยฟังเขาบ้างเลย ไม่คิดจะถามเขาสักคำบ้างหรือไงว่าเขารู้สึกยังไงบ้าง

"ออกไปได้แล้ว ก่อนที่พ่อจะโมโหไปมากกว่านี้"

บูมได้แต่ถอนหายใจและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเมื่อแพรวอยากจะถอนหมั้นเอง ในเมื่อเขาบอกแพรวไปแล้วว่าไม่เคยรักเธอเลย แล้วเขาจะไปคุยกับแพรวว่ายังไงล่ะ จะให้เขากลับคำอย่างนั้นหรือ

--------------------------

แต่สุดท้าย บูมก็ต้องนัดแพรวออกมาเจอกันเพื่อคุยกันอีกครั้งจนได้ เขาคิดว่าถ้าแพรวยืนยันว่าจะถอนหมั้นกับเขาจริงๆ พ่อกับแม่ของเขาก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้

"บูมได้ยินมาว่า...แพรวจะขอถอนหมั้น" บูมถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเมื่อเริ่มสนทนา อาหารมาเสิร์ฟแล้วแต่ก็ไม่มีใครแตะต้องแม้แต่คำเดียว คนกรุงเทพนี่ก็แปลกเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะหาที่คุยกันยากขึ้นทุกทีๆ จนต้องเสียเงินมาใช้พื้นที่ร้านอาหารทั้งๆ ที่อาจไม่ได้รู้สึกอยากกินด้วยซ้ำไป

"แล้วบูมไม่ดีใจเหรอคะ" น้ำเสียงประชดนั้นบ่งบอกว่าเจ้าของน้ำเสียงนั้นยังคงเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใด แม้จะผ่านมาเกือบเดือนแล้วแต่แพรวก็ยังเจ็บอยู่เท่าเดิม ไม่ได้ลดลงเลย

"แพรว..." บูมเรียกเสียงเบาด้วยความสะท้อนใจ

"บูมคะ..." แพรวพูดแล้วก็ทำท่าครุ่นคิดเหมือนกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง "แพรวมาคิดๆ ดูแล้ว...แพรวว่า...ไม่เห็นจะเป็นไรเลยถ้าบูม...จะเป็นแบบนั้น แพรว...ไม่ถือหรอกค่ะ เรา...แต่งงานกันเหมือนเดิม...ดีไหมคะบูม"

"แพรว" บูมดูจะตกใจกับความคิดนั้นไม่น้อย นี่ขนาดเขาบอกว่าเขาเป็นเกย์ แพรวยังคิดจะแต่งงานกับเขาอีกเหรอ "บูมไม่ได้รักแพรว...แล้วบูมก็เป็นเกย์ แพรวจะมาแต่งงานกับบูมทำไม แพรวจะต้องเสียใจทีหลังนะครับ บูมไม่ได้อยากจะโหดร้ายกับแพรว ไม่ได้อยากทำให้แพรวเสียใจ แต่บูมคิดว่า...การที่บูมทำให้แพรวเสียใจตั้งแต่ตอนนี้ ก็ดีกว่าทำให้แพรวเสียใจในภายหลัง"

"แสดงว่า...ยังไงบูมก็จะให้เราถอนหมั้นกันใช่ไหมคะ" แพรวถามเสียงแข็ง น้ำตาที่รินไหลอาจทำให้บูมรู้สึกสงสารเธอมากทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถทำให้บูมรักเธอได้เลย

"มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้วล่ะแพรว" นี่คือความหวังดีสุดท้ายที่บูมจะสามารถหยิบยื่นให้กับคนที่กำลังจะกลายเป็นอดีตคู่หมั้นของเขาได้ "คนเรา...ถ้าไม่ได้รักกัน อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีความสุขหรอกแพรว"

"แล้วทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่คะ" แพรวย้อนถามกลับมาเกือบทันที

"มีสิแพรว แค่บูมไม่ได้บอกแพรวเท่านั้นแหละ แต่สักวัน...ยังไงบูมก็ต้องบอก เหมือนกับที่บูมบอกแพรวในวันนี้" บูมไม่รู้ว่าเขาใจดำเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้ามัวแต่พูดประนีประนอมอ้อมไปมา แพรวก็อาจจะเข้าใจผิด เรื่องก็จะยิ่งเยิ่นเย้อ สู้เขาบอกไปตรงๆ เลยดีกว่า มันก็คงเจ็บ...แต่มันก็จะจบได้ไว เพื่อให้แพรวได้มีเวลากลับไปรักษาแผลใจ

แพรวหน้าเสียไปทันทีที่ได้ยิน ไม่คิดว่าบูมจะพูดตรงขนาดนั้น บูมไม่รักษาน้ำใจของเธอเลย "สรุปว่า...บูมจะไม่เปลี่ยนใจใช่ไหมคะ" แพรวถามย้ำ "ได้... งั้นบูมคุยกับคุณแม่ทิพย์นภาเองละกัน" แพรวกระแทกเสียงแล้วก็ลุกเดินออกไป

แต่คราวนี้บูมไม่ได้ตามไป คิดๆ แล้วเขาก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย คนที่เสียหายและเจ็บที่สุดก็คือแพรว นี่เขากำลังกดดันและบีบคั้นแพรวมากเกินไปหรือเปล่า ช่างไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย แต่บูมก็ต้องทำ...เพื่อความรัก เพื่อที่จะให้ทิวเห็นว่า...เขาไม่ได้อยู่นิ่งเฉย แต่เขากำลังพยายามที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความรักของเขากับทิวเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ แต่มันเกินไปหรือเปล่า แพรวเป็นคนที่เขาควรต้องมากดดันมากขนาดนี้หรือเปล่า!!!???

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

102. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #101
 
15-Apr-12, 06:09 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ตอนนี้เครียดมาก เอาใจช่วยบูม
รูุปประกอบนี่เปลี่ยนหรือเปล่า


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

103. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #102
 
16-Apr-12, 07:22 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ถ้าจะเลือกทางนี้ ก็ต้องเข้มแข็งครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
ong
Guest

104. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
16-Apr-12, 11:05 AM (SE Asia Standard Time)
 
   อ่านไปก็น้ำตาคลอไป...มาต่อไวไวนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
KBOY
Guest

105. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #104
 
16-Apr-12, 12:18 PM (SE Asia Standard Time)
 
   บูมกับแพรวเคยเย็ดกันหรือยังครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

106. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
16-Apr-12, 04:24 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 29

วันหนึ่งหลังจากเลิกงานแล้วบูมก็ขับรถมาส่งทิวที่บ้าน ช่วงหลังๆ นี้เขามาส่งทิวบ่อยขึ้นเพราะไม่ได้ไปส่งแพรวเหมือนแต่ก่อน บางวันเขาก็ค้างกับทิว แต่บางวันก็ไม่ได้ค้าง จริงๆ เขาก็อยากมาค้างทุกวันนั้นแหละ แต่ไม่อยากให้พ่อกับแม่สงสัยมากเกินไปจึงต้องกลับไปนอนบ้านบ้าง

ในขณะที่ทิวกำลังไขกุญแจบ้านอยู่นั้น ก็มีเสียงใครบางคนเรียกมาจากทางด้านหลังด้วยน้ำเสียงที่บูมคุ้นหู

"บูม"

น้ำเสียงที่ดุและแสดงความไม่พอใจทำให้บูมกับทิวหันไปมองแทบจะพร้อมๆ กัน

"แม่" บูมอุทานด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าแม่จะตามมาดักรอเขาถึงที่นี่ ทิวเห็นสายตาของคุณทิพย์นภาที่จ้องเขม็งทั้งบูมและเขาแล้วก็ยืนตัวแข็งด้วยความตกตะลึงและกลัว

"ทำไมทำแบบนี้หา!!!" น้ำเสียงของคุณทิพย์นภาเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติน้ำเสียงของแม่ก็ดุมากอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะน่ากลัวมากเป็นพิเศษ

"นี่ใช่ไหมคือเหตุผลที่บูมกับแพรวจะถอนหมั้นกัน แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกคบกับไอ้เกย์นี่ ทำไมไม่ฟังแม่ แม่ผิดหวังในตัวบูมมากรู้ไหม" คุณทิพย์นภาชี้หน้าทิวด้วยในตอนที่เรียกทิวว่า "ไอ้เกย์"

"กลับบ้านไปเดี๋ยวนี้เลยนะบูม แล้วห้ามมาที่นี่อีก"

แปลกที่วันนี้บูมไม่รู้สึกกลัวแม่เหมือนที่ผ่านมาเลย มันถึงเวลาที่เขาต้องเข้มแข็งและเรียกร้องชีวิตส่วนตัวของเขาคืนมาบ้าง

"ผมไม่กลับ"

น้ำเสียงแข็งกร้าวของลูกชายคนเล็กทำให้คุณทิพย์นภาอึ้งไปพอสมควร แต่เธอก็ยังคงแสดงอำนาจในฐานะแม่อยู่ดี "บูม...แม่บอกให้กลับบ้านเดี๋ยวนี้ แม่รับไม่ได้ที่ลูกชายของแม่มาขลุกอยู่กับไอเกย์นี่ ทำไมทำตัวแบบนี้ คิดถึงอนาคตของตัวเองบ้างไหม ถ้าคนอื่นรู้เข้า จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน คุณโฉมศรีเขาไม่เอาเราตายเหรอ หา!!!"

บูมรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจทุกครั้งที่แม่เรียกทิวว่า "ไอ้เกย์" ทำไมแม่จะต้องจิกด่าทิวถึงขนาดนั้น ตอนนี้ทิวหน้าซีดและตกใจกลัวอย่างยิ่ง บูมเห็นแล้วก็แทบจะทนไม่ไหว

"เธอก็เหมือนกัน" คุณทิพย์นภาหันมาเล่นงานทิวอีกคน เธอชี้หน้าทิวแล้วก็พูดต่อไปว่า "ลูกชายฉันกำลังจะมีอนาคต กำลังจะแต่งงานมีครอบครัว แต่เธอกลับมาหลอกล่อลูกชายของฉัน เธอเคยรู้บ้างไหมว่าหัวอกของคนที่เป็นแม่อย่างฉันจะรู้สึกยังไงที่คนอย่างเธอมาทำลายอนาคตลูกชายของฉัน วิปริตผิดเพศยังไม่พอ ยังมาทำลายอนาคตของคนอื่นอีก สมควรแล้วที่สังคมเขาจะรังเกียจ เธอเลิกมายุ่งกับลูกชายของฉันได้แล้ว ได้ยินไหม" คุณทิพย์นภาตวาดเสียงดัง ไม่น่าเชื่อว่าความโมโหจะทำให้คุณทิพย์นภาซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยชื่อดังสามารถด่าทอด้วยคำหยาบคายเช่นนี้ได้

ทิวได้แต่ยืนตัวสั่นงันงกและร้องให้อย่างน่าสงสาร เขาพูดอะไรไม่ออกสักคำ สิ่งที่คุณทิพย์นภาพูดเป็นความจริงทุกอย่าง บูมอยู่กับเขาก็มีแต่จะเสียอนาคต แม่ที่ไหนก็คงไม่อยากให้ลูกชายของเขามายุ่งกับทิว

"แม่...บูมโตแล้วนะครับ ไม่มีใครหลอกบูม ที่บูมมาหาทิวก็เพราะบูมมาของบูมเอง แล้วที่บูมมา...ก็เพราะว่าบูม...รักทิว...เข้าใจไหมครับแม่ บูมรักทิว" บูมพูดย้ำด้วยเสียงสั่นเครือ เขาสงสารทิวเหลือเกินที่ต้องมาเจอชะตากรรมแบบนี้ร่วมกับเขา

"อะไรนะบูม เมื่อกี้บูมพูดว่าไง" คุณทิพย์นภาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกชายของเธอซึ่งเป็นผู้ชายจะบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ารักผู้ชายด้วยกัน

"บูมรักทิวครับแม่" บูมย้ำเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง

เพี้ยะ!!!

เสียงฝ่ามือของผู้บังเกิดเกล้าฟาดลงไปบนใบหน้าของลูกชายคนเล็กอย่างเหลืออด เธอรับไม่ได้จริงๆ ยังไงเธอก็ไม่มีวันรับเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาด "บูม...ทีหลังห้ามพูดคำนี้ให้แม่ได้ยินอีก เข้าใจไหม" แม่ตวาดเสียงดังอย่างโกรธจัด มือไม้สั่นเทาจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

บูมใช้มือลูบหน้าของตัวเองเบาๆ เขาไม่รู้สึกเจ็บมากนักหรอก แต่แม่ไม่เคยทำกับเขาแบบนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่แม่โมโหจนต้องทำร้ายร่างกายเขา ทั้งๆ ที่เมื่อหลายปีก่อนแม่เคยโมโหพ่อที่ตบหน้าเขา วันนี้แม่กลับเป็นคนตบหน้าเขาเสียเอง

"บูม" ทิวร้องอุทานเบาๆ เมื่อเห็นบูมถูกแม่ตบหน้าฉาดใหญ่ ทิวแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่อยากเป็นตัวการที่ทำให้ครอบของใครต้องแตกแยก อีกนิดเดียวทิวก็จะไม่ไหวแล้ว

"บูมเป็นผู้ชาย จะไปรักไอ้เกย์นี่ได้ยังไง" แล้วคุณทิพย์นภาก็หันมาเกรี้ยวกราดกับทิวต่อ "แกไปทำของอะไรใส่ลูกชายฉันหรือเปล่า บอกมาเดี๋ยวนี้นะ"

"ทิว...อย่าฟัง ทิวเข้าไปในบ้านก่อน เดี๋ยวเราตามไป" บูมหันมาออกคำสั่งกับทิว เขาทนเห็นทิวถูกแม่ด่าว่ามากว่านี้ไม่ได้แล้ว

ทิวยังคงมีท่าทางลังเลจนบูมต้องพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตวาดว่า "ทิว!!! เราบอกให้นายเข้าไปในบ้านไง เข้าไปเดี๋ยวนี้"

ทิวจึงรีบไขกุญแจเพื่อเปิดประตูบ้าน แต่ก่อนที่จะเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงบูมอุทานว่า

"ไอ้ต้อง"

ไม่รู้ว่าต้องมาตั้งแต่ตอนไหน แต่สายตาที่ต้องมองมานั้นได้ฉายแววให้เห็นความเจ็บปวด เจ็บปวดที่เห็นบูมปกป้องอะไรทิวไม่ได้เลย เจ็บปวดที่เห็นทิวต้องถูกด่าทอด้วยถ้อยคำที่ทำให้เขาไม่ต่างไปจากสัตว์หลงทางข้างถนนตัวหนึ่ง ถ้าทิวอยู่กับเขา...ทิวจะไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้แน่นอน ทำไมทิวไม่เลือกเขา ทำไมทิวถึงได้ไปเลือกคนที่อ่อนแอและปกป้องทิวไม่ได้เลยแบบนั้น

เมื่อทิวสบตากับต้องและต้องได้เห็นสภาพที่น่าสมเพชของทิวแล้ว ต้องก็หันหลังเดินกลับไปที่รถแล้วก็ขับออกไปทันที ทิวพอจะเดาได้ทันทีว่าต้องคิดอะไร เมื่อสบตากับบูม ทิวก็เห็นแววตาที่เศร้าสลดลงของบูมกับท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง บูมคงรู้สึกแย่มากที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ แถมต้องก็ยังมาเห็นเสียอีก ทิวเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้าๆ ถึงเขาจะสงสารและรักบูมมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะอดทนได้อีกสักกี่น้ำ แม่ของบูมดูร้ายกว่าที่เขาคิดไว้มากทีเดียว คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เธอเข้าใจความรักของเขาทั้งสองคน

"แม่..." บูมพูดพลางสะอื้น เขารู้สึกสมเพชตัวเองเหลือทน "แม่รักบูมอย่างที่บูมเป็นได้ไหมครับ มันคือตัวตนของผม ยังไงผมก็เปลี่ยนไม่ได้"

น้ำเสียงเศร้าและอ้อนวอนของลูกชายนั้นทำให้คุณทิพย์นภามีท่าทางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เธอเองก็พอจะรู้ตัวว่าบังคับลูกชายคนเล็กมามากแค่ไหน แต่เธอก็เป็นแม่ที่อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี อีกอย่าง...สิ่งที่เกิดขึ้นมันยากเกินจะรับได้สำหรับเธอ ถ้าบูมแค่มีแฟนใหม่เป็นผู้หญิง เรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้ แต่เรื่องนี้...เธอคงจะยอมรับได้ยาก

"เลิกคบกับไอ้เกย์นี่ซะ อย่าดื้อกับแม่ แล้วอย่าหาว่าแม่ไม่เตือน"

น้ำเสียงที่ต่ำลงและเฉียบขาดนั้นดูน่ากลัวไม่น้อย คุณทิพย์นภาเดินกลับไปที่รถอย่างหัวเสีย คงยังไม่มีประโยชน์ที่จะบังคับบูมให้กลับบ้านตอนนี้ คงต้องพักเรื่องเอาไว้ก่อน แต่เธอคงไม่ยอมให้บูมคบกับทิวง่ายๆ อย่างแน่นอน ถ้าพูดกันดีๆ แล้วไม่ฟังก็เห็นจะต้องใช้ไม้แข็งดูบ้าง

-----------------------------------------------------------

"ทิว...เปิดประตูให้เราหน่อยสิ เปิดประตูหน่อย...ทิว" บูมพยายามร้องเรียกและขอให้ทิวเปิดประตูให้อยู่หลายรอบ แต่ทิวก็ไม่ยอมเปิดและเอาแต่ร้องไห้ บูมรู้สึกเหมือนตัวเองก็จะพลอยขาดใจตามไปด้วย

"ทิว...เปิดประตูให้เราหน่อยสิ" บูมพยามร้องเรียกและเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล

"นายกลับไปก่อนได้ไหมบูม เราอยากอยู่คนเดียว" ทิวร้องตอบออกมา

"ไม่ได้หรอกทิว เราเป็นห่วงนาย เราทิ้งนายไปตอนนี้ไม่ได้ เปิดประตูให้เราหน่อยนะทิว" บูมพยายามอ้อนวอน แต่ทิวก็ยังไม่ยอมเปิดประตูอยู่ดี

"เราไม่เป็นไรหรอกบูม นายกลับไปก่อนเถอะ" ทิวก็ยังคงยืนยันเช่นเดิม

บูมทรุดตัวลงนั่งพิงประตูอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ ตอนนี้เขาจะอ่อนแอไม่ได้ เขาไม่อยากให้ทิวเห็นเขาอ่อนแอเพราะเขาจะต้องเป็นที่พึ่งทางทั้งทางกายและใจให้กับทิว

"ทิว...เราขอโทษนะที่ทำตามที่นายขอไม่ได้ เราจะไม่ไปไหน เราจะนั่งรอนายอยู่ตรงนี้แหละ ถ้านายต้องการเราเมื่อไรก็เปิดประตูออกมาละกัน"

สิ้นเสียงพูดของบูมแล้วก็ดูเหมือนเสียงสะอื้นไห้ของทิวจะค่อยๆ เบาลงไป ทำให้บูมพอรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้อีกสักหน่อย เขาหยิบมือถือขึ้นมาแล้วก็ค้นหาเพลงที่เขากับทิวชอบร้องด้วยกัน แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ค่อยได้ร้องเพลงแต่เขาก็ยังจำเพลงนี้ได้ดีเสมอ บูมเปิดเพลง "ฉันดีใจที่มีเธอ" พร้อมกับเปิดลำโพงไปด้วย เผื่อว่าทิวจะได้ยินและรับรู้อะไรบางอย่าง ตอนที่เขาอยู่เมืองนอก เขาเปิดฟังเพลงนี้บ่อยๆ คิดถึงทิวเมื่อไรเขาก็จะเปิดฟังแทบทุกครั้ง เพลงนี้ย้ำเตือนให้เขาระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขากับทิวเสมอ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เขาก็จะไม่กลัวอีกแล้ว ยกเว้นว่า...ทิวจะทนไม่ไหวไปเสียก่อน บางทีบูมก็รู้สึกกลัวใจของทิวเหมือนกัน

--------------------------------------------------

"อ้าวคุณ กลับมาแล้วเหรอ กินข้าวมาหรือยัง คุณมาดูนี่สิ วันนี้ผมพาบีมไปถ่ายรูปคอนโดโครงการใหม่มาด้วย บีมถ่ายรูปสวยเชียวคุณ" คุณลิขิตทักขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นภรรยาเดินเข้ามาในบ้าน ตั้งแต่บูมไปเรียนเมืองนอก คุณลิขิตก็เริ่มหันมาสนิทกับลูกชายคนโตมากขึ้น ตอนที่บีมอกหักจากแฟนคนก่อนที่คบกันมาหลายปีก็ได้พ่อนี่แหละที่คอยช่วยปลอบใจ พอเห็นผลงานภาพถ่ายของลูกชายคนโต คุณลิขิตก็ดูจะปลื้มอยู่ไม่น้อย

บีมเห็นสีหน้าของแม่แล้วก็ชักใจคอไม่ค่อยดี เขาเดาเอาว่าคงจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่าง และถ้าเดาไม่ผิด เรื่องนั้นก็ต้องเกี่ยวกับบูม

"ไม่กินไม่เกินอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ กินไม่ลง ไปดูลูกชายคนเล็กของคุณสิคะ...ทำเรื่องอะไรไว้จนหนูแพรวจะขอถอนหมั้น" คุณทิพย์นภาพูดพลางกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา ท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเธอทำให้สามีและลูกชายคนโตต้องมองหน้ากันด้วยความสงสัย

พอเห็นสามีไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นมากนัก คุณทิพย์นภาก็อดแปลกใจไม่ได้ "อย่าบอกนะว่าคุณกับบีมรู้เรื่องหมดแล้ว"

คุณลิขิตพยักหน้า คุณทิพย์นภาจึงเสียงแหวขึ้นมาทันที "แล้วทำไมไม่บอกทิพย์ล่ะคะ ไม่ได้อย่างใจเลย"

พอสงบสติอารมณ์ได้สักพักคุณทิพย์นภาก็เล่าว่า "รู้ไหมวันนี้ทิพย์ไปไหนมา"

"อ๋อ...ไม่ทราบ" คุณลิขิตตอบด้วยท่าทางงงๆ แต่ดูท่าทางแล้วภรรยาของเขาคงจะไปเจอเรื่องที่ไม่สบอารมณ์มาอีกตามเคย

"ทิพย์ไปบ้าน..." คุณทิพย์นภาหยุดคิดเพราะไม่อยากเอ่ยชื่อนี้เลย "เพื่อนของบูมที่ชื่อทิวมาค่ะ คุณรู้ไหมว่าลูกชายของเราน่ะ...กลับไปหาไอ้เกย์นั่นอีกแล้ว นี่ไงคะ สาเหตุที่หนูแพรวเขาถึงได้มาขอถอนหมั้น มันน่าอายไหมล่ะคะ"

"จริงเหรอคุณ" คุณลิขิตถามด้วยอาการตกใจ

"ค่ะ" แล้วคุณทิพย์นภาก็หันไปเล่นงานลูกชายคนโตอีกคน "บีมก็รู้เรื่องนี้ใช่ไหม"

บีมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น มองหน้าพ่อกับแม่แล้วก็พยักหน้าตอบรับ

"แล้วทำไมไม่บอกพ่อกับแม่ เออนะ พี่น้องสองคนนี้มันช่างรักกันดีจริงๆ มีเรื่องร้ายแรงใหญ่โตแบบนี้แล้วยังจะมาปิดพ่อกับแม่อีก ช่วยกันเข้าไป"

"คุณทิพย์... บางทีบูมกับเพื่อนเขาอาจจะไม่ได้คบกันอย่างที่เราคิดก็ได้นะคุณ อย่าเพิ่งคิดมากสิคุณ" คุณลิขิตพยายามมองโลกในแง่ดี หลังๆ มานี้เขาก็รู้สึกว่าภรรยาของเขาชักจะขี้โมโหมากเกินไปจนเขาเองก็รับไม่ไหวเหมือนกัน คุณลิขิตเป็นคนเฉียบขาดก็จริงแต่ก็ไม่ได้ดุพร่ำเพรื่อเหมือนภรรยา

"อ๋อเหรอคะ...รู้งี้ฉันพาคุณไปด้วยซะก็ดี จะได้ฟังว่าบูมมันพูดว่ายังไงบ้าง ลูกชายคุณเขาบอกฉันว่า เขารักไอ้เกย์นั่น ได้ยินไหมคะ ตอนแรกก็นึกว่าฟังไม่ชัด แต่บูมเขาย้ำหนักแน่นว่าเขารักของเขา รักนักรักหนา บอกให้กลับบ้านก็ยังไม่ยอมกลับ"

คุณลิขิตกับบีมมองหน้ากันอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนพ่อจะอารมณ์ไม่ค่อยดีไปอีกคนเสียแล้ว บีมได้แต่สงสารน้องชายกับทิวในใจ แต่ตอนนี้เขาคงพูดอะไรมากไม่ได้เพราะแม่กำลังเดือดดาล เดี๋ยวจะกลายเป็นเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟ ดูไปดูมา ท่าทางมรสุมลูกนี้ที่เริ่มก่อตัวขึ้นจะน่ากลัวไม่ใช่เล่น อานุภาพในการทำลายล้างของมันคงไม่ธรรมดาแน่ๆ

------------------------------------------------------------

ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดทิวก็ยอมเปิดประตูออกมาหาบูมจนได้ บูมมานั่งรออยู่หน้าห้องไม่ไปไหนแบบนี้ ทิวจะไม่เปิดมาดูเสียหน่อยก็คงจะใจดำเกินไป

พอทิวเปิดประตูออกมาแล้ว บูมก็ลุกขึ้นยืนและยิ้มดีใจ

"คนดีของบูม"

พูดแล้วก็กอดทิวไว้เสียแน่น ไม่รู้ว่าบูมไปหัดพูดคำนี้มาจากไหน แต่มันก็ทำให้ทิวถึงกับน้ำตารื้นเลยทีเดียวหลังจากที่หยุดร้องให้ไปแล้วพักใหญ่ อ้อมกอดของบูมยังคงอบอุ่นเหมือนเช่นเคย นั่นเป็นเพราะบูมรักทิวมาก เขาไม่ได้กอดทิวด้วยอ้อมแขนเท่านั้น ใจของเขาก็กอดทิวไว้ด้วย มันถึงได้อุ่นขนาดนี้ มันเป็นอ้อมกอดที่ทำให้ทิวต้องยอมแพ้และไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย

"ทิวไหวไหม... ยังพอไหวหรือเปล่า" บูมถามขณะที่ปล่อยทิวเป็นอิสระ

"เราไม่รู้...ตอนนี้เราตอบอะไรไม่ได้เลยบูม" ทิวรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เขาเดาไม่ออกเลยว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหนกับสถานการณ์เช่นนี้ จริงๆ แล้วสิ่งที่จะทำให้ทิวทนไม่ได้คงไม่ใช่เพราะความกดดันหรือถูกต่อว่า แต่เป็นเพราะเขากลัวว่าเขาจะทำให้บูมต้องเสียอนาคตต่างหาก สิ่งที่แม่บูมพูดมานั้นเป็นความจริงที่ทิวไม่สามารถปฏิเสธได้เลย เขาไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ดึงบูมให้มาจมปลักอยู่กับคนที่ไม่มีอะไรอย่างเขา บูมควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้เหมือนกับผู้ชายทั่วๆ ไป

"ถ้าเกิด...เราไม่ไหวขึ้นมาล่ะบูม...บูมจะทำยังไง" ทิวไม่รู้ว่ามันเป็นคำถามที่เขาควรจะถามไหม แต่เขาก็ถามไปแล้ว ดูเหมือนว่าบูมก็คงอึ้งไปเหมือนกัน

"ทิว...สำหรับเรานะ...เราจะพยายามให้ถึงที่สุดนะทิว เพราะว่าเรา...อยากใช้ชีวิตอยู่กับทิวเหมือนกับคู่รักคนอื่นๆ แต่ถ้านายไม่ไหวจริงๆ...เราก็เข้าใจนะ เราไม่บังคับนายหรอก เราก็แค่จะกลับไปใช้ชีวิต"

บูมยังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำทิวก็เอามือมาปิดปากเขาไว้แล้วก็กอดบูมพร้อมกับร่ำไห้ "เราขอโทษบูม...เราขอโทษ เราจะไม่พูดเรื่องนี้อีก เราสัญญา เราจะอดทนให้ถึงที่สุด" ทิวรู้สึกละอายใจที่เขาจะยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่บูมก็ตั้งใจและพยายามทำเพื่อเขามากขนาดนี้ มาถึงวันนี้แล้วจะกลัวอะไรอีก เป็นไงก็คงเป็นกัน อย่ามัวแต่อ่อนแออยู่เลยทิว โลกนี้ไม่ได้สวยงามเสมอไป บางทีเราก็ต้องรู้จักเอาตัวรอดและเห็นแก่ตัวบ้าง

บูมกอดทิวตอบเบาๆ เขาไม่โกรธทิวหรอกที่ถามแบบนั้น อารมณ์ของทิวคงแค่กระเจิดกระเจิงจนเสียศูนย์เมื่อเจอฤทธิ์เดชของแม่เขาเข้าไปเท่านั้น คงไม่ได้คิดที่จะปล่อยมือและทิ้งเขาไปหรอก เขาเองก็แทบจะบ้าไปหลายครั้งเหมือนกันเวลาถูกแม่กดดันมากๆ

"ไปหาอะไรกินกันดีกว่าทิว เราหิวข้าว ยังไม่ได้กินอะไรเลย" บูมบอกเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง

ทิวผละตัวออกมาแล้วก็ขำทั้งน้ำตา ในยามที่เศร้าๆ แบบนี้ รอยยิ้มแม้เพียงเล็กน้อยก็ดูมีความหมายมากทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าโลกนี้ยังมีหวัง เมื่อใดที่เรายิ้มโลกก็ยังคงสวยงาม แม้จะต้องอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลก็ตาม

------------------------------------------------------

"ต้อง"

เมื่อลงจากมอเตอร์ไซค์แล้ว ทิวก็พบว่าต้องมารอเขาอยู่ ท่าทางต้องดูแปลกๆ ตาแดงก่ำ ชายเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทิวจ่ายเงินแล้วก็เดินเข้าไปหาต้อง แต่ก็ต้องผงะเล็กน้อยเมื่อเขาได้กลิ่นเหล้าหึ่งจากตัวต้อง

"นี่มึงกินเหล้ามาเหรอ เมาแต่หัววันเลยนะมึง" ทิวถามพลางทำจมูกฟุดฟิดๆ

"กูขอคุยกับมึงหน่อยได้ไหม" ต้องบอกด้วยเสียงอ้อแอ้ สีหน้าเขาดูเครียดๆ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง

ทิวพยักหน้า เขาเดินไปไขกุญแจบ้านแล้วก็พาต้องเดินเข้าไปข้างใน "ไหวไหมเนี่ย ทำไมมึงต้องเมาขนาดนี้ด้วยวะ ให้กูช่วยพยุงไหม" ทิวถามพลางทำท่าจะเข้าไปช่วยพยุง ต้องรีบยกมือห้ามไว้ทันที

"ไม่ต้องหรอก กูเดินเองได้"

"ตามใจเว้ย" ทิวบอกแล้วก็เดินไปต่อ แต่ก็ยังคอยมองดูต้องที่เดินเซไปมาด้วยความเป็นห่วง วันนี้บูมไม่ได้มาส่งเขาเพราะว่าช่วงนี้เขาคงต้องกลับบ้านบ่อยหน่อยเพื่อลดความตึงเครียดในครอบครัวลง นึกถึงแล้วทิวก็ชักเป็นห่วง ไม่รู้ว่าบูมจะโดนอะไรบ้าง

พอเข้ามาในบ้านทิวก็พาต้องไปนั่งที่โซฟารับแขก สีหน้าต้องยังคงเครียดอยู่เช่นเดิมจนทำให้ทิวรู้สึกอึดอัด

"มีอะไรหรือเปล่าต้อง ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า บอกกูได้นะ" ทิวถามพลางเอามือแตะไหล่ต้องเบาๆ ยังไงต้องก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา ถ้าต้องมีปัญหาเขาก็พร้อมที่จะช่วยเสมอ

"มีสิ...เกี่ยวกับมึงด้วย" ต้องตอบโดยไม่หันมามองหน้า

ทิวปล่อยมือออกจากไหล่ต้อง นึกสังหรณ์ใจว่าต้องคงจะเครียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดในวันนั้น แต่ทิวก็ไม่รู้จะช่วยต้องได้อย่างไร เขาไม่ได้รักต้องอย่างนั้นเลย

"กูสมเพชมึงว่ะไอ้ทิว...มึงเห็นไหมว่า...ไอ้บูมมันช่วยอะไรมึงได้บ้าง วันนั้นมันก็ปล่อยให้มึงถูกแม่มันด่ายังกับไม่ใช่คน มึงรู้ไหมว่ากูเจ็บแค่ไหนที่เห็นมึงถูกแม่มันด่าแบบนั้น มึงรู้ไหมทิวว่ากูเจ็บแค่ไหน มึงรู้ไหมว่ากูเสียใจแค่ไหน" เสียงเขาดังขึ้นเรื่อยๆ ในตอนท้าย ดูเหมือนต้องจะเจ็บแค้นกับเหตุการณ์ที่เขาพูดถึงมากทีเดียว

ทิวได้แต่มองหน้าเพื่อนโดยไม่พูดอะไร ปราศจากความคิดที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เขารู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องคุยกับเขาเรื่องบูมเพราะดูเหมือนต้องจะไม่ชอบบูมเอาเสียมากๆ

"ทำไมมึงต้องรักมันวะไอ้ทิว มึงเห็นไหมว่ามันเป็นไปไม่ได้ ครอบครัวมันไม่มีทางยอม ตัวมันเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอดเลย แล้วมันจะช่วยมึงได้ยังไง มึงก็ต้องเจ็บอยู่แบบนี้ สุดท้ายก็เสียเวลาเปล่า มึงเชื่อกูสิ ยังไงไอ้บูมมันก็ต้องเชื่อพ่อกับแม่มัน มึงคิดว่ามันจะยอมทิ้งครอบครัวมันมาอยู่ลำบากๆ กับมึงเหรอ" ดูเหมือนต้องจะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ บวกกับความเมาก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนมากขึ้น

"ไอ้ต้อง...อย่าพูดเรื่องนี้เลย กูว่ามึงเมาแล้วล่ะ" ทิวพยายามจะตัดบทแต่ต้องกลับตวาดถามกลับมาว่า

"ทำไมมึงต้องรักมันล่ะทิว ทำไมมึงต้องอดทนขนาดนั้น ทำไม...ทำไมมึงต้องรักมันด้วย มึงรู้ไหมว่าถ้าเป็นกู กูจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมึงแบบนี้เลย"

ดูท่าทางต้องคงจะเอาไม่อยู่จริงๆ ด้วย ทิวจึงเงียบและไม่ต่อล้อต่อเถียงใดๆ

"บอกกูมาสิทิว ทำไมมึงต้องรักมัน...ทำไมมึงรักกูไม่ได้ ทำไม" ต้องถามพลางจับไหล่ทิวเขย่า

"หรือว่ามึงชอบบทรักของมัน...มึงรู้ไหมว่ากูก็ทำได้ไม่แพ้มันหรอก มึงจะลองดูไหมล่ะทิว"

"ไอ้ต้อง" ทิวเริ่มเสียงดังบ้าง "กูว่ามึงเมามากแล้วนะเว้ย ชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว ปล่อยกูเลยนะมึง กูเจ็บนะเว้ย" ทิวร้องบอกด้วยความไม่พอใจเมื่อต้องชักจะล้ำเส้นไปกันใหญ่

"กูไม่ปล่อย กูไม่มีทางปล่อยมึงให้ไปรักกับไอ้คนขี้ขลาดตาขาวแบบนั้นหรอก" ต้องพูดพลางเขย่าตัวทิวแรงขึ้น แล้วต้องก็ตัดสินใจผลักทิวให้นอนลงบนโซฟา

"ไอ้ต้อง...มึงจะทำอะไรกู อย่านะเว้ย มึงอย่าทำบ้าๆ แบบนี้นะไอ้ต้อง กูเตือนมึงแล้วนะเว้ย" ทิวขู่ แต่ต้องคงหน้ามืดแล้ว เขาไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ความเมาทำให้ต้องขาดสติสัมปชัญญะเสียสิ้น

"มึงจะต้องเป็นของกู..ไอ้ทิว กูจะไม่ให้ไอ้ขี้ขลาดนั่นมาดูแลมึงอีกแล้ว"

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Bank
Guest

107. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #106
 
16-Apr-12, 05:56 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุขความเจร็ญ ทั้งหน้าที่การงานและจิตวิณญาน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

108. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #106
 
16-Apr-12, 06:06 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ผมอยากแก้ไขนิยายที่เขียนจะทำยังไงได้บ้างครับ
ถ้าเป็นไปได้อยากให้ "นักเขียน" สามารถแก้งานของตัวเองได้ด้วยตัวเองครับ
ฝาก Admin หน่อยได้ไหมครับ ถึงจะตรวจทานยังไงมันก็ยังมีผิดหรืออยากแก้อยู่ดี
ถ้าช่วยได้จะขอกราบงามๆ เลยครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

109. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
16-Apr-12, 06:10 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ผมอยากแก้ไขนิยายที่เขียนจะทำยังไงได้บ้างครับ
ถ้าเป็นไปได้อยากให้ "นักเขียน" สามารถแก้งานของตัวเองได้ด้วยตัวเองครับ
ฝาก Admin หน่อยได้ไหมครับ ถึงจะตรวจทานยังไงมันก็ยังมีผิดหรืออยากแก้อยู่ดี
ถ้าช่วยได้จะขอกราบงามๆ เลยครับ

ป.ล. ไม่รู้ว่าเป็นอะไรครับ โพสต์ไม่ขึ้น ถ้าซ้ำก็ขออภัย

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

110. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #109
 
16-Apr-12, 07:53 PM (SE Asia Standard Time)
 
   สนุกจังเลยครับ...ขอบคุณมากที่ทำให้วันสงกรานต์สำหรับผมดูน่าเบื่อน้อยลง เพราะเฝ้ารออ่านนิยายคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
GAP
Guest

111. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #110
 
17-Apr-12, 01:29 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบมากครับ
แต่ตอนหลังเริ่มเครียด(เกินไป)หน่อยอะ
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ

วิธีแก้ไขสิ่งที่โพสไป น่าจะต้องสมัครสมาชิกเป็น fix user name นะครับ
แล้วlog in ทุกครั้งที่โพส จะแก้ไขข้อมูลทีหลังได้
ลองดูนะครับ

แอบลุ้นให้มีตอนหวานแหวว หรือถ้าจะเป็นเศร้าก็อย่าให้โหดมากนะครับ
และถ้าเป็นไปได้ขอให้เป็นตอนทิวสลับบทบาทกับบูมบ้าง(เป็นฝ่ายรุก) จะดูผูกพันกันมากขึ้น
และผูกมัดบูมด้วย


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

112. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #111
 
17-Apr-12, 06:47 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ผมก็เข้าใจว่าสมัครสมาชิกแบบ fixed user name นะครับ
แล้วก็ล็อกอินทุกครั้งที่จะโพสต์
เมื่อก่อนก็แก้ได้ครับ แต่ตั้งแต่เพิ่มบอร์ดนี้มา รู้สึกจะแก้ไม่ได้แล้ว
พอแก้ไขข้อความก็จะฟ้องว่าเราไม่สามารถแก้ไขได้ ต้องเป็น Admin เท่านั้น
ฝาก Admin หน่อยละกันครับ ถ้าทำได้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้นักเขียนได้อย่างมากเลยครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

113. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #112
 
17-Apr-12, 06:50 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ป.ล.
จะพยายามแทรกตอนหวานๆ ให้นะครับ อย่าว่าแต่คนอ่านเลย
คนเขียนก็เครียด แถมเครียดยิ่งกว่าเพราะเวลาเขียนมันต้องทำอารมณ์ตามไปด้วย
ช่วงนี้มันจะเครียดมาก เครียดหลายตอน กลัวจะบ้าไปก่อนเหมือนกัน
คงต้องหาอะไรผ่อนคลายมาแทรกบ้าง

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

114. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #113
 
17-Apr-12, 08:28 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ชักสงสาร ต้อง แฮะ ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อ๊อด
Guest

115. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #114
 
17-Apr-12, 12:49 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ผมไม่อยากเป็นโรคหัวใจ น่ะครับ โหดบ้าง เศร้าบ้าง หวานบ้าง เซ็กบ้างน่ะครับ อยากให้มีบรรยายให้เห็นภาพชัดเจนหน่อยครับ คนอ่านจะได้มีอารมณ์ร่วมด้วย(หมายถึงฉากเซ็ก) และที่สำคัญ ตอนจบขอล่ะกันน่ะ Happy Ending


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

116. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
17-Apr-12, 08:50 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   มาแล้วครับ วันหยุดยาวก็เลยมีเวลาเขียนเยอะหน่อยครับ
ตอนหน้าอย่าพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
ส่วนฉากอย่างว่าที่ขอนั้น...ไม่ถนัดจริงๆ ครับ พยายามจะเขียนเหมือนกันแต่มันเขิน

ป.ล.
ขอเปลี่ยนภาพเพราะว่าภาพ "ทิว" คนก่อนหายากมากๆ ว่าจะปรับให้มันดูดีขึ้นเสียหน่อยก็หาไม่ได้
ก็เลยต้องเปลี่ยนคน แต่ว่าคนนี้ก็น่ารักดีนะครับ

------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 30

ต้องจับกดข้อมือทิวไว้บนเบาะโซฟาในลักษณะขึงพืด เขาพยายามโน้มตัวลงมาไซร้ซอกคอของทิว แต่ถึงทิวจะเป็นเกย์ เขาก็ไม่ใช่คนตัวเล็กๆ ที่ต้องจะเอาชนะแรงได้ง่ายๆ เมื่อก่อนทิวชอบเล่นเตะฟุตบอลจึงทำให้มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง บวกกับขนาดตัวที่สูสีกับต้อง ต้องจึงต้องใช้กำลังต่อสู้พอสมควร

"ไอ้ต้อง กูบอกให้มึงหยุด ได้ยินไหมไอ้ต้อง มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย มึงเป็นบ้าอะไรของมึง"

ไม่ว่าทิวจะร้องห้ามอย่างไรก็ไม่เป็นผล ต้องยังคงพยายามใช้กำลังขืนใจทิวอย่างไม่ลดละและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขากำลังทำสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่

"อยู่นิ่งๆ สิวะ มึงจะดิ้นอะไรนักหนา เดี๋ยวมึงก็รู้ว่ากูกับไอ้บูมใครมันจะแน่กว่ากัน"

ต้องคุมสติไม่อยู่แล้ว เมื่อเห็นทิวดิ้นไม่หยุดเขาก็คิดหาวิธีที่จะทำให้ทิวหยุดดิ้นให้ได้ ไม่รู้ผีห่าซาตานที่ไหนเข้าสิงต้อง เขาได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ทำให้เขาเองก็ต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ต้องหันมาใช้มือบีบคอทิว เขาไม่ได้กะจะให้ทิวตายหรอก แค่จะให้หยุดดิ้นเท่านั้นเพราะทิวแรงเยอะ ถ้าไม่ทำแบบนี้สุดท้ายต้องก็คงจะสู้ไม่ไหว

"ไอ้ต้องมึง แค่กๆๆๆ" ทิวพูดไม่ออกเพราะต้องบีบคอเขาแน่น เขาพยายามแกะมือของต้องออกจากคอ เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลและด้วยสัญชาติรักตัวกลัวตาย ทิวจึงรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีตัดสินใจใช้มือผลักหน้าอกต้องสุดแรงจนต้องกระเด็นไปด้านตรงข้าม ข้าวของบนโต๊ะหล่นกระจัดกระจาย

แล้วทุกอย่างก็เงียบไปสักพัก....

ต้องก็ดูเหมือนจะหายเมาเป็นปลิดทิ้งเมื่อรู้ว่าเขาเพิ่งทำอะไรลงไป

"ไอ้ต้อง...มึงเป็นบ้าอะไรของมึง มึงจะฆ่ากูหรือไง เสียแรง...ที่กูกับมึงอุตส่าห์เป็นเพื่อนกันมาตั้งเกือบ 20 ปี ทำไมมึงทำแบบนี้" ทิวพูดไปร้องไห้ไป สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง

ต้องได้สติแล้ว เขาค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นแล้วก็เดินมาหาทิวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาและเอามือลูบคอของตัวเองอยู่

"ทิว...กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ" ต้องบอกด้วยเสียงสั่นเทาและสีหน้าที่บอกว่าเขารู้สึกผิด

"ไม่ได้ตั้งใจเหรอ ถ้ามึงตั้งใจกูก็คงตายไปแล้วใช่ไหม" ทิวถามเสียงดัง

"ทิว...กูขอโทษจริงๆ มึงอย่าโกรธกูนะเว้ย ต่อไปกูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว มึงจะให้กูทำอะไรก็ได้ กูขอโทษ" ต้องบอกพลางร้องไห้เช่นกัน นึกโกรธตัวเองที่เมามายจนขาดสติถึงขนาดนี้ ขาดสติจนเกือบจะฆ่าเพื่อนรักของตัวเองตายคามือไปแล้ว

"ตอนนี้อย่าเพิ่งคุยอะไรกันดีกว่า กูไม่อยากเห็นหน้ามึง"

ทิวพูดแบบนี้ก็หมายความว่าให้ต้องออกไปนั่นเอง เขาทนเห็นหน้าต้องไม่ไหวจริงๆ แม้จะเป็นเพื่อนกันมานาน แม้จะรู้ว่าต้องขาดสติ ไม่ได้ตั้งใจ แต่ทิวก็ยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"มึงกลับไปก่อนได้ไหมไอ้ต้อง" ทิวพูดย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นต้องยังคงยืนตะลึงอยู่

ต้องพยายามสบตากับทิวเพื่อจะบอกว่าเขาเสียใจ แต่ต้องก็รู้ว่าทิวคงไม่อยากรับรู้ นี่เขาทำอะไรลงไป เขาทำไปได้ยังไง ทิวมันต้องไม่ให้อภัยเขาแน่ๆ เลย เขาทำลายมิตรภาพที่ยาวนานกว่า 20 ปีลงภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที มันไม่ต่างจากคนที่เขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้าเลย มึงทำแบบนี้ทำไมวะต้อง...

ต้องเดินคอตกออกจากบ้านทิวไปอย่างช้าๆ เขาได้แต่ขอโทษทิวในใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเป็นคนอื่นทำก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอธิบายให้ทิวเข้าใจ แต่นี่...เขาทำด้วยตัวเองทั้งหมด เขาจะไปโทษใครได้ ก็คงต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมและผลที่จะตามมาเท่านั้น

เมื่อต้องกลับไปแล้ว ทิวก็นั่งชันเข่าร้องไห้อยู่บนโซฟาคนเดียว เหมือนชีวิตของเขาจะไม่สามารถหนีหายจากเรื่องราวร้ายๆ ไปได้เลย เมื่อบูมกลับมา ดูเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง...มันคือการก่อตัวของพายุลูกใหม่ต่างหาก แล้ววันนี้ จู่ๆ พายุอีกลูกก็ก่อตัวขึ้นและโถมเข้าเล่นงานเขาแบบไม่ให้ตั้งตัวและไม่คาดคิดมาก่อน เพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้กลับเป็นคนที่ทำร้ายเขาเสียเอง ถึงจะรู้ว่าต้องไม่ได้ตั้งใจ แต่เหตุการณ์เสี่ยงต่อความเป็นความตายเมื่อกี้ก็น่ากลัวเหลือเกิน ต้องไม่น่าทำแบบนี้เลย

ทิวคิดถึงบูมเหลือเกินในเวลานี้ แต่เขาคงจะบอกเรื่องนี้กับบูมไม่ได้ เขาไม่อยากให้บูมกับต้องผิดใจกัน ไม่อยากจะทำให้เรื่องราวมันวุ่นวายมากขึ้น ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ชักจะวุ่นวายจนชีวิตจะหาความสงบสุขไม่ได้อยู่แล้ว

------------------------------------------

ดูเหมือนเรื่องร้ายๆ สำหรับทิวยังคงไม่หมดแค่เท่านี้ วันนี้บูมไม่ได้มาทำงานที่สมาคมเพราะเขาต้องไปช่วยพ่อทำงานที่บริษัท พอดีเอิร์ธว่างก็เลยขับรถมาส่งทิวที่บ้านตอนเลิกงาน แต่ก่อนจะกลับเข้าบ้าน ทิวก็พาเอิร์ธไปหาอะไรกินที่ตลาดโชคชัยสี่เสียก่อน ดูเหมือนเอิร์ธจะชอบมากทีเดียวเพราะมีของกินให้เลือกหลากหลาย ทิวกับเอิร์ธจึงกินกันเสียเปรม จุกไปตามๆ กัน

เกือบๆ สองทุ่ม เอิร์ธจึงขับรถมาส่งทิวที่บ้าน พอเอิร์ธส่งทิวเสร็จแล้ว เขาก็วิ่งรถไปอีกหน่อยเพื่อหาที่กลับรถในซอย พอหาที่กลับรถได้และขับผ่านมาทางหน้าบ้านทิวอีกครั้งก็ปรากฏว่าเขาเห็นทิวนอนทรุดกองอยู่หน้าบ้าน เอิร์ธรีบจอดรถแล้วลงไปดูทันทีด้วยความตกใจ

"เฮ้ยทิวเป็นไร ใครทำอะไรอะไรทิวน่ะ" พอเห็นหน้าตาเนื้อตัวของทิวมีแต่รอยฟกช้ำดำเขียวไปหมดเอิร์ธก็ยิ่งตกใจ "อะไรเนี่ย เกิดอะไรขึ้น"

"ไม่รู้เหมือนกัน เรากำลังไขกุญแจบ้านอยู่ดีๆ ก็มีใครไม่รู้วิ่งเข้ามารุมตีเราใหญ่เลย"

"ใช่ไอ้สามคนนั่นหรือเปล่า เมื่อกี้เราเห็นแวบๆ ทางกระจกหลัง" เอิร์ธสันนิษฐาน แต่ไอ้สามคนนั้นมันก็ขี่มอเตอร์ไซค์หนีไปเสียแล้ว หน้าก็จำไม่ได้ ไม่รู้จะไปแจ้งตำรวจว่ายังไง

"น่าจะใช่" ทิวตอบพลางพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ลุกไม่ได้เพราะรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว เขาเจ็บหลายจุดจนไม่รู้ว่ามีจุดไหนของร่างกายบ้างที่ถูกตี

"เราว่านายไปหาหมอดีกว่า เดี๋ยวเราพาไป" เอิร์ธบอกแล้วก็ช่วยพยุงทิวขึ้นไปนั่งบนรถ เขาต้องค่อยๆ พยุงเพราะแขนทั้งสองข้างของทิวถูกตีอย่างแรง ทิวจึงรู้สึกเจ็บจนแทบจะไม่มีแรงเกาะเอิร์ธ

พอเข้าไปนั่งในรถได้แล้ว เอิร์ธก็หันมาถามทิวที่นั่งโอดโอยอยู่ข้างหน้ากับเขาว่า "ทิวไปมีเรื่องกับใครมาหรือเปล่า"

ทิวพยายามนึก แต่เขาก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเขาไปมีเรื่องกับใคร นอกจาก...แพรว หรือว่า...แม่ของบูม คงไม่ใช่หรอก...เขาไม่ควรจะคิดอกุศลแบบนั้น สองคนนั้นคงไม่ทำเรื่องแบบนี้

"ไม่มี...เขาอาจจะจำผิดคนก็ได้ เราก็เลยซวยไป" ทิวพยายามคิดในแง่นั้น แต่ในใจก็อดสงสัยเรื่องที่เขาคิดเมื่อสักครู่นี้ไม่ได้

"อืม...อาจจะเป็นไปได้ เดี๋ยวเราโทรหาบูมก่อนนะ" เอิร์ธว่าแล้วก็ขับรถออกไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาบูม

"บูม...เลิกงานหรือยัง ตอนนี้ผมกำลังจะพาทิวไปโรงพยาบาลนะ"

"ทิวเป็นอะไร ทำไมต้องไปโรงพยาบาล" บูมถามมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

"ทิวโดนใครก็ไม่รู้ดักตีเมื่อกี้ ที่หน้าบ้าน พอดีเรามาส่งทิวที่บ้าน แล้วตอนที่เราไปกลับรถ...ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ คนร้ายมันก็ดักตีทิวจนลงไปนอนทรุดเลย"

"อะไรนะเอิร์ธ แล้วทิวเป็นอะไรมากไหม"

เสียงที่ลอดมาทางโทรศัพท์มือถือดังพอที่ทิวจะได้ยินอยู่เหมือนกัน เขาจึงได้รู้ว่าบูมเป็นห่วงเขามากแค่ไหน

"ก็ฟกช้ำดำเขียวไปทั้งตัวเลยแหละ แต่ทิวยังโอเคอยู่นะ แต่ดูๆ แล้วแขนทิวน่าจะโดนตีหนักสุด" เอิร์ธรายงานไปตามที่เขาเห็น

"โอเคๆ เดี๋ยวประชุมเสร็จแล้วเราจะรีบตามไป ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ ฝากดูแลทิวหน่อยนะเอิร์ธ" นี่ถ้าบูมสามารถวิ่งออกไปจากที่ประชุมได้โดยไม่ต้องเกรงใจใครบูมก็คงทำไปแล้ว เขาได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำร้ายทิว

"ครับๆ ได้ๆ ไม่ต้องห่วงหรอก รีบตามมาละกันนะครับ"

เอิร์ธพูดจบแล้วก็วางสายไป พอเก็บโทรศัพท์เข้าที่เรียบร้อยก็หันมาคุยกับทิวว่า

"ทิวโชคดีนะ รู้ไหมว่าบูมเขาเป็นห่วงแล้วก็รักทิวมาก"

ทิวหันไปมองเอิร์ธแต่ไม่ได้พูดอะไร แต่เอิร์ธก็คงพอสังเกตเห็นความอยากรู้ในแววตาของทิวอยู่เขาจึงพูดสืบไปว่า "รู้ไหมว่าบูมเขากลัวพวกเราเข้าใจทิวผิด เขาก็เลยนัดพวกเราไปคุยด้วย ลีน่ากับแอนเดอร์สันก็ไปด้วยนะ คุยกันอยู่นานเลยแหละ บูมเขาย้ำตลอดเลยนะว่าทิวไม่ใช่มือที่สาม เพราะว่าบูมเขารักทิวมาตั้งนานแล้ว ก่อนที่จะมาเจอแพรวเสียอีก แต่เขาถูกพ่อแม่คลุมถุงชน ไม่น่าเชื่อนะว่าสมัยนี้ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีก" เอิร์ธพูดติดตลกในตอนท้ายๆ

"แล้วพวกนาย...ไม่รังเกียจ...คนที่เป็นแบบเราเหรอ" ทิวถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

"โอ๊ยไม่หรอก...พวกนายก็เป็นคนดี ทำประโยชน์ให้สังคมได้เหมือนๆ กันนี่หว่า เราควรจะรังเกียจพวกคนที่สร้างปัญหาให้สังคมไม่ดีกว่าเหรอ อย่างไอ้พวกเด็กแว้น เด็กสก๊อย พวกดาราที่ชอบมีข่าวฉาวๆ พวกนักการเมืองที่โกงบ้านกินเมือง หรืออะไรพวกนี้ เราว่าคนพวกนี้ต่างหากที่พวกเราสมควรจะรังเกียจ ไม่ใช่มารังเกียจพวกนาย จริงไหม" เอิร์ธย้อนถาม

ทิวพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ แล้วก็ร้องโอ๊ยเพราะเจ็บปากที่ถูกหมัดของใครก็ไม่รู้ซัดเข้าให้ เอิร์ธเห็นแล้วก็อดขำนิดๆ ไม่ได้แม้ว่าจะรู้สึกสงสารมากก็ตาม

------------------------------------------

เกือบสามทุ่ม บุมก็มาถึงโรงพยาบาล เขาแทบจะน้ำตาร่วงเลยทีเดียวเมื่อเห็นสภาพคนที่เขารักมีรอยฟกช้ำดำเขียวตามเนื้อตัวและใบหน้าหลายจุด ไม่รู้ว่าไอ้คนพวกนั้นมันโกรธแค้นอะไรทิวนักหนาถึงจะต้องทำกันเจ็บถึงขนาดนี้

"ใครทำอะไรนายทิว" บูมถามพลางย่อตัวลงนั่งข้างๆ เตียงของทิว สายตาคอยมองสำรวจร่างกายของทิวด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ทิวต้องเข้าเฝือกแขนข้างหนึ่งเพราะค่อนข้างบวมและเจ็บกว่าอีกข้าง

"ไม่รู้เหมือนกัน...สงสัยเขาคงจะจำคนผิด เราไม่เคยไปมีเรื่องกับใครเลย ถือซะว่าฟาดเคราะห์ไปละกัน" ทิวบอกด้วยเสียงที่ฟังดูอู้อี้เพราะปากของเขาเริ่มบวมเจ่อ

ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่บูมรู้จักทิวมาเขาก็ไม่เคยเห็นทิวทำตัวเกเรเป็นนักเลง ก็ไม่น่าจะไปมีเรื่องกับใครจนต้องถูกดักตีแบบนี้ จะว่าเป็นเจ้าหนี้คนนั้นก็ไม่น่าใช่เพราะบูมก็ช่วยจ่ายเงินส่วนที่เหลือให้ไปหมดแล้ว

"ขอบคุณมากนะเอิร์ธที่ช่วยพาทิวมาโรงพยาบาล" บูมหันไปบอกเอิร์ธที่ยืนอยู่ข้างหลังเมื่อนึกขึ้นได้ เขามัวแต่ห่วงทิวเสียจนลืมดูว่ามีใครอยู่บ้าง

"ไม่เป็นไร...เดี๋ยววิท ลีน่าแล้วก็แอนเดอร์สันจะมาด้วยนะ ใกล้ถึงละ" เอิร์ธบอก

บูมพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็หันมาดูทิวต่อ

"บูมกินอะไรมาหรือยัง" ทิวถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงเราหรอก ห่วงตัวเองเถอะ แล้วหมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร"

"รอดูพรุ่งนี้อีกที ถ้าไม่มีอะไรก็น่าจะกลับไปพักที่บ้านได้"

ดูจากสภาพแล้วคนร้ายคงแค่ต้องการสั่งสอนขั้นต้นเท่านั้น ทิวจึงไม่ถึงกับเจ็บหนักมาก แต่ก็เจ็บตัวไปพอสมควร

"นายพักให้เต็มที่นะ ไม่ต้องห่วงงานหรอก ห่วงตัวเองก่อน เราพอจะหาคนมาช่วยทำชั่วคราวได้" เหมือนบูมจะนึกอะไรได้ก็เลยถามต่อไปว่า "แล้วพวกนั้นมันจะกลับมาทำร้ายนายอีกหรือเปล่าล่ะทิว นายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราวก่อนไหม"

"ก็ดีเหมือนกันนะทิว อย่าเพิ่งวางใจไป ผมมีคอนโดอยู่แถวๆ รัชดา ทิวจะไปพักก็ได้นะ ตอนนี้ผมยังไม่ใช้" เอิร์ธเห็นดีด้วย

จะว่าไปแล้ว เพื่อนร่วมงานของทิวแต่ละคนก็ล้วนแต่เป็นคนจิตใจดีกันทั้งนั้นเลย โชคดีจริงๆ ที่ทิวได้มาเจอคนดีๆ แบบนี้

ยังไม่ทันจะได้ตอบ วิท ลีน่าและแอนเดอร์สันก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง วิทถือกระเช้าของเยี่ยมที่พวกเขาทั้งสามคนแวะซื้อมาด้วย

"เป็นไงบ้างทิว สำหรับคนป่วยนะ จากพวกเราสามคน" วิทถามแล้วก็วางกระเช้าไว้บนชั้นวางด้านบนของเตียง

"ขอบคุณมากครับ จริงๆ ไม่ต้องลำบากซื้อมาก็ได้" ทิวบอกอย่างเกรงใจ

"Are you okay, Tiew?" แอนเดอร์สันเดินเข้ามาถาม

"I'm ok--still alive." ทิวตอบติดตลกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ถึงกับตาย

"What happened? Did they mistake you for someone else?" ลีน่าถามว่าเกิดอะไรขึ้น พวกนั้นเข้าใจว่าทิวเป็นอีกคนหรือเปล่า จริงๆ ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ก็มาจากที่เอิร์ธบอกนั่นแหละ

"I really have no idea but I guess so." ทิวตอบพลางพยายามยิ้มเท่าที่พอจะยิ้มได้ เห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนเป็นห่วงและอุตส่าห์มาเยี่ยมถึงโรงพยาบาล ทิวก็อดตื้นตันใจไม่ได้ ตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัยมา ทิวก็ไม่เคยได้เจอบรรยากาศที่มีเพื่อนๆ หลายคนแบบนี้อีกเลย

"Oh, that's too bad. I hope you get well soon, friend." แอนเดอร์สันอวยพรให้ทิวหายไวๆ

"Thank you." ทิวกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจ น้ำตามันพาลจะไหลให้ได้ที่รู้ว่าเขามีเพื่อนร่วมงานที่ดีขนาดนี้ ที่ผ่านมาทิวคิดกังวลเสมอว่าเพื่อนร่วมงานคงไม่ค่อยชอบเขาเพราะคิดว่าเขาเป็นมือที่สามระหว่างบูมกับแพรว แต่พอบูมอธิบายให้พวกเขาเข้าใจ การปฏิบัติตัวของพวกเขาต่อทิวก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีจนทิวคาดไม่ถึง

"ขี้แยอีกแล้วนะ" บูมพูดพลางเอามือไปขยี้หัวทิวเล่นด้วยความเอ็นดู ทิวก็ร้องโอ๊ยเพราะหัวของทิวก็โนจากการถูกไม้ตีด้วย

"ทิว...เราขอโทษ ขอโทษนะ เราลืมไป" บูมรีบร้องบอกอย่างตกใจและหน้าเสียที่ทำให้ทิวต้องเจ็บ

"ไม่เป็นไร...ไม่เจ็บมากหรอก" ทิวบอกพลางยิ้มและขำเล็กน้อย คนอื่นๆ ก็พลอยขำตามไปด้วย ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผู้ชายกับผู้ชายอยู่ด้วยกันจะมีภาพน่ารักๆ แบบนี้ให้เห็นได้ด้วย ทิวกับบูมช่วยทำให้เพื่อนร่วมงานได้เปิดโลกทัศน์และเห็นอะไรบางอย่างที่คนทั่วไปไม่ได้เห็นในความรักระหว่างชายกับชายมากขึ้น น่าเสียดายที่เรามักมีอคติจนลืมมองเห็นความสวยงามของสิ่งที่เป็นอยู่ ในจำนวนนั้นก็มีบางคนในครอบครัวของบูมด้วย

------------------------------------------

บูมกับเอิร์ธช่วยกันเก็บข้าวของที่ขนมาจากบ้านทิวบางส่วนเข้าที่ ส่วนทิวก็ได้แต่นั่งมองอยู่บนเตียงเพราะเขายังเจ็บตัวอยู่ ช่วยอะไรไม่ได้ หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วบูมก็ให้ทิวมาพักอยู่ที่คอนโดมิเนียมของเอิร์ธชั่วคราวก่อนเพราะยังไม่ไว้ใจในความปลอดภัยของทิว ตอนแรกทิวจะไม่ยอมแต่บูมกับเอิร์ธก็ขอร้องจนทิวต้องมา

"หมดแล้วนะ" เอิร์ธหันมาถามยืนยันกับทิวหลังจากที่เก็บของเข้าที่เรียบร้อยแล้ว

ทิวพยักหน้าพลางยิ้ม "ขอบใจเอิร์ธมากนะครับ"

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราขอตัวกลับก่อนละกันนะ พอดีต้องไปธุระกับแม่"

"อ้าว...ไม่อยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันก่อนเหรอ ผมซื้อมาเยอะแยะเลย" บูมร้องถาม

"เอาไว้คราวหน้าละกันครับ ผมติดจริงๆ วันนี้ นี่ไงแม่โทรมาตามละ" เอิร์ธบอกพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง กดรับแล้วก็เดินออกไปพร้อมกับโบกมือให้เป็นสัญญาณว่าเขาต้องไปแล้ว

โชคดีเหมือนกันที่ทิวออกจากโรงพยาบาลตรงกับวันหยุดพอดี บูมจึงมีเวลาอยู่ดูแลทิวแบบเต็มๆ วันทั้งสองวัน แต่การป่วยครั้งนี้ก็ทำให้ทิวไม่ได้ไปเรียนหนังสือ

"หิวหรือยัง" บูมหันไปทิวถามหลังจากเดินไปปิดประตูห้อง

ทิวพยักหน้า

"ปะ ไปกินข้าวด้วยกันตรงนั้นดีกว่า" บูมบอกพลางเดินมาช่วยพยุงทิวไปนั่งตรงโต๊ะที่จัดไว้สำหรับนั่งกินข้าวหรือจะคุยกันก็ได้ ห้องของเอิร์ธดูกว้างขวางทีเดียว ราคาคงจะแพงไม่ใช่น้อย

บูมช่วยแกะกับข้าวแล้วจัดใส่จาน ทิวก็ได้แต่นั่งดูเช่นเคยเพราะมือข้างหนึ่งของเขายังต้องใส่ผ้าสามเหลี่ยมคล้องแขนเอาไว้อยู่ บูมเห็นทิวมองด้วยสายตารู้สึกผิดก็อดขำไม่ได้ เกือบจะเอามือไปยีหัวทิวอยู่แล้วเชียว แต่นึกพอนึกได้ว่าทิวยังเจ็บอยู่ก็เลยต้องหดมือกลับ

"อย่าคิดมากน่าทิว เมื่อก่อนนายช่วยเราตั้งเยอะตั้งแยะ ให้เราดูแลนายบ้าง ไม่ต้องกลัวหรอก...เดี๋ยวพอนายหายแล้วเราก็จะใช้นายคืนให้เข็ดเลย ดีไหม" บูมสัพยอกในตอนท้าย

"นายกินข้าวต้มไปก่อนละกันนะ จะได้กินง่ายๆ"

บูมจัดแจงอาหารเสร็จแล้วก็นั่งลงข้างๆ ทิว "เดี๋ยวเราป้อนนะ"

ทิวทำหน้าตกใจแล้วก็ร้องห้าม "ไม่เอา...เรากินเองก็ได้"

แต่เมื่อเห็นบูมทำหน้าขอร้องอ้อนวอน ทิวก็เลยต้องยอม "ก็ได้...แค่วันนี้วันเดียวนะ" แน่ะ...มีต่อรองเสียด้วย

บูมหัวเราะชอบใจแล้วก็ค่อยๆ ตักอาหารป้อนทิว

"เป่าก่อนดิ เดี๋ยวก็ลวกปากเราพอดี" ทิวทักท้วง บูมก็เลยขำแล้วก็เป่าข้าวต้มในช้อนก่อนจะป้อนเข้าปากทิวไป ดูเขาเก้ๆ กังๆ เล็กน้อยเพราะไม่ค่อยได้ทำแบบนี้เท่าไรนัก

"แล้วนายไม่กินข้าวเหรอ"

"เดี๋ยวกิน" บูมพูดจบก็ตักข้าวป้อนทิวต่อ จนกระทั่งทิวกินข้าวหมดแล้ว เขาจึงพาทิวไปนอนที่เตียงแล้วก็กลับมานั่งกินข้าว จากนั้นก็จัดการล้างเก็บให้เรียบร้อย แล้วก็มาดูแลทิวต่อ

"เราอยากอาบน้ำ" ทิวทำเสียงอ้อนเมื่อบูมกลับมา เขาไม่ชอบเลยเวลาเจ็บป่วยแบบนี้แล้วอาบน้ำไม่ได้

"อย่าเพิ่งเลย เอางี้ละกัน เดี๋ยวเราเช็ดตัวให้ นายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยไหม"

"ก็ดีเหมือนกัน"

บูมจึงเดินไปเลือกเสื้อผ้าที่คิดว่าทิวน่าจะใส่นอนได้สบายๆ หนึ่งชุดมาเตรียมไว้ หลังจากนั้นก็ไปหาชามใบใหญ่ใส่น้ำและผ้าเช็ดตัวมาด้วยหนึ่งผืน

"ถอดเสื้อผ้าก่อนนะ" บูมบอก แต่ทิวก็ทำหน้าอิดออด "ไม่ถอดเสื้อผ้าออกแล้วจะเช็ดตัวยังไงล่ะ จะอายทำไม เราเห็นของนายจนหมดแล้ว"

ทิวจึงต้องยอมให้บูมช่วยถอดเสื้อผ้าออกไป จนเหลือแต่ชุดชั้นในสีขาวตัวน้อย พอบูมจะช่วยถอดทิวก็รีบร้องห้าม

"อันนี้เอาไว้ก่อนก็ได้"

บูมขำแล้วส่ายหน้า "นายนี่ เราไม่ทำอะไรนายหรอกน่า เจ็บแบบนี้จะทำได้ยังไง" แล้วก็หันสบตากับทิวพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม "แต่ถ้านายต้องการก็บอกเราได้นะ เราช่วยได้"

บูมจึงถูกมือข้างที่เหลือของทิวหยิกขาเข้าให้ หยอกกันพอหอมปากหอมคอแล้วบูมก็ช่วยเช็ดตัวให้ทิวอย่างทนุถนอมเพราะกลัวจะทำให้ทิวเจ็บตัว

ระหว่างนั้นทิวก็ถามคำถามหนึ่งซึ่งเขาอยากรู้และสงสัยมานานแล้ว "บูม...นายเคย..." บูมหยุดและสบตากับทิวด้วยความสงสัย

"นายมีอะไรกับแพรวหรือยัง" ทิวกลั้นใจถามออกไปอย่างเขินๆ แต่มันก็อยากรู้จริงๆ นี่นา

บูมยิ้มเล็กน้อยแล้วก็ถามกลับ "แล้วนายคิดว่าไงล่ะ"

"ก็...ถ้าเคยเป็นแฟนกันก็น่าจะ..."

บูมขำแล้วก็ถามกลับไปว่า "ถ้าจะบอกว่าไม่ล่ะ...นายจะเชื่อไหม"

"จริงเหรอ" ทิวทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อ

"จริงสิ ก็เราไม่ได้รักเขานี่" แล้วบูมก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย "แต่ถ้ากับผู้ชายคนอื่น...ไม่แน่"

เห็นทิวตกตะลึงแล้วบูมก็ขำ สักพักทิวก็ทำหน้าม่อย

"ไม่ต้องเช็ดแล้ว เราจะนอน"

ทำเสียงแบบนี้แสดงว่างอนแน่ๆ เลย บูมไม่ได้เห็นทิวงอนมานานแล้ว สมัยเรียนนั้นทิวงอนเขาบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่เขาจีบกับน้องแป๋มอยู่ ทิวงอนจนไม่ยอมพูดกับเขาเป็นอาทิตย์เลย

"งอนเหรอ ยังขี้งอนเหมือนเดิมนะเนี่ย อ้อ...ขี้หึงด้วย" บูมยิ้มชอบใจแล้วก็ก้มหน้าลงไปใกล้ๆ กับใบหน้าของทิว

"ยังไงเราก็รักนายคนเดียวนะทิว กับคนอื่นๆ ก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่กับนาย...เรารักจริงหวังแต่งนะ"

ทิวยิ้มเขิน บูมหอมแก้มทิวเบาๆ ก็เลยยิ่งทำให้ทิวเขินไปกันใหญ่ คงจะเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะมีบ้างในตอนนี้ พายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นแล้วและพร้อมที่จะเล่นงานเขาสองคนตลอดเวลา แต่ตอนนี้ขอเวลาพักจากเรื่องร้ายๆ ก่อนละกันนะ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

117. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #116
 
18-Apr-12, 00:28 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ตอนนี้เริ่มแอบมีหวานๆส่งท้ายแล้วนะครับ
ชอบทิวคนเก่ามากกว่า ใช่เต๋าAF8 ป่ะครับ
เรื่องบทอย่างว่าเห็นนายออกตัวว่าไม่เก่ง แต่ผมอ่านแล้วก็เคลิ้มตามทุกทีนี่นา จริงๆ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

118. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #117
 
18-Apr-12, 07:33 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Bank
Guest

120. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #118
 
18-Apr-12, 06:32 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

119. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
18-Apr-12, 06:31 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนนี้เป็นตอนที่อยากให้ทุกคนอ่านมากๆ เลยครับ
เอามาให้อ่านเยอะหน่อย ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุด พอมีเวลาก็เลยกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ให้ครับ
วันนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว มีงานรออยู่เพียบ อาจจะขอเบรกไปหลายวันหน่อย
อ่านตอนนี้ให้ซาบซึ้งและจุใจไปหลายๆ วันก่อนละกันนะครับ
อ้อ....
พอพูดถึงคุณทิพย์นภา ผมนึกถึงดาราคนนี้ขึ้นมาเลยครับ ไม่รู้มีใครคิดเหมือนกันหรือเปล่า

สุดท้าย...ตอนนี้ขอยกให้พี่บีมเป็นพระเอกบ้าง อยากบอกว่า..."รักพี่บีมที่ซู้ดดดด"

-----------------------------------------------------

ตอนที่ 31

"หายไปไหนมาตั้งหลายวัน อย่าบอกนะว่าไปขลุกอยู่กับไอ้เกย์นั่น"

กลับมาถึงบ้านไม่ทันจะได้นั่งพัก แม่ก็เล่นงานบูมเสียแล้ว

บูมมองแม่ด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก เขาไม่ชอบเอาเสียเลยที่แม่เรียกทิวว่า "ไอ้เกย์" อีกแล้ว

"ใช่ครับ" บูมยอมรับไปตามตรง เขาตั้งใจอยู่แล้วว่าจะกลับบ้านเย็นวันอาทิตย์หลังจากที่ไปอยู่ดูแลทิวถึงสองวันเต็มๆ เขาคิดไม่ถึงว่าแม่จะไม่พอใจถึงขนาดนี้ "แม่อย่าเรียกทิวแบบนั้นได้ไหมครับ"

"ทำไม...แม่จะเรียกอย่างนี้นี่แหละ แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งแม่แบบนี้"

"แม่..." บูมหมดความรู้สึกที่อยากจะต่อล้อต่อเถียงเพราะรู้ว่าเขาไม่มีทางที่จะทำให้แม่เข้าใจได้ บูมจึงเลิกพยายามและทำท่าจะเดินขึ้นห้องไป

"เมื่อไรจะหยุดสร้างปัญหาเสียทีนะบูม รู้ไหมว่าตอนนี้คุณโฉมศรีกับหนูแพรวเขาจะฟ้องเราแล้ว"

บูมหยุด ตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าแพรวจะต้องทำถึงขนาดนี้

"ถ้าแกไม่แต่งงานกับหนูแพรว เขาก็จะฟ้องแกในฐานนอกใจเขา แล้วเราก็จะไม่ได้ของหมั้นคืน แต่นั่นไม่เท่าไรหรอก แต่ฉันอายคนอื่นๆ เขารู้ไหม ตระกูลของเราไม่เคยมีใครต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ก็จะมีแกนี่แหละเป็นคนแรก ถ้าแกไม่อยากให้ครอบครัวเราขายขี้หน้ามากไปกว่านี้ แกก็ต้องแต่งงานกับหนูแพรวซะ แล้วเลิกไปหาไอ้เกย์นั่นเสียที แม่จะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม แกจะทำให้แม่เสียใจไปถึงไหนหาบูม!!!" คุณทิพย์นภาตวาดเสียงดังในตอนท้าย

บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกแล้วหลังจากที่เริ่มผ่อนคลายไปบ้างในช่วงหลายวันหลังจากที่เกิดเรื่องคราวนั้น ดูท่าทางแม่คงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ บูมเองก็ชักจะเหนื่อยกับแม่ของตัวเองทุกทีๆ สรุปว่าไปๆ มาๆ ความผิดทุกอย่างก็มาตกที่เขา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นคนเริ่มมันเลย แถมยังจะต้องถูกบังคับให้ต้องรับผิดชอบทุกอย่างอีก

"แม่...บูมขอโทษนะครับที่ทำให้แม่เสียใจ บูมไม่ได้อยากทำให้แม่เสียใจเลย...แต่บูมไม่ได้รักแพรว บูมแต่งงานกับเขาไม่ได้ แม่อย่าบังคับบูมเลยนะครับ ผมขอร้อง ให้ผมชดใช้อะไรก็ได้...แต่ผม...จะไม่แต่งงานกับแพรว ผมไม่อยากสร้างเวรกรรมให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรอีก ผมไม่อยากให้แพรวต้องมาเสียใจทีหลังเพราะผมไม่ได้รักเขา" บูมเปลี่ยนจากการพูดด้วยท่าทีแข็งกร้าวเป็นอ่อนลง เขาหวังว่าแม่คงจะเข้าใจและเห็นใจเขาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด

"แล้วแกรักใคร รักไอ้เกย์นั่นเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไงบูม คิดบ้างไหมว่าคนอื่นๆ เขาจะรับได้ไหม แล้วแกจะอยู่ในสังคมนี้ได้ยังไง พ่อกับแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คิดเสียบ้างสิ"

"แม่...บูมเป็นเกย์นะครับ ไม่ได้เป็นหวัดที่กินยาแล้วก็หาย" บูมเถียง

"บูม!!! อย่าเรียกตัวเองแบบนั้นให้แม่ได้ยินอีก บูมไม่ใช่เกย์ เข้าใจไหม อย่าให้แม่ได้ยินอีกนะ" แม่ตวาดเสียงดัง เธอรับไม่ได้อย่างยิ่งที่ลูกชายคนเล็กยอมรับว่าเขาเป็นเกย์ คนเป็นแม่เจ็บปวดแค่ไหนที่ลูกที่เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยกำลังจะกลายเป็นคนที่สังคมรังเกียจ คนที่สังคมตีตราว่าเป็นได้แค่พวกตัวตลกและสำส่อน

บูมถอนหายใจ เขารู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากจะทะเลาะหรืออธิบายอะไรอีกแล้ว บูมจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปบนห้อง แต่แม่ก็ทำให้เขาต้องชะงักด้วยความตกใจอีกจนได้

"ดี...แกไม่เชื่อแม่ใช่ไหม อย่าหาว่าแม่ใจร้ายละกัน ไอ้เกย์นั่นมันจะไม่ใช่แค่เจ็บตัวอย่างเดียวเหมือนตอนนี้แน่"

บูมรู้สึกอยากจะร้องไห้และตะโกนให้สุดเสียงให้สมกับความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ข้างใน นี่สรุปว่า...ที่ทิวเจ็บตัวขนาดนี้เป็นฝีมือของแม่ของเขาเองหรือ บูมแทบไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวเท้าหรือยืนจนต้องทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงกับพื้น

"ทำไมแม่ทำแบบนี้ แม่ทำแบบนี้ทำไมครับ" บูมถามพลางสะอื้นไห้ด้วยความสะเทือนใจ

"แม่ทำได้ทั้งนั้นแหละ เพราะแม่ไม่อยากให้บูมเป็นเกย์ เข้าใจไหมบูม...แม่ไม่อยากให้ลูกชายของแม่เป็นเกย์ แม่รับไม่ได้ บูมจะต้องหาย บูมจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงเหมือนผู้ชายทั่วไป เข้าใจไหมบูม เมื่อไรบูมจะเลิกเป็นเกย์เสียที หา!!!"

บูมเอามือปิดหูเพราะเขาไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว พอแม่พูดจบเขาก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากบ้านทันที ถ้าเขาอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกแค่นาทีเดียวเขาอาจจะเป็นบ้าได้ อย่าว่าแต่แม่เลยที่รับไม่ได้ที่เขาเป็นเกย์ บูมเองก็รับไม่ได้เหมือนกันที่รู้ว่าแม่ให้คนไปทำร้ายทิวจนเจ็บตัวขนาดนั้น

"บูม...จะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้"

คุณทิพย์นภาเรียกตามหลังลูกชาย แต่บูมก็ไม่กลับมาและหายไปพร้อมกับเสียงรถยนต์ เธอได้แต่ร้องไห้และกำมือแน่น บูมดื้อมากและไม่ฟังเธอเลย บูมจะเคยรู้ไหมว่าแม่กำลังเจ็บปวดแค่ไหน เธอเป็นทุกข์มากเหลือเกิน ตั้งแต่ที่รู้ว่าบูมกลับไปหาทิว เธอก็แทบไม่มีกะจิตกะใจจะสอนหนังสือ กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดแต่จะหาหนทางทำให้บูมกลับมาเป็นผู้ชายปกติทั่วไปให้ได้

รายการโทรทัศน์ที่คุณทิพย์นภาเปิดทิ้งไว้ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรายการตลกแล้ว ภาพผู้ชายแต่งตัวเป็นผู้หญิงและทำท่าทางวี้ดว้ายกระตู้วู้น่าขบขันในจอโทรทัศน์นั้นทำให้คุณทิพย์นภาถึงกับหวีดร้อง

"ไม่จริง...ลูกของฉันจะต้องไม่เป็นแบบนี้"

"แม่!!!"

บีมเรียกด้วยสีหน้าตกใจเมื่อเขาเข้ามาในบ้านแล้วก็เห็นแม่ทรุดลงไปนั่งกับพื้นร้องให้ฟูมฟาย คงจะมีเรื่องกับบูมอีกแน่ๆ เลยเพราะเมื่อกี้บีมเพิ่งสวนกับบูมที่ขับรถออกไป

"แม่เป็นอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น"

บีมรีบวิ่งไปหาแม่ด้วยความเป็นห่วง พอเขานั่งลง คุณทิพย์นภาโอบกอดลูกชายคนโตไว้แล้วก็ร้องคร่ำครวญ "บีม...ช่วยน้องด้วยนะลูก อย่าให้น้องเป็นเกย์ แม่จะไม่ไหวแล้ว แม่ทำใจไม่ได้ นะบีม...ช่วยน้องด้วย"

บีมกอดแม่ไว้แล้วก็น้ำตาซึม นี่แม่คงจะเป็นทุกข์เรื่องของบูมมาก ถึงแม้ว่าบีมจะไม่เห็นด้วยที่แม่ยอมรับตัวตนจริงๆ ของน้องชายไม่ได้ แต่ก็พอเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ แม่รักและคาดหวังกับบูมมาก มากเสียจนยากที่จะยอมปล่อยสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไปได้ง่ายๆ สถานการณ์ตอนนี้ล่อแหลมและตึงเครียดมาก บีมคิดว่าบูมควรจะต้องถอยและยอมแม่บ้าง ยิ่งปะทะใส่กันไม่ยั้งแบบนี้ก็ยิ่งจะสร้างความเจ็บปวดไปกันใหญ่ ไม่อย่างนั้นแล้วคนที่จะเป็นอะไรไปคนแรกก็อาจจะเป็นแม่ของพวกเขาเอง เขาไม่อยากให้น้องชายต้องเสียใจทีหลัง

-------------------------------------------------------

บีมพาแม่ขึ้นไปนอนพักผ่อนบนห้องแล้วก็กลับลงมาข้างล่าง พ่อมาถึงบ้านพอดีพร้อมกับลูกน้องอีกสองสามคนที่ตามมาส่ง บีมเข้าไปช่วยพ่อลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาในบ้านแล้วก็ถือโอกาสคุยกับพ่อ

"เป็นไงครับพ่อ สัมมนาสนุกไหมครับ"

"ก็งั้นๆ แหละ มีแต่ประชุม ไม่สนุกหรอก เอ...ว่าแต่แม่เขาไม่อยู่บ้านเหรอวันนี้ แล้วบูมไปไหน" คุณลิขิตถามพลางสอดส่ายสายตามองหาภรรยาและลูกชายคนเล็ก

บีมถอนใจด้วยความหนักใจ เขาไม่ตอบคำถามพ่อแต่เขาอยากคุยกับพ่อแบบเปิดใจสักครั้งมากกว่า มันคงถึงเวลาแล้วล่ะ "พ่อครับ...ผมอยากคุยกับพ่อ ผมมีเรื่องอยากปรึกษาครับ"

เห็นท่าทางหนักใจของลูกชายคนโตแล้วคุณลิขิตก็พอจะเดาออกว่าภรรยากับลูกชายคนเล็กคงจะทะเลาะกันอีกเช่นเคย คุณลิขิตพยักหน้า บีมรีบเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องแล้วก็มานั่งคุยกับพ่อหลังบ้าน

"พ่อครับ...พ่อคิดยังไงครับกับเรื่องของบูม ที่บูมเขาบอกแม่ว่า...เขาเป็นเกย์"

คำถามจากลูกชายคนโตทำให้คุณลิขิตหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความหนักใจ แต่หลายปีมานี้คุณลิขิตก็เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ยิ่งในช่วงหลังๆ ที่มาสนิทกับลูกชายคนโตมากขึ้นก็ช่วยทำให้ความคิดเปลี่ยนไปหลายอย่าง แต่เรื่องของบูมนั้นก็คงเป็นเรื่องที่พ่อแม่คนไหนๆ ก็คงทำใจได้ยาก คุณลิขิตเองก็ยังไม่เคยคุยกับลูกชายคนเล็กเรื่องนี้เลยแม้ว่าจะเจอกันที่ทำงานบ่อยๆ

"เอางี้ละกัน...พ่ออยากฟังก่อนว่าบีมคิดยังไง เผื่อบางที...สิ่งที่บีมคิดอาจจะช่วยให้พ่อได้เห็นอะไรบางอย่างที่พ่อกับแม่ไม่เคยมองเห็นก็ได้"

นั่นก็หมายความว่าพ่อก็คงรับไม่ได้เหมือนกับแม่นั่นแหละที่รู้ว่าบูมเป็นแบบนั้น แต่คุณลิขิตก็อยากฟังดูบ้างว่าเด็กๆ เขาคิดยังไง บางทีคนเป็นพ่อกับแม่พูดอยู่คนเดียวโดยไม่ฟังลูกๆ เลยก็จะเป็นเผด็จการและใช้อำนาจเกินขอบเขต

เป็นครั้งแรกที่บีมได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น ที่ผ่านมาพ่อไม่ค่อยฟังพวกเขานัก เขาเองก็เคยโดนพ่อเคี่ยวเข็ญในฐานะลูกชายคนโตจนแทบจะประสาทเสีย นี่เป็นครั้งแรกที่พ่ออยากฟังว่าเขาคิดอะไร บีมรู้สึกดีใจเหลือเกินและคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นนิมิตรหมายอันดีที่เขาจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวบ้าง

"ครับพ่อ" บีมยิ้มดีใจ ดูเหมือนคุณลิขิตก็แอบยิ้มน้อยๆ อยู่เหมือนกัน

"สำหรับผม...ไม่ว่าบูมจะเป็นอะไร บูมก็เป็นน้องชายของผมเหมือนเดิมครับพ่อ ผมก็รักน้องเท่าเดิม ผมขอแค่ให้เขาเป็นคนดีของครอบครัวของเรา ทำงานและทำประโยชน์ให้สังคมได้ก็พอแล้ว ผมคิดว่า...สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าบูมเป็นอะไรหรอกนะครับ ยังไงบูมเขาก็ตั้งใจเรียนจนจบ เขายอมเหนื่อยและอดทนทำเพื่อครอบครัวของเรา แถมตอนนี้บูมก็ทำโครงการที่จะช่วยทำให้สังคมเราน่าอยู่ขึ้น แล้วอีกไม่นานบูมก็จะมาช่วยสานต่อกิจการของเราอย่างเต็มตัว สิ่งที่บูมทำอยู่ตอนนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งดีๆ นะครับพ่อ เขาเป็นเด็กสมัยใหม่ที่มีคุณภาพคนหนึ่งที่จะทำประโยชน์ให้ทั้งกับครอบครัวและสังคมของเรา ผมภูมิใจในตัวบูมมากนะครับพ่อ และผมก็อยากให้เราทุกคนในครอบครัวภูมิใจกับสิ่งที่บูมเป็นและพยายามทำให้ครอบครัวของเราด้วย"

เมื่อเห็นว่าพ่อยังตั้งใจฟังอยู่ บีมก็พูดสืบไปว่า "ในมุมมองของผม...การเป็นเกย์ของบูม...ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เกย์ ทอม เด็ก คนแก่ คนพิการ ชาวเขา ชาวนาหรืออะไรทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เราเลือกไม่ได้ แต่ในมุมมองของผม...ปัญหามันอยู่ที่ว่าเรามอง คิดหรือปฏิบัติกับเขายังไงต่างหากครับ คนเหล่านี้เขาไม่ได้มีปัญหากับสิ่งที่เขาเป็น ผมเชื่อว่าเขายอมรับและมีความสุขกับชีวิตที่เขาเป็นอยู่ แม้ว่าเขาจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีได้ ผมว่า...ในฐานะที่เราเป็นคนนอก เราต้องมองอย่างเข้าใจ แล้วก็สนับสนุนให้เขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ส่งเสริมให้เขาได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ครับ"

แล้วบีมก็สรุปท้ายว่า "ผมคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่บูมเป็นหรอกคับ แต่มันอยู่ที่ความคิดของคนที่มองต่างหาก ผมว่าแทนที่เราจะเอาเวลาและพลังงานไปทุ่มเทกับสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ สู้เอามาช่วยทำให้เขาเป็นคนดี มีคุณภาพดีกว่าครับ บางทีเราก็อาจจะช่วยทำให้คนอื่นๆ ในสังคมได้เรียนรู้เรื่องนี้ในแง่มุมที่ถูกต้องมากขึ้นก็ได้ครับ เรามัวแต่มองผ่านสื่อ ผ่านทีวี ผ่านหนังสือหรือผ่านคนอื่นๆ คนเหล่านี้เขาจะสร้างภาพหรือเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ แต่ในความเป็นจริง ทุกคนไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป บูมเองก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเหมือนที่เราเห็นในทีวี"

บีมหยุดพักและสบตากับพ่อ "พ่อครับ...ผมคิดว่า...ธรรมชาติของบูม...เขาเป็นแบบนั้นครับ เขาเกิดมาพร้อมกับมัน เขาไม่ได้ผิดธรรมชาติเหมือนที่คนทั่วไปชอบพูดกัน บางทีคนเหล่านั้นก็พูดเพราะเขาไม่ได้รู้จริง ตัดสินเอาจากสิ่งที่เห็นแล้วก็เหมารวม ผมเอง...ก็ยังไม่เคยเป็นพ่อคน แต่ผมก็เคยได้ยินมาว่า...ลูก...เราก็เลี้ยงเขาได้แต่ตัว ชีวิตเป็นของเขา เขาต้องเลือกเอง คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องทำหน้าที่สนับสนุนเขาให้ได้มากที่สุด เพราะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คือผู้ให้ ให้กำเนิด ให้ความรัก ให้ความรู้และอะไรอีกหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...พ่อกับแม่ต้องให้ชีวิตที่เป็นของเขาเอง แต่ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันเป็นคำพูดที่จริงสำหรับพ่อแม่ทุกคนหรือเปล่า ผมอาจจะรู้ก็ต่อเมื่อผมมีลูกเอง หรือผมอาจจะคิดอีกแบบก็ได้ถ้าผมมีลูกจริงๆ"

เมื่อพูดจบแล้วบีมก็รู้สึกแปลกใจมากที่เห็นพ่อยิ้ม บีมไม่เคยเห็นพ่อยิ้มให้เขาแบบนี้เลย

"บีม...เมื่อก่อน...พ่อยอมรับว่า...พ่อไม่เคยภูมิใจเลยที่บีมไปเรียนศิลปะอะไรนั่น แต่วันนี้...พ่ออยากจะบอกว่า...พ่อภูมิใจในตัวบีมมาก พ่อรู้แล้วว่า...ศิลปะมันช่วยให้บีมเป็นคนที่มีความคิดดีแค่ไหน มันช่วยให้บีมมองเห็นอะไรบางอย่างที่พ่อกับแม่ไม่เคยมองเห็น ที่ผ่านมา...พ่อต้องโทษบีมด้วยที่เคย...ทำแบบนั้น"

"พ่อ..." บีมแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าเขาจะได้ยินสิ่งนี้จากคนที่เป็นพ่อ เขาดีใจจนน้ำตาไหล ในฐานะลูกคนหนึ่ง เขาก็อยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเขาบ้าง เขาก็พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อครอบครัวมาโดยตลอด แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครมองเห็น ทำให้บีมเองก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน แต่วันนี้...พ่อได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว บีมดีใจเหลือเกิน ดีใจจนไม่รู้ว่าจะพูดคำไหนออกมา

บีมลงไปนั่งกับพื้นแล้วก้มกราบเท้าพ่อ "ขอบคุณครับพ่อ" เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วก็กอดพ่อไว้ คุณลิขิตเองก็ดีใจที่วันนี้เขาได้กอดลูกชายคนโตอีกครั้ง เขาไม่ได้ทำแบบนี้กับบีมหรือบูมมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

ความสุขของพ่อกับแม่คืออะไรล่ะ ไม่ใช่เพราะได้ช่วยเลี้ยงดูและสนับสนุนให้ลูกได้เติบโต ปลอดภัย พึ่งตัวเองได้และเป็นคนดีของสังคมหรอกหรือ จะคาดหวังอะไรมากกว่านี้ ให้กำเนิดเขามาแล้ว ชีวิตก็เป็นของเขาทันทีที่เขาลืมตาดูโลก ก็คงเหมือนกับที่บีมพูด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่ความคาดหวังของพ่อแม่ต่างหาก

"ขอบใจบีมมากที่ช่วยทำให้พ่อคิดได้...พ่อสัญญา...พ่อจะพยายามรักลูกของพ่อทุกคน...ในแบบที่เขาเป็น พ่อจะพยายามนะบีม" คุณลิขิตเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าความเข้าใจที่พ่อกับแม่มีให้ลูกมันช่วยทลายช่องว่างและความห่างเหินระหว่างกันได้มากเพียงใด

"ผมรักพ่อครับ"

"พ่อก็รักบีมนะลูก...รักบูมด้วย" เหมือนพ่อจะกลัวลูกชายอีกคนน้อยใจทั้งๆ ที่บูมก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้

การที่บีมกอดเขาและแสดงความรักแบบนี้มันทำให้คนที่เป็นพ่ออย่างเขารู้สึกชื่นใจและมีความสุขอย่างมาก ทำให้เขานึกถึงตอนที่บูมกับบีมยังเล็กๆ วิ่งเล่นซุกซนและขี้อ้อน วันไหนที่เขามีของเล่นใหม่มาให้ลูกทั้งสองคน ทั้งบีมและบูมจะกระโดดโลดเต้นดีใจกันใหญ่ แล้วก็จะวิ่งมาบอกพ่อว่า "รักพ่อที่สุดในโลกเลย" แค่นี้คนเป็นพ่ออย่างเขาก็มีความสุขยิ่งกว่าการมีทรัพย์สมบัติใดๆ แล้ว ไม่ว่าเขาจะมีตำแหน่งหรือทรัพย์สมบัติมากมายแค่ไหนมันก็คงเปล่าประโยชน์ถ้ามันไม่ช่วยทำให้เขามีความสุขได้เท่ากับที่ในขณะนี้ลูกชายคนโตกำลังกอดเขาและบอกว่ารักพ่อ เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วจนแทบจะลืมไปด้วยซ้ำ

บีมยิ้มดีใจ เขาอยากให้บูมได้มาเห็นเหลือเกิน ตอนนี้ปัญหาก็หมดไปเปลาะหนึ่งแล้ว แต่ยังเหลืออีกอย่างน้อยสามคนที่บีมจะต้องเข้าไปทำอะไรบางอย่าง เขาพยายามคิดมาตลอดว่าจะช่วยทำให้ครอบครัวเขากลับมามีความสุขเหมือนสมัยที่พวกเขายังเป็นเด็กวิ่งซุกซนได้ยังไง เขาดีใจจริงๆ ที่วันนี้เขาทำสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว

------------------------------------------------------------

คุณโฉมศรีรู้สึกแปลกใจมากทีเดียวที่แขกที่มาเยือนในวันนี้เป็นคนที่เธอก็ไม่คาดคิดมาก่อน เธอเห็นหน้าก็จำได้ว่าเป็นบีม พี่ชายของบูม และเป็นลูกชายคนโตของคุณลิขิต เพื่อนของสามีเธอนั่นเอง บีมมาที่นี่ทำไม...หรือว่าบ้านนั้นจะส่งคนมาอ้อนวอนให้เธอยกเลิกการฟ้องร้อง ไม่มีทางเสียละ

"สวัสดีครับ" บีมยกมือไหว้คุณโฉมศรีแล้วก็ถามถึงคนที่เขาอยากคุยด้วย "ผมมาหาแพรวครับ..."

คุณโฉมศรีรับไหว้ด้วยสีหน้างุนงงเพราะนึกไม่ออกว่าบีมจะมีธุระอะไรกับแพรวจนต้องตามมาคุยถึงที่บ้าน

บีมเห็นท่าทางสงสัยนั้นแล้วจึงบอกจุดประสงค์ไปว่า "ผมอยากจะคุยกับแพรวเรื่องของบูมครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับที่มาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า"

คุณโฉมศรีชั่งใจอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจที่จะให้แพรวมาคุยกับบีม บีมไปนั่งรออยู่ในศาลาเล็กๆ ที่จัดไว้ในสวนของบ้าน มีที่นั่งสำหรับให้คนในครอบครัวมานั่งคุยกันได้หลายคนอยู่ บรรยากาศดูร่มรื่นเย็นสบายเพราะมีต้นไม้ใหญ่ๆ คอยให้ร่มเงา

คนรับใช้ของบ้านเอาน้ำมาเสิร์ฟ ไม่นานนักแพรวก็ลงมา สีหน้าของเธอดูแปลกใจไม่น้อยเพราะบีมไม่เคยมาที่นี่เลยนอกจากบูมที่เคยมาส่งหรือมาคุยกับเธอที่นี่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้

แพรวยกมือไหว้ "พี่ชายอดีตคู่หมั้น" แล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม เมื่อสังเกตดีๆ ก็ยังคงเห็นร่องรอยความเศร้าหมองปรากฎบนใบหน้าของเธออยู่ เมื่อบีมเพ่งพิศดูดีๆ ก็เห็นว่าแพรวก็เป็นผู้หญิงที่สวยและน่ารักมากทีเดียว ถ้าไม่ติดว่าน้องชายเขาไม่ชอบผู้หญิง บีมคงจะดีใจมากที่จะมีน้องสะใภ้ที่สวยน่ารักแบบนี้

"แพรว...พี่อยากจะคุยกับแพรวเรื่องบูม พี่ขอโทษก่อนละกันที่ต้องเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ แต่พี่คิดว่าพี่อยากให้แพรวได้รู้อะไรบางอย่างที่สำคัญ" บีมเกริ่นนำหลังจากที่แพรวนั่งลงได้สักพัก

"ค่ะ" แพรวตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแสดงให้เห็นความเสียใจอยู่ เธอร้องไห้เสียใจมาหลายวันแล้วแต่ก็คิดว่าควรจะต้องหยุดเสียที เพราะยังไงบูมก็ไม่เคยมารับรู้ว่าเธอเสียใจมากแค่ไหน ตั้งแต่คุยกันวันนั้น แพรวรับรู้เพียงว่าบูมต้องการให้เธอยืนยันการถอนหมั้น ด้วยความโมโหทำให้แพรวไปหาคุณทิพย์นภาถึงมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่มาการที่ทิวถูกทำร้าย

"จริงๆ พี่รู้จักบูมกับทิวมาตั้งแต่สมัยเขาเรียนมัธยมด้วยกันแล้วล่ะ เมื่อก่อนบูมเป็นเด็กเก็บกดเพราะที่บ้านเราค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการเรียน ทำให้บูมเป็นเด็กค่อนข้างมีปัญหา ไม่ค่อยพูด ขี้โมโห แต่พอเขาได้รู้จักทิว พี่ก็สังเกตว่าบูมเปลี่ยนไปมาก เขาร่าเริงขึ้นมาก"

บีมเห็นสีหน้าของแพรวที่ดูงงๆ แล้วก็เลยหยุดพัก แพรวคงสงสัยนั่นเองว่าบีมเล่าเรื่องนี้ให้แพรวฟังทำไม แต่บีมก็คิดว่าเมื่อตั้งใจจะเล่าแล้วเขาก็ควรจะต้องเล่าให้จบ

"บูมไปหัดร้องเพลงกับทิว จนได้เป็นนักร้องนำของวงที่โรงเรียนด้วยกัน เขาใช้ชีวิตด้วยกันตลอด เขาก็เลยผูกพันกันมาก ไม่เคยห่างกันเลย ก็เลยทำให้เขาสองคนรักกัน แต่พอที่บ้านรู้เข้า บูมก็ถูกสั่งให้เลิกคบกับทิว แล้วบูมก็ไปเรียนเมืองนอก ไม่ได้ติดต่อทิวเลย ส่วนทิว...เขาอยู่กับแม่สองคน แต่ไม่นานนักแม่เขาก็เสีย เขาก็เลยไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ต้องออกมาตระเวนร้องเพลงหาเงินเลี้ยงตัวเอง เขาลำบากมากนะแพรว เพราะแม่ของทิวไปกู้เงินนอกระบบมาให้ทิวเรียนหนังสือ ทิวจึงต้องใช้หนี้แทนแม่ด้วย"

"จริงเหรอคะ" แพรวถามด้วยน้ำเสียงเศร้า เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทิวจะมีชีวิตที่น่าเศร้าขนาดนี้

บีมพยักหน้าแล้วก็เล่าสืบไปว่า "จนกระทั่งบูมกลับมา บูมก็ไม่เคยติดต่อมาหาทิวเลย พี่เคยบอกบูมหลายครั้งว่าให้มาหาทิวบ้างเขาก็ไม่ยอมมา แต่ยังไงไม่รู้...สุดท้าย...เขาสองคนก็ได้กลับมาเจอกันอีก แต่พี่ก็รู้ว่าบูมคงจะรู้สึกผิดมากที่เขาทิ้งทิวไป ไม่ยอมติดต่อ ปล่อยให้ทิวมีชีวิตที่ตกระกำลำบากทั้งๆ ที่เมื่อก่อนทิวก็ดีกับเขามาก ตอนแรก...พี่คิดว่าเขาสองคนคงแค่จะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะรักกัน แต่เขาก็รักกัน แล้วพี่ก็รู้ว่าเขารักกันมาก เป็นความรักที่เกิดขึ้นเพราะเขาสองคนผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยนั้น มันเป็นสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาทั้งสองคนตลอด เขาไม่เคยลืมกันและกันหรอกนะแพรว ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนหรือมีใคร...เขาก็ไม่เคยลืม ถึงบูมจะไม่เคยติดต่อทิวเลยแต่พี่ก็รู้ว่าเขาคิดถึงกันมากแค่ไหน"

บีมหยุดเพราะสังเกตเห็นสีหน้าของแพรวที่เริ่มหม่นลง "ที่พี่บอกแพรวเรื่องนี้...ไม่ใช่จะมาซ้ำเติมแพรวหรอกนะ พี่อยากให้แพรว...เข้าใจความรักของเขาทั้งสองคน บูมเขาไม่ได้มาหลอกแพรวหรอก สิ่งที่เกิดขึ้น...ไม่ใช่ความผิดของบูม แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของแพรวด้วย แต่พี่ก็รู้ว่า...ผู้ใหญ่ของเราทั้งสองฝ่ายต่างก็หวังดี ก็เลย...ทำให้บูมกับแพรวได้มารู้จักกัน แต่บางที...พ่อกับแม่อาจจะลืมถามลูกๆ ว่าเขาต้องการความหวังดีนั้นหรือเปล่า จนกระทั่งมันเลยเถิดมาถึงวันนี้ พี่รู้ว่าแพรวเสียใจนะ พี่ก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่พี่ก็อยากบอกแพรวว่า...บูมเขาก็ไม่ได้อยากทำให้แพรวเสียใจหรอก แต่เขา...แค่อยากจะเป็นในสิ่งที่เขาเป็น แต่ที่บ้านพี่ก็ไม่ยอมรับที่เขาเป็นแบบนั้น แต่สำหรับพี่...ไม่ว่าบูมจะเป็นอะไร เขาก็เป็นน้องชายที่พี่รักและเป็นห่วงเสมอ พี่อยากให้เราทุกคนเห็นใจและเข้าใจบูมบ้าง ให้บูมได้เป็นอย่างที่เขาอยากเป็น ให้เขาได้รักคนที่เขาอยากรัก เขามีชีวิตที่ต้องถูกบังคับมาตลอด พี่อยากให้ชีวิตบูมได้มีความสุขบ้าง"

เมื่อเห็นแพรวยังตั้งใจฟังอยู่ บีมก็พูดต่อ "พี่รู้...ว่าแพรวคงจะโกรธบูมมาก พี่รู้...ว่าแพรวเสียใจมากแค่ไหน แต่พี่ก็ดีใจที่บูม...ยอมบอกให้ทุกคนรู้ความจริงว่าเขาคือใครก่อนที่มันจะสายไป จริงๆ พี่ว่า...เราควรจะขอบคุณบูมเสียด้วยซ้ำที่เขาบอกเราตอนนี้ ดีกว่าที่เขาจะบอกแพรวตอนที่เขาแต่งงานไปแล้ว คนเรานะแพรว...ไม่มีใครทนบังคับฝืนใจทำในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นได้นานหรอก นี่คือชีวิตของบูม นี่คือสิ่งที่บูมเป็น เป็นตัวตนของเขา เราไม่มีทางเปลี่ยนเขาได้..."

ดูเหมือนแพรวจะตั้งใจฟังแทบจะทุกคำพูดของบีมเลยทีเดียว สิ่งที่บีมพูดมันทำให้เธอได้คิดอะไรหลายอย่าง...จริงสิ...เธอควรจะขอบคุณบูมด้วยซ้ำที่ยอมพูดความจริงเสียตั้งแต่ตอนนี้ บูมคงจะไม่สามารถปิดบังตัวเองได้ตลอดไปหรอก รู้เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็น่าจะดีแล้ว เอาเข้าจริงๆ แพรวก็รู้ว่าเธอคงจะรับได้ยากถ้าหากแต่งงานกับบูมไปแล้วเขาเดินมาบอกเธอว่า...เขาเป็นเกย์

"แพรวยังไม่จำเป็นต้องเข้าใจที่พี่พูดทั้งหมดในวันนี้หรอกนะ แพรวเก็บไปคิดก่อนก็ได้ พี่ไม่ได้หมายความว่าจะให้แพรวยกเลิกความตั้งใจที่ฟ้องร้องหรอกนะ แพรวเป็นคนเสียหาย พี่เข้าใจ พี่ไม่ได้มาคุยกับแพรวเพราะเรื่องนี้ แต่สิ่งที่พี่อยากจะขอจากแพรวมีอย่างเดียวก็คือ...พี่อยากให้แพรวเข้าใจและให้อภัยบูม ไม่จำเป็นต้องเป็นตอนนี้ก็ได้ แต่วันไหนก็ได้ที่แพรวคิดและรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ"

แพรวได้ฟังแล้วก็ถึงกับอึ้งไปทันที เธอเคยรู้จักบีมแค่ผิวเผิน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนดี มีความคิด มีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่มากถึงขนาดนี้

"พี่บีมดูเหมือนจะรักและเป็นห่วงบูมมากเลยนะคะ"

บีมพยักหน้า "ใช่...พี่สงสารเขาด้วย บูมเขาเหนื่อยและเก็บกดมามาก พี่อยากให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น เราอย่าไปบังคับเขาเลย...เขาแค่เป็นแบบนั้น ถ้าเขากินยาหรือไปผ่าตัดแล้วหายได้ พี่คิดว่าบูมก็ยินดีที่จะทำ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นไงแพรว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าบูมเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองและคิดกับเขายังไงต่างหาก ถ้าทุกคนเข้าใจและยอมรับเขา พี่รู้ว่าบูมจะมีความสุขมาก การช่วยให้คนๆ หนึ่งมีความสุขและได้เป็นอย่างที่เขาอยากเป็น...เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่มากนะแพรว บูมเขาต้องการคนช่วยเขาจริงๆ"

แพรวทำท่าทางครุ่นคิด เมื่อค่อยๆ คิดตามเธอก็เริ่มเห็นด้วยกับที่พี่บีมพูดมาทุกอย่าง สิ่งที่บีมพูดได้ช่วยปลดล็อกความคิดหลายอย่างให้กับเธอ รวมทั้งความคิดที่จะเอาชนะอย่างไม่มีเหตุผลนั้นด้วย

"ขอบคุณนะคะที่เล่าให้แพรวฟัง มันช่วยแพรวได้มากเลยค่ะ แพรวเองก็ไม่เคยเข้าใจบูมอย่างที่แพรวกำลังเข้าใจในวันนี้ ที่พี่บีมพูดก็ถูกนะคะ เราคงบังคับบูมไม่ได้ตลอดไปหรอก ทำแบบนั้นก็เท่ากับเราทรมานชีวิตของเค้า เอาเป็นว่า...แพรวเข้าใจนะคะ แต่แพรว...ขอเวลาทำใจสักพักละกันนะคะ พี่บีมคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ"

บีมยิ้มแล้วส่ายหน้า "แพรวใช้เวลาเท่าที่แพรวต้องการเลยครับ ขอแค่ให้แพรวเข้าใจและให้อภัยน้องชายของพี่เท่านั้น เมื่อไรก็ได้"

นี่ก็คงหมดปัญหาไปอีกเปลาะหนึ่งแล้วล่ะ เหลืออีกแค่สองเท่านั้น แต่บีมก็เริ่มเห็นเค้าลางแห่งความหวังมากขึ้นแล้ว

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

121. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #119
 
18-Apr-12, 09:17 PM (SE Asia Standard Time)
 
   พี่บีมแอบเหล่แพรวป่าวครับนี่
ขอบคุณสำหรับตอนนี้นะครับ
มันมีคำพูดดีๆประโยคสวยๆมากเลยครัับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อ๊อด
Guest

122. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #121
 
18-Apr-12, 10:45 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ผมชอบเรื่องที่คุณเขียน และแต่งมันเป็นธรรมชาติ ดี แต่ผมขอให้จบแบบ Happy Ending น่ะครับ คุณเคยบอกว่า ชีวิตของเกย์มันต้องผิดหวัง นั่นมันอาจเป็นชีวิตจริง
แต่ถ้าเรื่องเขียน มันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นน่ะครับ อย่าโหดร้ายกับชาวเรานักเลยน่ะครับ คนดีของผม คุณรู้อีกอย่างน่ะครับ ผมอ่านเรื่อง ต้นสน เมือไหร่ผมเสียน้ำตาทุกทีเลย ที่เสียน้ำตาเพราะเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ ในความดีของคน ขอบคุณอีกครั้ิงน่ะครับ ที่เขียนนิยายดีๆให้ได้อ่านกัน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Guest
Guest

123. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #121
 
18-Apr-12, 10:53 PM (SE Asia Standard Time)
 
  


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
beyonce
Guest

124. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #119
 
18-Apr-12, 11:33 PM (SE Asia Standard Time)
 
   เห็นด้วยกับคุณ อ๊อด RE บน เราก้อเป็น fan club ของคุณ Sarawatta เหมือนกัน
เห็นด้วยที่บอกว่า แม่จะเป็นเรื่องของเกย์ ก้อไม่จำเป็นต้องจบแบบเศร้าผิดหวัง
ถึงแม้ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง มันจะมีไม่มากที่เกย์จะสมหวัง แต่เมื่อเป็นโลกนิยาย หาก เราได้ ฝันถึงชีวิตที่สมหวังได้บ้าง มันก้อคงเหมือนการ charge พลัง เมื่อเราได้กลับไปสู่โลกจริง เหมือนกันนะ

เป็นกำลังใจให้เขียนเรื่องดีๆ ต่อไปคับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

125. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #124
 
19-Apr-12, 07:36 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอถามเป็นความรู้ครับ หมั้นกัย ฝ่ายหญิงถอนหมั้น ต้องคืนของหมั้นไม่ใช่หรือครับ ฟ้องร้องได้หรือครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

127. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #125
 
19-Apr-12, 08:30 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   เท่าที่ทราบ ถ้าฝ่ายหญิงเป็นคนขอถอนฟ้องเองต้องคืนของหมั้นครับ แต่ครอบครัวของแพรวพยายามจะฟ้องร้องเพื่อให้เห็นว่าฝ่ายชายผิดสัญญา ในกรณีนี้ฝ่ายหญิงจะไม่ต้องคืนของหมั้นครับ จริงๆ ในกรณีนี้ฝ่ายหญิงไม่ได้ผิดสัญญาครับ

http://www.chusaklaw.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&Category=chusaklawcom&thispage=17&No=1192425

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

128. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #124
 
19-Apr-12, 08:37 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ตอนนี้เป็นอีกตอนที่โดนใจผมอย่างแรงเลยครับ
ถ้าผมเกิดช้ากว่านี้อีกสักนิด...ชีวิตผมคงไม่ติดล็อคเหมือนทุกวันนี้
แต่อย่างน้อยนิยายของคุณก็ช่วยทำให้ชีวิตผมสดใสได้ชั่วขณะ
แม้ว่าผมจะต้องกลับไปเผชิญกับความจริงที่โหดร้ายสำหรับผมมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับสิ่งดี ๆ เหล่านี้
สำหรับตอนจบจะเป็นอย่างไรขอให้ขึ้นอยู่กับใจผู้เขียนเลยครับ
ผมเชื่อในมุมมองชีวิตของคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

126. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
19-Apr-12, 08:24 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   พอดีผมแก้ของเดิมไม่ได้ ก็เลยเอาตอนที่ 31 มาลงให้ใหม่
แก้คำพูดค่อนข้างเยอะครับ อันที่แล้วมันมีบางช่วงเป็นวิชาการเยอะไปหน่อย
พยายามปรับให้มันดูธรรมดาลงครับ

----------------------------------

ตอนที่ 31

"หายไปไหนมาตั้งหลายวัน อย่าบอกนะว่าไปขลุกอยู่กับไอ้เกย์นั่น"

กลับมาถึงบ้านไม่ทันจะได้นั่งพัก แม่ก็เล่นงานบูมเสียแล้ว

บูมรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก เขาไม่ชอบเอาเสียเลยที่แม่เรียกทิวว่า "ไอ้เกย์" อีกแล้ว

"ใช่ครับ" บูมยอมรับไปตามตรง เขาตั้งใจอยู่แล้วว่าจะกลับบ้านเย็นวันอาทิตย์หลังจากที่ไปอยู่ดูแลทิวถึงสองวันเต็มๆ เขาคิดไม่ถึงว่าแม่จะไม่พอใจถึงขนาดนี้ "แม่อย่าเรียกทิวแบบนั้นได้ไหมครับ"

"ทำไม...แม่จะเรียกอย่างนี้นี่แหละ แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งแม่แบบนี้"

"แม่..." บูมหมดความรู้สึกที่อยากจะต่อล้อต่อเถียงเพราะรู้ว่าเขาไม่มีทางที่จะทำให้แม่เข้าใจได้ บูมจึงเลิกพยายามและทำท่าจะเดินขึ้นห้องไป

"เมื่อไรจะหยุดสร้างปัญหาเสียทีนะบูม รู้ไหมว่าตอนนี้คุณโฉมศรีกับหนูแพรวเขาจะฟ้องเราแล้ว"

บูมหยุด ตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าแพรวจะต้องทำถึงขนาดนี้

"ถ้าแกไม่แต่งงานกับหนูแพรว เขาก็จะฟ้องแกในฐานนอกใจเขา แล้วเราก็จะไม่ได้ของหมั้นคืน แต่นั่นไม่เท่าไรหรอก แต่ฉันอายคนอื่นๆ เขารู้ไหม ตระกูลของเราไม่เคยมีใครต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ก็จะมีแกนี่แหละเป็นคนแรก ถ้าแกไม่อยากให้ครอบครัวเราขายขี้หน้ามากไปกว่านี้ แกก็ต้องแต่งงานกับหนูแพรวซะ แล้วเลิกไปหาไอ้เกย์นั่นเสียที แม่จะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม แกจะทำให้แม่เสียใจไปถึงไหนหาบูม!!!" คุณทิพย์นภาตวาดเสียงดังในตอนท้าย

บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกแล้ว ดูท่าทางแม่คงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ บูมเองก็ชักจะเหนื่อยใจ สรุปว่าไปๆ มาๆ ความผิดทุกอย่างก็มาตกที่เขา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นคนเริ่มมันเลย แถมยังจะต้องถูกบังคับให้ต้องรับผิดชอบทุกอย่างอีก

"แม่...บูมขอโทษนะครับที่ทำให้แม่เสียใจ แต่บูมไม่ได้รักแพรว บูมแต่งงานกับเขาไม่ได้ แม่อย่าบังคับบูมเลยนะครับ ผมขอร้อง ให้ผมชดใช้อะไรก็ได้...แต่ผม...จะไม่แต่งงานกับแพรว ผมไม่อยากสร้างเวรกรรมให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรอีก ผมไม่อยากให้แพรวต้องมาเสียใจทีหลังเพราะผมไม่ได้รักเขา" บูมเปลี่ยนจากการพูดด้วยท่าทีแข็งกร้าวเป็นอ่อนลง เขาหวังว่าแม่คงจะเข้าใจและเห็นใจเขาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด

"แล้วแกรักใคร รักไอ้เกย์นั่นเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไงบูม คิดบ้างไหมว่าคนอื่นๆ เขาจะรับได้ไหม แล้วแกจะอยู่ในสังคมนี้ได้ยังไง พ่อกับแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คิดเสียบ้างสิ"

"แม่...บูมเป็นเกย์นะครับ ไม่ได้เป็นหวัดที่กินยาแล้วก็หาย" บูมเถียง

"บูม!!! อย่าเรียกตัวเองแบบนั้นให้แม่ได้ยินอีก บูมไม่ใช่เกย์ เข้าใจไหม อย่าให้แม่ได้ยินอีกนะ" แม่ตวาดเสียงดัง เธอรับไม่ได้อย่างยิ่งที่ลูกชายคนเล็กยอมรับว่าเขาเป็นเกย์ คนเป็นแม่เจ็บปวดแค่ไหนที่ลูกที่เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยกำลังจะกลายเป็นคนที่สังคมรังเกียจ คนที่สังคมตีตราว่าเป็นได้แค่พวกตัวตลกและสำส่อน

บูมถอนหายใจ เขารู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากจะทะเลาะหรืออธิบายอะไรอีกแล้ว บูมจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปบนห้อง แต่แม่ก็ทำให้เขาต้องชะงักด้วยความตกใจอีกจนได้

"ดี...แกไม่เชื่อแม่ใช่ไหม อย่าหาว่าแม่ใจร้ายละกัน ไอ้เกย์นั่นมันจะไม่ใช่แค่เจ็บตัวอย่างเดียวเหมือนตอนนี้แน่"

บูมรู้สึกอยากจะร้องไห้และตะโกนให้สุดเสียงให้สมกับความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ข้างใน นี่สรุปว่า...ที่ทิวเจ็บตัวขนาดนี้เป็นฝีมือของแม่ของเขาเองหรือ บูมแทบไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวเท้าหรือยืนจนต้องทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงกับพื้น

"ทำไมแม่ทำแบบนี้ แม่ทำแบบนี้ทำไมครับ" บูมถามพลางสะอื้นไห้ด้วยความสะเทือนใจ

"แม่ทำได้ทั้งนั้นแหละ เพราะแม่ไม่อยากให้บูมเป็นเกย์ เข้าใจไหมบูม...แม่ไม่อยากให้ลูกชายของแม่เป็นเกย์ แม่รับไม่ได้ บูมจะต้องหาย บูมจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงเหมือนผู้ชายทั่วไป เข้าใจไหมบูม เมื่อไรบูมจะเลิกเป็นเกย์เสียที หา!!!"

บูมเอามือปิดหูเพราะเขาไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว พอแม่พูดจบเขาก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากบ้านทันที ถ้าเขาอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกแค่นาทีเดียวเขาอาจจะเป็นบ้าได้ อย่าว่าแต่แม่เลยที่รับไม่ได้ที่เขาเป็นเกย์ บูมเองก็รับไม่ได้เหมือนกันที่รู้ว่าแม่ให้คนไปทำร้ายทิวจนเจ็บตัวขนาดนั้น

"บูม...จะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้"

คุณทิพย์นภาเรียกตามหลังลูกชาย แต่บูมก็ไม่กลับมาและหายไปพร้อมกับเสียงรถยนต์ เธอได้แต่ร้องไห้และกำมือแน่น บูมดื้อมากและไม่ฟังเธอเลย บูมจะเคยรู้ไหมว่าแม่กำลังเจ็บปวดแค่ไหน เธอเป็นทุกข์มากเหลือเกิน ตั้งแต่ที่รู้ว่าบูมกลับไปหาทิว เธอก็แทบไม่มีกะจิตกะใจจะสอนหนังสือ กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดแต่จะหาหนทางทำให้บูมกลับมาเป็นผู้ชายปกติทั่วไปให้ได้

รายการโทรทัศน์ที่คุณทิพย์นภาเปิดทิ้งไว้ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรายการตลกแล้ว ภาพผู้ชายแต่งตัวเป็นผู้หญิงและทำท่าทางวี้ดว้ายกระตู้วู้น่าขบขันในจอโทรทัศน์นั้นทำให้คุณทิพย์นภาถึงกับหวีดร้อง

"ไม่จริง...ลูกของฉันจะต้องไม่เป็นแบบนี้"

"แม่!!!"

บีมเรียกด้วยสีหน้าตกใจเมื่อเขาเข้ามาในบ้านแล้วก็เห็นแม่ทรุดลงไปนั่งกับพื้นร้องให้ฟูมฟาย คงจะมีเรื่องกับบูมอีกแน่ๆ เลยเพราะเมื่อกี้บีมเพิ่งสวนกับบูมที่ขับรถออกไป

"แม่เป็นอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น"

บีมรีบวิ่งไปหาแม่ด้วยความเป็นห่วง พอเขานั่งลง คุณทิพย์นภาโอบกอดลูกชายคนโตไว้แล้วก็ร้องคร่ำครวญ "บีม...ช่วยน้องด้วยนะลูก อย่าให้น้องเป็นเกย์ แม่จะไม่ไหวแล้ว แม่ทำใจไม่ได้ นะบีม...ช่วยน้องด้วย"

บีมกอดแม่ไว้แล้วก็น้ำตาซึม แม่เป็นทุกข์เรื่องของบูมมาก ถึงแม้ว่าบีมจะไม่เห็นด้วยที่แม่ยอมรับตัวตนของน้องชายไม่ได้ แต่ก็พอเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ แม่รักและคาดหวังกับบูมมาก มากเสียจนยากที่จะยอมปล่อยสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไปได้ง่ายๆ สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดมาก บีมคิดว่าบูมควรจะต้องถอยและยอมแม่สักหน่อย ยิ่งปะทะใส่กันไม่ยั้งแบบนี้ก็ยิ่งจะสร้างความเจ็บปวดไปกันใหญ่ คนที่จะเป็นอะไรไปคนแรกก็อาจจะเป็นแม่ของพวกเขาเอง เขาไม่อยากให้น้องชายต้องเสียใจทีหลัง

----------------------------------

บีมพาแม่ขึ้นไปนอนพักผ่อนบนห้องแล้วก็กลับลงมาข้างล่าง พ่อมาถึงบ้านพอดีพร้อมกับลูกน้องอีกสองสามคนที่ตามมาส่ง บีมเข้าไปช่วยพ่อลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาในบ้านแล้วก็ถือโอกาสคุยกับพ่อ

"เป็นไงครับพ่อ สัมมนาสนุกไหมครับ"

"ก็งั้นๆ แหละ มีแต่ประชุม ไม่สนุกหรอก เอ...ว่าแต่แม่เขาไม่อยู่บ้านเหรอวันนี้ แล้วบูมไปไหน" คุณลิขิตถามพลางสอดส่ายสายตามองหาภรรยาและลูกชายคนเล็ก

บีมถอนหายใจอย่างหนักใจ เขาไม่ตอบคำถามพ่อแต่เขาอยากคุยกับพ่อแบบเปิดใจสักครั้ง มันคงถึงเวลาแล้ว "พ่อครับ...ผมอยากคุยกับพ่อ ผมมีเรื่องอยากปรึกษาครับ"

เห็นท่าทางหนักใจของลูกชายคนโตแล้วคุณลิขิตก็พอจะเดาออกว่าภรรยากับลูกชายคนเล็กคงจะทะเลาะกันอีก คุณลิขิตพยักหน้า บีมรีบเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องแล้วก็ลงมาคุยกับพ่อหลังบ้าน

"พ่อครับ...พ่อคิดยังไงครับ...ที่บูมบอกแม่ว่า...เขาเป็นเกย์"

คำถามจากลูกชายคนโตทำให้คุณลิขิตหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความหนักใจ แต่หลายปีมานี้คุณลิขิตก็เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ยิ่งในช่วงหลังๆ ที่มาสนิทกับลูกชายคนโตมากขึ้นก็ช่วยทำให้ความคิดเปลี่ยนไปหลายอย่าง แต่เรื่องของบูมนั้นก็คงเป็นเรื่องที่พ่อแม่คนไหนๆ ก็คงทำใจได้ยาก คุณลิขิตเองก็ยังไม่เคยคุยกับลูกชายคนเล็กเรื่องนี้เลยแม้ว่าจะเจอกันที่ทำงานบ่อยๆ

"เอางี้ละกัน...พ่ออยากฟังก่อนว่าบีมคิดยังไง เผื่อบางที...สิ่งที่บีมคิดอาจจะช่วยให้พ่อได้เห็นอะไรบางอย่างที่พ่อกับแม่ไม่เคยมองเห็นก็ได้"

นั่นก็หมายความว่าพ่อก็คงรับไม่ได้เหมือนกับแม่นั่นแหละที่รู้ว่าบูมเป็นแบบนั้น แต่คุณลิขิตก็อยากฟังดูบ้างว่าเด็กๆ เขาคิดยังไง บางทีคนเป็นพ่อกับแม่พูดอยู่คนเดียวโดยไม่ฟังลูกๆ เลยก็จะเป็นเผด็จการและใช้อำนาจเกินขอบเขต

เป็นครั้งแรกที่บีมได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น ที่ผ่านมาพ่อไม่ค่อยฟังพวกเขานัก เขาเองก็เคยโดนพ่อเคี่ยวเข็ญในฐานะลูกชายคนโตจนแทบจะประสาทเสีย นี่เป็นครั้งแรกที่พ่ออยากฟังว่าเขาคิดอะไร บีมดีใจเหลือเกินและคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นนิมิตหมายอันดีที่เขาจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในครอบครัว

"ครับพ่อ" บีมยิ้มดีใจ ดูเหมือนคุณลิขิตก็แอบยิ้มน้อยๆ อยู่เหมือนกัน

"สำหรับผม...ไม่ว่าบูมจะเป็นอะไร บูมก็เป็นน้องชายของผมเหมือนเดิมครับพ่อ ผมก็รักน้องเท่าเดิม และเขาก็เป็นลูกชายของพ่อกับแม่เหมือนเดิม ผมขอแค่ให้เขาเป็นคนดีของครอบครัวของเรา ทำงานและทำประโยชน์ให้สังคมได้ก็พอแล้ว ผมคิดว่า...คุณค่าของบูมไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าบูมเป็นอะไรหรอกนะครับ บูมเขาก็ยังตั้งใจเรียนจนจบ เขายอมเหนื่อยและอดทนทำเพื่อครอบครัวของเรา เขามีความคิดที่อยากจะช่วยเหลือสังคม แล้วอีกไม่นานบูมก็จะมาช่วยสานต่อกิจการของเราอย่างเต็มตัว สิ่งที่บูมทำอยู่ตอนนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งดีๆ นะครับพ่อ เขาเป็นเด็กสมัยใหม่ที่มีคุณภาพคนหนึ่งที่จะทำประโยชน์ให้ทั้งกับครอบครัวและสังคมของเรา ผมภูมิใจในตัวบูมมากนะครับพ่อ และผมก็อยากให้เราทุกคนในครอบครัวภูมิใจกับสิ่งที่บูมทำ ไม่ว่าตัวตนของเขาจะเป็นยังไงก็ตาม"

เมื่อเห็นว่าพ่อยังตั้งใจฟังอยู่ บีมก็พูดสืบไปว่า "ในมุมมองของผม...การเป็นเกย์ของบูม...ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เกย์ ทอม คนแก่ คนพิการ ชาวเขา ชาวนาหรืออะไร สิ่งเหล่านี้เราเลือกไม่ได้ ผมคิดว่า...ปัญหามันอยู่ที่ว่าเรามอง คิดหรือปฏิบัติกับเขายังไงต่างหากครับ คนเหล่านี้เขาไม่ได้มีปัญหากับสิ่งที่เขาเป็น ผมเชื่อว่าเขายอมรับและมีความสุขกับชีวิตที่เขาเป็นอยู่ แม้ว่าเขาจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีได้ แล้วบูมเขาก็เลือกที่จะเป็นคนดี ผมว่าครอบครัวของเราโชคดีแค่ไหนแล้วครับที่บูมเป็นคนคิดดี ทำดี สังคมของเราต้องการคนแบบบูมนะครับพ่อ ผมเชื่อว่าทุกคนจะเห็นคุณค่าและความดีที่บูมทำ มากกว่าที่จะสนใจว่าเขาเป็นอะไร"

ดูเหมือนว่าพ่อจะนิ่ง...ใช่แล้วล่ะ คุณลิขิตไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ในด้านนี้เลย คิดแต่ว่า...เกย์คือตัวตลก คือคนที่สำส่อนทางเพศและก็จะต้องตายด้วยโรคเอดส์ ไม่เคยคิดว่าคนเหล่านี้จะมีด้านอื่นๆ ที่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป ไม่ได้คิดว่าคนเหล่านี้ยังเลือกที่จะเป็นอะไรได้อีกหลายอย่าง

"ผมคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่บูมเป็นหรอกคับ แต่มันอยู่ที่ความคิดของคนที่มองต่างหาก ผมว่าแทนที่เราจะเอาเวลาและพลังงานไปทุ่มเทกับสิ่งที่เราเปลี่ยนไม่ได้ สู้เรามาช่วยทำให้เขาเป็นคนดี มีคุณภาพดีกว่าครับพ่อ บางทีเราก็อาจจะช่วยทำให้คนอื่นๆ ในสังคมได้เรียนรู้เรื่องนี้ในแง่มุมที่ถูกต้องมากขึ้นด้วย เรามัวแต่มองผ่านสื่อ ผ่านทีวี ผ่านหนังสือหรือผ่านคนอื่นๆ คนเหล่านี้เขาจะสร้างภาพหรือเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ แต่ในความเป็นจริง ทุกคนไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป บูมเองก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะบูมเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ถ้าบูมเขาไม่พอใจในสิ่งที่เขาเป็น ชีวิตเขาก็จะไม่มีความสุขหรอกครับพ่อ เมื่อเขาไม่มีความสุขกับตัวตนของเขา...เขาก็จะทำอะไรได้ไม่มากเพราะเขาก็จะหมดพลังไปกับการหลอกหรือเปลี่ยนตัวเอง อีกอย่าง...สิ่งที่บูมเป็นไม่ใช่เชื้อโรคที่กินยาแล้วก็หาย...แต่บูมต้องอยู่กับสิ่งนี้ตลอดไป ไม่ว่าพ่อกับแม่จะยอมรับหรือไม่ มันก็จะอยู่ในตัวบูมจนกว่าเขาจะหมดสิ้นชีวิต"

บีมหยุดพักและสบตากับพ่อ "พ่อครับ...ผมคิดว่า...ธรรมชาติของบูม...เขาเป็นแบบนั้นครับ เขาเกิดมาพร้อมกับมัน เขาไม่ได้ผิดธรรมชาติเหมือนที่คนทั่วไปชอบพูดกัน บางทีคนเหล่านั้นก็พูดเพราะเขาไม่ได้รู้จริง ตัดสินเอาจากสิ่งที่เห็นแล้วก็เหมารวม ผมเอง...ก็ยังไม่เคยเป็นพ่อหรอกนะครับ แต่ผมก็เคยได้ยินมาว่า...ลูก...เราก็เลี้ยงเขาได้แต่ตัว แต่ชีวิตเป็นของเขา เขาต้องเลือกเอง คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องทำหน้าที่สนับสนุนเขาให้ได้มากที่สุด เพราะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คือผู้ให้ ให้กำเนิด ให้ความรัก ให้ความรู้และอะไรอีกหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...พ่อกับแม่ต้องให้ชีวิตที่เป็นของเขาเองด้วยครับ ผมเชื่อว่า...พ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกมีความสุข แต่ไม่มีใครหรอกครับที่จะมีความสุขได้...ถ้าเขา...ไม่สามารถยอมรับตัวเองได้ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันเป็นคำพูดที่เป็นจริงสำหรับพ่อแม่ทุกคนหรือเปล่า ผมอาจจะรู้ก็ต่อเมื่อผมมีลูกเอง หรือผมอาจจะคิดอีกแบบก็ได้ถ้าผมมีลูกจริงๆ แต่ยังไงก็ตาม...ผมอยากเห็นพ่อกับแม่...มีความสุข ความสุขที่เกิดจากการยอมรับและเข้าใจตัวตนของลูก แล้วลูกอย่างพวกเราก็จะมีความสุขกับชีวิต มีความสุขกับสิ่งที่เราเป็น มีความสุขที่จะอยู่กับพ่อแม่ มีความสุขที่จะทำงาน มีความสุขที่จะอยู่ในสังคม...พวกเราก็จะทำอะไรได้อีกเยอะครับพ่อ ผมเชื่อว่า...ทุกอย่างเริ่มจากตัวของเราครับ"

เมื่อพูดจบแล้วบีมก็รู้สึกแปลกใจมากที่เห็นพ่อยิ้ม บีมไม่เคยเห็นพ่อยิ้มให้เขาแบบนี้เลย

"บีม...เมื่อก่อน...พ่อยอมรับว่า...พ่อไม่เคยภูมิใจเลยที่บีมไปเรียนศิลปะอะไรนั่น แต่วันนี้...พ่ออยากจะบอกว่า...พ่อภูมิใจในตัวบีมมาก พ่อรู้แล้วว่า...ศิลปะมันช่วยให้บีมเป็นคนที่มีความคิดดีแค่ไหน มันช่วยให้บีมมองเห็นอะไรบางอย่างที่พ่อกับแม่ไม่เคยมองเห็น ที่ผ่านมา...พ่อ...ต้องขอโทษบีมด้วยที่พ่อ...ไม่เคยยอมรับและเห็นคุณค่าในสิ่งที่บีมเป็นและพยายามทำเลย ทั้งๆ ที่บีมก็ทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่ตอนนี้พ่อเห็นแล้วว่า...บีมทำทุกอย่างได้ดีที่สุดเสมอ...ถ้าบีมรักมัน...พ่อขอโทษนะลูก"

"พ่อ..." บีมแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าเขาจะได้ยินสิ่งนี้จากคนที่เป็นพ่อ เขาดีใจจนน้ำตาไหล ในฐานะลูกคนหนึ่ง เขาก็อยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเขาบ้าง เขาก็พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อครอบครัวมาโดยตลอด แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครมองเห็น ทำให้บีมเองก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน แต่วันนี้...พ่อได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว บีมดีใจเหลือเกิน ดีใจจนไม่รู้ว่าจะพูดคำไหนออกมา

บีมลงไปนั่งกับพื้นแล้วก้มกราบแทบเท้าพ่อ "ขอบคุณครับพ่อ" เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วก็กอดพ่อไว้ คุณลิขิตเองก็ดีใจที่วันนี้เขาได้กอดลูกชายคนโตอีกครั้ง เขาไม่ได้ทำแบบนี้กับบีมหรือบูมมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

ความสุขของพ่อกับแม่คืออะไรล่ะ ไม่ใช่เพราะได้ช่วยเลี้ยงดูและสนับสนุนให้ลูกได้เติบโต ปลอดภัย พึ่งตัวเองได้และเป็นคนดีของสังคมหรอกหรือ จะคาดหวังอะไรมากกว่านี้ ให้กำเนิดเขามาแล้ว ชีวิตก็เป็นของเขาทันทีที่เขาลืมตาดูโลก ก็คงเหมือนกับที่บีมพูด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่ความคาดหวังของพ่อแม่ต่างหาก

"ขอบใจบีมมากที่ช่วยทำให้พ่อคิดได้...พ่อสัญญา...พ่อจะพยายามรักลูกของพ่อทุกคน...ในแบบที่เขาเป็น พ่อจะพยายามนะบีม" คุณลิขิตเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าความเข้าใจที่พ่อกับแม่มีให้ลูกมันช่วยทลายช่องว่างและความห่างเหินระหว่างกันได้มากเพียงใด

"ผมรักพ่อครับ"

"พ่อก็รักบีมนะลูก...รักบูมด้วย" เหมือนพ่อจะกลัวลูกชายอีกคนน้อยใจทั้งๆ ที่บูมก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้

การที่บีมกอดเขาและแสดงความรักแบบนี้มันทำให้คนที่เป็นพ่ออย่างเขารู้สึกชื่นใจและมีความสุขอย่างมาก ทำให้เขานึกถึงตอนที่บูมกับบีมยังเล็กๆ วิ่งเล่นซุกซนและขี้อ้อน วันไหนที่เขามีของเล่นใหม่มาให้ลูกทั้งสองคน ทั้งบีมและบูมจะกระโดดโลดเต้นดีใจกันใหญ่ แล้วก็จะวิ่งมาบอกพ่อว่า "รักพ่อที่สุดในโลกเลย" แค่นี้คนเป็นพ่ออย่างเขาก็มีความสุขยิ่งกว่าการมีทรัพย์สมบัติใดๆ แล้ว ไม่ว่าเขาจะมีตำแหน่งหรือทรัพย์สมบัติมากมายแค่ไหนมันก็คงเปล่าประโยชน์ถ้ามันไม่ช่วยทำให้เขามีความสุขได้เท่ากับที่ในขณะนี้ลูกชายคนโตกำลังกอดเขาและบอกว่ารักพ่อ เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วจนแทบจะลืมไปด้วยซ้ำ

บีมยิ้มดีใจ เขาอยากให้บูมได้มาเห็นเหลือเกิน ตอนนี้ปัญหาก็หมดไปเปลาะหนึ่งแล้ว แต่ยังเหลืออีกอย่างน้อยสามคนที่บีมจะต้องเข้าไปทำอะไรบางอย่าง เขาพยายามคิดมาตลอดว่าจะช่วยทำให้ครอบครัวเขากลับมามีความสุขเหมือนสมัยที่พวกเขายังเป็นเด็กวิ่งซุกซนได้ยังไง เขาดีใจจริงๆ ที่วันนี้เขาทำสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว

----------------------------------

คุณโฉมศรีรู้สึกแปลกใจมากทีเดียวที่แขกที่มาเยือนในวันนี้เป็นคนที่เธอก็ไม่คาดคิดมาก่อน เธอเห็นหน้าก็จำได้ว่าเป็นบีม พี่ชายของบูม และเป็นลูกชายคนโตของคุณลิขิต เพื่อนของสามีเธอนั่นเอง บีมมาที่นี่ทำไม...หรือว่าบ้านนั้นจะส่งคนมาอ้อนวอนให้เธอยกเลิกการฟ้องร้อง ไม่มีทางเสียละ

"สวัสดีครับ" บีมยกมือไหว้คุณโฉมศรีแล้วก็ถามถึงคนที่เขาอยากคุยด้วย "ผมมาหาแพรวครับ..."

คุณโฉมศรีรับไหว้ด้วยสีหน้างุนงงเพราะนึกไม่ออกว่าบีมจะมีธุระอะไรกับแพรวจนต้องตามมาคุยถึงที่บ้าน

บีมเห็นท่าทางสงสัยนั้นแล้วจึงบอกจุดประสงค์ไปว่า "ผมอยากจะคุยกับแพรวเรื่องของบูมครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า"

คุณโฉมศรีชั่งใจอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจที่จะให้แพรวมาคุยกับบีม บีมไปนั่งรออยู่ในศาลาเล็กๆ ที่จัดไว้ในสวนของบ้าน มีที่นั่งสำหรับให้คนในครอบครัวมานั่งคุยกันได้หลายคนอยู่ บรรยากาศดูร่มรื่นเย็นสบายเพราะมีต้นไม้ใหญ่ๆ คอยให้ร่มเงา

คนรับใช้ของบ้านเอาน้ำมาเสิร์ฟ ไม่นานนักแพรวก็ลงมา สีหน้าของเธอดูแปลกใจไม่น้อยเพราะบีมไม่เคยมาที่นี่เลยนอกจากบูมที่เคยมาส่งหรือมาคุยกับเธอที่นี่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้

แพรวยกมือไหว้ "พี่ชายอดีตคู่หมั้น" แล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม เมื่อสังเกตดีๆ ก็ยังคงเห็นร่องรอยความเศร้าหมองปรากฎบนใบหน้าของเธออยู่ เมื่อบีมเพ่งพิศดูดีๆ ก็เห็นว่าแพรวก็เป็นผู้หญิงที่สวยและน่ารักมากทีเดียว ถ้าไม่ติดว่าน้องชายเขาไม่ชอบผู้หญิง บีมคงจะดีใจมากที่จะมีน้องสะใภ้ที่สวยน่ารักแบบนี้

"แพรว...พี่อยากจะคุยกับแพรวเรื่องบูม พี่ขอโทษก่อนละกันที่ต้องเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ แต่พี่คิดว่าพี่อยากให้แพรวได้รู้อะไรบางอย่างที่สำคัญ" บีมเกริ่นนำหลังจากที่แพรวนั่งลงได้สักพัก

"ค่ะ" แพรวตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแสดงให้เห็นความเสียใจอยู่ เธอร้องไห้เสียใจมาหลายวันแล้วแต่ก็คิดว่าควรจะต้องหยุดเสียที เพราะยังไงบูมก็ไม่เคยมารับรู้ว่าเธอเสียใจมากแค่ไหน ตั้งแต่คุยกันวันนั้น แพรวรับรู้เพียงว่าบูมต้องการให้เธอยืนยันการถอนหมั้น ด้วยความโมโหทำให้แพรวไปหาคุณทิพย์นภาถึงมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่มาการที่ทิวถูกทำร้าย

"จริงๆ พี่รู้จักบูมกับทิวมาตั้งแต่สมัยเขาเรียนมัธยมด้วยกันแล้วล่ะ เมื่อก่อนบูมเป็นเด็กเก็บกดเพราะที่บ้านเราค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการเรียน ทำให้บูมเป็นเด็กค่อนข้างมีปัญหา ไม่ค่อยพูด ขี้โมโห แต่พอเขาได้รู้จักทิว พี่ก็สังเกตว่าบูมเปลี่ยนไปมาก เขาร่าเริงขึ้นมาก"

บีมเห็นสีหน้าของแพรวที่ดูงงๆ แล้วก็เลยหยุดพัก แพรวคงสงสัยนั่นเองว่าบีมเล่าเรื่องนี้ให้แพรวฟังทำไม แต่บีมก็คิดว่าเมื่อตั้งใจจะเล่าแล้วเขาก็ควรจะต้องเล่าให้จบ

"บูมไปหัดร้องเพลงกับทิว จนได้เป็นนักร้องนำของวงที่โรงเรียนด้วยกัน เขาใช้ชีวิตด้วยกันตลอด เขาก็เลยผูกพันกันมาก ไม่เคยห่างกันเลย ก็เลยทำให้เขาสองคนรักกัน แต่พอที่บ้านรู้เข้า บูมก็ถูกสั่งให้เลิกคบกับทิว แล้วบูมก็ไปเรียนเมืองนอก ไม่ได้ติดต่อทิวเลย ส่วนทิว...เขาอยู่กับแม่สองคน แต่ไม่นานนักแม่เขาก็เสีย เขาก็เลยไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ต้องออกมาตระเวนร้องเพลงหาเงินเลี้ยงตัวเอง เขาลำบากมากนะแพรว เพราะแม่ของทิวไปกู้เงินนอกระบบมาให้ทิวเรียนหนังสือ ทิวจึงต้องใช้หนี้แทนแม่ด้วย"

"จริงเหรอคะ" แพรวถามด้วยน้ำเสียงเศร้า เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทิวจะมีชีวิตที่น่าเศร้าขนาดนี้

บีมพยักหน้าแล้วก็เล่าสืบไปว่า "จนกระทั่งบูมกลับมา บูมก็ไม่เคยติดต่อมาหาทิวเลย พี่เคยบอกบูมหลายครั้งว่าให้มาหาทิวบ้างเขาก็ไม่ยอมมา แต่ยังไงไม่รู้...สุดท้าย...เขาสองคนก็ได้กลับมาเจอกันอีก แต่พี่ก็รู้ว่าบูมคงจะรู้สึกผิดมากที่เขาทิ้งทิวไป ไม่ยอมติดต่อ ปล่อยให้ทิวมีชีวิตที่ตกระกำลำบากทั้งๆ ที่เมื่อก่อนทิวก็ดีกับเขามาก ตอนแรก...พี่คิดว่าเขาสองคนคงแค่จะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะรักกัน แต่เขาก็รักกัน แล้วพี่ก็รู้ว่าเขารักกันมากเพราะผูกพันกันมาตั้งแต่ตอนนั้น มันเป็นสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาทั้งสองคนตลอด เขาไม่เคยลืมกันและกันหรอกนะแพรว ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนหรือมีใคร...เขาก็ไม่เคยลืม ถึงบูมจะไม่เคยติดต่อทิวเลยแต่พี่ก็รู้ว่าเขาคิดถึงกันมากแค่ไหน"

บีมหยุดเพราะสังเกตเห็นสีหน้าของแพรวที่เริ่มหม่นลง "ที่พี่บอกแพรวเรื่องนี้...ไม่ใช่จะมาซ้ำเติมแพรว พี่อยากให้แพรว...เข้าใจความรักของเขาทั้งสองคน บูมเขาไม่ได้มาหลอกแพรวหรอก สิ่งที่เกิดขึ้น...ไม่ใช่ความผิดของบูม แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของแพรวด้วย แต่พี่ก็รู้ว่า...ผู้ใหญ่ของเราทั้งสองฝ่ายต่างก็หวังดี ก็เลย...ทำให้บูมกับแพรวได้มารู้จักกัน แต่บางที...พ่อกับแม่อาจจะลืมถามลูกๆ ว่าเขาต้องการความหวังดีนั้นหรือเปล่า พี่รู้ว่าแพรวเสียใจ พี่ก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น บูมเองก็ไม่ได้อยากทำให้แพรวเสียใจ แต่เขา...แค่อยากจะเป็นในสิ่งที่เขาเป็น แต่เรากลับจะไม่ยอมรับ สำหรับพี่...ไม่ว่าบูมจะเป็นอะไร เขาก็เป็นน้องชายที่พี่รักเสมอ พี่อยากให้เราทุกคนเห็นใจและเข้าใจบูมบ้าง ให้บูมได้เป็นอย่างที่เขาอยากเป็น ให้เขาได้รักคนที่เขาอยากรัก เขามีชีวิตที่ต้องถูกบังคับมาตลอด ให้เขาเป็นอิสระบ้างเถอะ"

เมื่อเห็นแพรวยังตั้งใจฟังอยู่ บีมก็พูดต่อ "พี่รู้...ว่าแพรวคงจะโกรธบูมมาก พี่รู้...ว่าแพรวเสียใจมากแค่ไหน แต่พี่ก็ดีใจที่บูม...ยอมบอกให้ทุกคนรู้ความจริงว่าเขาคือใครก่อนที่มันจะสายไป จริงๆ พี่ว่า...เราควรจะขอบคุณบูมเสียด้วยซ้ำที่เขาบอกเราตอนนี้ ดีกว่าที่เขาจะบอกแพรวตอนที่เขาแต่งงานไปแล้ว คนเรานะแพรว...ไม่มีใครทนบังคับฝืนใจทำในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นได้นานหรอก นี่คือชีวิตของบูม นี่คือสิ่งที่บูมเป็น เป็นตัวตนของเขา เราไม่มีทางเปลี่ยนเขาได้..."

ดูเหมือนแพรวจะตั้งใจฟังแทบจะทุกคำพูดของบีมเลยทีเดียว สิ่งที่บีมพูดมันทำให้เธอได้คิดอะไรหลายอย่าง...จริงสิ...เธอควรจะขอบคุณบูมด้วยซ้ำที่ยอมพูดความจริงเสียตั้งแต่ตอนนี้ บูมคงจะไม่สามารถปิดบังตัวเองได้ตลอดไปหรอก รู้เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็น่าจะดีแล้ว เอาเข้าจริงๆ แพรวก็รู้ว่าเธอคงจะรับได้ยากถ้าหากแต่งงานกับบูมไปแล้วเขาเดินมาบอกเธอว่า...เขาเป็นเกย์

"แพรวยังไม่จำเป็นต้องเข้าใจที่พี่พูดทั้งหมดในวันนี้หรอกนะ แพรวเก็บไปคิดก่อนก็ได้ พี่ไม่ได้หมายความว่าจะให้แพรวยกเลิกความตั้งใจที่ฟ้องร้องหรอกนะ แพรวเป็นคนเสียหาย พี่เข้าใจ พี่ไม่ได้มาคุยกับแพรวเพราะเรื่องนี้ แต่สิ่งที่พี่อยากจะขอจากแพรวมีอย่างเดียวก็คือ...พี่อยากให้แพรวเข้าใจและให้อภัยบูม ไม่จำเป็นต้องเป็นตอนนี้ก็ได้ แต่วันไหนก็ได้ที่แพรวคิดและรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ"

แพรวได้แต่อึ้ง เธอรู้จักบีมก็จริง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนดี มีความคิด มีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่มากถึงขนาดนี้

"พี่บีมดูเหมือนจะรักและเป็นห่วงบูมมากเลยนะคะ"

บีมพยักหน้า "ใช่...พี่สงสารเขาด้วย บูมเขาเหนื่อยและเก็บกดมามาก พี่อยากให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น เราอย่าไปบังคับเขาเลย... ถ้าเขากินยาหรือผ่าตัดแล้วหายได้ พี่คิดว่าบูมก็ยินดีที่จะทำ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าบูมเป็นอะไร มันอยู่ที่ว่าเรามองและคิดกับเขายังไงต่างหาก ถ้าทุกคนเข้าใจและยอมรับเขา พี่รู้ว่าบูมจะมีความสุขมาก การช่วยให้คนๆ หนึ่งมีความสุขและได้เป็นอย่างที่เขาอยากเป็น...เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่มากนะแพรว บูมต้องการคนช่วยเขาจริงๆ"

เมื่อค่อยๆ คิดตามแพรวก็เริ่มเห็นด้วยกับที่พี่บีมพูดทั้งหมด บีมได้ช่วยปลดล็อกความคิดหลายอย่างให้กับเธอ รวมทั้งความคิดที่จะเอาชนะอย่างไม่มีเหตุผลนั้นด้วย

"ขอบคุณนะคะที่เล่าให้แพรวฟัง มันช่วยแพรวได้มากเลยค่ะ แพรวเองก็ไม่เคยเข้าใจบูมอย่างที่แพรวกำลังเข้าใจในวันนี้ ที่พี่บีมพูดก็ถูกนะคะ เราคงบังคับบูมไม่ได้ตลอดไปหรอก ทำแบบนั้นก็เท่ากับเราทรมานชีวิตของเค้า เอาเป็นว่า...แพรวเข้าใจนะคะ แต่แพรว...ขอเวลาทำใจสักพักละกันนะคะ พี่บีมคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ"

บีมยิ้มแล้วส่ายหน้า "แพรวใช้เวลาเท่าที่แพรวต้องการเลยครับ ขอแค่ให้แพรวเข้าใจและให้อภัยน้องชายของพี่เท่านั้น เมื่อไรก็ได้"

คนที่สองผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว เหลืออีกแค่สองเท่านั้น บีมเริ่มเห็นเค้าลางแห่งความหวังมากขึ้น

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

129. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #126
 
19-Apr-12, 11:07 AM (SE Asia Standard Time)
 
   โดนมากๆๆๆ ในตอนนี้


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อ๊อด
Guest

130. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #129
 
19-Apr-12, 12:41 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมากครับ ที่เขียนเรื่องดีๆให้ได้อ่าน ให้คำพูดที่เป็นธรรมชาติ ที่เป็นตัวตนของขาวเราทีั้งนั้น อยากให้พ่อแม่ทุกคนที่ชอบบังคับลูก ให้ได้อ่านและสำนึก ขอโทษที่ผมต้องใช้คำว่า สำนึก เพราะพ่อแม่บางคนรักตัวเอง คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ได้ห่วงใยความรู้สึกของคนเป็นลูก เกย์มันรักษาไม่หายจริงๆ มันติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถ้ามันรักษาได้ผมก็จะรักษาเป็นคนแรกๆเลยอ่ะ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
ong
Guest

131. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #126
 
19-Apr-12, 06:34 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมากครับ...คำพูดของบีมนี่สุดยอดไปเลย...อยากให้ใครหลายๆคนได้อ่านเผื่อจะเข้าใจชีวิตที่เลือกเกิดไม่ได้นี้บ้าง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

132. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
21-Apr-12, 07:08 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 32

วันนี้บูมมาช่วยพ่อทำงานที่บริษัทเหมือนเช่นเคย เขายังคงมีสีหน้าเครียดๆ อยู่ตั้งแต่ทะเลาะกับแม่มาเมื่อสองสามวันก่อน แม้ว่าทิวจะคอยช่วยปลอบใจแต่ก็ดูเหมือนว่าบูมก็ยังคงสลัดความกังวลไปไม่พ้นอยู่ดี

บูมไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนพ่อจะคอยสังเกตดูเขาอยู่บ่อยๆ เวลาที่เขาเข้าไปทำงานกับพ่อในห้องสองคน ท่าทางของพ่อเหมือนอยากจะคุยกับเขา แต่ก็ยังสงวนท่าทีไว้อยู่กลายๆ ปกติเวลามาทำงานแบบนี้บูมกับพ่อไม่ค่อยได้คุยเรื่องส่วนตัวกันนัก ส่วนมากก็คุยแต่เรื่องงาน พ่อจะคอยสอนงานให้บูมหลายอย่าง บางวันก็ตามพ่อออกไปนำเสนองานหรือประชุมบ้าง บางวันก็ไปดูโครงการที่จะเริ่มทำ หรือไม่ก็อยู่ระหว่างดำเนินการ หรือไม่ก็โครงการที่เสร็จไปแล้ว บูมเป็นคนฉลาดและหัวไวจึงทำงานได้ไม่ค่อยมีปัญหานัก ดูเหมือนบูมจะทำให้พ่อพอใจและมีความหวังมากทีเดียว

ก่อนจะออกไปกินข้าวเที่ยง ในที่สุดคุณลิขิตก็เหมือนจะอดรนทนไม่ไหวหลังจากที่จดๆ จ้องๆ อยู่นาน

"เอ่อ...บูม..."

บูมค่อยๆ ละมือจากคอมพิวเตอร์แล้วก็หันไปหาพ่อ

"ครับพ่อ" ขานรับด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ดูเหมือนพ่อจะอึกๆ อักๆ ราวกับไม่แน่ใจว่าจะพูดดีหรือไม่

"วันหลัง...พาทิวมารู้จักกับพ่อบ้างสิ" คุณลิขิตตัดสินใจพูดออกไปหลังจากที่คิดทบทวนมาแล้วหลายวัน เมื่อเขาเข้าใจลูกชายคนโตได้ เขาก็ควรจะต้องเข้าใจลูกชายคนเล็กด้วย

"ทิวไหนครับพ่อ" ดูเหมือนบูมจะงงๆ เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่า "ทิว" ที่พ่อพูดถึงก็คือคนที่เขารัก พ่ออาจจะหมายถึงทิวคนอื่นหรือคนไหนสักคน คงไม่ใช่ทิวนี้อย่างแน่นอน

"ก็ทิว...แฟนของลูกไง"

"พ่อ!!!" บูมแทบไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน พ่อเรียกทิวว่าเป็นแฟนของเขา พ่อยอมรับเรื่องนี้ได้แล้วหรือ มันเกิดอะไรขึ้น เขากำลังฝันไปหรือเปล่า

คุณลิขิตเดินมาหาลูกชายที่นั่งตะลึงงันอยู่อย่างช้าๆ เขาแตะไหล่ลูกชายคนเล็กเบาๆ แล้วยิ้ม "บูม...พ่อมาคิดๆ ดูแล้ว...พ่อคิดว่า...พ่อควรจะรักบูมอย่างที่บูมเป็น พ่อไม่ควรจะบังคับบูมในสิ่งที่บูมเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พ่อก็เลยอยากจะรู้จักทิว...บางที...พ่ออาจจะเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น...พ่ออยากเข้าใจบูมมากขึ้น...เข้าใจสิ่งที่บูมเป็นอยู่น่ะลูก"

"พ่อ"

บูมลุกขึ้นยืนแล้วก็กอดพ่อไว้ เขายิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ "ขอบคุณครับพ่อ...บูมรักพ่อที่สุดในโลกเลยครับ"

ในที่สุดคุณลิขิตก็ได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง บูมชอบพูดประโยคนี้เมื่อสมัยยังเด็กแล้วก็ไม่เคยพูดอีกเลยหลังจากที่โตขึ้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วลูกของเขาทั้งสองคนเป็นเด็กขี้อ้อน พ่อแม่หลงรักนักรักหนา แต่เพราะความหวังดีที่มากจนเกินไป ครอบครัวที่เคยมีความสุขและเสียงหัวเราะก็กลับมีแต่ความตึงเครียดและเสียงทะเลาะกัน

"พ่อก็รักบูมนะ...บูมก็รักแม่ด้วยใช่ไหมลูก"

"ครับ" บูมตอบสั้นๆ รักแม่นั้นก็รักอยู่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้เขากับแม่ก็บาดหมางใจกันจนเขาเข้าหน้าแม่ไม่ติดแล้ว ถ้าแม่ยังไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นอยู่แบบนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะได้บอกรักแม่เหมือนที่บอกพ่ออยู่ตอนนี้หรือเปล่า

"พ่อ...ต้องขอโทษบูมด้วยกับสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด"

"พ่ออย่าพูดอย่างนั้นสิครับ แค่พ่อยอมรับสิ่งที่บูมเป็นได้ผมก็ดีใจแล้วครับ"

สองพ่อลูกมองหน้ากันอีกครั้งแล้วก็ยิ้ม

"ให้เวลาแม่เขาหน่อยละกันนะบูม...แม่เขาเป็นคนใจแข็ง...ขี้โมโห...แต่เขาก็รักบูมมากนะ...สักวันเขาจะเข้าใจ"

บูมพยักหน้า เขาก็รู้ว่าแม่รักและเป็นห่วง แต่เขาก็อยากให้แม่เข้าใจและบังคับเขาน้อยลงบ้าง "แล้วพี่บีมล่ะครับพ่อ"

คุณลิขิตอดขำไม่ได้ เขารู้ว่าบูมคงกลัวบีมจะน้อยใจนั่นเอง หลายปีมานี้ความทุ่มเทของพ่อกับแม่ดูเหมือนจะมีให้กับบูมมากกว่าพี่ชาย บูมกลัวพี่บีมจะน้อยใจเหมือนกัน เขาไม่เคยถามหรอกว่าพี่บีมน้อยใจหรือเปล่า แต่ก็เดาเอาว่าพี่บีมคงรู้สึกบ้างไม่มากก็น้อย

"พ่อแม่ก็รักลูกทุกคนนั่นแหละบูม บูมไม่ต้องกังวลหรอก จริงๆ บีมเขามาคุยกับพ่อเรื่องของบูมแล้ว บีมเขาช่วยอธิบายให้พ่อเข้าใจบูมมากขึ้น พี่บีมเขาเป็นคนมีความคิดดีๆ เยอะเลยนะลูก เมื่อก่อนพ่อไม่เคยภูมิใจที่พี่ชายของบูมไปเรียนศิลปะเลย แต่ศิลปะก็สอนให้บีมเป็นคนละเอียดอ่อน รู้จักคิด รู้จักสังเกต บีมช่วยทำให้พ่อเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่พ่อไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้...พ่อก็ภูมิใจในตัวบีมเหมือนกับที่พ่อก็ภูมิใจในตัวบูม"

"จริงเหรอครับพ่อ" บูมพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางดีใจ เขาอดที่จะกอดผู้เป็นพ่ออีกครั้งไม่ได้ ขอบคุณพี่บีมจริงๆ ที่ดีกับน้องชายดื้อๆ อย่างเขามาตลอด ถ้าพี่บีมไม่ช่วยเขาแล้วบูมก็คงแย่เหมือนกัน

"จริงสิลูก บูมอย่าลืมพาทิวมาหาพ่อละกัน..."

"ครับพ่อ" บูมตอบรับอย่างดีใจ

-----------------------------------------------------

นานเท่าไรแล้วที่ครอบครัวเทพย์สถิตพิทักษาไม่ได้กินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาสี่คนพ่อแม่ลูกแบบนี้ แต่บีมก็ช่วยทำให้มันเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะขลุกขลักนิดหน่อยเพราะแม่กับบูมยังอิดๆ ออดๆ อยู่ สีหน้าแต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใสกันมากทีเดียว ยกเว้นคุณทิพย์นภาที่ยังคงบึ้งตึงและเงียบขรึมอยู่

"พ่อครับ ปลาทอดสามรส อร่อยนะครับพ่อ พ่อลองกินดูสิครับ" บีมพูดพลางใช้ส้อมแซะเอาเนื้อปลาใส่จานให้พ่อ

"โห..พี่บีมน่ะ ผมกำลังจะตักปลาตัวนี้ให้พ่ออยู่พอดีเลย ทำไมมาแย่งผมล่ะ" บูมหันไปว่าพี่ชาย แต่ก็ไม่จริงจังนัก

"อ้าว...พี่จะรู้ได้ไงล่ะ ก็บีมไม่ได้บอกพี่นี่นา" บีมหันมาแก้ตัว

"งั้นพ่อกินยำถั่วพลูด้วยดีกว่า บูมจำได้ว่าพ่อชอบกิน" บูมพูดแล้วก็ตักยำถั่วพลูให้พ่อบ้าง คุณลิขิตหัวเราะชอบใจที่เห็นลูกๆ แย่งกันเอาใจเขา

คุณทิพย์นภามองลูกชายสองคนที่แย่งกันเอาใจพ่อด้วยความไม่เข้าใจนัก เธอก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็ทำให้เธอนึกถึงสมัยที่ลูกสองคนของเธอยังเป็นเด็กได้มากทีเดียว บรรยากาศแบบนี้หายไปนานจนเธอลืมไปแล้วว่าครอบครัวเคยมีความสุขและเสียงหัวเราะแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

"เอาใจพ่อกันใหญ่เลย ตักให้แม่เขาด้วยสิลูก เดี่ยวแม่เขาน้อยใจ" คุณลิขิตบอกแล้วก็หันไปมองภรรยาที่ยังคงมีสีหน้าเครียดๆ อยู่

บูมกับบีมมองหน้ากันเลิ่กลั่กเหมือนกับจะตกลงกันว่าใครควรจะตักให้แม่ก่อน สุดท้ายบีมก็เป็นคนตักปลาให้แม่เพราะถ้ามัวแต่เกี่ยงกันแบบนี้แม่คงจะน้อยใจแย่

"อร่อยนะครับแม่ ลองกินดูครับ" บีมตักให้พลางยิ้ม แต่เขาก็ไม่ค่อยมั่นใจกับอารมณ์ของแม่ในขณะนี้นัก

คุณทิพย์นภามองหน้าลูกคนโตที่พยายามเอาใจด้วยความรู้สึกมึนงงเพราะยังปรับตัวไม่ถูก แต่ด้วยความมีทิฐิบวกกับความน้อยอกน้อยใจ เธอก็เลยไม่กินเสียอย่างนั้น

"แม่ไม่กิน...แม่ไม่หิว"

"คุณก็...ลูกอุตส่าห์ตักให้" คุณลิขิตหันไปตำหนิภรรยา

เห็นสามีกับลูกๆ กลับมาเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยโดยไม่ทราบสาเหตุแบบนี้คุณทิพย์นภาก็ยิ่งน้อยใจไปกันใหญ่ จริงๆ เธอก็เป็นเพียงแม่ธรรมดาคนหนึ่งที่อยากให้ลูกๆ เอาใจบ้างเท่านั้นเอง

"ทิพย์ไม่หิวค่ะ ขอตัวนะคะ"

คุณทิพย์นภาพูดจบแล้วก็วางช้อนส้อมลง แล้วก็เดินหนีไปทันที พ่อลูกสามคนได้แต่มองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วพ่อก็หันมาพยักพเยิดให้บูมตามแม่ไป

"ไปสิบูม" บีมสะกิดน้องชายที่ยังนั่งงงอยู่

บูมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วก็วิ่งตามแม่ไปตามที่พ่อและพี่ชายแนะนำ บูมทำใจดีสู้เสือแล้วก็เรียกแม่

"แม่...กินข้าวด้วยกันก่อนสิครับ นานๆ เราจะได้กินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา"

คุณทิพย์นภาหยุดหันมามองลูกชายคนเล็ก ถึงจะรู้สึกดีใจที่ลูกตามมาเอาใจแต่เธอก็ยังมีฟอร์มอยู่ดี "ฉันไม่กิน"

คุณทิพย์นภากระแทกเสียงแล้วก็เดินขึ้นบันไดไป ก่อนจะหยุดแล้วหันมามองลูกชายคนเล็กที่ยืนหน้าเสียเพราะถูกตวาด

"อ้อ...บูมควรจะหาที่เรียนต่อได้แล้วนะ จบโครงการเมื่อไรแม่จะให้บูมไปเรียนเมืองนอก จะได้..." อยู่ๆ คุณทิพย์นภาก็หยุดพูดเหมือนนึกได้ว่ายังไม่ควรพูดสิ่งนั้นในตอนนี้

"ครับ" บูมรับคำ

พอแม่เดินขึ้นห้องไปแล้วบูมก็เดินหน้าม่อยกลับมานั่งที่เดิม บรรยากาศดูกร่อยไปพอสมควรเพราะตั้งใจว่าจะได้กินข้าวพร้อมๆ กัน เผื่อจะทำให้บรรยากาศในครอบครัวคลายความตึงเครียดลงไปบ้าง แต่แม่ก็เป็นคนมีทิฐิเสียเหลือเกิน

"ให้เวลาแม่เขาอีกหน่อยละกันนะบูม" พ่อพยายามปลอบใจ เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาพูดประโยคนี้ รู้สึกสงสารทั้งลูกชายที่โดนแม่ตวาดและสงสารภรรยาที่มัวแต่ยึดมั่นถือมั่นจนทำให้ตัวเองเป็นทุกข์

"ครับพ่อ" บูมตอบไปโดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ยังต้องการเวลาอีกนานแค่ไหน อีกด้านหนึ่ง เขาก็เริ่มรู้สึกผิดที่ทำให้แม่มีสภาพไม่ต่างจากคนที่กำลังตรอมใจอยู่ในตอนนี้ ยังไงแม่ก็เป็นแม่ เป็นไปไม่ได้เลยที่บูมจะมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของแม่ตัวเอง

------------------------------------------------------

ทิวย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านของตัวเองหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ในใจของบูมก็ยังคงระแวงอยู่ว่าแม่จะส่งคนมาทำร้ายทิวอีกหรือไม่ ทำให้เขาแทบอยู่ไม่เป็นสุขเลยทีเดียว

วันที่กลับมานั้นนอกจากบูมแล้วเอิร์ธกับวิทก็ขอมาส่งทิวที่บ้านด้วย พอเก็บของเสร็จก็พากันออกไปซื้อของที่หน้าปากซอยมากินในบ้าน อิ่มแล้วเอิร์ธก็เลยขอให้ทิวกับบูมร้องเพลงให้ฟังเสียเลย

"น่า...ร้องให้พวกผมฟังหน่อย ได้ยินว่าเสียงดีแล้วก็เคยเป็นคู่หูดูโอ้กันสมัยเรียนไม่ใช่เหรอ" เอิร์ธคะยั้นคะยอเมื่อเห็นทั้งคู่ยังอิดออด

วิทเดินไปหยิบกีตาร์โปร่งไฟฟ้าของทิวที่วางไว้ใกล้ๆ กับมุมคีย์บอร์ดมายื่นให้ทิว ก็เท่ากับเป็นการบังคับให้สองหนุ่มร้องเพลงด้วยกันกลายๆ นั่นเอง

ทิวรับมาแล้วก็ยิ้มเขินๆ ตอนนี้แขนเขาหายดีแล้ว สามารถเล่นได้ไม่มีปัญหาอะไร

"ร้องเพลงนั้นเลย ที่เมื่อก่อนร้องด้วยกันบ่อยๆ เพลงอะไรนะ...จำชื่อไม่ได้" เอิร์ธหันไปถามวิทที่นั่งข้างๆ

"ดีใจๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ" วิทเดา "จำได้ใช่ไหมครับ ร้องเลยๆ อยากฟังๆ" วิทช่วยคะยั้นคะยออีกแรง

ทิวกับบูมหันมายิ้มให้กันแล้วก็เริ่มต้นร้องเพลงโดยมีทิวเป็นคนเล่นกีตาร์ บูมเป็นคนร้องและทิวคอยประสานเหมือนเช่นเคย

เอิร์ธกับวิทนั่งยิ้มและตั้งใจฟัง เห็นทิวกับบูมร้องเพลงด้วยกัน ยิ้มให้กันหรือสบตากันแล้วบางครั้งสองหนุ่มก็รู้สึกเขินแทน

เมื่อจบเพลง เอิร์ธกับวิทก็ตบมือและชมกันใหญ่

"สุดยอดเลย เดี๋ยวจะเอาขึ้นยูทูบ ไม่ลองทำอัลบั้มคู่กันดูล่ะ ผมว่าดังแน่ๆ เลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กเรียนอย่างบูมจะร้องเพลงเก่งขนาดนี้" เอิร์ธชมพร้อมกับยุไปด้วย

ทิวกับบูมยิ้มแก้มแทบปริ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรนั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นทิวทำสีหน้าอึ้งๆ เหมือนกับเจออะไรบางอย่าง พอหันไปมองตามก็เห็นชายคนหนึ่งยืนฟังอยู่เงียบๆ ข้างหลัง ดูเหมือนว่าจะยืนฟังได้สักพักหนึ่งแล้ว

"อ้าวต้อง มาตั้งแต่เมื่อไรวะ" บูมร้องทัก

ต้องมายืนฟังได้สักพักแล้วล่ะ พอดีทิวเปิดบ้านทิ้งไว้ เขาก็เลยเดินเข้ามาเงียบๆ ทุกคนมัวแต่สนใจการร้องเพลงของทิวกับบูมอยู่ก็เลยไม่มีใครเห็นว่าเขาเข้ามายืนฟังด้วย เขาพยายามมองไปที่ทิวแต่ทิวก็หันหน้าหนี บูมสังเกตดูอาการของทั้งสองคนด้วยความแปลกใจ

"ก็...เมื่อกี้นี้แหละ แต่ว่า...ทิวมีแขกใช่ไหม เดี๋ยว...กลับก่อนก็ได้" ต้องบอกด้วยน้ำเสียงประหม่าแล้วก็ทำท่าจะหันหลังกลับ

บูมลุกเดินไปหาแล้วก็เรียกไว้ "เดี๋ยวก่อนสิ ไม่อยู่คุยกันก่อนล่ะ"

"ไม่เป็นไร จะกลับละ" ต้องบอกด้วยน้ำเสียงและท่าทางน้อยใจแล้วก็หันหลังเดินออกไป คนอื่นได้แต่มองตามอย่างงงๆ

วันนี้ ต้องตั้งใจจะมาขอโทษทิวโดยเฉพาะหลังจากที่หายไปหลายวัน แต่ทิวก็ดูเหมือนยังคงโกรธเขามากเพราะไม่ยอมมองหน้าเขาเลย อีกอย่าง ยิ่งได้มาเห็นทิวกับบูมร้องเพลงให้เพื่อนอีกสองคนฟังอย่างมีความสุขด้วยแล้ว ต้องก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ควรอยู่ตรงนี้ หรือจะว่าไปแล้ว เขาไม่ควรมาหาทิวอีกเลย

"เป็นไรของมันวะ" บูมพูดกับตัวเองอย่างงงๆ แล้วก็เดินกลับมานั่งที่โซฟานั่งเล่นเช่นเดิม ทำไมสีหน้าทิวเปลี่ยนไปเมื่อเจอต้อง ต้องมีอะไรบางอย่างระหว่างสองคนนี้อย่างแน่นอน ปกติทิวไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับต้องนี่นา หรือว่า...ทิวจะรู้แล้วว่าต้องคิดอะไรกับเขา

-------------------------------------------------

หลังจากเพลิดเพลินกับการฟังทิวกับบูมร้องเพลงแล้ว เอิร์ธกับทิวก็ยังอยู่ต่อเพราะว่าจะได้ช่วยอัปเดตการทำงานให้ทิวฟังด้วย พร้อมกับถือโอกาสประชุมหารือการทำงานไปด้วยเพราะช่วงนี้เริ่มประชาสัมพันธ์การประกวดการออกแบบทางเท้าและเริ่มมีคนส่งผลงานเข้ามาบ้างแล้ว

จนกระทั่งเกือบสามทุ่ม สองหนุ่มจึงได้กลับไป ทิวกับบูมจึงได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคน พอเพื่อนไปแล้วบูมจึงมานั่งคุยกับทิวที่หน้าบ้านเพื่อที่จะถามสิ่งที่เขาสงสัยเมื่อช่วงกลางวัน แต่บูมก็ไม่ได้เริ่มด้วยเรื่องนั้นทันที

"ทิว...จบโครงการแล้ว...เราจะไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกนะ"

ทิวได้ยินแล้วก็ใจหาย เขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเลย นี่เขากับบูมจะต้องจากกันอีกแล้วหรือ

"ทิว...รอเราได้ใช่ไหม ไม่นานหรอก...อย่างมากก็ไม่น่าจะเกินสามปี แต่เราจะตั้งใจเรียน เรียนให้จบแล้วก็จะรีบกลับมาเลย"

แม้บูมจะบอกอย่างนั้น แต่ทิวก็รู้สึกไม่มั่นใจเลย เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง เขากลัวเหลือเกินว่าบูมจะจากไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย

เห็นทิวทำหน้าซึมๆ บูมก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง "เรา...ไม่ได้ทิ้งนายนะทิว มันเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำให้พ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย เขาอยากให้เราเรียนสูงๆ เพื่อที่จะกลับมาดูแลกิจการที่พ่อทำไว้ต่อ ยังไงเราก็ต้องทำให้พ่อกับแม่ นายเข้าใจเราใช่ไหมทิว เราเป็นห่วงนายนะ เราก็ไม่อยากไปหรอก แต่มันจำเป็น นายเชื่อใจเราหรือเปล่าทิว"

ทิวเข้าใจสิ่งที่บูมอธิบายอยู่แล้วล่ะ ปัญหาคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก แต่...เขากลัวใจของแม่บูมเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะกลับมาซ้ำรอยอีกหรือเปล่า "เราเชื่อใจนายเสมอนะบูม แต่...เรากลัว...กลัวว่าแม่ของนายจะ..."

บูมรีบเขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ กับทิวแล้วโอบไหล่เขาไว้ เขารู้ว่าทิวกำลังหวั่นไหวและไม่มั่นใจกับอะไรบางอย่างในตอนนี้ "ทิว...นายคิดไหมว่าระยะเวลาสี่ปีกว่านี่ก็นานมากนะ...นานพอที่จะทำให้เราลืมใครบางคนได้เลยล่ะ นานพอที่จะทำให้หัวใจที่บาดเจ็บหายได้ นานพอที่จะทำให้เรารู้สึกห่างเหินกับใครบางคนที่เราเคยรู้จักจนกลายเป็นคนแปลกหน้าได้ เราก็เป็นอย่างนั้นกับคนอื่นๆ หลายคนเมื่อเรากลับมา แต่...ไม่ใช่สำหรับนาย สี่ปีกว่ามันยาวนานก็จริง แต่ก็มันยังไม่นานพอที่จะทำให้เราลืมนาย ห่างเหินหรือว่าเห็นนายเป็นคนแปลกหน้าได้ นายรู้ไหมว่าทำไม...เพราะเรารักนายมากไงทิว นายคือรักแรกของเรา คือคนที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา คือคนที่พิสูจน์ให้เห็นว่านายรักและดีกับเรามากแค่ไหน เราไม่เคยลืมสิ่งดีๆ ทุกอย่างที่นายเคยทำให้เราเลยนะ มันอยู่ในใจตลอด อยู่ในทุกความคิดถึง อยู่ในทุกลมหายใจ เราอยากให้นายมั่นใจว่า...เราจะกลับมาหานายอย่างแน่นอนถ้าเราไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน เราอยากกลับมาใช้ชีวิตที่มีความสุขกับนายเหมือนกับตอนนี้ ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหน...เราก็ยินดีที่ฝ่าฟันและกลับมาหาคนที่เรารักให้ได้"

ทิวกอดบูมตอบด้วยความรู้สึกอุ่นใจที่ได้ยินเช่นนั้น อย่างน้อยเขาก็มั่นใจมากขึ้นมาว่า ความรัก ไม่ว่ามันจะอยู่ไหน พลังดึงดูดของมันก็จะนำคนสองคนมาเจอกันได้เสมอ เหมือนที่เขากับบูมได้กลับมาเจอกันในครั้งนี้ แต่ถ้ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น มันก็คือความจริงที่เขาก็ต้องยอมรับ อะไรจะเกิดมันก็คงต้องเกิด เพราะยังไงแล้วบูมก็ต้องไปเรียนต่อ เขาไม่สิทธิ์ที่จะกักขังหน่วงเหนี่ยวบูมไว้ไม่ว่าจะรักและหวงแหนมากแค่ไหน

"ทิว...เราถามอะไรหน่อยสิ"

ทิวเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ยังคงกอดบูมไว้อยู่ "อะไรเหรอ"

"นาย...กับต้อง...มีปัญหาอะไรกันหรือปล่า เรารู้สึกอย่างนั้น ไม่รู้เราคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ว่า...ทำไมวันนี้ต้องมันมาแล้วก็กลับไปเลย ไม่ยอมคุยกับนาย"

ทิวค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรง เขารู้สึกหนักใจเพราะไม่รู้ว่าเขาควรจะบอกบูมดีหรือไม่ เมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบนี้จนแทบจะเหมือนกับเป็นสามีภรรยากันก็ทำให้ทิวรู้สึกผิดที่ต้องปิดบังบางสิ่งบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันทิวก็ไม่อยากให้บูมรู้และไม่สบายใจ เผลอๆ เรื่องมันอาจจะบานปลายไปกันใหญ่ ถึงเขาจะรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ต้องทำมากแค่ไหน แต่ทิวก็รู้ว่าต้องไม่ได้ตั้งใจ ต้องอาจจะเมาจนขาดสติ เพียงแต่ตอนนี้ทิวยังไม่พร้อมที่จะคุยกับต้องเท่านั้นเอง

"นายไว้ใจเราใช่ไหมทิว นายมีอะไรก็บอกเราได้นะ เรายินดีรับฟังทุกอย่าง ถ้านายพร้อมที่จะบอก เราก็อยากฟัง ตอนนี้...เราสองคนก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากคู่สามีภรรยาทั่วไปแล้วนะ มีอะไรเราก็ควรจะพูดคุยกันรู้ไหม"

ทิวพยักหน้าตอบรับแต่ก็ยังคงมีสีหน้ากังวลใจอยู่ "เรา...ทะเลาะกันน่ะบูม แต่ว่า...เรายังไม่พร้อมที่จะเล่าให้นายฟังตอนนี้ นายคงไม่ว่าเราใช่ไหมบูม"

บูมยิ้มแล้วก็ดึงทิวมาซบไหล่เขาอีกครั้งแล้วก็ตอบไปว่า "แล้วแต่นายละกัน เราไม่บังคับนายหรอก ถ้าพร้อมเมื่อไรนายค่อยบอกเราก็ได้" บูมปล่อยทิวเป็นอิสระแล้วก็พูดต่อไปว่า "จริงๆ แล้ว...ต้องมันชอบนายนะ นายรู้แล้วใช่ไหมทิว"

ทิวหันมาสบตากับบูมอีกครั้ง เขายิ้มเศร้าๆ และพยักหน้า "แต่เรา...ไม่เคยคิดอย่างนั้นกับต้องเลย ต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเรานะบูม...แต่ยังไงเราก็รักต้องแบบนั้นไม่ได้ เรา...ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันที่จะช่วยให้ต้องเข้าใจ" แล้วทิวก็ถอนหายใจด้วยความหนักใจ

สิ่งที่ทิวบอกนั้นก็พอจะทำให้บูมพอรู้ได้ว่าทิวกับต้องน่าจะมีปัญหากันเพราะเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย "เราเชื่อใจนายนะทิว...ตอนนี้ สิ่งที่นายพยายามจะบอกต้องคงไม่เป็นผลมากนัก นายคงต้องให้เวลาต้อง ให้เขาได้คิดทบทวน ทำใจ เราคิดว่า...ต้องจะเข้าใจในที่สุด"

ทิวรู้สึกดีใจที่บูมไม่ได้พูดถึงต้องในทางไม่ดีเมื่อรู้ว่าต้องคิดอะไรกับเขา อย่างน้อยก็ทำให้ทิวรู้ว่าบูมเป็นผู้ชายที่มีสปิริตมาก

"นายหึงหรือเปล่า" ทิวถามเบาๆ ด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย

บูมรวบตัวทิวมากอดไว้แล้วก็รีบบอก "หึงสิ...ทำไมจะไม่หึงล่ะ ก็แฟนเรา...น่ารักขนาดนี้จะไม่หึงได้ยังไงล่ะ จริงไหม" แล้วก็หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นทิวยิ้มอายๆ

"ทิว...เรามีข่าวดีจะบอกนายอย่างหนึ่ง นายจะต้องประหลาดใจมากอย่างแน่นอน"

"อะไร นายถูกหวยเหรอ"

"บ้าสิ...เราไม่เคยซื้อซะหน่อย" แล้วบูมก็ขำก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น "พ่อของเราอยากเจอนาย เราก็เลยคิดว่า...วันจันทร์นี้ เราจะพานายไปกินข้าวกลางวันกับพ่อซะหน่อย"

"หมายความว่า...พ่อของนายก็จะ..." ทิวถามด้วยท่าทางงุนงง พ่อของบูมจะต่อว่าอะไรเขาหรือเปล่าถึงได้อยากเจอเขา ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วทิวคงไม่กล้าไปหรอก แค่แม่ของบูมคนเดียวก็เล่นเอาทิวแทบแย่แล้ว

"ไม่ใช่แบบนั้น...พ่อของเราอยากจะเจอ..." บูมเว้นจังหวะให้ทิวตื่นเต้นพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเลศนัยของเขา "ว่าที่ลูกสะใภ้ไง"

"จริงเหรอบูม...พ่อนายเขา...เขายอมรับเรื่องนี้ได้แล้วเหรอ" ทิวถามอย่างตื่นเต้น

"อื้อ...ตอนนี้พ่อของเราแล้วก็พี่บีมเขาโอเคกับเรื่องของเราแล้วล่ะ พี่บีมช่วยไปคุยกับพ่อให้"

"โห...จริงเหรอ พี่ชายของนายคงจะรักนายมากเลยนะบูม พยายามช่วยนายมาตลอดเลย เรายังจำได้...พี่บีมเคยพาพวกเราไปซื้อเสื้อผ้าที่จะขึ้นเวทีร้องเพลงกัน พาไปโยนโบล์ พาไปเล่นยิงปืน พาไปกินข้าว...ตั้งหลายอย่างแน่ะ เขาเป็นคนแรกในครอบครัวที่เข้าใจนาย บูมต้องรักพี่บีมให้มากๆ นะ ว่าแต่ว่า...พี่บีมเขาชอบกินอะไรล่ะ เดี๋ยวเราพาไปเลี้ยงข้าว เรายินดียอมทุบกระปุกเลยนะบูม"

บูมได้ฟังแล้วก็ขำ "เดี๋ยวเราจะบอกพี่บีมให้ นายหมดตัวแน่งานนี้"

----------------------------------------------------------

"ทิวใช่ไหม...ฉันมีอะไรอยากจะคุยกับเธอหน่อย วันนี้เธอว่างหรือเปล่า"

เมื่อทิวรับโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ สายหนึ่ง เจ้าของเสียงนั้นก็ถามด้วยประโยคนี้ทั้งๆ ที่ทิวยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใครโทรมาและคนนั้นมีธุระอะไรที่จะคุยกับเขา

"เอ่อ...จากไหนครับ"

"ฉันเป็นแม่ของบูม"

เสียงที่ตอบมาทำให้ทิวเสียวสันหลังวาบ เขานึกว่าแม่ของบูมจะเริ่มลดราวาศอกและเข้าใจความรักของเขากับบูมแล้วเสียอีก ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขากับบูมก็ยังคบกันเป็นปกติ แม้ว่าทิวจะไม่เคยไปบ้านบูมเลย แต่บูมก็มาหาและรับส่งเขาบ่อยๆ ไม่มีปัญหากับที่บ้านแต่อย่างใด หลังๆ มานี้บูมเหมือนจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้กับที่บ้านจนเขากับบูมนึกว่าคุณทิพย์นภาคงจะทำใจได้แล้ว

"คุณ...คุณแม่จะคุยอะไรกับผมเหรอครับ" ทิวถามเสียงสั่น สีหน้าเขาดูกังวลจนเห็นได้ชัด ถ้าบูมอยู่สำนักงานวันนี้ ทิวคงทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว

"ฉันไม่ใช่แม่เธอ ไม่ต้องมาเรียกฉันแบบนี้ ตอบฉันมาว่าเธอจะมาคุยกับฉันวันนี้ได้ไหม เรื่องอะไรเดี๋ยวเธอก็รู้เอง อย่าถามมาก"

เสียงที่ดุดันนั้นทำให้ทิวยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่ "ได้ครับ...ที่ไหนครับ"

"ตอนเที่ยงนี้ฉันจะไปรอที่ร้าน...ละกัน ใกล้ๆ กับที่ทำงานของเธอนั่นแหละ ถามคนในออฟฟิศเธอก็ได้ คงจะมีคนรู้จักอยู่หรอก อ้อ...มาคนเดียวล่ะ ห้ามเธอพาใครมาด้วยอย่างเด็ดขาด ที่สำคัญ...ไม่ต้องไปบอกลูกชายฉันล่ะ"

"ครับ" ทิวรับคำ เมื่อวางสายแล้วเขาก็ยืนนิ่งด้วยหวั่นไหวและวิตกกังวล คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคุณทิพย์นภาคงไม่ถึงขั้นขอคุยกับเขาด้วยตัวเองหรอก สิ่งที่ทิวเคยหวาดหวั่นเริ่มส่อเค้าลางที่จะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว แต่จะหนักแค่ไหน...เที่ยงนี้เขาคงจะได้รู้

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

133. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #132
 
21-Apr-12, 08:05 AM (SE Asia Standard Time)
 
   โห ... ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย เพี้ยงงงงงง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
UNO
Guest

134. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #133
 
21-Apr-12, 08:54 AM (SE Asia Standard Time)
 
   จะเขียนให้บูมตายตอนไปเมืองนอกเหรอ ถ้าทำแบบนั้นก็ทำร้ายจิตใจคนอ่านเกินไป


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
กูเซ็ง
Guest

135. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #134
 
21-Apr-12, 09:03 AM (SE Asia Standard Time)
 
   เห็นย้ำอยู่หลายครั้งคล้ายๆว่าบูมอาจจะตาย writerอย่าคิดสั้นแบบนี้เหอะ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

137. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #135
 
21-Apr-12, 09:10 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ลืมบอกไปว่า ให้เตรียมใจไว้หน่อยนะครับ มีอะไรจะให้ช็อกเล่นๆ ก่อนจบเรื่องพอสมควร
ถ้าผมเป็นคนที่ตามอ่านเรื่องนี้ เจอแบบนี้เข้าไปก็ช็อกแน่ๆ ครับ
แต่ถึงจะช็อกยังไง ก็น่าจะจบในแบบที่ (เดาเอา) คนอ่านน่าจะพอใจได้ครับ

จริงๆ ไม่อยากสปอยล์เลยครับ แต่กลัวจะช็อกกัน ก็เลยบอกเพื่อให้เตรียมใจไว้ก่อน
อีกไม่กี่ตอนนับจากนี้ครับ
แต่ช็อกแล้วก็จะมีเซอร์ไพรส์ต่อ แต่ขออุบไว้ก่อนครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

136. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #133
 
21-Apr-12, 09:06 AM (SE Asia Standard Time)
 
   เอาแล้ว


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Ong
Guest

138. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #136
 
21-Apr-12, 10:33 AM (SE Asia Standard Time)
 
   เตรียมเลิกอ่าน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

139. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #138
 
21-Apr-12, 12:01 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   >เตรียมเลิกอ่าน
อย่าเพิ่งเลิกอ่านเลยครับ ถ้าเคยอ่านต้นสนก็จะรู้สไตล์ของผมว่าเป็นแบบไหน แต่เรื่องนี้อยากให้มีลูกเล่นนิดหน่อย ให้มันมีรสชาติเข้มข้นอีกนิด

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

140. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #139
 
21-Apr-12, 02:30 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ลุ้นทุกตอนเลยเรา มากกว่าต้นสนอีก


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
ธำื
Guest

141. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #140
 
22-Apr-12, 01:05 AM (SE Asia Standard Time)
 
   รักทั้งต้นสน
บูมทิวครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

142. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
22-Apr-12, 02:41 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนหน้าแล้วนะครับที่จะเกิดเหตุการณ์ที่จะทำให้คนอ่านช็อก (คิดว่าน่าจะช็อกนะ)
เตรียมตัวโดนด่าไว้ล่วงหน้าครับ ฮือๆ อย่าด่าแรงนักนะครับ กลัววววว

----------------------------------------------------

ตอนที่ 33

ช่วงนี้เป็นช่วงปลายของโครงการแล้ว งานของทิวค่อนข้างยุ่งมากเพราะเขาต้องคอยประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่ประเคนบรรดาสิ่งกีดขวางต่างๆ (street furniture) ไม่ว่าจะเป็นตู้โทรศัพท์ ไฟฟ้า ประปา และอื่นๆ อีกมากมายมาไว้บนทางเท้า ทำให้กีดขวางทางสัญจร ดีที่ว่างานนี้สำนักงานเขตในพื้นที่ลงมาเล่นและช่วยสั่งการด้วย ทำให้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานเหล่านี้ค่อนข้างดี ปกติการปรับย้ายสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากมาก นอกจากจะประสานงานกับหน่วยงานแล้ว ช่วงหลังๆ มีสื่อมาขอสัมภาษณ์บูมถี่มาก แต่บูมก็มักจะให้ทิวหรือเพื่อนๆ ร่วมให้สัมภาษณ์ด้วยเกือบทุกครั้ง ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาภาพของบูมและเพื่อนๆ จึงปรากฏในสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี นิตยสาร อินเตอร์เน็ต รายการวิทยุ หนังสือพิมพ์และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะใครๆ ต่างก็ชื่นชมความคิดดีๆ ของเยาวชนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ที่ลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม การทำงานของพวกเขาจึงได้รับความสนใจมากจนเกินคาด

แม้ว่าจะเหนื่อย แต่ทิวก็มีความสุขมากที่ได้ทำโครงการนี้ แต่เขาก็รู้ว่าเมื่อโครงการจบ คนที่เขารักมากที่สุดและเป็นที่พึ่งพิงทั้งทายกายและใจเพียงคนเดียวตลอดหนึ่งปีเศษๆ ที่ผ่านมาจะต้องจากไปเรียนหนังสือต่อแล้ว ทิวคิดว่าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เขาก็ยังพออยู่ได้ เขามีเงินเหลือเก็บจากการทำงานโครงการราวๆ สองแสนบาท ก็น่าจะช่วยทำให้เขาเรียนจบและมีงานทำในช่วงที่บูมไม่อยู่ได้ เขาไม่มีปัญหาที่จะรอ แต่...คุณทิพย์นภากำลังคิดจะทำอะไรหนอ เขารู้สึกกลัวเหลือเกิน

เมื่อทิวเดินเข้ามาในร้าน เขามองหาอยู่พักหนึ่งก็เจอคุณทิพย์นภานั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ก็ดูถมึงทึงอยู่ในทีอยู่ตรงมุมห้องด้านในสุด เพราะเธอต้องการคุยในที่เงียบๆ และไม่มีใครสังเกตเห็นได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียน เธอก็เลยมีเวลาอยู่บ้านมากหน่อย แต่ก็ยังคงมีประชุมและงานอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่มหาวิทยาลัย

"นั่งสิ" คุณทิพย์นภาพูดโดยไม่หันมามอง เมื่อทิวนั่งลงตรงหน้าแล้วเธอจึงได้สังเกตดูหน้าตาผิวพรรณของทิว ทิวไม่ใช่คนที่ขาวมากนัก แต่ก็ไม่คล้ำ หน้าตาก็ถือว่าหล่อเหลาทีเดียว แต่ก็แปลกที่ทิวไม่มีท่าทางอรชรอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิงอย่างที่เธอมักจะเคยเห็นในทีวีบ่อยๆ ก็ดูเหมือนผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนที่รูปร่างหน้าตาแบบนี้ถึงได้เป็นเกย์กันไปได้ แล้วจะให้มั่นใจได้ยังไงว่าผู้ชายที่เห็นในสมัยนี้จะไม่เป็นแบบนี้กันบ้าง คิดแล้วก็น่ากลัว

"กินอะไรมาหรือยัง อยากกินอะไรก็สั่ง"

ทิวหยิบเมนูอาหารมาดูด้วยท่าทางประหม่าแล้วก็สั่งกาแฟเพียงถ้วยเดียวไป ใครจะไปกินอะไรลงล่ะ คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าพูดอะไรแต่ละทีก็ทำให้เขาแทบจะลืมหายใจ ท่าทางก็ไม่เป็นมิตรจนทิวแทบไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ บรรยากาศมันดูอึดอัดเสียจนทิวอยากจะลุกหนีไปเลยถ้าเขาทำได้

"เอาล่ะ...มาเข้าเรื่องกันดีกว่า" คุณทิพย์นภาพูดพลางจ้องหน้าทิวเหมือนคิดอะไรบางอย่าง

"เธอรู้ใช่ไหมว่า...บูมเขาเกิดมาในครอบครัวแบบไหน อยู่ในสังคมแบบไหน แต่ดูท่าทางเธอก็คงจะฉลาดอยู่...ก็คงจะรู้"

แค่เริ่มเรื่องมาทิวก็พอจะรู้แล้วว่าคุณทิพย์นภาต้องการอะไร ไม่ได้ผิดจากที่เขาคาดเดาไว้นัก

"บูมเขาเป็นความหวังและอนาคตของครอบครัวเรา เขาจะต้องมาดูแลกิจการแทนพ่อ เขาจะทำให้การงานบริษัทของเราเจริญเติบโตต่อไป เขาจะเป็นที่เคารพยำเกรง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสังคม และที่สำคัญ ฉันก็อยากให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ซักคนและมีลูกหลานสืบสกุลของเราต่อไป แต่เธอรู้ไหมว่า...สิ่งที่ฉันพูดมาทั้งหมดมันจะพังลงทันที...เพราะเธอ"

คุณทิพย์นภาเน้นเสียงสองคำสุดท้ายหนักแน่นพร้อมกับจ้องหน้าทิวเขม็ง ทิวแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกกาแฟขึ้นมาจิบ

"ในฐานะที่ฉันเป็นแม่...เธอรู้ไหมว่าฉัน...เจ็บปวดใจแค่ไหนที่ต้องรับรู้ว่า...ลูกชายของฉัน...มีแฟนเป็นผู้ชาย ตลอดระยะเวลาที่บูมเขากลับมาหาเธอ ฉันเป็นทุกข์มากแค่ไหนเธอรู้ไหม เธอคงไม่รู้หรอก...เพราะเธอไม่เคยเป็นแม่ แต่ฉันจะบอกเธอว่า...ฉันเจ็บปวดใจทุกครั้งเวลาที่บูมมาหาเธอ เวลาที่พ่อแม่คนอื่นๆ ถามถึงบูมว่ามีแฟนหรือยัง ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบคนอื่นว่ายังไง เธอรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงเวลาที่เห็นลูกชายคนอื่นๆ แต่งงานมีครอบครัว มีลูกสืบสกุล เป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ เธอลองคิดดู...ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นประธานบริษัทแล้วคนอื่นๆ ก็รู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ ใครจะเคารพเขา นี่ยังไม่นับญาติพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงและคนที่เรารู้จัก ฉันคงรับไม่ได้หรอกถ้าหากลูกชายของฉันต้องโดนล้อหรือถูกซุบซิบนินทาว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย เมื่อเขาแก่ตัวลงเขาก็จะไม่มีลูกหลานมาคอยดูแลเหมือนคนอื่นๆ ฉันคงปล่อยให้ลูกฉันมีชีวิตแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ"

คุณทิพย์นภาหยุดพูดเพื่อดูว่าทิวมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อเห็นทิวก้มหน้าไม่พูดไม่จาเธอก็พอจะเดาได้ว่าทิวกำลังถูกต้อนเข้าไปในมุมที่เธอต้องการแล้ว

"ฉันมั่นใจนะว่าเธอ...รักลูกชายของฉันจริง ถ้าเธอเป็นผู้หญิงฉันก็อาจจะไม่ขัดข้อง ถึงแม้เธอจะไม่ได้มาจากครอบครัวผู้ดีอะไรนัก แต่เมื่อเธอเป็นแบบนี้ ฉันพูดตรงๆ ว่า...ฉันรับไม่ได้หรอก ฉันคิดว่าเธอคงจะเข้าใจว่าทำไม"

น้ำตาของทิวค่อยๆ ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะโต้แย้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ รู้แต่ว่า เขาผ่านเรื่องราวร้ายๆ มามากมายก็จริง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าจะมีครั้งไหนที่จะทำให้เขารู้สึกถึงความต่ำต้อยด้อยค่าของชีวิตได้เท่ากับครั้งนี้เลย

"เธอควรจะรู้ไว้ซะบ้างว่าเธอ...ไม่มีอะไรคู่ควรกับเขา...ไม่มีแม้แต่นิดเดียว ถ้าบูมอยู่กับเธอ เขาก็จะไม่มีอนาคต จะไม่มีใครยอมรับและเคารพเขา เธอรู้ไหมว่าความรักของเธอกำลังทำลายอนาคตเขาอยู่" หากไม่ติดว่าอยู่ในร้านอาหาร คุณทิพย์นภาคงพูดเสียงดังมากกว่านี้ แต่เธอก็ทำได้เพียงกัดฟันและใช้สีหน้าแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมา

กรามที่นูนเด่นออกมาทั้งสองข้างทำให้ทิวรู้ว่าคุณทิพย์นภารู้สึกโกรธเกลียดเขามากแค่ไหน ทิวน้ำตาไหลพรากอาบแก้มทั้งสองและสะอื้นอย่างน่าสงสาร แต่คุณทิพย์นภาก็ไม่ลดละเพราะเธอรู้ว่าทิวกำลังเพลี่ยงพล้ำจึงต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์

"ถ้าเธอรักเขาจริง เธอก็ไม่ควรทำลายอนาคตของเขา เธอมีลูกให้เขาไม่ได้ เป็นภรรยาที่เชิดหน้าชูตาให้เขาหรือครอบครัวของเราไม่ได้ นี่คือความจริงที่เธอต้องเข้าใจ เธอไม่ควรจะเห็นแก่ตัว ได้ยินไหม เธอไม่ควรจะเห็นแก่ตัว ถ้าเธอรักเขาเธอก็ต้องปล่อยให้เขาไปมีอนาคต อนาคตที่เกย์จนๆ อย่างเธอไม่มีทางให้เขาได้ เธอกำลังเห็นแก่ตัวอยู่รู้ไหม เธออย่าใช้ความรักของเธอทำลายคนอื่น ถ้าเธอรักลูกชายของฉัน เธอก็ต้องปล่อยเขาให้ไปมีอนาคตที่ดีกว่าจะอยู่กับเธอ เข้าใจไหม เธอต้องปล่อยเขาไป" คุณทิพย์นภาหวดกระหน่ำไม่ยั้งและย้ำคำพูดที่จะให้ทิวปล่อยลูกชายของเธอหลายครั้งอย่างไม่ปราณีปราศรัยเพื่อที่จะตอกย้ำให้ทิวรู้สึกผิดว่า...เขากำลังทำลายอนาคตของลูกชายเธออยู่ ก็ได้ผลทีเดียว

ทิวใช้มือสองข้างปิดหน้าแล้วก็ปล่อยโฮ แม้คุณทิพย์นภาจะรู้สึกสงสารอยู่บ้างแต่เธอก็ไม่คิดที่จะหยุดเล่นงานทิว ยังไงลูกชายของเธอก็สำคัญกว่า ต่อให้ทิวขาดใจตายตรงหน้าเธอก็หยุดไม่ได้ อย่าหาว่าเธอใจร้ายเลยละกัน เพื่ออนาคตของลูกเธอทำได้ทั้งนั้นแหละ

"ที่ฉันเรียกเธอมาคุยด้วยวันนี้ เพราะฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ แต่ก่อนที่ฉันจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ฉันก็อยากให้เธอเข้าใจฉันว่า...ฉันก็เป็นแค่แม่คนหนึ่งที่รักลูกของฉัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ที่ฉันทำทั้งหมด...ก็เพื่ออนาคตของลูกซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันเข้าใจจนกว่าเธอจะมีลูกเสียเอง"

ทิวเงยหน้าขึ้นมองแม่ของบูมด้วยคราบน้ำตาเต็มหน้า พยายามสะกดกลั้นที่จะไม่ร้องไห้เพื่อที่จะฟังสิ่งที่คุณทิพย์นภากำลังจะบอก

"เช็ดซะ" คุณทิพย์นภาพูดพลางหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ทิว ทิวก็รับมาแล้วก็ซับคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้า

เมื่อเห็นทิวพร้อมที่จะฟังคุณทิพย์นภาก็บอกสิ่งที่เธอต้องการทันที "ฉันอยากจะขอร้องให้เธอ...เลิกติดต่อกับลูกชายของฉัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เมื่อเขาไปเรียนต่อแล้ว เธอจะต้องไม่ติดต่อเขาอีก ฉันให้เวลาเธอได้อยู่กับลูกชายของฉันถึงแค่วันที่เขาจะเดินทางเท่านั้น และฉันก็หวังว่า...เธอจะเข้าและเห็นใจครอบครัวของเรา หวังว่าเธอ...จะยอมปล่อยบูมไปเพื่ออนาคตของเขา เธอสัญญากับฉันได้ไหม"

เหมือนหัวใจของทิวถูกฉีกขาดสะบั้นออกจากกัน คำขอร้องนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น แต่ทิวจะทำอะไรได้ นั่นเป็นลูกชายของเขา ทิวเป็นเพียงคนอื่นที่เข้ามาภายหลัง ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำลายอนาคตของคนที่เรียกได้ว่าเป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัวนั้นหรอก

ทิวเดินออกมาจากร้านนั้นราวกับชีวิตได้หลุดลอยไปจากตัวแล้ว โลกทั้งโลกเงียบงันและว่างเปล่าแม้จะมีคนเดินผ่านไปมาอยู่รอบตัว ฝนฟ้าข้างนอกเริ่มตกและกระหน่ำเทลงมาราวกับฟ้าถล่ม ฝนฟ้าคงอยากจะช่วยปลอบใจเขาบ้างจึงได้ร้องไห้เป็นเพื่อน ทิวเดินตากฝนไปโดยไม่รู้สึกถึงความเหน็บหนาว ไม่สนใจที่จะหยุดพักหรือหลบฝน ไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกนานแค่ไหน แต่ก็เดินไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็มาถึงที่ทำงานแล้ว

"ทิว...ไปไหนมา ทำไมตัวเปียกแบบนี้ล่ะ" เอิร์ธถามด้วยความแปลกใจพลางลุกจากโต๊ะแล้วเดินมาหาทิว

"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม เปียกหมดเลย เดี๋ยวผมไปเอาเสื้อในรถมาให้นะ"

ก่อนที่เอิร์ธจะได้วิ่งออกไปทิวก็ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงแล้วก็ร้องไห้ เขาไม่ได้อยากใช้เวลางานในเรื่องส่วนตัวหรอกนะ แต่ทิวไม่ไหวแล้วจริงๆ ทิวไม่สามารถที่จะพูดคำใดออกมาได้นอกจากร้องไห้ ร้องแล้วก็ร้องอีก

"ทิว...นายเป็นอะไร" เอิร์ธนั่งลงข้างๆ พลางถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง อยู่ดีๆ ทิวก็กลับมาด้วยสภาพแบบนี้แล้วก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่พูดไม่จาอะไร

"จะให้เราโทรหาบูมไหม เดี๋ยวเราจะบอกให้บูมมาเดี๋ยวนี้เลย" เอิร์ธเสนอ แต่ทิวก็รีบยกมือห้ามไว้พร้อมกับส่ายหน้า

เห็นแล้วเอิร์ธก็ได้แต่สงสาร เขาทำได้เพียงเอามือแตะไหล่และพูดให้กำลังใจเพราะคิดว่าคงไม่สามารถทำอะไรมากกว่านี้ได้ ทิวไม่อยู่ในสภาพที่จะรับฟังเรื่องใดๆ เลย "ใจเย็นๆ ทิว ทำใจให้สบายนะ นายจะกลับบ้านก่อนไหม ไปพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวเย็นๆ เราไปรับมาอีกที"

ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากทิว เย็นนี้บูมว่าจะเข้ามาที่สำนักงานเพราะจะเขาจะต้องเริ่มทำรายงานส่งแหล่งทุน เขามีเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้นที่จะทำรายงานให้เสร็จก่อนจะไปเรียนต่อที่เมืองนอก เย็นนี้พวกเขาจึงวางแผนกันว่าคงจะอยู่ดึกหน่อยเพื่อช่วยบูมทำรายงาน

เมื่อเห็นทิวไม่ตอบเอิร์ธจึงคิดว่าเขาไม่ควรจะรบกวน ปล่อยให้ทิวสงบสติอารมณ์ด้วยตัวเองคงจะดีกว่า "เดี๋ยวเราลงไปเอาเสื้อผ้าในรถเรามาให้นายเปลี่ยนนะ นายรออยู่นี่แหละ" บอกแล้วเอิร์ธก็เดินออกไปแต่ก็ไม่วายหันมามองอย่างเป็นห่วง

----------------------------------------------------------

"เฮ้ยบูม...ทิวเป็นไรไม่รู้ เห็นหายไปเมื่อตอนเที่ยงๆ กลับมาอีกทีก็ตัวเปียกไปหมด แล้วก็เอาแต่ร้องให้ ผมถามอะไรเขาก็ไม่พูด" เอิร์ธตัดสินใจโทรไปบอกบูมขณะที่เดินลงมาเอาเสื้อผ้าที่ชั้นจอดรถใต้ดิน เขาคิดว่ามีแต่บูมเท่านั้นที่จะช่วยทิวได้ตอนนี้

"จริงเหรอเอิร์ธ รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทิวร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรทิว" บูมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ตอนนี้เขาออกมานำเสนองานกับลูกค้าสำคัญข้างนอกพร้อมกับพ่ออยู่ ปกติพ่อจะไม่ค่อยมานำเสนองานเองเท่าไร แต่คราวนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่น่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นมากพ่อจึงต้องมาด้วย

"ผมไม่รู้จริงๆ เห็นหายไปเกือบชั่วโมง พอกลับมาก็เป็นแบบนี้ ตอนนี้ยังนั่งร้องไห้ในออฟฟิศอยู่เลย บูมมาดูหน่อยละกัน ทิวไม่ยอมพูดอะไรเลย เราไม่รู้จะปลอบยังไงแล้ว สงสัยเขาจะเสียใจมาก...แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร อ้อ...บูมอย่าบอกนะว่าผมโทรมาบอกบูมเรื่องนี้ ผมถามทิวว่าจะให้ผมโทรมาบอกบูมไหม เขาก็ยกมือห้าม เหมือนเขาไม่อยากให้บูมรู้"

บูมรับคำแล้วก็วางโทรศัพท์ลงด้วยความมึนงง เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ทิวเสียใจถึงขนาดนั้น ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้วนี่นา แม่ก็ดูเงียบๆ ไป ไม่ค่อยมากดดันเขามากเหมือนก่อน พ่อก็ยอมรับทิวได้แล้ว เมื่อหลายเดือนก่อนที่เขาพาทิวมากินข้าวกับพ่อ ก็เห็นพ่อพูดคุยกับทิวได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แถมพ่อยังให้เขาพาทิวมาหาบ่อยๆ ด้วย เพียงแต่ไม่เคยพาทิวไปที่บ้านเท่านั้นเอง หรือว่าจะเป็นต้อง...แต่เห็นทิวบอกว่าต้องหายไปหลายเดือนแล้ว หรือว่าจะเป็นแพรว...แต่แพรวกับเขาก็ถอนหมั้นกันไปด้วยดีแล้ว แพรวเองก็ยกเลิกที่จะฟ้องร้องเขาด้วย ไม่น่าจะมาทำอะไรกับทิวอีก แล้วทิวกำลังเสียใจเรื่องอะไรกันจนต้องร้องไห้ในที่ทำงานแบบนั้น

-----------------------------------------------------------

แต่กว่าบูมจะมาถึงออฟฟิศก็เกือบสี่โมงเย็น ถึงจะเป็นห่วงทิวมากแค่ไหนแต่เขาก็ต้องรับผิดชอบงานสำคัญไว้ก่อน เขาก็พยายามเร่งอย่างเต็มที่ พอนำเสนองานกับลูกค้าและซักถามกันเรียบร้อยแล้ว บูมก็รีบขออนุญาตพ่อมาหาทิวทันที โชคดีที่พ่อเข้าใจจึงไม่มีปัญหาอะไร

แต่พอมาถึงก็กลับเห็นทิวนั่งทำงานเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังยิ้มให้เขาอีกตอนที่เดินเข้ามาในออฟฟิศ

"อ้าวบูม...ทำไมมาไวจังล่ะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยไม่ใช่เหรอ"

แต่บูมก็หน้าตาตื่นรีบปรี่เข้าไปหาทิวที่โต๊ะทำงานทันที "นายเป็นอะไรหรือเปล่าทิว ใครทำอะไรนาย" บูมถามแล้วก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ

ทิวทำหน้าสงสัยพลางมองไปที่เอิร์ธ บูมรู้ได้ยังไงว่าเขา "เป็นอะไร" เพราะเขาเป็นคนบอกเอิร์ธเองว่าไม่ต้องโทรหาบูม เหมือนบูมจะรู้ว่าพลาดไปแล้วจึงรีบพูดกลบเกลื่อนว่า

"อ๋อ...พอดีเราเลิกงานเสร็จเร็วน่ะ...ก็เลยรีบมา ไม่มีอะไรหรอก พอดีเห็นนายนั่งหน้าเครียดก็เลยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า"

เอิร์ธจึงรอดตัวไป แต่ถึงทิวจะรู้ว่าเอิร์ธบอก ทิวก็คงไม่ว่าอะไรเอิร์ธหรอกเพราะทิวเป็นคนนิสัยดีไม่ชอบมีเรื่องกับใคร

ทิวแต่ยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเศร้าไว้พอรู้สึกได้ ทำให้บูมพอจะเดาได้ว่าทิวคงมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ยังไม่อยากบอกเขาตอนนี้

"กินอะไรมาหรือยัง เอาโกโก้เย็นสักแก้วไหม เดี๋ยวเราทำให้ เอิร์ธด้วย เอาไหม"

อารมณ์ของทิวที่เปลี่ยนไปราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเลยทำให้บูมกับเอิร์ธออกจะงงๆ หน่อยๆ บูมไม่ได้คิดว่าเอิร์ธโกหกหรอก แต่เขาอยู่กับทิวมานานจึงพอรู้ว่าทิวยังไม่พร้อมที่จะบอกเท่านั้นเอง คงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก บูมชักอยากจะรู้เสียแล้วสิ

"ก็ดีเหมือนกัน เอาเหมือนเดิมเลยนะ" บูมบอกแล้วก็หันไปมองเอิร์ธเพราะต่างก็ไม่เข้าใจทิวด้วยกันทั้งคู่

"เหมือนบูมก็ได้" เอิร์ธบอกด้วยสีหน้างงๆ ไม่แพ้กัน เมื่อกี้ทิวยังร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่เลย แต่พอเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาก็กลับมานั่งทำงานเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ก็ไม่ใช่อะไรหรอก ทำไมทิวจะไม่เสียใจล่ะ แต่เขาคิดว่า...ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ เขาอยากจะอยู่ดูแลบูมและทำทุกอย่างให้ดีที่สุดก่อนที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว การที่คนอย่างเขาได้มาเจอผู้ชายดีๆ คนนี้ ได้รักกัน ได้อยู่ในอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นในยามหลับไหล ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันและทำอะไรร่วมกันอีกมากมายก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดีมากแล้ว คนอีกหลายคนยังต้องวิ่งวนไขว่คว้ากว่าจะได้เจอรักแท้สักครั้งในชีวิต บางคนไม่เจอเลยด้วยซ้ำ แต่ทิวรู้ว่าความรักที่เขาได้มาจากบูมครั้งนี้คือรักแท้ เขาโชคดีที่สุดแล้ว จะเรียกร้องอะไรอีกในเมื่อเขาก็ไม่คู่ควรกับบูมเลยสักนิด เขาไม่ควรจะได้สิ่งนี้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ

เพราะฉะนั้น...ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้คุ้มค่าเถอะ อย่ามัวแต่คร่ำครวญ เสียใจและเรียกร้อง เท่ากับเป็นการปล่อยเวลาให้เสียไปโดยไร้ประโยชน์ นายไปมีอนาคตที่ดีเถอะนะบูม โลกของเราสองคนมันต่างกันเหลือเกิน เราคงทำบุญมาด้วยกันแค่นี้ แต่มันก็เป็น "แค่นี้" ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตของเราแล้วล่ะ

ตกเย็น วิท ลีน่าและแอนเดอร์สันก็มาสบทบด้วย บูมนั่งพิมพ์งานอย่างเอาเป็นเอาตาย คนอื่นๆ ก็คอยหาข้อมูลที่บูมต้องการให้ เอิร์ธกับแอนเดอร์สันช่วยรวบรวมภาพกิจกรรมแล้วก็เอามาตกแต่งให้สวยงาม วิทช่วยรวบรวมข้อมูลและข่าวประชาสัมพันธ์ทั้งหมด ลีน่าช่วยสรุปข้อมูลด้านการเงิน ส่วนทิวกับบูมก็ช่วยกันเขียนสรุปข้อมูลการทำงานและผลจากการทำงานทั้งหมด เนื่องจากผลงานมีค่อนข้างมาก คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ในการรวบรวมเป็นรายงานให้เสร็จสมบูรณ์

--------------------------------------------------

กลับมาถึงบ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว พอหัวถึงหมอนบูมก็ร้องครางเพราะนั่งนานจนรู้สึกปวดหลัง

"เรานวดไหล่ให้นะ นายลุกขึ้นก่อน" ทิวบอกพลางลุกขึ้นนั่ง บูมก็ลุกขึ้นนั่งตามและหันหลังให้ทิวเพื่อให้เขาช่วยนวดหลังให้

นวดไปสักพักบูมก็บอกให้ทิวหยุดเมื่อรู้สึกดีขึ้น "พอแล้วล่ะ เราหายเมื่อยแล้ว นายเมื่อยบ้างไหมเดี๋ยวเราช่วยนวดให้"

ทิวหยุดมือแล้วก็บอกไปว่า "ไม่เป็นไร ยังไม่ค่อยเมื่อยเท่านายหรอก วันนี้นายคงเหนื่อยน่าดูเลย เราเห็นพิมพ์ไม่หยุด"

"อืม...ช่วงนี้คงต้องเหนื่อยหน่อย เราต้องทำรายงานเสร็จให้ทันก่อนไปเรียนต่อ ไม่งั้นจะโดนแบล็คลิสต์"

ทิวสวมกอดบูมไว้จากข้างหลังแล้วก็ซบลงบนไหล่เขา คิดถึงเรื่องเมื่อกลางวันนี้แล้วทิวก็รู้สึกใจหาย "บูม...เรา...ขอบคุณนายมากที่กลับมาหาเรา นายรู้ไหมว่า...ตลอดเวลาที่นายอยู่ด้วยเรามีความสุขมากแค่ไหน เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้...วันที่นายกลับมาหาเราอีกครั้ง...วันที่เราได้รักกัน...ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนคู่รักทั่วๆ ไป เราโชคดีที่สุดเลยที่คนอย่างเรา...มีโอกาสได้รักนาย"

น้ำเสียงของทิวดูเศร้าๆ ชอบกล บูมกลับคิดไปว่าทิวคงเศร้าเพราะอีกไม่นานเขาก็จะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว นั่นก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่รู้หรอกว่าทิวเศร้ายิ่งกว่านั้นอีก เพราะทิวคงจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว คราวนี้...คงต้องจากกันจริงๆ จากกันไปจนกว่าจะตายจากกัน

"เราก็เหมือนกันนะทิว...นายเป็นคนที่...วิเศษที่สุดในชีวิตของเราเลยรู้หรือเปล่า"

"ขอบคุณมากบูม" ทิวบอกแล้วก็กอดบูมแน่นขึ้น เขาต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ บูมกุมมือทิวไว้ตรงหน้าท้องของเขา ต่างคนต่างเงียบไปสักพักเหมือนกับจะให้สัมผัสทางกายได้ทำหน้าที่แทนคำพูดในการถ่ายทอดความรู้สึกบ้าง บางทีมันก็ทำหน้าที่ได้ดีกว่าคำพูดด้วยซ้ำไป

"นอนเถอะทิว ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า" บูมบอก

ทิวจึงรู้สึกตัว เขาปล่อยมือจากบูมแล้วต่างคนต่างก็ค่อยๆ ล้มตัวลงนอน "ให้เรากอดนายบ้างนะ" ทิวบอกแล้วก็กอดบูมไว้โดยไม่รอให้บูมตอบรับเสียก่อน

บูมยิ้มแล้วก็ขำ "วันนี้ทิวดูแปลกๆ นะ" แต่บูมก็ไม่ได้ว่าอะไร ปกติเขาจะเป็นคนกอดทิวแล้วก็นอนหลับไป วันนี้ทิวคงอยากเปลี่ยนบทบาทบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ พอถูกกอดบ้างบูมก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน

แต่บูมก็ไม่รู้หรอกว่า หลังจากที่เขาหลับไปแล้ว ทิวก็นอนร้องไห้เงียบๆ จนกระทั่งหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน

--------------------------------------------------------

"บูม...แม่เป็นไรไม่รู้ ไม่ยอมลงมากินข้าวกินปลาเลย เหมือนจะไม่สบายด้วย พี่จะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป เอาข้าวขึ้นไปให้แม่ก็ไม่ยอมกิน บูมรู้ไหมว่าแม่เป็นอะไร บูมทะเลาะอะไรกับแม่หรือเปล่า"

สิ่งที่บีมโทรมาบอกทำให้บูมรู้สึกแปลกใจมากทีเดียว ทิวเพิ่งมีอาการแปลกๆ เมื่อไม่กี่วันนี้ ตอนนี้แม่ก็ทำตัวแปลกๆ บ้างไปอีกคนโดยไม่มีสาเหตุ

"ไม่นี่ครับพี่บีม หลังๆ นี้ผมไม่ได้ทะเลาะอะไรกับแม่เลยครับ" บูมตอบแล้วก็เดินออกจากโต๊ะทำงานไปคุยตรงที่ไม่ค่อยมีคนนัก

"เหรอ...เอ...แล้วแม่เขาเป็นอะไร หรือว่าเขาทะเลาะกับพ่อ"

"ไม่นี่ครับ...ก็เห็นพ่อกับแม่คุยกันปกตินะครับพี่...เอ...ว่าแต่ว่า แม่เขาไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมไปโรงพยาบาลท่าเดียวเลยเหรอครับ"

"ใช่ พี่ว่ามันแปลกๆ นะบูม พี่เห็นแม่เขาซึมๆ ยังไงไม่รู้ พี่ถามอะไรแม่ก็ไม่ค่อยพูด บอกแค่ว่าไม่หิว ไม่กิน ไม่ไปไหนทั้งนั้น อยากอยู่คนเดียว"

"เหรอครับ...แปลกจังเลย แล้วพี่บอกพ่อหรือยังครับ" บูมถามถึงพ่อเพราะวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานที่ออฟฟิศของพ่อ

"ยังเลย...เดี๋ยวพี่ลองถามพ่อดูก่อนละกัน เผื่อพ่อจะรู้ว่าแม่เป็นอะไร แต่เดี๋ยวพี่อยู่ดูแลแม่เอง วันนี้พี่ไม่มีงานที่ไหน"

"ครับพี่...ฝากดูแลแม่ด้วยนะครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะกลับบ้าน"

พอวางสายแล้วบูมก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ทำไมอยู่ดีๆ แม่ถึงมีอาการแบบนั้นเพราะแม่ไม่ได้ทะเลาะกับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นเขาเอง พี่บีมหรือพ่อ เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วหรือนี่....

ผ่านไปสามวันแล้วคุณทิพย์นภาก็ไม่ยอมลุกขึ้นมากินข้าว ไม่ยอมไปหาหมอ ไม่ยอมออกจากห้อง ไม่ว่าใครจะพูดหรือโน้มน้าวยังไง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ บีมหรือบูม ทุกคนต่างโดนไล่ตะเพิดออกมาจากห้องของแม่ทั้งนั้น คนรับใช้ก็โดนฤทธิ์เดชไปด้วย ทำให้ทุกคนในบ้านกลุ้มใจเป็นอย่างมาก คุณทิพย์นภาเริ่มผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด หากปล่อยไว้แบบนี้คงได้เกิดโศกนาฎกรรมขึ้นในบ้านอย่างแน่นอน

บีมเห็นท่าจะไม่ดีจึงใช้วิธีอุ้มแม่ลงมาจากบ้านแล้วพาไปส่งโรงพยาบาลท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของคุณทิพย์นภา

"ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน รักพ่อของแกมากก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ปล่อยให้ฉันตายไปเลย ฉันไม่ไป ปล่อยแม่ลงเดี๋ยวนี้นะบีม ปล่อยแม่เดี๋ยวนี้"

แต่บีมก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่แม่โวยวาย บูมเปิดประตูรถรอไว้ พ่อก็นั่งตรงที่นั่งคนขับ พอบีมพาแม่เข้าไปในรถได้ บีมก็เข้าไปนั่งด้านหลังกับแม่ บูมนั่งหน้าแล้วพ่อก็ขับรถออกไปทันที นั่นแหละจึงทำให้คุณทิพย์นภาหมดฤทธิ์และยอมไปหาหมอได้ แต่ก็เล่นก็เอาเหนื่อยและเครียดไปตามๆ กัน

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

143. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #142
 
23-Apr-12, 07:21 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

144. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #143
 
23-Apr-12, 08:29 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ใครจะไปด่าwriterลงละครับ เดี๋ยวก็อดอ่านกันพอดี
หนำซ้ำเป็นผู้ที่มีอำนาจจะทำให้บูมเป็นอะไรไปก็ได้ ไม่กล้ามีเรื่องด้วย
ขอแค่อย่าแกล้งทิวมากนะครับ สงสาร ร้ิองไห้ทั้งเรื่อง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
AGAIN
Guest

145. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #144
 
23-Apr-12, 09:24 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบครับเรื่องนี้ แต่ก็สงสารทิวจังร้องไห้ตลอด
แล้วแม่รู้ได้ไงว่าทิวเป็นภรรยา ไม่แน่นะต่อไปอาจ....
ถ้าบูมรักทิวจริงให้บูมยอมทิวบ้างนะครับก่อนไปนอก


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

146. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
24-Apr-12, 00:45 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   รู้ตัวว่าต้องโดนด่าครับที่เรื่องมันเดินทางมาแบบนี้ ยินดีให้ด่าครับ ผิดไปแล้ว
เศร้าเหลือเกิน อย่าด่ากันมากนักนะครับ

------------------------------------------------------

ตอนที่ 34

คุณทิพย์นภาต้องนอนให้น้ำเกลืออยู่หนึ่งวันเต็มๆ นับว่าเธอใจกล้ามากทีเดียวที่ยอมลงทุนด้วยการเอาชีวิตของตัวเองเข้าเสี่ยงแบบนี้ เธอเห็นแล้วล่ะว่าคงไม่สามารถเอาชนะบูมได้ง่ายๆ เพราะตอนนี้พ่อลูกทั้งสามคนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เธอไม่มีพลังมากพอที่จะไปงัดคาน จึงได้ปล่อยให้บูมคบกับทิวไปพลางๆ ก่อน แต่เธอก็วางแผนนี้ไว้แล้ว มันอาจจะใช้เวลาหน่อย แต่เธอเชื่อว่ามันจะต้องได้ผลอย่างแน่นอน

ตกเย็นคุณทิพย์นภาก็ออกฤทธิ์ด้วยการไม่ยอมกินข้าวอีก เล่นเอาพยายาลปวดหัวไปตามๆ กัน พ่อลูกสามคนก็ชักจะเริ่มทนไม่ไหวเพราะไม่เข้าใจสาเหตุที่คุณทิพย์นภาเป็นแบบนี้

"คุณทิพย์ คุณเป็นอะไรของคุณ รู้ไหมว่าผมกับลูกๆ น่ะกังวลมากแค่ไหน" คุณลิขิตพูดด้วยท่าทางของคนอารมณ์เสียเพราะจนปัญญาที่จะเข้าใจแล้ว

"ก็ปล่อยให้ทิพย์ตายไปเลยสิคะ ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข เห็นรักกันนักไม่ใช่เหรอสามคนพ่อลูก ใช่สิ...ทิพย์เป็นคนไม่ดี ขี้โมโห ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย" แม้จะป่วย แต่เรื่องประชดประชันคุณทิพย์นภาก็ยังสามารถทำได้เป็นอย่างดี

"คุณทิพย์" คุณลิขิตเรียกเสียงดังเพราะชักจะเหลืออดกับภรรยาของตัวเอง บูมกับบีมยืนมองหน้ากันด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าแม่จะน้อยอกน้อยใจถึงขนาดนี้

"ทิพย์ก็ไม่อยากอยู่นักหรอกค่ะ มีลูก ลูกก็ไม่รัก แถมลูกอีกคนก็ยังมีแฟนเป็นผู้ชายอีก ปล่อยให้ทิพย์ตายไปเลยดีกว่า ทิพย์ไม่อยากเห็นให้ช้ำใจ ไม่เคยคิดถึงหัวอกคนเป็นแม่เลย"

"แม่!!!" บูมเรียกด้วยความตกใจและนึกไม่ถึง นี่สรุปว่าแม่ยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกหรือ เขานึกว่าแม่จะยอมรับได้แล้วเสียอีก

"เรียกทำไม ถ้าแกอยากให้แม่ตาย แกก็อยู่กับไอ้เกย์นั่นต่อไปซะ รักมันมากกว่าแม่ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องมาทำเป็นห่วงแม่เลย ก็ปล่อยให้ฉันตายไป พวกแกจะได้อยู่กันอย่างสบายใจ ไม่ต้องมีฉันเป็นก้างขวางคอ" คุณทิพย์นภาพูดพลางร้องห่มร้องให้ สามคนพ่อลูกได้แต่มองหน้ากันอย่างเอือมระอา

"แม่ก็...แม่อย่าคิดมากสิครับ ไม่มีใครอยากให้แม่ตายหรอกนะครับ พวกเราทุกคนก็รักแม่อยู่แล้ว" บูมบอกพลางเดินลงไปนั่งข้างๆ เตียงของแม่

"รักเหรอ...รักแล้วทำไมทำให้แม่ช้ำใจแบบนี้ รักแล้วทำไมยังไม่เลิกกับไอ้เกย์นั่น ไม่รู้ล่ะ ถ้าบูมไม่เลิกกับมัน...แม่ก็จะตายจริงๆ ด้วย ไม่ต้องพยายามที่จะมาป้อนข้าวป้อนน้ำแม่เลย ยังไงแม่ก็ไม่กิน แม่ได้ขู่เล่นๆ นะบูม แม่จะตายจริงๆ ถ้าบูมไม่เลิกกับมัน คอยดูสิ ภายในวันสองนี้แหละ"

หัวใจบูมกระตุกจนชาวาบ เขาหันไปมองหน้าพ่อกับพี่ชายด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอกได้ นี่แม่เล่นขู่บังคับเขาด้วยวิธีนี้เลยหรือ เหมือนที่เขาถูกบังคับครั้งนั้น แล้วเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย

"คุณทิพย์ ทำไมคุณจะต้องบังคับลูกขนาดนั้นด้วย คุณเป็นแม่เขา...ลูกที่ไหนมันจะกล้าปล่อยให้แม่ตาย ทำไมคุณถึงได้ทำขนาดนี้ คุณบ้าหรือเปล่า" คุณลิขิตพูดอย่างโมโห ถ้าไม่ติดว่าภรรยากำลังป่วยอยู่เขาจะไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน

"ไม่รู้ล่ะ...ฉันไม่อยากให้ลูกเป็นเกย์ ฉันรับไม่ได้ แต่ในเมื่อบูมมันดื้อ ยังคบกับไอ้เกย์นั่นอยู่ ฉันก็จะตาย เพราะฉันไม่อยากเห็น จะหาว่าบังคับอะไรก็ตามใจ แต่ฉันไม่อยากเห็น ได้ยินไหม"

----------------------------------------------------------

วันต่อมา อาการของคุณทิพย์นภาก็เริ่มทรุดลงเพราะเธอแอบถอดสายน้ำเกลือออกทุกครั้งที่มีโอกาส จริงๆ ถ้าหมอจะทำให้เธอกินข้าวนั้นก็ทำได้หลายวิธี แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางออกหรอก เพราะยังไงคุณทิพย์นภาก็จะเล่นบทนี้ให้ถึงที่สุด สามพ่อลูกได้แต่อกสั่นขวัญแขวน คราวนี้คุณทิพย์นภาไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่นิดเดียว คุณลิขิตรู้ได้ทันทีว่าเธอจะต้องเอาชนะให้ได้ แล้วถ้าเกิดลูกๆ ยังดันทุรังอยู่แบบนี้ คงจะต้องเกิดโศกนาฏกรรมจริงๆ อย่างที่เธอขู่ ก็มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น ทางเดียวที่คนเป็นพ่ออย่างเขาก็ต้องเจ็บปวดไปด้วย

"บูม...บูมจะยอมตามใจแม่ก่อนสักครั้งได้ไหมลูก พ่อดูแล้ว...ยังไงแม่เขาก็ไม่มีทางที่จะยอมอย่างเด็ดขาด คราวนี้...แม่เขาเอาชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน พ่อกลัวใจแม่เขาจริงๆ พ่อก็ไม่อยากให้ลูกทำแบบนี้หรอกนะบูม แต่เพื่อรักษาชีวิตแม่ไว้...บูมกับทิวยังเด็ก...ยังไงก็ยังมีโอกาสได้พบกันอีก อีกสองปี แม่เขาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ บูมพอจะทำให้แม่ก่อนได้ไหมลูก พอลูกไปเรียนแล้ว พ่อจะพยายามทำทุกวิถีทางให้แม่เขาเปลี่ยนใจให้ได้ พ่อสัญญาลูก แต่ตอนนี้...ชีวิตของแม่สำคัญที่สุดนะลูก..."

คุณลิขิตบอกลูกชายทั้งน้ำตา เขารู้สึกเหมือนจะขาดใจที่ต้องบอกลูกแบบนี้ แล้วบูมล่ะ นี่ก็แม่ นั่นก็เป็นคนที่เขารัก แต่เขาคงไม่ใจดำจนถึงกับจะปล่อยให้แม่ตายไปต่อหน้าต่อตาได้หรอก จะมีลูกที่ไหนที่ทำแบบนั้นได้...ถ้าไม่ใช่ลูกอกตัญญู

"ครับพ่อ..." แล้วบูมก็ปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น พ่อกับพี่ชายได้แต่ลูบหลังปลอบใจ บูมไม่มีทางเลือกอีกแล้ว...ขอโทษด้วยนะทิว เราขอโทษที่มันต้องเป็นแบบนี้อีกแล้ว

พอเห็นบูมเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ คุณลิขิตกับบีมก็พาบูมเดินเข้าไปหาแม่ในห้อง คุณทิพย์นภาดูเหนื่อยอ่อนมาก ร่างกายเธอผ่ายผอม ใบหน้าซีดเผือดราวกับจะไม่เลือดเหลืออยู่เลย

บูมนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เตียงแม่ คุณทิพย์นภาหันมามองลูกชายคนเล็กอย่างช้าๆ แล้วก็พูดประชดประชันด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า

"ไง...จะมาดูว่าฉันใกล้ตายหรือยังน่ะเหรอ"

น้ำตาของบูมเริ่มไหลพราก เขากัดฟันแน่นมองแม่ที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียงโรงพยาบาลราวกับคนที่กำลังใกล้จะตายอย่างที่แม่บอก บูมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ รวบรวมทุกพลังใจที่เขาพอจะมีเหลืออยู่ ก่อนจะตัดสินใจบอกแม่ไปว่า

"แม่ครับ...แม่กินข้าวเถอะนะครับ พวกเราไม่อยากให้แม่ตาย เอาเป็นว่า...ผม...


จะยอม...


เลิก...


กับทิว..."

กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำนั้นบูมก็ต้องกลั้นสะอื้นแล้วสะอื้นอีก พูดจบแล้วเขาก็ฟุบหน้าลงกับเตียงของแม่และร้องไห้โฮอีกครั้ง บูมร้องไห้ราวกับจะขาดใจ พ่อกับพี่ชายที่ยืนดูก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย สงสารบูมก็สงสาร แต่ตอนนี้คุณทิพย์นภาเล่นเอาทุกคนหมดทางเลือก ไม่มีใครที่จะเอาชนะเธอได้เลย

"คุณใจร้ายกับลูกมากนะคุณทิพย์ นี่คุณรักลูกหรือรักตัวคุณเองกันแน่" คุณลิขิตกัดฟันพูดเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์สะเทือนใจ เขาไม่คิดเลยว่าคนที่เป็นแม่จะใจร้ายใจดำกับลูกในใส้ของตัวเองได้ถึงขนาดนี้

ทำไมคุณทิพย์นภาถึงไม่สงสารลูกบ้าง ลูกร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจขนาดนี้เธอไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างหรือไง ทำไมเธอจะไม่รู้สึกล่ะ...ทำไมเธอจะไม่สงสารลูก คนเป็นแม่คงไม่มีใครรู้สึกดีที่เห็นลูกร้องไห้หรอก วันนี้บูมอาจจะเสียใจ แต่สักวัน...บูมจะเข้าใจความหวังดีของแม่เอง คุณทิพย์นภาเอื้อมมือไปลูบผมลูกชายเพื่อปลอบใจ ถึงจะสงสารลูกแค่ไหนแต่เธอก็ตัดสินใจแล้ว ไม่มีทางที่จะถอยกลับอย่างเด็ดขาด ไม่งั้นก็คงไม่ลงทุนถึงขนาดนี้

พอบูมเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ เขาก็เงยหน้าขึ้น หันกลับไปมองพ่อและพี่ชาย ก็ยังเห็นสองคนยืนมองเขาอยู่ แม้ทุกคนจะหยุดร้องไห้แล้วแต่ก็ยังพอมีร่องรอยให้เห็น บูมหันกลับมาหาแม่ เขาคิดว่า...เมื่อเขายอมแม่ได้แล้ว เขาก็ควรจะมีข้อแม้บ้าง

"ผมมีอะไรจะขอแม่ได้ไหมครับ แค่สองอย่างเท่านั้น"

คุณทิพย์นภามองหน้าลูกชายด้วยความสงสัย แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ บูมก็ยอมสัญญาว่าจะเลิกกับทิวแล้ว เธอก็พอใจอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้วล่ะ ถ้าบูมจะขออะไรบ้างก็คงไม่มีอะไรที่เธอน่าจะรับได้ยากไปกว่าการที่ลูกชายมีแฟนเป็นผู้ชายแล้ว คุณทิพย์นภาจึงพยักหน้าน้อยๆ เพื่อบอกว่าเธอตกลง

บูมจึงเริ่มยื่นข้อแม้ข้อแรกของเขา "อย่างแรก...ขอให้ผม...ได้อยู่กับทิวจนกว่าจะถึงวันที่ผมเดินทาง"

คุณทิพย์นภาพยักหน้าตกลงโดยไม่ต้องคิดอะไรมากนัก เพราะเธอก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอก แต่อย่างที่สองที่บูมบอกกับเธอนั้นก็ทำให้เธอถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกเช่นกันนอกจาก...ยอมรับข้อแม้ที่ลูกชายคนเล็กเสนอมา แม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม

-----------------------------------------------------------------

ดูเหมือนทิวจะตื่นเต้นทีเดียวตลอดระยะทางที่นั่งรถมาด้วยกัน เขาชี้ชวนบูมดูนั่นดูนี่และคุยไม่หยุด เจออะไรน่าสนใจระหว่างทางก็แวะจอดซื้อ เห็นทิวสดใสร่าเริงแบบนี้แล้วบูมก็ดีใจและมีความสุขไปด้วย

"เสียดายเนาะ น่าจะชวนเอิร์ธ วิท ลีน่ากับแอนเดอร์สันมาด้วย" ทิวยังไม่เลิกบ่นเรื่องนี้เพราะเขาเป็นคนเสนอบูมเองว่าให้ชวนเพื่อนๆ ที่ทำงานมาเที่ยวด้วยกันหลังจากทำรายงานเสร็จแล้ว แต่บูมก็ยืนยันว่าจะมากับเขาเพียงสองคน

"เอาน่าทิว เดี๋ยวเราพาพวกเขาไปเลี้ยงข้าวเย็นกัน แต่ตอนนี้ เราอยากอยู่กับนายสองคนมากกว่า" บูมบอกพลางยิ้มอย่างสุขใจ แม้จะมีความทุกข์บางอย่างรออยู่เบื้องหน้าก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่แค่บูมหรอก ทิวก็เหมือนกัน

ทิวยิ้มแล้วก็หันมากินขนมที่ซื้อมาระหว่างทางต่อ "กินไหม" ทิวหันไปถาม บูมพยักหน้าแต่ไม่ได้หันมามองเพราะเขาต้องคอยมองทางเวลาขับรถ

ทิวหยิบขนมในถุงแล้วก็ส่งเข้าปากบูม จากนั้นก็หยิบกินของตัวเองแล้วก็ป้อนบูมสลับไปมาอย่างสนุกสนาน ใช้เวลาเดินทางไม่นานนักก็มาถึงที่พักในตอนสายๆ ที่ที่บูมเลือกเป็นรีสอร์ทแบบบูติกที่อยู่ติดกับชายหาดบางแสนพอดี

ทิวดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นทะเล เขาไม่ได้มาเที่ยวแบบนี้หลายปีแล้วตั้งแต่แม่เสีย ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง พอจอดรถ ทิวก็รีบวิ่งไปยืนมองดูทะเลที่ด้านหน้าที่พักด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าบางแสนจะไม่ได้เป็นชายหาดที่ขึ้นชื่อในความสวยงามมากนัก แต่ก็อยู่ใกล้กรุงเทพและสามารถมาได้บ่อยเท่าที่ต้องการ

"ทิว...เอาของไปเก็บก่อน เดี๋ยวค่อยมาเล่นน้ำทะเลกัน" บูมร้องเรียก เห็นทิวชอบแล้วบูมก็มีความสุข แต่คงจะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายระหว่างเขาสองคนแล้วสินะ

ทิวเดินกลับมาที่รถ เจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทมาช่วยพวกเขาเอากระเป๋าเข้าไปในโรงแรม พอได้ห้องพักแล้วบูมก็พาทิวขึ้นไปดูห้องก่อน ห้องของเขาทั้งสองคนเป็นห้องพักพิเศษ มีขนาดห้องค่อนข้างกว้าง โปร่งโล่งสบาย เปิดผ้าม่านออกไปก็จะมองเห็นทะเลพอดี

พอเจ้าหน้าที่โรงแรมเอากระเป๋าขึ้นมาให้แล้ว ทิวก็วิ่งไปตรงเปิดผ้าม่านแล้วก็เลื่อนประตูกระจกออก เขาเดินออกไปยืนตรงระเบียงและมองดูทะเลพร้อมกับรอยยิ้มมีความสุข บูมเก็บกระเป๋าเข้าที่แล้วก็รีบเดินออกไปสมทบทันที

"ชอบไหมทิว" บูมถามพลางสวมกอดทิวเบาๆ ทางด้านหลัง

"ชอบสิ...ชอบมากๆ เลย สวยดี มาคราวนี้เรารู้สึกชอบทะเลยังไงก็ไม่รู้ นี่ถ้าไม่มีนายเป็นแฟน...เราก็คงไม่มีโอกาสได้มาหรอก"

"จริงเหรอ" บูมพูดพร้อมกับฝังจมูกลงบนต้นคอของทิว สูดดมกลิ่นกายหอมอ่อนๆ ที่เขาคุ้นเคย

"ไปเล่นน้ำทะเลกันไหม"

มีหรือที่ทิวจะพลาด ที่อยากมาที่นี่ก็เพราะอยากมาเล่นน้ำทะเลนี่แหละ "ไปสิ"

----------------------------------------------------

บูมกับทิวเปลี่ยนชุดเป็นกางเกงขาสั้นสำหรับเล่นน้ำแล้วก็วิ่งลงมาที่ชายหาดด้วยกัน สองหนุ่มวิ่งหยอกเย้ากันอย่างสนุกสนาน แกล้งกันไปแกล้งกันมา บางทีก็เดินเล่นบนชายหาด บูมจับมือทิวไว้ตลอด เขาไม่แคร์สายตาของใครใดๆ ทั้งสิ้นที่มองมา จากนั้นก็ไปขี่บานาน่าโบ๊ทเพราะทิวบอกว่าเขาไม่เคยขี่ ระหว่างที่เล่นเขาก็กอดบูมแน่นด้วยความหวาดเสียว บูมได้แต่หัวเราะชอบใจ แต่แวบหนึ่งเขาก็คิดขึ้นมาว่า "ถ้าเราไม่อยู่...นายจะกอดใครเวลาที่นายต้องการความอุ่นใจล่ะทิว" แต่บูมก็รีบสลัดมันทิ้งไป เขาไม่อยากพูดหรือคิดถึงเรื่องเศร้าๆ ในตอนนี้เลย ขอใช้เวลาให้มีความสุขอย่างเต็มที่กับคนที่เขารักก่อนเถอะ

พอเล่นจนเหนื่อย บูมกับทิวก็มานั่งๆ นอนๆ เล่นบนเก้าอี้ผ้าใบริมชายหาด มีร่มบังแดดไว้อยู่จึงไม่ร้อน ลมทะเลที่พัดมาตลอดเวลาก็ให้ความรู้สึกเย็นสบาย บูมนอนอ่านหนังสือที่เขาพกมาด้วยอย่างสบายใจ ส่วนทิวก็นอนฟังเพลงกับโทรศัพท์ของเขาอย่างมีความสุข แม้จะไม่ได้พูดกันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่ก็หันมายิ้มให้กันเป็นระยะๆ เขาบอกว่าคนที่จะอยู่ด้วยกันได้ต้องไม่รู้สึกอึดอัดที่จะให้คู่ชีวิตมีโลกส่วนตัวเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง

จนกระทั่งแดดร่มลมตก บูมก็ชวนทิวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ขับรถออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารทะเลริมทะเลแห่งหนึ่ง บูมก็ยังไม่ได้คุยกับทิวเรื่องนั้น ทิวเองก็ยังไม่ได้บอกทิวเรื่องเดียวกันนั้นเหมือนกัน จนกระทั่งกินข้าวเย็นเสร็จ

บูมกับทิวมานั่งคุยกันที่ริมทะเลมืดๆ อีกครั้ง ตอนนี้สีท้องฟ้ากับทะเลก็ดำมืดไม่ต่างกันจนแทบแยกไม่ออก แต่ก็รู้ได้ว่าเป็นทะเลเพราะเสียงคลื่น สองหนุ่มนั่งทอดอารมณ์คุยกันบนหาดทรายอย่างสบายอารมณ์ จนทิวรู้สึกว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่จะพูดเรื่องนั้นเขาจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน

"บูม...นายจะว่าอะไรไหมถ้านายกลับมา...แล้วไม่เจอเรา" ทิวเริ่มต้นด้วยคำถามที่ทำให้บูมต้องหันมามองอย่างแปลกใจ

"ทำไมล่ะทิว นายจะไปไหนเหรอ"

"ไม่รู้สิ...แต่เรามาคิดๆ ดูแล้ว...ชีวิตเรากับนายก็ต่างกันเยอะนะ บางทีก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่กันคนละโลกที่ไม่มีทางจะมาเจอกันได้ บางที...เราอาจจะเห็นแก่ตัว...ถ้านาย...ไม่อยู่กับเรา...นายคงจะมีอนาคตที่สดใสมากกว่านี้" น้ำเสียงของทิวเริ่มเศร้าลงจนจับความรู้สึกได้

"เราไม่เคยคิดอย่างนั้นนะทิว เราไม่เคยคิดว่าเราจะเสียอนาคตเพราะเราเป็นแฟนกัน เราก็ยังเป็นคนเดิม มีศักยภาพที่จะทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง คุณค่าในตัวของเราก็ไม่ได้ลดลงไปเพราะเรารักกัน เราก็ยังจะทำงาน เราก็ยังคิดที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคมเท่าที่เราจะทำได้เหมือนเดิม มันจะเสียอนาคตยังไง เราไม่เข้าใจ" บูมหันมาถามพลางขมวดคิ้ว แล้วก็หันมองกลับไปที่ทะเลตามเดิม

"เราจะขี้เกียจขึ้นเหรอ เราจะโง่ลงหรือเปล่าที่เราคบกับนาย ไม่เลยนะทิว...นายไม่ใช่สาเหตุของสิ่งเหล่านี้ เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าเราจะทำอะไร เราเลือกได้ว่าเราจะเป็นคนดีหรือไม่ดี" แล้วบูมก็หันกลับมามองทิวอีกครั้ง "เราสองคนไม่ผิดหรอกนะทิวที่เราจะรักกัน แต่คนอื่นเขาไม่เข้าใจเราต่างหาก คนอื่นๆ เขายังมองว่าเราผิดปกติ ผิดธรรมชาติ แต่เรากับนายก็รักกันด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ เราไม่ได้รักกันเพราะฤทธิ์สารเคมี แต่เรารักกันด้วยหัวใจ มันไม่ได้ต่างจากความรักของชายหญิงทั่วไปตรงไหน ถ้าความรักของเราผิดปกติ ความรักของคนทั้งโลกก็คงจะผิดปกติด้วย บางทีคนเราก็มักไม่รู้หรอกว่า...เวลาที่เขาไปไหน เขาก็มักจะพกไม้บรรทัดส่วนตัวไปด้วย แล้วเขาก็เที่ยวเอาไม้บรรทัดของตัวเองไปวัดคนอื่น คิดว่าคนอื่นจะต้องมาตรฐานเดียวกับเขา แต่ไม้บรรทัดของใครก็ใช้ได้เฉพาะกับคนนั้นเท่านั้น ใช้กับคนอื่นไม่ได้หรอก"

ทิวตั้งใจฟังจนแทบจะลืมหายใจ เขาไม่มีอะไรจะโต้แย้งสิ่งที่บูมพูดมาเลย มันก็จริงอย่างที่บูมว่านั่นแหละ คนสองคนรักกันมันผิดปกติตรงไหนเพราะเราต่างก็ใช้หัวใจรักกันเหมือนกับคนทั่วๆ ไป แต่ว่า...โลกของเราจะมีสักกี่คนที่คิดแบบนี้

"เราเข้าใจ แต่..." ทิวถอนหายใจแล้วก็พูดต่อ "แล้วนายเคยคิดไหมว่า...บางที...ความรักของเรามันก็อาจจะ...มาถึงทางตันแล้วก็ได้" ทิวค่อยๆ แซะเข้าไปในประเด็นที่เขาต้องการ

มันไม่ใช่แค่คิดแล้วล่ะทิว แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แหละ บูมถอนหายใจอย่างหนักใจเช่นกัน เขาหยิบเศษท่อนไม้ขนาดเท่าปากกาย่อมๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาแล้วก็เขวี้ยงลงทะเลไป

"ทิว...ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้น ขอให้นายจำไว้เสมอนะว่าเรารักนาย รักมากที่สุดในชีวิต ไม่ว่าโชคชะตาชีวิตเราจะเป็นยัง ไม่ว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหรือไม่ เราก็รักนาย นายไม่ต้องห่วงนะ...ขอแค่ให้มีโอกาสเท่านั้น ยังไงเราก็จะกลับมา แต่ถึงจะไม่ได้กลับมา...ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักนาย นายรู้ไหมว่า...เราห่วงก็แต่นายเท่านั้นแหละ เรากลัวนายจะเหงา นายจะกอดใครเวลาที่นายต้องการความอุ่นใจ ใครจะนอนเป็นเพื่อนนาย เวลาที่นายเศร้า นายจะไปหาใคร เวลาที่นายลำบาก ใครจะช่วยนาย เราเป็นห่วงนายมาก...มากจนบางทีเราไม่อยากไป"

แล้วบูมก็ฝากฝังทิ้งท้ายว่า "นายเรียนให้จบนะทิว นายจะได้ไม่ลำบาก" บูมกะพริบตาถี่ๆ เมื่อน้ำตามันเริ่มเอ่อล้นขอบตาจนร้อนผ่าว "พอเราไม่อยู่แล้ว...นายอยู่ได้ใช่ไหมทิว นายอยู่ได้ใช่ไหม" พูดจบบูมก็ดึงทิวมากอดไว้ ต่างคนต่างร้องไห้และกอดกันด้วยความใจหาย คนเคยอยู่ใกล้ชิด เคยร่วมเรียงเคียงหมอนราวกับเป็นสามีภรรยากัน ความรักและความผูกพันย่อมมีมากเป็นธรรมดา มันคือการจากการกันครั้งที่ทรมานเหลือเกิน ดวงดาวบนท้องฟ้าที่ระยิบระยับในเวลานี้ก็ไม่ได้ช่วยผ่อนคลายบรรยากาศให้ดีขึ้นได้เลย

"เราอยู่ได้นะบูม...นายไม่ต้องห่วงเราหรอก เราจะรอวันที่นายกลับมา...ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหน จนตายเราก็จะรอ...ขอให้เราได้เจอนายอีกสักครั้งในชีวิต"

"ทิว...เรารักนายเหลือเกิน เราไม่อยากจากไปไหนเลย เรารู้สึกเหมือนคนใจจะขาด"

"เราก็รักนายนะบูม รักที่สุดในชีวิตของเรา"

ดึกแล้ว...บูมพาทิวขึ้นมาบนห้องพัก ในบรรยากาศแปลกใหม่แบบนี้ ความต้องการของทั้งคู่ก็โหมกระพือขึ้นจนยากที่จะควบคุมได้ เขาทั้งคู่ป้อนความสุขให้แก่กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ราวกับว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้อีกแล้ว จนข้ามคืนไปสู่วันใหม่ พายุนั้นจึงสงบลง ทิวนอนซบอยู่ในอ้อมกอดบนอกที่แสนอบอุ่นของบูมอย่างเหนื่อยอ่อน แต่เขาก็มีความสุขมาก มากจนแทบจะสำลัก มากจนไม่สามารถที่จะลืมวันเวลาดีๆ เหล่านี้ได้เลยจนกว่าชีวิตจะหาไม่

-----------------------------------------------------

เช้าแล้ว อากาศช่างสดใสเสียจริงๆ ท้องฟ้าโปร่งโล่งและแดดแรงแต่เช้า บูมกับทิวกินข้าวเช้าที่โรงแรมแล้วก็ลงไปเดินเล่นที่ชายหาด พวกเขาไม่ได้ใส่ชุดสำหรับเล่นน้ำเพราะตอนบ่ายๆ ก็จะกลับแล้ว ทั้งคู่เดินจับมือกันไป คุยกันไปโดยไม่สนใจว่าแดดจะแรงแค่ไหน ไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเหตุใดชายหนุ่มสองคนจึงเดินจูงมือกัน จนกระทั่งถึงตอนหนึ่ง บูมก็หยุดเดิน เขาจับมือทิวมากุมไว้ทั้งสองข้างแล้วก็พูดขึ้นว่า

"ทิว...เราอยากให้เราสองคนสัญญาอะไรกันบางอย่างได้ไหม"

ทิวมองหน้าคนที่เขารักตรงหน้าแล้วก็พยักหน้า ไม่มีอะไรหรอกที่เขาจะสัญญาไม่ได้ เขายินดีจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คนที่เขารักได้ทั้งนั้นในตอนนี้

"เราอยากให้เราสองคนสัญญากันว่า...ตลอดช่วงเวลาที่เราสองคนจะไม่ได้เจอกัน เราจะไม่รักใครคนอื่นอีกเลย เราจะไม่มองใคร จะไม่มอบหัวใจให้ใคร จนกว่า...เราสองคนจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง...และยกเลิกสัญญานี้...ด้วยตัวของเราเองเท่านั้น นายยินดีที่จะสัญญากับเราอย่างนี้ไหม"

สองหนุ่มสบตากัน ทิวยิ้มละไมที่มุมปาก เขาพยักหน้าแล้วก็ตอบตกลง "เราสัญญา"

บูมยิ้มแล้วก็โอบกอดทิวไว้ สักพักเขาก็ปล่อยทิวออกจากอ้อมกอดแล้วจับมือทิวไว้ข้างหนึ่ง เขาค่อยๆ พาทิวเดินลงไปในทะเล ลึกลงไปและลึกลงไป เมื่อเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยแล้วก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัว เพราะต่างก็มั่นใจในกันและกัน เมื่อฟ้า...ไม่ได้ลิขิตให้เขาสองคนได้รักกันและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างคู่รักทั่วไป ก็ไม่เป็นไรหรอก...เขาทั้งสองคนก็ยังสามารถลิขิตชีวิตของตัวเองได้ โอกาสหน้าฟ้าใหม่ก็ยังมี หากความรักที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นเป็นรักแท้ ความรักก็จะนำเขาทั้งสองคนให้กลับมาพบกันอีกครั้ง...บนโลกใบนี้...หรือบนฟ้าที่แสนไกลนั้น...

จบ

....

....

....

....

....

....

....

....ไม่ใช่ชี....

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

147. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #146
 
24-Apr-12, 08:52 AM (SE Asia Standard Time)
 
   คืออะไรครับ...จบ แล้วเหรอ...
ยังไม่จบใช่ไหมครับ...ผม งง งง
มันยังมีปริศนาอีกข้อที่บูมขอสัญญาจากแม่ ...เค้านิครับ

หรือจบแบบตายทั่งคู่แบบนี้ เหรอ...โอ๊ย งง งง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

148. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #147
 
24-Apr-12, 11:04 AM (SE Asia Standard Time)
 
   อุย....เอางี้เหรอครับ ไหวไหมเนี่ย แค่ดูคร่้่าว ๆ นะ ถึงตอนคุณะธอมันยอมหม่ำ แล้วอะไรนิด ๆ เดินลงทะเล ถ้าอ้านทุกบรรทัด ละก็? เอาจริงเรอะ มีก๊อกสองไหมครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

149. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #148
 
24-Apr-12, 11:07 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ูอูย....เอางี้เหรอครับ ไหวไหมเนี่ย แค่ดูคร่้่าว ๆ นะ ถึงตอนคุณเธอยอมหม่ำ แล้วอะไรนิด ๆ เดินลงทะเล ถ้า่อ่านทุกบรรทัด ละก็? เอาจริงเรอะ มีก๊อกสองไหมครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

150. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #148
 
24-Apr-12, 11:20 AM (SE Asia Standard Time)
 
   คำขอที่สองของบูม คืออะไรล่ะครับ ยังไงนี่ คนอ่านงง อย่าบอกนะครับว่าไปต่อภาคสวรรค์ เหมือน กามนิต-วาสิษฐี


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Nueng
Guest

151. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #146
 
24-Apr-12, 12:18 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ยัง งง ๆ อยู่เลย ว่าจบจริงหรอ หรือว่ามีต่อครับ แล้ว .... ไม่ใช่ชี... คืออะไรครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

152. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
24-Apr-12, 12:46 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   อิๆ สนุกจัง คนอ่านงงกันใหญ่ลองถอดรหัสคำว่า "จบ.........ไม่่ใช่ชี" สิครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

153. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #152
 
24-Apr-12, 01:17 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ถ้า "ไม่ใช่ชี" ก็เป็น "พระ"......จบพระ.....จะพบ จะพลบ

งง....จะพบตอนต่อไป?????

อะไรวุ้ย


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

154. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #153
 
25-Apr-12, 08:21 AM (SE Asia Standard Time)
 
   เมื่อเช้าตื่นมา...นึกถึงปริศนาของคุณ SARAWATTA
หรือคำขอที่บูมขอสัญญาจากแม่คือ...บวช


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อ๊อด
Guest

155. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #154
 
25-Apr-12, 12:44 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ผมอยากให้จบแบบ Happy ending น่ะครับ ชีวิตคนเรามันเครียดอยู่แล้ว


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

156. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #155
 
25-Apr-12, 04:26 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ลุ้นต่อไปเรา ก็เรามันสาวกของนายล่ะนิ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

157. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #156
 
25-Apr-12, 10:07 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ไม่รู้มีคนตอบถูกหรือเปล่า แต่เหมือนจะมีบางคนรู้แล้ว
จบ...ไม่ใช่ชี ก็คือ...จบมั้ง (ไม่ใช่ชี=พระ=monk=มั้ง) ขำไหมครับ
เอามาอำเล่นๆ สนุกๆ ครับ นักเขียนที่ดีต้องหาอะไรมาแกล้งคนอ่านให้ได้ อิๆ

ตัวละครที่ชื่อ "บูม" จริงๆ แล้วมีตัวตนจริงๆ นะครับ แต่ไม่ได้เป็นเกย์หรอก
แต่น้องคนนี้ที่ชื่อบูมเป็นเยาวชนรุ่นใหม่ที่ผมประทับใจมาก เป็นคนที่คิดดีและอยากทำงานเพื่อช่วยสังคม
และลงมือทำด้วยตัวเอง ผมปลื้มจนเอามาเป็นตัวเอกของเรื่องซะเลย
ผมอยากให้เห็นว่า คุณค่าของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำอะไรต่างหากล่ะ
โม้พอละ

-----------------------------------------------------------

ตอนที่ 35

"พบศพสองหนุ่มคู่รักเกย์เกยตื้นชายหาดบางแสน" คุณทิพย์นภาขมวดคิ้วเมื่อเจอข่าวนี้ในหนังสือพิมพ์ แล้วก็ทำสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เธออดค่อนขอดไม่ได้ว่า "จะรักอะไรกันนักกันหนา"

เธอวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วก็ไม่หยิบมาอ่านต่ออีก ปกติเธอก็จะอ่านบ้างก่อนออกไปทำงาน แต่พอเห็นข่าวนี้แล้วก็พาลทำให้ไม่อยากอ่านหนังสือพิมพ์วันนี้ไปเลย จึงหันมานั่งจิบกาแฟและกินขนมปังปิ้งทาเนย

"อ้าวบูม...จะไปทำงานแล้วเหรอลูก กินอะไรก่อนไหม แม่พิน...จัดชุดอาหารเช้าให้คุณบูมชุดหนึ่ง" คุณทิพย์นภาถามลูกชายคนเล็กที่กำลังเดินลงมาแล้วก็หันไปเรียกคนรับใช้ให้ยกชุดอาหารเช้ามาให้บูม

"แล้วพ่อล่ะ ยังไม่ลงมาอีกเหรอ" คุณทิพย์นภาถามพลางเมียงมองหา

บูมนั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้วก็ตอบสั้นๆ โดยไม่มองหน้าแม่ไปว่า "เดี๋ยวลงมาครับ" จนถึงวันนี้บูมกับแม่ก็ยังคงมีช่องว่างบางอย่างที่ทำให้บูมไม่รู้สึกสนิทใจกับแม่นัก หลังๆ มานี้เหมือนแม่จะพยายามเอาใจเขามากขึ้น แต่สิ่งที่ผ่านมานั้นก็ทำให้บูมเจ็บจนเกินที่จะทำใจได้ง่ายๆ

บูมหยิบหนังสือพิมพ์ที่แม่ทิ้งไว้บนโต๊ะมาอ่านระหว่างรอชุดอาหารเช้า พอเห็นข่าวเดียวกับที่แม่เพิ่งเห็นบูมก็นั่งนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง คุณทิพย์นภาเองก็ลอบสังเกตดูด้วยความสนใจเหมือนอยากรู้ว่าลูกชายของเธอกำลังคิดอะไรอยู่เมื่อได้เห็นข่าวนั้น

แน่นอน...เมื่อเห็นแล้วบูมจะนึกถึงใครไปไม่ได้เลยนอกจาก...คนที่เขาเฝ้าตามหามาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากกลับมาจากเมืองนอกแล้วบูมก็ไม่เจอทิวเลย ตอนที่เรียนอยู่เขาก็ไม่สามารถติดต่อทิวได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด โทรศัพท์ก็ไม่ติด อีเมล์ก็ไม่ตอบ เฟสบุ๊คก็เงียบเหมือนทิวหยุดอัปเดตมันไปเลย พอเขากลับมาก็ได้รู้ว่าทิวขายบ้านหลังนั้นไปแล้ว ไม่รู้ว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน เบอร์โทรศัพท์ก็เปลี่ยน ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่มีใครรู้ว่าทิวไปทำงานที่ไหนหลังจากเรียนจบแล้ว เขาพยายามสืบหาจากคนที่คิดว่าน่าจะรู้ข่าวคราวของทิวบ้างก็ไม่มีใครรู้ว่าทิวอยู่ที่ไหนเลยสักคน แม้แต่ต้องเองก็ยังไม่รู้ ทำไมทิวถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ ทิวจะรู้ไหมว่าเขาคิดถึงและเป็นห่วงทิวมากแค่ไหน

กว่าหนึ่งปีแล้วที่ชีวิตในแต่ละวันของบูมหลังจากกลับจากเมืองนอกมีแต่งานกับงาน เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน ปีนี้เขาอายุย่าง 28 ปีแล้ว ก็ถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วล่ะ

"อ้าวหนูแพรว ตื่นแล้วเหรอ...จะกินอะไรเลยไหม" คุณทิพย์นภาร้องทักลูกสะใภ้ที่เดินลงมากับลูกสาวคนเล็กพลางยิ้ม

"ยังหรอกค่ะ คงสายๆ หน่อย พอดีน้องพีมเขาอยากมาหาบูมน่ะค่ะคุณแม่ แพรวก็เลยพามา" แพรวบอกพลางยิ้มเช่นกัน

บูมวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วก็อุ้มหนูน้อยที่เดินมาเมียงมองอยู่ข้างๆ ขึ้นนั่งบนตัก อารมณ์เขาเปลี่ยนไปเกือบจะทันทีเมื่อได้เห็นความน่ารักเด็กหญิงตัวน้อย "ว่าไงครับพีม...วันนี้กวนคุณแม่แต่เช้าเลยนะครับ" บูมพูดแล้วก็หันไปยิ้มกับแพรว

"ร้องหาบูมตั้งแต่เช้าเลยค่ะ" แพรวบอกพลางยิ้ม

บูมเล่นกับน้องพีมสักพักคุณลิขิตก็ตามลงมาสมทบ

"คุณปู่มาแล้ว" เสียงใสร้องทักอย่างดีใจ

บูมจึงปล่อยน้องพีมให้วิ่งไปหาคุณปู่ คุณลิขิตอุ้มหลานสาวแล้วก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี

"คุณปู่ขา...ไปทำงานกับปู่"

ได้ยินอย่างนั้นแล้วคนเป็นปู่ก็หัวเราะชอบใจ ตั้งแต่มีน้องพีมเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว บ้านหลังนี้ก็มีความสดใสมากขึ้น น้องพีมกลายเป็นจุดสนใจและความรักของทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะบูมด้วยแล้ว เขารักน้องพีมของเขามาก ว่างเมื่อไรเป็นต้องมาเล่นด้วยหรือไม่ก็พาไปเที่ยวบ่อยๆ น้องพีมจึงติดเขามาก ไปไหนก็ถามหาตลอด

"กินอาหารเช้าก่อนไหมคะ" คุณทิพย์นภาถามสามี

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมต้องรีบไป มีประชุมแต่เช้า บูมพร้อมหรือยังลูก" คุณลิขิตหันมาถามลูกชาย

"ครับพ่อ ไปเลยก็ได้ครับ" บูมบอกพลางลุกขึ้นเตรียมตัว

"อ้าว...แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนล่ะบูม" แม่ร้องทักอย่างเป็นห่วง

"เดี๋ยวไม่ทันประชุมครับ" บูมตอบเสียงเรียบ

คุณทิพย์นภาหน้าเจื่อนเล็กน้อย บูมเงียบขรึมกับเธอมากตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวนั้นเมื่อสามปีก่อน ลูกชายคนเล็กคงจะโกรธเธออยู่ในใจบ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งนึกถึงข้อแม้ข้อที่สองของบูมที่ขอเธอไว้ตอนอยู่โรงพยาบาลแล้วก็ยิ่งทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอเริ่มรู้สึกผิด ถึงบูมจะเลิกคบกับทิวไปแล้ว แต่เธอก็ไม่เห็นว่าชีวิตของบูมจะมีอะไรแตกต่างไป สิ่งที่เธอคาดหวังว่าจะได้เห็นก็มีแต่ริบหรี่ๆ ลงเรื่อยๆ

คุณลิขิตอุ้มหลานสาวมาส่งให้ลูกสะใภ้ พอร่ำลากันพอหอมปากหอมคอแล้วสองพ่อลูกก็รีบไปทำงานทันที

-----------------------------------------------------

"เป็นไงมั่งล่ะบูม ได้ข่าวคราวของทิวบ้างไหมลูก"

คุณลิขิตถามขึ้นขณะนั่งรถไปทำงานด้วยกัน เมื่อก่อนต่างคนต่างแยกกันไป เดี๋ยวนี้บูมเป็นคนขับรถให้พ่อและไปทำงานด้วยกัน ยกเว้นวันไหนที่มีธุระคนละที่จึงค่อยไปคนละคัน

"ยังเลยครับพ่อ เมื่อหลายเดือนที่แล้วผมไปถามเจ้าของบ้านคนใหม่ เขาก็บอกว่า...เขาเคยจดเบอร์โทรศัพท์ของทิวไว้อยู่ แต่ก็เขาจำไม่ได้ว่าเอาไปไว้ตรงไหน ผมก็ขอให้เขาช่วยหาให้อีกทีแต่ก็ยังหาไม่เจอครับ วันเสาร์นี้ผมว่าจะลองไปถามดูอีกที" สีหน้าบูมเริ่มเครียดเมื่อพูดถึงการหายตัวไปของทิว

"พ่อขอโทษจริงๆ นะลูก วันนั้น...พ่อไม่น่าบอกให้ลูก..." แล้วคุณลิขิตก็ถอนหายใจ เขารู้สึกผิดทุกครั้งที่นึกถึงวันนั้น

"พ่ออย่าพูดถึงมันเลยครับ...ไม่ใช่ความผิดของพ่อหรอกครับ...ถ้าไม่ทำแบบนั้น...แม่ก็คง..." แล้วบูมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

"บูม...พ่อว่าแม่เขาเริ่มอ่อนลงแล้วล่ะ อีกไม่นานนี้เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ว่าตอนนี้...เราต้องช่วยกันตามหาทิวให้เจอก่อน พ่ออยากเห็นลูกมีความสุข ไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนี้เลย"

"เป็นแบบนี้" ที่คุณลิขิตพูดถึงก็คืออาการเศร้าซึมของบูมนั่นเอง พอไม่ได้ทำงานแล้วบูมก็ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปหาเพื่อน ไม่คบใคร อย่างมากก็พาพีมออกไปเที่ยวหรือซื้อของบ้าง เห็นลูกชายคนเล็กเก็บเนื้อเก็บตัวแล้วเขาก็ยิ่งเป็นห่วง เขากลัวว่าสักวันบูมจะเป็นโรคซึมเศร้าได้

พอพูดถึงแม่แล้วบูมก็เงียบจนคุณลิขิตต้องถามว่า

"บูมยังโกรธแม่อยู่เหรอลูก..."

บูมนิ่งเงียบและใช้ความคิด เขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรเหมือนกัน เขาก็รู้สึกว่าโกรธ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้นั่นคือแม่ จะชั่วดีอย่างไรมันก็มีความผูกพันทางสายเลือด แต่เขาแค่ยังทำใจไม่ได้ที่แม่...ทรมานชีวิตเขามากเหลือเกิน แม่จะรู้ไหมว่าการพลัดพรากจากคนที่รักกันมากๆ เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปบูมก็ไม่เคยลืมช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับทิว บูมยังคงทำตามสัญญานั้นที่เขากับทิวให้กันไว้เสมอ สามปีที่ผ่านไปนั้นไม่มีใครสักคนไม่ว่าหญิงหรือชายผ่านเข้ามาในชีวิตของบูมเลย แม้จะมีคนมาชอบเขามากมาย แต่บูมก็ไม่เล่นด้วย เขากลายเป็นคนที่เก็บตัวเงียบมากขึ้น จนดูเหมือนว่าเขาแทบจะไม่มีสังคมไปแล้ว

"พ่อเข้าใจนะลูก...แต่เชื่อพ่อ อีกไม่นานนี้แหละแม่เขาจะรู้ตัวเองว่า...เขาทรมานชีวิตของลูกมากแค่ไหน" คุณลิขิตพูดเสียเองเมื่อเห็นบูมนิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะอธิบายให้พ่อฟังอย่างไร

-------------------------------------------------

ดูเหมือนบรรยากาศในการกินข้าวเย็นด้วยกันมันดูกร่อยๆ ชอบกล คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่รู้ว่ามีความสุขหรือเปล่าที่มานั่งอยู่ตรงนี้ สีหน้าเขาเหมือนกับถูกบังคับให้มาเสียมากกว่า

"พี่ทิว...เมื่อไรพี่จะใจอ่อนกับผมเสียที ผมรอมานานแล้วนะ" อยู่ๆ แต๋งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นหลังจากที่เขาเคยเลิกถามไปได้หลายเดือนแล้ว

ทิวใช้หลอดดูดเขี่ยแก้วน้ำผลไม้ไปมาพลางเลิกคิ้วมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า จริงๆ วันนี้เขาก็ไม่ได้อยากออกมาซื้อของหรอก แต่ทนแต๋งรบเร้าไม่ไหวก็เลยต้องยอมมาเป็นเพื่อน ทิวรู้สึกว่ายิ่งใช้เวลาอยู่กับแต๋งมากเท่าไรก็ยิ่งจะกลายเป็นการสร้างความหวังให้แต๋งมาขึ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ทิวรักใครไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าแต๋งจะพยายามแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ สัญญาที่เขาให้ไว้กับบูมนั้นเขารักษาไว้มันเป็นอย่างดี เขาไม่เคยคิดจะผิดสัญญา ไม่เคยคิดที่จะขอให้บูมกับเขาได้เจอกันเพื่อที่จะยกเลิกสัญญานั้น

"พี่..." จะบอกยังไงดีหนอ จะบอกว่าไม่รักก็ดูจะทำร้ายจิตใจกันเกินไป จะบอกว่ายังไม่พร้อม ก็ไม่ไช่เรื่องนั้น เขาไม่อยากโกหก เขาไม่อยากให้แต๋งมีความหวัง

"ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรหรอกพี่...ผมก็ถามไปงั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอกครับ" แต๋งบอกพลางหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อรู้ว่ากำลังสร้างความลำบากใจให้กับทิวอยู่

"อยากรู้จังว่า...คนนั้นที่พี่ทิวชอบเป็นใคร...มีดีอะไรนักหนาพี่ถึงไม่เคยลืมเขาเลย" แต่แต๋งก็ยังไม่วายที่จะพูดกระเง้ากระงอดจนได้

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทิวไม่ใจอ่อนง่ายๆ ก็เป็นเพราะแต๋งยังเด็กนี่แหละ แต๋งไม่สามารถทำให้ทิวรู้สึกอุ่นใจเหมือนเวลาที่เขาอยู่กับบูมได้ อ้อมกอดของบูมเท่านั้นที่ทิวเฝ้าโหยหา อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใยและความอบอุ่น กลิ่นกายที่หอมอุ่นๆ นั้นไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของทิวเลย แต่เขา...ก็จำใจต้องจากมาด้วยความทรมานและตัดช่องทางการติดต่อทุกอย่างที่บูมจะติดต่อเขาได้เพราะแม่ของบูมได้ขอแกมบังคับเขาไว้ พอบูมไปแล้วเขาก็ถูกแม่ของบูมตามรังควานอยู่พักใหญ่เพราะเธอยังไม่ไว้ใจว่าทิวได้ตัดขาดการติดต่อกับบูมไปแล้วจริงๆ จนเมื่อทิวได้งานทำเขาจึงตัดสินใจขายบ้านและย้ายมาอยู่ที่นี่เสียเลย เพื่อที่จะให้ครอบครัวของบูมสบายใจว่าเขาจะไม่กลับไปทำลายอนาคตของบูมอีก แล้วก็ได้มาเจอแต๋งซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับเขา

"พี่ว่าเรากลับกันดีไหม ห้างใกล้จะปิดแล้ว" ทิวรีบเปลี่ยนเรื่อง เขาหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับแต๋งเพราะรู้สึกไม่แน่ใจว่าสีหน้าเขาเป็นแบบไหน กลัวว่าจะแสดงความไม่พอใจให้แต๋งเห็น

แต๋งเเหมือนจะรู้ตัวว่าทำให้ทิวรู้สึกอึดอัดจนเกินไปจึงต้องยอมหยุด แล้วก็ยอมกลับบ้านแต่โดยดี

พอมาถึงที่พักของทิวแล้ว แต๋งก็ขอช่วยถือของขึ้นไปส่งทิวที่ห้องพักด้วย

"เดี๋ยวผมช่วยถือขึ้นไปส่งละกันครับ" แต๋งว่าพลางฉวยของใช้ส่วนตัวที่ทิวถืออยู่มาถือเสียเอง พอทิวจะร้องห้ามแต๋งก็รีบดักไว้ว่า "ให้ผมช่วยเถอะนะพี่ อย่าปฏิเสธผมบ่อยเกินไปนักเลย ผมรักพี่นะ พี่ไม่รักผมตอบผมก็ไม่ว่า แค่ขอให้ผมได้ทำอะไรให้พี่บ้างได้ไหมครับ"

ทิวก็เลยต้องยอม แต๋งล็อกรถแล้วก็เดินตามทิวขึ้นมาบนห้องพัก แต่แต๋งก็ทำสิ่งที่ทิวคาดไม่ถึง เมื่อแต๋งเอาของวางไว้แล้วแต๋งก็วิ่งเข้ามกอดทิวจากทางด้านหลัง

"แต๋งจะทำอะไรครับ" ทิวร้องด้วยความตกใจพลางพยายามจะแกะมือนั้นออก

"พี่ทิว...ให้ผมกอดพี่บ้างได้ไหม พี่รู้ไหมว่าผมทรมานใจแค่ไหนเวลาที่อยู่ใกล้ๆ พี่แล้วทำอะไรไม่ได้ ทำไมพี่จะต้องคอยปฏิเสธผมอยู่ตลอดเวลา พี่ไม่เห็นใจผมบ้างเหรอ ผมขอแค่ได้กอดพี่บ้างเท่านั้น ผมไม่ทำอะไรมากกว่านี้หรอก นะพี่นะ อย่าปฏิเสธความรักของผมนักเลย" แต๋งพยายามร้องขอความเห็นใจ

ทิวอึ้งกับคำขอร้องนั้นแล้วก็ปล่อยให้แต๋งกอดเขาไว้อย่างนั้น ที่เขาต้องคอยปฏิเสธนั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รักแต๋ง เขาไม่อยากจะพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น แค่ที่เป็นอยู่นี้ก็ยุ่งยากมากอยู่แล้ว แต๋งไม่เคยลดละและพยายามที่จะเอาชนะใจเขาให้ได้ ไม่ว่าทิวจะตอบปฏิเสธอย่างไร

พอเห็นทิวนิ่ง แต๋งก็เริ่มได้ใจ เขาค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำจนถึงขอบกางเกงขายาวของทิว ทิวรู้สึกตกใจรีบจับมือนั้นไว้ทันทีก่อนที่มันจะเลื่อนลงต่ำไปมากกว่านั้น

"แต๋ง...อย่าทำแบบนี้นะครับ พี่ไม่ชอบ" ทิวบอกด้วยเสียงดุ

แต๋งรีบหดมือกลับ เขาปล่อยทิวแล้วก็ทำหน้าจ๋อยๆ

"ผมขอโทษ" แต๋งบอกเสียงห้วนๆ คล้ายๆ กับเด็กเอาแต่ใจที่รู้สึกไม่พอใจเมื่อไม่ได้อย่างที่ต้องการ แต่นั่นก็คือนิสัยของแต๋งล่ะ เขาทำหน้าง้ำหน้างอแล้วก็เดินไปหยิบรองเท้ามาใส่ แล้วก็เดินออกไปจากห้องทิวโดยไม่พูดอะไรอีก

ทิวถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจเมื่อแต๋งไปแล้ว ต่อไปนี้เขาคงจะต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ตามลำพังกับแต๋งสองต่อสองแล้วล่ะ เขารู้สึกไม่ไว้ใจเด็กคนนี้เลย มือไวใจเร็วแบบนี้อาจจะทำให้เขาพลาดท่าเสียทีได้

ทิวเดินไปที่เตียงนอนแล้วก็หยิบรูปที่หัวเตียงนั้นมาถือไว้ รูปที่ทำให้เขาต้องน้ำตาไหลได้แทบจะทุกครั้งที่นั่งมองและหวนคิดถึงความทรงจำเก่าๆ รูปนี้พี่พี่บีมเป็นคนถ่ายให้ตอนงานเปิดตัวโครงการ บูมกอดเขาไว้จากข้างหลังแล้วก็ยิ้มสดใส ใครที่เห็นรูปนี้แล้วก็จะรู้ได้ทันทีว่าสองคนในรูปนี้มีความสัมพันธ์กันแบบไหน

ความคิดถึงแล่นเข้าไปจนสุดขั้วหัวใจ แทบจะไม่มีวินาทีไหนที่เขาไม่คิดถึงผู้ชายคนนี้ ยิ่งได้เห็นรูปนี้หรืออะไรก็ตามที่ทำให้นึกถึง ทิวก็ยิ่งคิดถึงมากขึ้น เบอร์โทรศัพท์ของบูมเขาจำได้ไม่เคยลืม บางทีอยากจะโทรหาใจจะขาดก็ไม่สามารถทำได้ ป่านนี้บูมคงจะกลับมาจากเมืองนอกแล้ว คงจะกลับมาช่วยพ่อทำงาน เป็นความหวังและอนาคตของครอบครัว อนาคตที่แม่ของบูมกลัวว่ามันจะดับลงถ้าบูมยังรักเขาอยู่

ป่านนี้แล้ว...บูมจะยังรักษาสัญญานั้นไว้หรือเปล่า ถ้าบูมยังรักเขาอยู่ล่ะ...เขาจะปล่อยให้บูมรอเขาอยู่อย่างนั้นหรือ บูมกำลังรอเขาอยู่หรือเปล่า หรือถ้าบูมมีคนอื่นไปแล้ว เขากับบูมควรจะมาเจอกันเพื่อยกเลิกสัญญานั้นหรือเปล่า อย่างน้อยก็ทำให้บูมไม่ต้องรู้สึกผิดจนเกินไป

เขากับบูมจะเจอกันอีกได้ไหม มันจะผิดมากไหมที่เขาจะขอกลับไปเจอบูมอีกสักครั้ง แค่ขอให้ได้เห็นหน้า ได้รู้ว่าสบายดี...ก็พอแล้ว ไม่ได้หวังว่าจะต้องกลับไปรักกัน แค่อยากเห็นว่าคนที่เขารักที่สุดในชีวิตอยู่สุขสบาย ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็พอใจ ขอแค่นี้เอง ครอบครัวของบูมจะกีดกันอะไรเขานักหนา

--------------------------------------------------------

"ผมไม่ไปครับแม่" บูมตอบสั้นๆ แล้วก็ท่าทางจะเดินออกไปจากห้องที่แม่เรียกเขาเข้ามาคุยด้วย

"บูม...ลูกจะอยู่แบบนี้ได้ยังไง บูมควรจะคิดถึงการมีครอบครัวไว้บ้างนะลูก พี่บีมเขาก็แต่งงานแล้ว ก็เหลือแต่บูมนี่แหละที่แม่ยังเป็นห่วงอยู่ แม่ไม่สบายใจเลยที่บูมเอาแต่เก็บตัวแบบนี้"

บูมถอนหายใจแล้วก็หันกลับไปบอกแม่ว่า "แม่ครับ เราเคยสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอครับ"

คุณทิพย์นภาชะงักและอึ้งไป มันเป็นสัญญาที่เธอเองก็ไม่เต็มใจนักแต่ก็ต้องยอมสัญญาเพื่อแลกกับการที่บูมยอมเลิกกับทิว แต่เธอก็ไม่คาดคิดว่าบูมจะจริงจังกับสัญญานั้นขนาดนี้ เธอคิดว่าคนวัยหนุ่มอย่างบูมไม่น่าจะทนอยู่เหงาๆ ได้นานนักหรอก ไม่นานบูมก็คงอยากจะมีใครสักคน แต่ก็กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อบูมเอาแต่เก็บตัว ไม่ยอมออกไปพบเจอใครถ้าไม่จำเป็น ทำงานเสร็จแล้วก็กลับบ้าน เล่นกับหลานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง หรือไม่ก็ทำงานอยู่ในห้อง เห็นบูมเป็นแบบนี้เธอก็อดสงสารและเป็นห่วงลูกชายคนเล็กไม่ได้

"แม่รู้...แต่ว่า..."

"แม่จะเอายังไงกับผมอีกครับ ที่ผ่านมาผมยังทำให้แม่ไม่พออีกเหรอ แม่จะเอาชีวิตผมไปด้วยเลยดีไหมครับ ไหนๆ ชีวิตนี้ผมก็ไม่เคยมีอิสระที่จะเลือกอะไรได้ด้วยตัวเองแล้ว แม่ทำให้ผมกับทิวต้องพลัดพรากจากกันทั้งที่เรายังรักกันมาก แม่รู้บ้างไหมว่าผมทรมานแค่ไหน ทุกวันนี้...ที่ผมเป็นแบบนี้...ก็เป็นเพราะผมยังรักทิวอยู่ ผมจะทำให้แม่เห็นว่า...จนตายผมก็จะยังรักเขา"

บูมระเบิดอารมณ์ออกมาจนได้เมื่อรู้ว่าแม่คิดจะจับคู่ให้เขาอีกแล้วทั้งๆ ที่เขาเคยขอแม่ไว้ว่าแม่จะต้องเลิกจับคู่ให้เขา เขาอดทนและทำตามที่แม่ต้องการมามากพอแล้ว แม่ควรจะพอใจได้แล้ว การสูญเสียคนรักมันก็มากเกินไปด้วยซ้ำ เขาก็ยังอุตส่าห์ยอมทำให้ แล้วแม่จะเรียกร้องอะไรจากเขาอีก

"ผมสูญเสียคนที่ผมรักไปแล้ว แม่เห็นไหมครับว่าชีวิตผมเป็นยังไง แม่คิดว่าผมจะลืมเขาได้ง่ายๆ เหรอครับในเมื่อเรารักกันขนาดนั้น ทิวเขาดีกับผมมากขนาดไหน ตั้งแต่เรียนหนังสือด้วยกัน ถ้าผมไม่ได้เจอเขา ผมก็คงไม่รู้หรอกว่าความสดใสในชีวิตเป็นแบบไหน ที่ผมรักเขาเพราะเขาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตผม เขาช่วยทำให้ผมได้รู้ว่าคนที่รักผมจริงๆ เป็นแบบไหนเพราะเขาคอยดูแลผม เป็นห่วงผม ช่วยผมทุกอย่าง เขารักผมมาก...และผมก็รักเขามาก...ผมลืมเขาไม่ได้...ผมคิดถึงเขาทุกลมหายใจ แค่ผมรู้ว่าทิวอยู่ที่ไหน ผมจะไปหาเขาทันที ผมจะไปอยู่กับเขา ชีวิตผมอยู่กับเขา หัวใจผมอยู่กับเขา ผมไม่สามารถที่จะเอาไปให้คนอื่นที่ผมไม่ได้รักได้ แม่รู้จักความรักไหมครับ...แม่รู้จักมันหรือเปล่า ถ้าแม่รู้จักมัน แม่ก็จะเข้าใจผม"

นี่คงเป็นครั้งแรกที่บูมพูดกับแม่ด้วยอารมณ์สะเทือนใจมากขนาดนี้ คุณทิพย์นภาได้แต่อ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง แต่สิ่งที่บูมพูดก็ทำให้เธอได้คิดอะไรหลายอย่าง เธอต้องคิดได้สิเพราะเธอก็เห็นอยู่ว่าชีวิตของลูกชายคนเล็กตอนนี้เป็นยังไงบ้าง บูมเหมือนคนไม่มีชีวิตอย่างที่เขาบอกจริงๆ เธอคิดว่าจะเปลี่ยนใจบูมได้ แต่บูมก็ได้ทำให้เธอเห็นว่า...เขาไม่ได้เปลี่ยนง่ายขนาดนั้น เธอคิดผิดที่คิดว่าอะไรมันก็คงจะไม่ยาก แต่มันก็ยากกว่าที่เธอคิด ตอนนี้บูมกำลังจะทำให้เธอเห็นว่า "แม่" คือคนที่พรากชีวิตไปจากลูกเสียเอง

บูมหันหลังกลับแล้วเดินออกไปพร้อมกับคราบน้ำตา ทิ้งให้คุณทิพย์นภายืนตกตะลึงแล้วก็ร้องไห้ สิ่งที่เธอเรียกว่า "ความหวังดี" กำลังส่งผลและย้อนคืนกลับมาหาเธอแล้ว ความหวังดีนั้นได้ทำให้ลูกชายที่เธอรักต้องกลายเป็นคนซึมเศร้า เก็บตัวและไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวอีกเลย เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าเธอกำลังทำให้ลูกของตัวเองต้องมีชีวิตแบบนี้ เธอบังคับได้แต่ตัวเขา...แต่หัวใจของลูกเป็นสิ่งที่เธอได้ตระหนักแก่ใจแล้วว่า...มันเปลี่ยนไม่ได้

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

158. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #157
 
25-Apr-12, 11:22 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

159. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #158
 
26-Apr-12, 00:43 AM (SE Asia Standard Time)
 
   บรรยากาศเริ่มดีขี้น แต่บางตอนผมมีน้ำตาแฮะ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

160. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #159
 
26-Apr-12, 08:41 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ ชอบจัง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

161. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #159
 
26-Apr-12, 08:42 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบจังดูสะใจนิด นิด ...


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

162. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #161
 
27-Apr-12, 08:35 AM (SE Asia Standard Time)
 
   สงสัยท่านผู้ประพันธ์ ยังไม่กลับจากงานวันเกิดของซัน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

163. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #162
 
27-Apr-12, 12:54 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ แต่งานเยอะครับช่วงนี้ อีกไม่เกินสามตอนจะจบแล้วนะครับ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

164. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #163
 
27-Apr-12, 05:04 PM (SE Asia Standard Time)
 
   เป็นกำลังใจครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

166. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #164
 
27-Apr-12, 11:19 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
  

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

165. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
27-Apr-12, 11:14 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 36

เช้าวันใหม่ของอีกวันที่ดูเหมือนๆ เดิมปลุกทิวให้ตื่นขึ้นจากความหลับไหล สามปีที่ผ่านไปอย่างช้าๆ และทรมานอาจทำให้ทิวเคยชินกับความทุกข์ แต่บางวันก็ไม่เคยชินกับความคิดถึงได้เลย เขาคิดถึงบูมอีกแล้ว คิดถึงจนจับจิตจับใจ ก็ได้แต่คิดถึงอยู่แบบนี้ คิดถึงเวลาที่เขาตื่นนอนแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของคนที่เขารัก แต่ห้วงเวลาแห่งความสุขนั้นก็สั้นเหลือเกิน วันที่ทิวได้เจอบูมเป็นครั้งสุดท้ายก็คือวันที่บูมเดินทาง จริงๆ ทิวบอกบูมไปแล้วว่าจะไม่ไปส่งเพราะเขาทำใจไม่ได้ แต่...

"ทิว เปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว ไปสนามบินกันเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวไม่ทัน" นั่นคือสิ่งที่บีมรีบบอกทิวเมื่อทิวเดินลงมาเปิดประตูให้เขาตอนสามทุ่มเศษๆ

"จะดีเหรอครับพี่บีม...ผมไม่อยากให้บูม..." ทิวลังเล หน้าตาของเขาบ่งบอกว่าเขาผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักเพียงใดในตอนนั้น

"ไม่มีเวลาแล้วนะทิว พี่อยากให้ทิวไปหาบูม...เปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า" บีมเร่งเร้า ยังไงเขาก็ต้องพาทิวไปหาบูมให้ได้

"ครับพี่" ทิวบอกแล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็นั่งรถออกไปกับพี่บีมทันที

ส่วนที่สนามบินนั้น พ่อ แม่และบูมต่างก็ยืนรอบีมด้วยความใจจดใจจ่อเพราะใกล้เวลาขึ้นเครื่องเข้าไปทุกทีแล้ว บูมอยากจะเจอพี่ชายก่อนที่จะขึ้นเครื่องเพราะอยากจะฝากให้พี่ชายช่วยดูแลทิวให้เขาด้วย

"มาแล้วๆ พี่บีมมาแล้วลูก" คุณลิขิตร้องบอกลูกชายคนเล็ก

บูมหันไปมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนที่วิ่งมาพร้อมกับพี่ชาย พี่บีมไปรับทิวมาหาเขา เขาอยากจะบอกว่ารักพี่ชายคนนี้สักล้านคำที่พาทิวมาหาเขา

"ทิว" บูมเรียกแล้วก็รีบเดินแกมวิ่งเข้าไปหาคนที่กำลังวิ่งมาหา

เมื่อทิวมาอยู่ตรงหน้าแล้วบูมก็ดึงคนที่เขารักมากอดไว้เสียแน่น ต่างคนต่างร้องไห้ด้วยความดีใจที่ได้เจอกันและใจหายที่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ก็จะต้องจากกันไปแล้ว

"บูม..." ทิวเรียกชื่อแล้วก็หยุดไป เขาไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี จะขอร้องอ้อนวอนไม่ให้ไปก็ทำไม่ได้ เขามีความรู้สึกมากมายที่คำนับล้านก็ไม่อาจจะสื่อความหมายแทนเขาได้เลยในตอนนี้

"ทิว...ดูแลตัวเองดีๆ นะ เรียนหนังสือให้จบ นายจะได้ไม่ลำบาก มีปัญหาอะไรก็โทรหาพี่บีม เราบอกพี่บีมไว้แล้ว พี่บีมจะช่วยนายทุกอย่าง" บูมบอกด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก

"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เรารักนายเสมอนะ ขอให้นายรอเรา เก็บหัวใจของนายไว้ให้เรา เราจะกลับมาหานาย เราสัญญา เราจะกลับมาใช้ชีวิตกับทิวเหมือนเดิม"

เห็นทิวยังเงียบอยู่ บูมก็ถามย้ำอีกว่า "ตอบเรามาสิทิว...นายจะรอเราใช่ไหม"

คุณลิขิตและบีมยืนมองภาพนั้นด้วยความสะเทือนใจ รู้สึกสงสารบูมจับจิตจับใจที่ต้องถูกบังคับให้ต้องจากคนที่รักไป พวกเขาเพิ่งตระหนักแก่ใจวันนี้เองว่า บูมรักทิวมากแค่ไหน อย่าว่าแต่คุณลิขิตกับบีมเลยที่รู้สึกแบบนั้น คุณทิพย์นภาก็ได้เห็นแล้วว่าบูมรักทิวมากขนาดไหน มันทำให้เธออดถามตัวเองไม่ได้เลยว่า "เธอทำเกินไปหรือเปล่า"

"พรากคนที่เขารักกันมันบาปนะคุณ คุณเห็นไหมว่าบูมกับทิวเขารักกันแค่ไหน คุณกำลังทำร้ายลูกของตัวเองอยู่ คุณรู้หรือเปล่า" คุณลิขิตบอกภรรยาเบาๆ โดยไม่หันไปมองหน้า

คุณทิพย์นภาได้แต่มองภาพนั้นอย่างเงียบๆ ไม่ได้โต้แย้งใดๆ

"นายจะรอเราใช่ไหมทิว" บูมถามย้ำอีกครั้ง

ทิวเหมือนจะรู้สึกตัวจึงค่อยตอบไปว่า "เราจะรอนายเสมอ...เราจะไม่รักใครอีก เราจะทำตามสัญญาที่เราให้กันไว้ที่บางแสน นายดูแลตัวเองดีๆ นะบูม อย่าลืมห่มผ้าหนาๆ นะ ที่นั่นมันหนาว แล้วก็อย่ามัวแต่เรียนจนไม่มีเวลาพักผ่อน อย่านอนดึกนะ นายน่ะชอบนอนดึก มันไม่ดีต่อสุขภาพรู้หรือเปล่า"

"นายก็เหมือนกัน อย่ามัวแต่คิดมากว่านายไม่เหลือใคร นายยังมีเราอยู่ ลำบากยังไงนายก็อดทนนะทิว ไม่ไหวจริงๆ ก็ให้พี่บีมช่วย แล้วเราจะกลับมาหานาย มากอดนายแบบนี้ให้นายอุ่นใจ กลับมานอนอยู่ข้างๆ นายเหมือนเดิม ให้นายได้เห็นหน้าเราทุกเช้าที่ตื่นนอน"

เสียงประกาศเตือนผู้โดยสารเที่ยวบินของบูมดังขึ้นอีกครั้ง คุณทิพย์นภารู้สึกร้อนใจจนต้องเดินมาดึงบูมออกเพราะกลัวบูมจะตกเครื่องเสียก่อน

"บูม...เครื่องจะออกแล้ว เร็วเข้า"

บูมเดินตามแรงลากของแม่ไปแต่สายตาไม่ยอมละจากทิว เขาโบกมือลาให้ ทิวโบกมือลาตอบ เขายืนมองจนบูมค่อยๆ หายเข้าไปในบริเวณตรวจหนังสือเดินทาง

ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็สามปีแล้ว เขาก็ไม่เคยได้เจอบูมอีกเลย ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงเพราะเขาถูกบังคับให้ต้องตัดขาดการติดต่อกับบูมทุกอย่าง จนต้องระเห็จมาทำงานอยู่ต่างจังหวัด ก็ไม่ใช่ที่ไหนไกลหรอก บางแสนนั่นเอง พอเขาเป็นประกาศรับสมัครผู้จัดการฝ่ายต้อนรับส่วนหน้าที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่นี่ ทิวก็รีบมาสมัครทันที แล้วก็โชคดีที่เขาได้งานนี้

ทิวเดินทางไปทำงานด้วยรถสองแถวที่วิ่งบริการอยู่ทั่วไป แต่ถ้าวันไหนแต๋งว่างแต๋งก็จะมารับเขา วิ่งผ่านทะเลทีไรทิวก็นึกความสุขและความทรงจำเมื่อครั้งนั้นไม่ได้ ความทรงจำที่แสนหวานก่อนที่เขากับบูมจะจากกัน นี่แหละคือเหตุผลที่เขาตัดสินใจย้ายมาทำงานที่นี่ สถานที่ที่ความทรงจำอันสวยงามครั้งสุดท้ายได้เกิดขึ้น

ช่วงสัปดาห์นี้ทิวคงต้องทำงานหนักหน่อยเพราะมีงานใหญ่จัดที่โรงแรม เป็นงานสัมมนาเชิงวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการ มีคนมาร่วมงานหลายร้อยคน เขาชอบเวลาที่มีงานเยอะๆ แบบนี้ เขาจะได้เหนื่อยและไม่ต้องคิดอะไรมาก กลับถึงห้องพักก็นอนหลับเป็นตาย ความเหงาบางทีมันก็โหดร้ายทารุณไม่ใช่เล่น

--------------------------------------------------

บูมขับรถมาจอดที่หน้าบ้านหลังที่เขาคุ้นเคย แม้ว่าตอนนี้เจ้าของคนเดิมจะไม่ได้อยู่แล้ว แต่สภาพมันก็ยังคงคล้ายเดิมอยู่ เขาเดินไปกดกริ่งเรียก ไม่นานนักเด็กชายวัย 15 ปีลูกชายเจ้าของบ้านก็ออกมาเปิดประตู พอเห็นเขา หนุ่มน้อยคนนั้นก็จำได้จึงรีบเปิดประตูให้

"อ๋อ...เรื่องเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของบ้านเดิมใช่ไหมครับ"

หนุ่มน้อยถาม บูมพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในบ้าน รู้สึกใจหายที่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นของทิวแล้ว ทิวไม่น่าขายไปเลย ถึงจะไปซื้อคอนโดอยู่มันก็ไม่เหมือนบ้านหรอก โดยเฉพาะบ้านที่มีความทรงจำหลายอย่างแห่งนี้

"หาเจอไหม"

"เจอครับ แต่ว่า...เดี๋ยวผมเอามาให้ดู" หนุ่มน้อยบอกแล้วก็วิ่งเข้าไปในบ้าน

บูมนั่งลงบนม้าหินอ่อนหน้าบ้านด้วยใจระทึก เมื่อหนุ่มน้อยวิ่งกลับมาด้วยแผ่นกระดาษเล็กๆ ที่ใช้จดเบอร์โทรศัพท์แล้วเขาก็ใจฝ่อลงไปทันที

"มันเลือนเกือบหมดแล้วครับ สงสัยจะเปียกน้ำ"

บูมมองดูกระดาษชิ้นนั้นด้วยใจห่อเหี่ยว มีชื่อทิวเขียนไว้พออ่านได้ แต่เบอร์โทรศัพท์บนกระดาษชิ้นนั้นกลับลบเลือนและซีดจางจนแทบอ่านไม่ได้ มีเพียงตัวเลขบางตัวเท่านั้นที่พอจะเดาออกได้ว่าเป็นเลขอะไร

"ขอบใจมาก เดี๋ยวพี่กลับก่อนละกัน" บูมบอกด้วยสีหน้าแสดงความผิดหวัง หนุ่มน้อยยกมือไหว้ บูมรับไหว้แล้วก็เดินกลับไปที่รถพร้อมกระดาษชิ้นนั้น

กลับมาถึงบ้านบูมก็ขึ้นไปบนห้อง เขาพยายามนั่งเพ่งนั่งจ้องเพื่อที่จะอ่านตัวเลขที่อยู่บนกระดาษชิ้นนั้นให้ได้ แต่ก็ยังอ่านได้เฉพาะเลขตัวหน้าสามสี่ตัว จนเขาตระหนักดีแก่ใจว่าคงจะไม่มีประโยชน์ที่จะพยายาม บูมจึงได้แต่นั่งนิ่งและเหม่อลอย

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้บูมรู้สึกตัว เขาเดินช้าๆ ไปเปิดประตูก็พบพี่ชายมายืนรออยู่หน้าห้อง

"ไปบ้านทิวมาเหรอ" บีมถามพลางเดินเข้ามาในห้องของน้องชาย

"ครับพี่...เจอกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของทิวแล้ว แต่...มันเลือนจนอ่านไม่ได้เลยครับ" บูมบอกพลางเดินไปหยิบกระดาษชิ้นนั้นมาให้พี่ชายดู

บีมรับมาดูแล้วก็มองหน้าน้องชายด้วยความสงสาร ชีวิตของบูมกลับมาเป็นเหมือนช่วงที่เขาถูกพ่อแม่เคี่ยวเข็ญหนักๆ ก่อนที่จะเจอทิวตอนเรียนมัธยมปลายอีกแล้ว คราวนี้ดูท่าจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ บูมกลับมาเป็นคนที่ชอบเก็บตัวและไม่ค่อยร่าเริง เขาหัวเราะและยิ้มน้อยมากจนทุกคนในบ้านเริ่มกังวลว่าเขาจะเป็นโรคซึมเศร้า

"บูมเอ๊ย...พี่ล่ะสงสารนายจริงๆ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง" บีมพูดพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า จะบอกให้น้องชายตัดใจก็บอกไม่ได้ ถ้าทิวไม่รักบูมก็ว่าไปอย่าง แต่เขาทั้งสองคนต้องจากกันทั้งที่ยังรักกัน จะบอกให้ตัดใจหรือทำใจก็คงไม่ได้

บูมเดินกลับไปนั่งซึมบนเก้าอี้ตัวเดิม บีมเดินเข้าไปหาแล้วก็บีบไหล่เบาๆ ให้กำลังใจ

"พี่ก็ยังหวังว่า...ความรัก...จะช่วยนำทางให้บูมได้เจอกับทิวอีกครั้งนะ พี่อยากเห็นน้องชายของพี่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ทิวอยู่"

บูมพยักหน้า เขาก็ยังหวังอย่างนั้น แม้ว่าแสงแห่งความหวังนั้นจะค่อยๆ ริบหรี่และอ่อนลง แต่มันก็ยังไม่ดับไปเสียทีเดียว เขาคงจะไม่ยอมให้มันดับง่ายๆ หรอก มันจะต้องคงอยู่ต่อไปจนกว่าเขาจะได้เจอทิวอีกครั้ง

"แม่ไปไหนเหรอครับวันนี้" บูมเปลี่ยนเรื่องถาม เขาเพิ่งสังเกตว่ารถของแม่ไม่ได้จอดอยู่ที่โรงจอดรถตอนที่เขากลับเข้ามา

"ไปสัมมนาต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ กลับเย็นๆ วันอาทิตย์นี้แหละ" นี่แสดงว่าบูมแทบไม่เคยสนใจความเป็นไปของคนในบ้านเลยตอนนี้ โดยเฉพาะกับแม่ บูมกับแม่แทบจะไม่ได้พูดคุยสื่อสารกันเลย แต่บีมก็เข้าใจน้องชาย แม่เองก็ทำให้บูมเจ็บปวดและทรมานมากที่พรากคนที่บูมรักไป บูมไม่ได้สูญเสียแค่คนรักเท่านั้น แต่ชีวิตที่สดใสของเขาก็ถูกพรากไปด้วย

บูมพยักหน้าเข้าใจแล้วก็นั่งเหม่อลอยและนิ่งเงียบตามเดิม เงียบจนบีมรู้สึกว่าเขาไม่กล้าแม้แต่จะรบกวน เขาจึงค่อยๆ เดินลุกออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ พร้อมกับสายตาที่คอยมองน้องชายด้วยความเป็นห่วง

----------------------------------------------------------

ตอนเที่ยงๆ มีกลุ่มแขก VIP จากกรุงเทพมาเข้าพักเพิ่มเติมในงานของกระทรวงศึกษาธิการ ทิวเป็นคนที่มาคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอิน และมีแต๋งกับพนักงานหญิงอีกสองสามคนทำในส่วนของการเช็คอิน

แขกกลุ่มนี้มีคนมาร่วมต้อนรับอยู่ด้วยกลุ่มหนึ่ง ทิวไม่ได้สังเกตว่ามีใครบ้างจนกระทั่งได้ยินการสนทนานี้

"สวัสดีค่ะท่านปลัด"

"สวัสดีครับๆ อ้อ นึกว่าใคร อ. ทิพย์นภานี่เอง ได้ข่าวว่าตอนนี้ลูกศิษย์ของอาจารย์ไปแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิกชิงแชมป์โลก ผลเป็นไงบ้างครับ"

พอได้ยินชื่อนั้น ทิวก็รีบหันไปมองหาเจ้าของชื่อและเสียงที่เขาคุ้นเคยทันที ใช่จริงๆ ด้วย คุณทิพย์นภา แม่ของบูม!!! ทำไมโลกถึงได้กลมอย่างนี้ เมื่อเห็นคนที่เป็นแม่แล้วก็ทำให้นึกถึงคนที่เป็นลูกทันที เขาอยากรู้เหลือเกินว่าบูมเป็นอย่างไรบ้าง แต่เขาคงไม่กล้าเข้าไปถามคุณทิพย์นภาตอนนี้ หรือแม้จะกล้าเข้าไปถาม คุณทิพย์นภาก็คงไม่ตอบ แถมตัวเขาเองก็อาจจะโดนดีไปด้วย

เมื่อทิวเดินเข้าไปพาท่านปลัดกระทรวงศึกษาธิการและคณะที่เพิ่งมาถึงเข้าไปเช็คอิน คุณทิพย์นภาจึงได้เห็นทิวและเธอก็จำได้เป็นอย่างดี

"นี่เธอ..." คุณทิพย์นภายืนนิ่งและอึ้งไป

ทิวยกมือไหว้สวัสดีแล้วก็รีบพาแขกไปเช็คอิน แต่ในระหว่างนั้นเขาก็คอยมองมาทางคุณทิพย์นภาบ่อยๆ และสังเกตว่าคุณทิพย์นภาเองก็จ้องมองมาที่เขาด้วยท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างเช่นกัน

จนกระทั่งเช็คอินเสร็จเรียบร้อย คุณทิพย์นภาก็กับกลุ่มอาจารย์อีกสามสี่คนก็เดินมานำท่านปลัดไปที่ห้องประชุมก่อนเพราะท่านจะต้องขึ้นบรรยายในอีก 10 นาทีข้างหน้านี้ ก่อนจะเดินออกไป คุณทิพย์นภาก็เดินมาบอกทิวเบาๆ ว่า

"ถ้าเธอว่าง...เย็นนี้ฉันจะขอคุยกับเธอหน่อย"

ทิวพยักหน้าตอบรับ แต่สีหน้าของเขาก็สงสัยและหวาดระแวง ไม่รู้ว่าเขาจะโดนอะไรอีก คุยกับผู้หญิงคนนี้ทีไรเขาก็ต้องมีเรื่องมีราวให้เจ็บตัวและใจทุกครั้ง แต่เขาก็จะยอมแลกสิ่งนั้นขอแค่เขาได้รู้ว่าบูมเป็นอย่างไรบ้าง

---------------------------------------------------

กว่าทิวจะได้เลิกงานก็เกือบสามทุ่ม คุณทิพย์นภาพาทิวออกมานั่งที่ร้านอาหารใกล้ๆ โรงแรมที่เขาทำงานอยู่ ทิวรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ท่าทางของเธอไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนที่เขาเคยเจอ แต่ก็ยังดูเครียดๆ และพอสังเกตเห็นความเศร้าหมองได้

ระหว่างที่รออาหารที่สั่ง คุณทิพย์นภาก็เริ่มต้นการสนทนาก่อน

"เธอเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า"

"สบายดีครับ" ทิวตอบสั้นๆ เพราะเขายังปรับอารมณ์ได้ไม่ถูก ไม่รู้ว่าอารมณ์ของคุณทิพย์นภาเป็นแบบไหนอยู่ตอนนี้

"เธอมาทำงานที่นี่นานหรือยัง"

"ก็...ปีหนึ่งได้แล้วครับ"

คุณทิพย์นภาพยักหน้า แสดงว่าทิวก็ย้ายมาในช่วงที่เฉียดฉิวกับตอนที่บูมกลับมาพอดี

"บูมเขาเป็นไงบ้างครับ" ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทิวก็ตัดสินใจถามสิ่งที่เขาอยากรู้ออกไปเสียเลย จะโดนด่าเขาก็ยอม

คุณทิพย์นภาเงียบและใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบว่า "ก็...สบายดี เขาก็กลับมาช่วยพ่อทำงาน งานก็ไปได้ดี"

ได้ฟังแล้วทิวก็ยิ้มดีใจระคนเศร้าโดยไม่รู้ว่าคุณทิพย์นภาคอยสังเกตอยู่

"ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว...ฉันก็รู้สึกว่า...ฉันอาจจะทำกับเธอเกินไปหน่อย"

ทิวเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มเป็นอึ้งทันทีที่ได้ยิน เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำๆ นี้จากคนเจ้าทิฐิอย่างคุณทิพย์นภา

"ฉันขอโทษเธอละกันนะกับสิ่งที่ผ่านมา..."

ทิวต้องอึ้งอีกครั้งเป็นรอบที่สอง ไม่คิดไม่ฝันว่าคุณทิพย์นภาจะเอ่ยขอโทษเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นหรอก แม้กระทั่งจะได้เจอกันอีกครั้งเขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ

ทิวไม่รู้ว่าจะตอบหรือพูดอะไรจึงได้แต่นั่งเงียบ เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ต่างคนต่างก็นั่งกินเงียบๆ ไป จนกระทั่งทิวตัดสินใจถามสิ่งที่เขาอยากรู้ขึ้นมา

"ตอนนี้...บูมแต่งงานหรือยังครับ"

คุณทิพย์นภาชะงักเล็กน้อย อย่าว่าแต่จะแต่งงานเลย แค่จะให้มีแฟนสักคนบูมยังไม่ยอมเลย

"ยังหรอก" คุณทิพย์นภาตอบเบาๆ

เหมือนเธอเองก็มีอะไรจะพูดหลายอย่างกับทิว แต่ตอนนี้เธอกำลังคิดอย่างหนัก มันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็คงต้องถามตัวเองอีกหลายๆ รอบว่าเธอพร้อมหรือยัง การที่คนที่มีทิฐิมากอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงอะไรคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก

ทิวได้ฟังแล้วก็แอบรู้สึกดีใจและโล่งใจพอสมควร แต่ก็ไม่กล้าถามต่อว่าบูมมีแฟนหรือยัง

"แล้วเธอ...ยังรักบูมอยู่หรือเปล่า" คุณทิพย์นภาตัดสินใจถามหลังจากที่คิดอยู่นาน

นี่คือรอบที่สามที่ทิวต้องอึ้งอีกครั้ง คุณทิพย์นภาดูแปลกไปมากทีเดียว หรือว่า...เธอคงจะเริ่มเข้าใจอะไรๆ บ้างแล้ว หรือไม่ก็คงแค่ถาม "ครับ" ทิวตอบสั้นๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวไป

เสียงโทรศัพท์ทิวดังเตือนว่ามีคนส่งข้อความมาให้ ทิวเปิดอ่านก็พบว่าเป็นของแต๋งนั่นเอง เขาส่งข้อความาบอกว่าจะมารับทิวที่ร้านอาหาร ทิวส่งข้อความตอบกลับไปว่าตกลง แล้วก็หันมากินข้าวต่อ เขากับคุณทิพย์นภาไม่ได้สนทนาอะไรกันมากนัก นั่นเป็นเพราะคุณทิพย์นภากำลังใช้ความคิดอย่างหนักนั่นเอง แต่ก็แปลกที่บรรยากาศไม่ได้ดูน่าอึดอัดมากเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา

-------------------------------------------------------------

คุณทิพย์นภากลับมาถึงบ้านในเย็นวันอาทิตย์ตอนเกือบสองทุ่ม เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วก็เดินไปดูที่ห้องกินข้าว ก็เห็นสามี ลูกชายคนโต บีม แพรวและน้องพีมนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ แต่ไม่เห็นบูม เมื่อถามแล้วก็ได้ความว่าบูมไม่หิว ให้คนไปตามแล้วก็ไม่ยอมออกมาจากห้อง

คงจะถึงเวลาที่คุณทิพย์นภาจะต้องทำอะไรบางอย่างแล้วล่ะ เห็นลูกเป็นแบบนี้มาตลอดระยะเวลาหลายปีเธอก็ไม่มีความสุขเช่นกัน เมื่อลูกไม่มีความสุข ความหวังดีทั้งหลายของเธอก็ไม่มีประโยชน์อะไร

คุณทิพย์นภาจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปข้างบน เคาะประตูห้องบูมอยู่สักพักบูมก็เดินมาเปิดประตู สภาพของลูกชายของเธอตอนนี้ดูเหมือนคนไร้ชีวิตจริงๆ บูมอยู่ในสภาพชุดที่ใส่ไปข้างนอก แต่ดูยับๆ เพราะเขานอนหลับไปทั้งๆ ที่ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย

บูมทำสีหน้าสงสัย แต่ก็ให้แม่เข้ามาในห้องแต่โดยดีโดยไม่พูดอะไร เขาคิดว่าแม่คงจะมาโน้มน้าวเรื่องจับคู่อีกเป็นแน่

"บูม..." คุณทิพย์นภาเรียกลูกชายที่กำลังเดินหันหลังกลับเข้าไปในห้องโดยไม่พูดไม่จา

บูมหยุดแล้วหันไปมองแม่ "ครับ"

ท่าทางที่ห่างเหินนั้นทำให้คนเป็นแม่เจ็บปวดใจทุกครั้งที่ได้เห็น แต่หวังว่าเธอคงจะไม่ได้เห็นท่าทางแบบนี้ของบูมอีกต่อไปแล้ว

"แม่ไปเจอทิวที่โรงแรมที่แม่ไปสัมมนา...นี่เบอร์โทรศัพท์ของทิวนะ" คุณทิพย์นภาพูดพลางยื่นแผ่นกระดาษที่เธอจดเบอร์โทรศัพท์ของทิวมาให้ลูกชาย

"อะไรนะครับแม่" บูมถามราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ก็ยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษนั้นไว้อย่างมึนงง

"แม่เจอทิวแล้ว บูมพาทิวกลับมาละกัน มาอยู่ที่นี่กับเราก็ได้"

ถ้าบูมไม่เสียสติ เขาก็คงกำลังนอนหลับแล้วฝันไปแน่ๆ เลย

"แม่ขอโทษนะลูก...กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา...ต่อไปนี้...แม่จะรักบูมอย่างที่บูมเป็น แม่จะไม่หวังดีโดยไม่ถามความสมัครใจของบูมอีก ถ้าบูมยังรักทิวอยู่ ก็พาเขามาอยู่กับเรานะลูก แม่ไม่อยากเห็นบูมอยู่ในสภาพแบบนี้ แม่อยากเห็นบูมมีความสุข ความหวังดีของแม่มันคงไม่มีค่าอะไรถ้ามันทำให้บูมต้องเป็นแบบนี้"

"แม่..."

เมื่อรู้ว่าเขาฟังไม่ผิด บูมก็เดินไปกอดแม่แล้วก็ร้องไห้ด้วยกันทั้งแม่ทั้งลูก

"แม่ขอโทษ..."

"ไม่เป็นไรครับแม่...ผมดีใจที่แม่เข้าใจผม...บูมรักแม่นะครับ"

"แม่ก็รักบูมจ้ะลูก"

บูมเคยบอกว่ารักพ่อไปเมื่อหลายปีมาแล้ว เขาเคยคิดว่าชีวิตที่เหลือนี้คงไม่ได้มีโอกาสพูดแบบนี้กับแม่ แต่วันนี้...เขาก็ได้บอกว่ารักแม่แล้ว ไม่ว่าแม่จะเคยทำไม่ดีกับเขามากขนาดไหนแต่แม่ก็คือแม่ สายเลือดเดียวกันอย่างไรก็คงตัดกันไม่ขาด แต่สิ่งที่เกินความคาดคิดของเขาก็คือ แม่ยอมที่จะให้เขากับทิวอยู่ด้วยกันแล้ว รอเราอีกแค่วันเดียวนะทิว พรุ่งนี้...เราก็จะได้เจอกัน ต่อไปนี้...เราจะไม่จากพรากกันไปไหนอีกแล้ว...

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

167. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #165
 
28-Apr-12, 05:30 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับคุณศาลาวัดตาที่มาลงให้อย่างสม่ำเสมอ ชื่นชอบผลงานนายมากๆ
เริ่มคลี่คลายบ้างแล้วนะครับ แม้ว่าเคยหาเรื่องโดนประนามจากผู้อ่าน
แต่สุดท้ายก็ไม่ทำร้ายผู้อ่านไม่ลงใช่ป่าว หรือว่ามีแอบเก็บตอนโหดอะไรหมกเม็ดไว้หรือเปล่าครับ
เพราะมันเหมือนช่วงที่บูมเรียนต่อ ช่วงที่พี่บีมแต่งงานกับแพรวมันนานเอาการอยู่ แถมเคยจะเผยไต๋เกริ่นนำจนโดนคนอ่านนอยด์กันไปอยู่หลายท่าน
ชอบจริงๆครับเรื่องนี้


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

168. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #167
 
28-Apr-12, 07:09 AM (SE Asia Standard Time)
 
   (T-T) (T-T)(T-T)(T-T)(T-T)(T-T)(T-T)(T-T)(T-T)
ขอบคุณครับ Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
คนยะลา
Guest

169. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #168
 
28-Apr-12, 09:25 AM (SE Asia Standard Time)
 
   อ่านถึงตอนนี้แล้วซึ้งมาก จนน้ำตาซึมกับความรักของ ทิว และ บูม ที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มาได้อย่างอดทนและเข้มแข็ง เป็นเพราะอนุภาพแห่งความรักความซื่อสัตย์ที่ทั้ง 2 คนมีให้แก่กัน ผมอยากจะให้ชีวิตจริงของพวกเราเป็นแบบนี้บ้างแต่ก็คงจะยาก หรือไม่ก็อาจจะไม่มีเลยหรือมีก็คงจะน้อยเต็มที่ ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ คุณ Sarawatta ที่นำนิยายดี ๆ มาให้อ่านกัน ขอขอบคุณด้วยความจริงใจ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
คนยะลา
Guest

170. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #168
 
28-Apr-12, 09:26 AM (SE Asia Standard Time)
 
   อ่านถึงตอนนี้แล้วซึ้งมาก จนน้ำตาซึมกับความรักของ ทิว และ บูม ที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มาได้อย่างอดทนและเข้มแข็ง เป็นเพราะอนุภาพแห่งความรักความซื่อสัตย์ที่ทั้ง 2 คนมีให้แก่กัน ผมอยากจะให้ชีวิตจริงของพวกเราเป็นแบบนี้บ้างแต่ก็คงจะยาก หรือไม่ก็อาจจะไม่มีเลยหรือมีก็คงจะน้อยเต็มที่ ขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ คุณ Sarawatta ที่นำนิยายดี ๆ มาให้อ่านกัน ขอขอบคุณด้วยความจริงใจ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

171. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #170
 
28-Apr-12, 12:24 PM (SE Asia Standard Time)
 
   เรียกนํ้าตาเราซึมอีกตอนครับ พี่น้อง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
beyonce
Guest

173. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #165
 
28-Apr-12, 11:50 PM (SE Asia Standard Time)
 
   โอยยยยยยยยยย

กระชากใจ น้ำตาไหลเลย อ่านตอนนี้

ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

172. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
28-Apr-12, 10:12 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนหน้าคาดว่าน่าจะจบแล้ว ใจหายเหมือนกัน...รู้สึกรักตัวละครสองตัวนี้ยังไงไม่รู้

------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 37

"สวัสดีครับ คุณทิวใช่ไหมครับ"

"ครับ พูดสายอยู่ครับ จากไหนครับ"

"อ๋อ...ผมเป็นลูกค้าของโรงแรมครับ วันนี้ว่าจะเข้าไปพักที่นั่น วันนี้คุณทิวอยู่ที่โรงแรมหรือเปล่าครับ"

"อ๋อ...อยู่ครับ จองไว้แล้วใช่ไหมครับ" ทิวถามพร้อมกับความรู้สึกสงสัยบางอย่าง ปกติไม่เคยมีลูกค้าคนไหนโทรเข้ามือถือเขาด้วยเรื่องนี้เลยเพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่จองห้องพักเสียหน่อย

"ยังหรอกครับ จะให้คุณทิวช่วยจองให้หน่อยน่ะครับ"

"อ๋อ...พอดีผมไม่ได้อยู่ตรงส่วนจองห้องพักน่ะครับ รอสักครู่นะครับเดี๋ยวให้คุยกับ..."

"เดี๋ยวๆๆๆ ผมจะคุยกับคุณนั่นแหละ คุณช่วยจองให้ผมหน่อยไม่ได้เหรอ ผมเป็นลูกค้าพิเศษคนสำคัญของคุณเลยนะครับ"

เอ...ลูกค้าคนนี้เป็นใคร เขาก็บอกแล้วนี่นาว่าเขาไม่ได้มีหน้าที่จองห้องแล้วจะมารบเร้าให้เขาจองห้องให้ได้ยังไงล่ะ เสียงก็บี้ๆ แบนๆ จะว่าคุ้นก็คุ้น จะว่าไม่คุ้นก็ไม่คุ้น

"ขอโทษนะครับ ผมรบกวนขอทราบชื่อลูกค้าได้หรือเปล่าครับ"

"อ๋อ...เดี๋ยวคุณเจอผมก็จะรู้จักเองแหละครับ เนี่ย...ผมใกล้จะถึงแล้ว"

ทิวชักเริ่มจะหงุดหงิดเพราะดูเหมือนลูกค้าคนนี้ชักจะคุยไม่รู้เรื่อง "คุณครับ ผมจองห้องพักให้คุณไม่ได้จริงๆ ครับ ถ้าคุณอยากจองห้องพักต้องคุยกับฟร้อนท์นะครับ"

"ก็ผมจะคุยกับคุณ ทำไมต้องคุยกับฟร้อนท์ด้วยล่ะครับ คุณจองห้องให้ผมไม่ได้เหรอ ไม่เห็นจะยากเลยนี่ครับ"

ทิวชักจะเริ่มโมโห ท่าทางลูกค้าคนนี้จะพูดไม่รู้เรื่องเสียด้วย เขาก็ยิ่งมีงานเยอะอยู่ จะมัวแต่คุยเล่นแบบนี้ไม่ได้ "เอาอย่างงี้ละกันครับ คุณก็วอล์กอินเข้ามาเลยละกัน ตอนนี้ยังพอมีห้องพักเหลืออยู่"

"ก็ได้...แต่ผมอยากเจอคุณทิว คุณทิวออกมาเจอผมที่นอกโรงแรมหน่อยได้ไหมครับ"

ทิวชักงงไปกันใหญ่ คนโทรมานี่นึกสนุกอะไรของเขาถึงได้กวนประสาทแบบนี้ "คุณครับ ผมทำงานอยู่นะครับ คงออกไปพบคุณนอกโรงแรมไม่ได้หรอกครับ" ทิวตอบเสียงดุ

"ดุจัง...ถ้างั้นก็ให้เลิกงานก่อนสิครับ เดี๋ยวผมจะรอ"

ทิวอยากจะบอกไปเหลือเกินว่ามันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปพบคุณ รู้จักก็ไม่รู้จัก "คุณเป็นใครผมยังไม่รู้เลย แล้วผมจะออกไปพบคุณได้ยังไงครับ" ทิวพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพที่สุด แล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายทำเหมือนกลั้นหัวเราะ

"คุณทิว...ผมเป็นลูกค้าคนสำคัญของคุณนะครับ ถ้าคุณไม่ออกมาพบผม คุณอาจจะต้องหางานทำใหม่ ผมไม่ได้ขู่นะครับ แต่ผมพูดจริงๆ ผมรู้จักกับเจ้านายของคุณดีเชียวล่ะ เดี๋ยวผมจะรออยู่ที่ชายหาดหน้าโรงแรมคุณนี่แหละ ผมใส่เสื้อเชิ๊ตสีฟ้า อย่าให้ผมต้องรอนานนะครับ เลิกงานแล้วก็รีบออกมาหาผมทันที ไม่อย่างนั้น...คุณอาจจะตกงานได้"

ทิวนิ่งอึ้งและงุนงง นายคนนี้เป็นใครกันบังอาจมาสั่งเขาแบบนี้ แถมยังขู่อีกด้วยว่าถ้าไม่ออกไปพบเขาอาจจะถูกไล่ออกได้ ประสาทหรือเปล่า ใครเชื่อก็บ้าแล้ว "ขอโทษนะครับ ผมกำลังทำงานอยู่ คงไม่มีเวลาคุยเล่นสนุกแบบนี้"

แล้วทิวก็ตัดสินใจวางสายไปอย่างอารมณ์เสีย สงสัยจะเป็นคนโรคจิตโทรมาแน่ๆ เลย แต่อีกใจก็รู้สึกหวั่นๆ อยู่เหมือนกันเพราะเขาก็ยังไม่อยากตกงานตอนนี้ ไม่รู้ว่าหมอนั่นพูดจริงหรือพูดเล่น

ส่วนฝ่ายคนที่โทรมานั้น หลังจากทิววางสายไปแล้วเขาก็เอามือที่บีบจมูกออก แล้วก็นั่งยิ้มด้วยความชอบใจอยู่ริมชายหาด ตอนแรกก็กะว่าจะเข้าไปหาทิวแบบธรรมดานั่นแหละ แต่ถ้าทำให้ทิวเซอร์ไพรส์ก็น่าจะดี บูมอยากรู้ว่าเวลาที่ทิวเจอเขาโดยไม่คาดฝัน ทิวจะดีใจมากแค่ไหน อดทนอีกนิดนะบูม ใจเย็นๆ ก่อน ยังไงก็ได้เจอกันแน่

พอใกล้เวลาเลิกงาน บูมก็โทรไปหาทิวอีก เขาเพิ่งไปซื้อซิมมาใหม่เพราะรู้ว่าทิวจำเบอร์โทรศัพท์เขาได้ เขายังไม่อยากให้ทิวรู้ตอนนี้

"คุณทิว อย่าลืมนะครับว่าเรานัดกันไว้ ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมมีเบอร์เจ้านายคุณด้วย จะให้ผมบอกเบอร์ก็ได้ 08-1xxx-xxx เขาชื่อคุณจอห์น ใช่ไหมครับ ถ้าคุณไม่ออกมาพบผม ผมจะสายตรงถึงเขาแล้วบอกว่าคุณน่ะเป็นพนักงานที่ไม่ดี ไม่รู้จักบริการลูกค้า"

ทิวได้ฟังแล้วก็ชักจะโมโห แต่เบอร์และชื่อที่เขาพูดนั้นก็ทำให้ทิวรู้ว่าเขาคงไม่ได้ขู่เพราะเจ้านายเขาชื่อจอห์นจริงๆ ส่วนเบอร์นั้น ถึงทิวจะจำไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็คล้ายๆ อย่างที่หมอนั่นบอกมานั่นแหละ

"อีก 20 นาทีเดี๋ยวผมออกไป" ทิวบอกอย่างหัวเสียแล้วเขาก็เดินไปบอกแต๋งที่กำลังเตรียมตัวจะกลับว่า

"แต๋ง...พอดีพี่มีธุระนิดหน่อย พี่จะกลับเองนะ แต๋งไม่ต้องไปส่งพี่หรอก"

"อ๋อ...ครับ" แต๋งรับคำอย่างงงๆ ไม่เห็นทิวจะบอกเขาเลยว่ามีธุระ หรือว่าจะเพิ่งมีตอนนี้ แต่ทำไมดูท่าทางอารมณ์ไม่ดี ปกติเขาไม่ค่อยเห็นทิวอารมณ์เสียแบบนี้นัก

-------------------------------------------------------

หกโมงเย็นแล้วทิวก็ออกมาจากโรงแรม เขาเดินมาที่ชายหาดด้านหน้าโรงแรมแล้วก็พยายามเมียงมองหาผู้ชายที่ใส่เสื้อเชิ๊ตสีฟ้า เดินหาอยู่สักพัก ทิวก็เจอชายคนหนึ่งยืนกอดอกมองดูทะเลอยู่เงียบๆ คนเดียว เขาใส่เสื้อเชิ๊ตสีฟ้า ก็น่าจะเป็นคนนี้แหละ ทิวจึงเดินเข้าไปหาด้วยอารมณ์ที่ยังหงุดหงิดพอสมควร พอใกล้ถึงตัวทิวก็ถามไปว่า

"โทษนะครับ ใช่คุณหรือเปล่าครับที่บอกให้ผมมาหา"

บูมหันหน้ามามองแล้วก็ตอบพลางยิ้มว่า "ใช่ครับ ผมนี่แหละ จำผมได้หรือเปล่า"

แม้ว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดไปบ้าง แต่ทิวก็รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือใคร คนที่เขาเฝ้ารอคอยและคิดถึงมาตลอดระยะเวลาสามปี คนที่เขาต้องยอมตัดขาดการติดต่อทั้งที่ยังรักเพราะครอบครัวของเขาไม่เห็นด้วย ไม่ว่าบูมจะมาที่นี่ได้ยังไง แต่ทิวก็บอกตัวเองได้ว่าเขาดีใจที่สุดในชีวิตแล้ว ที่แท้เจ้าหมอนั่นที่กวนประสาททิวมาทั้งวันก็คือบูมนี่เอง

"บูม"

"ทิว"

สองหนุ่มโฟเข้ากอดกันแน่นด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ นึกว่าชาตินี้จะต้องตายจากกันไปเสียแล้ว ความรักและผูกพันตลอดหลายปีที่ผ่านมา บวกกับการเคยได้ใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกันเหมือนคู่สามีภรรยา ทำให้สายสัมพันธ์นั้นเหนียวแน่นมาก ยากที่จะตัดขาดออกจากกันไปได้ง่ายๆ จะว่าไปแล้ว ทิวกับบูมก็คือคู่ชีวิตกัน ไม่ได้เป็นเพียงคนรักกันธรรมดา แม้ว่าจะต้องพรากจากกันไปจนตายก็คงไม่สามารถลืมกันและกันได้ง่ายๆ

ทิวกับบูมผละออกจากกันเล็กน้อยแต่ก็ยังประคองกันไว้อยู่เพื่อที่จะได้มองหน้ากันได้ชัดๆ ต่างคนต่างยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตา ยิ้มที่บ่งบอกว่ารู้สึกดีใจมากเพียงใดที่ได้เจอคนรักที่ตามหามานาน ยิ้มที่ดูเศร้ากับชะตาชีวิตและการพลัดพราก ยิ้มให้กับความอดทนและมั่นคงในความรักของเขาทั้งสองคน และยิ้มให้กับความหวังว่าต่อไปนี้คงจะไม่มีสิ่งใดมาพลัดพรากเขาสองคนให้ต้องจากกันอีกแล้ว

แต่ยังหรอก...บูมยังอยากให้ทิวเซอร์ไพรส์มากกว่านี้อีก

"ทิว...เราดีใจเหลือเกินที่เราได้เจอนายอีกครั้ง"

"เราก็เหมือนกัน นึกว่าจะไม่ได้เจอนายอีกแล้วชาตินี้"

ดูเหมือนว่าคำพูดที่พูดออกมาก็ฟังดูธรรมดาเหลือเกิน เพราะบางทีคำพูดก็ไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกในใจได้ทั้งหมดหรอก แต่น้ำเสียง สีหน้าและท่าทางนั้นบ่งบอกความรู้สึกต่างๆ ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี

"ที่เรากลับมาครั้งนี้...เพราะเรา...อยากจะมายกเลิกคำสัญญานั้น นายจำได้ใช่ไหมว่าเราสัญญาอะไรกันไว้ที่นี่"

จากที่ยิ้มๆ ทิวก็เริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยดี "จำได้สิ" ทิวตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

"นั่นแหละ เราจะมายกเลิกสัญญานั้น"

"นายเจอคนที่นายรักแล้วเหรอ" ทิวถามด้วยเสียงเศร้า

บูมพยักหน้า เห็นทิวทำหน้าเศร้าแล้วเขาก็สงสารเหมือนกัน แต่เพื่อให้ทิวประหลาดใจเขาก็ต้องทำต่อไป

"ใช่...เราเจอแล้ว แล้วเราก็รักเขามากเสียด้วย เราก็เลยว่าจะ...ขอยกเลิกสัญญา แล้วเราก็จะได้กลับไปหาคนที่เรารักเสียที"

ทิวหน้าเสีย จากที่เมื่อสักครู่นี้เขาดีใจแทบเป็นแทบตาย แต่พอได้ยินแบบนี้แล้ว ทิวก็อึ้งไปเหมือนกัน นี่สรุปว่าบูมหมดรักเขาแล้วหรือ เขานึกว่าบูมจะจริงจังกับความรักครั้งนั้นเสียอีก

"ได้ไหมทิว...เรายกเลิกสัญญานั้นกันดีไหม"

ทิวเริ่มมีน้ำตามาคลออีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบูมจะลืมเขาแล้ว "นายคงจะ...คงจะรักคนๆ นั้นมากเลยสินะ"

"ใช่สิ...รักมากๆ เลย เรารักเขามาก เราก็เลยต้องมาหานายถึงที่นี่เพื่อยกเลิกสัญญาไงล่ะ" บูมรีบตอบทันควัน

อ๋อ...ที่แท้ที่มาที่นี่ก็เพราะเหตุนี้นี่เอง ไม่ได้มาเพราะรักหรือคิดถึงอะไรหรอก เสียแรงที่อุตส่าห์รอคอย "ก็...แล้วแต่นายละกัน เราไม่มีปัญหาหรอก ถ้านายอยากยกเลิก เราก็ยินดียกเลิก"

"ขอบคุณมากทิว เราจะได้กลับไปหาคนๆ นั้นเสียที เดี๋ยวเรากลับก่อนนะ เราต้องรีบไป"

ทิวได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาคิดถึงบูมมากแค่ไหนรู้ไหม แต่บูมกลับมาเพื่อยกเลิกสัญญาแล้วก็จะรีบไป อย่างน้อยถึงไม่รักกันแล้ว จะอยู่คุยกันสักหน่อยไม่ได้หรือไง ทำไมใจดำแบบนี้ล่ะบูม นายไม่คิดจะถามไถ่อะไรเราบ้างหรือ

"จะกลับเลยเหรอ"

"อืมๆ...มันมืดแล้วด้วย เดี๋ยวเขาจะรอเราแย่เลย เรารู้ว่าเขารออยู่ รอนานมากแล้วด้วย" บูมบอกหน้าตาย แม้จะสงสารทิวแค่ไหนแต่เขาก็พยายามที่จะแข็งใจทำต่อให้จบ อีกไม่นานนายก็จะรู้ว่าคนๆ นั้นที่เราพูดหมายถึงใคร

"ก็...แล้วแต่นายละกัน...โชคดีนะ" ทิวพยายามสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ มันจุกในอกไปหมด คิดไม่ถึงว่าคนที่เคยรักกันจะทำเหมือนไม่มีเยื่อใยแบบนี้เลย

"โชคดีนะทิว อีกไม่นานเราคงได้เจอกัน เราไปก่อนนะ"

บูมพูดจบก็ยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลาแล้วแกล้งทำเป็นเดินจากไป ทิวได้แต่มองตามตาละห้อย บูมรู้สึกว่าทิวคงกำลังมองเขาอยู่เขากลัวว่าจะเสียแผนก็เลยหันไปบอกทิวว่า

"ทิว...นายอย่ามองเราสิ เราไม่อยากให้นายมองเราด้วยสีหน้าแบบนั้น นายมองไปที่อื่นได้ไหม"

เอากับเขาสิ แม้แต่จะมองก็ไม่ได้ นี่บูมเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้เลยหรือนี่ ทิวจึงหันไปทางอื่นแล้วก็ปล่อยให้บูมเดินจากไป เขารู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ รู้อย่างนี้...อย่าเจอกันเสียเลยดีกว่า มันเจ็บมากรู้ไหมบูมที่นายทำกับเราแบบนี้ ตายจากกันไปยังไม่เจ็บเท่านี้เลย

ในขณะที่ทิวกำลังคิดน้อยใจอยู่นั้น เสียงที่คุ้นหูก็ดังมาจากข้างหลัง

"ทิว...นายรู้แล้วเหรอว่าคนที่เราพูดหมายถึงใคร"

ทิวหันไปมองเจ้าของเสียงแล้วก็ต้องตกใจ บูมนั่นเอง บูมกลับมาทำไมอีก จะทำให้เขาเจ็บอีกสักแค่ไหนถึงจะพอใจ

"ไม่รู้...เราจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ไม่ได้ติดต่อกันทั้งสามปี" ทิวพูดพลางสะอื้น

"ก็นายไง คนที่เราพูดถึงก็คือนายนั่นแหละ" บูมบอกพลางยิ้ม

"ไอ้คนบ้า ทำไมแกล้งเราแบบนี้" ทิวว่าแล้วก็เดินมาทุบอกบูมใหญ่ด้วยความโมโห ปกติเขาไม่เคยเรียกบูมว่า "ไอ้" เลย แต่ครั้งนี้ทิวโมโหจริงๆ

"โอ๊ย" บูมร้อง แต่ก็ไม่ได้ห้ามจริงจัง เขาตัดสินใจดึงทิวเข้ามากอดไว้ ทิวทุบเขาอยู่พักหนึ่งแล้วก็หยุด ทิวกอดเขาตอบแล้วก็ร้องไห้โฮใหญ่เลย

"คนบ้า...ทำไมแกล้งเราแบบนี้ รู้ไหมว่าเราเสียใจแค่ไหน ฮือๆๆ ไม่สนุกเลยนะ ฮือๆๆ"

บูมลูบหลังแล้วก็คอยโอ๋

"ทิว เราขอโทษ เราขอโทษนะ เราจะไม่แกล้งนายแบบนี้อีกแล้ว ขวัญเอ๋ยขวัญมา อย่าร้องไห้นะ คนดีของบูม อย่าร้องไห้ เรากลับมาหานายแล้ว เราจะไม่จากไปไหนอีก" ทิวคงจะเสียขวัญมากทีเดียว จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่น่าแกล้งทิวถึงขนาดนี้เลย บูมรู้สึกสงสารทิวจนน้ำตาซึม

"คนดีของบูม" ทิวไม่ได้ยินคำนี้มานานเหลือเกิน เป็นคำพูดเพียงคำเดียวสั้นๆ ที่บอกทุกความรู้สึกทั้งหมดที่บูมมีให้เขา ทิวจึงกอดบูมแน่นอีกครั้ง เนิ่นนานจนเสียงสะอื้นค่อยๆ เงียบหายไป อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้นช่วยปลอบประโลมใจทิวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะวันนี้ วันที่ผ่านมาหรือวันข้างหน้า

บูมค่อยๆ คลายอ้อมแขนแล้วกอดทิวไว้อย่างหลวมๆ ใช้มือเกลี่ยผมบนหน้าผากทิวออกเพื่อที่จะได้เห็นหน้าทิวได้ชัดๆ

"กลับไปอยู่กับเรานะทิว เรามาที่นี่วันนี้ก็เพราะว่าเราจะมารับนายกลับไปอยู่กับเรา ที่บ้านของเรา"

"แล้วแม่ของนาย..."

"ก็แม่นี่แหละที่บอกให้เรามารับนายไปอยู่ด้วย"

"จริงเหรอบูม...นายไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม" ทิวทำสีหน้าไม่เชื่อ วันนี้บูมแกล้งเขาหลายอย่างจนเขาไม่อยากจะเชื่อแล้ว

"จริงสิ เราจะโกหกนายทำไม เราบอกแล้วไงว่าเราไม่แกล้งนายแล้ว" บูมบอกพลางยิ้มและขำเล็กน้อย "จะเรียกสินสอดเท่าไร เราก็ยอมหมดตัวเลยนะ ขอแค่ให้นายกลับไปอยู่กับเรา" บูมพูดติดตลกในตอนท้าย

ทิวขำไปด้วยแต่ก็ดีใจที่แม่ของบูมเข้าใจเขาสองคนแล้ว ความรักของแม่ยิ่งใหญ่เสมอ คงจะไม่มีแม่ดีๆ คนไหนที่จะทนเห็นลูกมีชีวิตที่มีความทุกข์ได้ตลอดไปหรอก แม้ว่าจะต้องใช้เวลานานหลายปี แต่คุณทิพย์นภาก็ยอมลดทิฐิของตัวเองลงเพื่อที่จะไม่ให้ลูกชายคนเล็กต้องซึมเศร้าไปมากกว่านี้

แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่บูมได้คิดวางแผนไว้แล้ว เขาให้ทิวสัญญากับเขาไว้ก่อนจากกันไปเพื่อเขาจะพอมั่นใจได้ว่าทิวจะรอเขาอยู่ และเขาก็พยายามอดทนที่จะมีชีวิตอยู่แบบนั้นเพื่อให้แม่ได้เห็นความมั่นคงในความรักของเขา ได้เห็นตัวตนของเขาที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ โชคดีที่แม่ได้เห็นและยอมรับได้แล้วแม้ว่าจะใช้เวลานานไปหน่อย ส่วนทิวนั้น บูมก็อยากให้ทิวได้เห็นว่า...เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องว่า แต่เขา...พร้อมที่จะอดทนและทำทุกอย่างเพื่อความรักของเขาทั้งสองคนได้เสมอ...เพื่อที่จะให้มีวันนี้

"นายรู้ไหมว่า...ที่ความรักของเรามีอุปสรรคตลอด มันอาจจะเป็นเพราะว่า...เรายังทำอะไรบางอย่างไม่ครบนะ" บูมเกริ่นขึ้นมาเมื่อต่างคนต่างเงียบกันไปสักพัก

"อะไรเหรอ" ทิวถามด้วยท่าทางอยากรู้

"รอเราแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเรามา" บูมบอกแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป ทิวรีบคว้ามือเขาไว้ทันที

"นายไม่ได้แกล้งเราอีกใช่ไหม"

บูมเห็นแล้วก็ขำ ทิวคงประสาทเสียที่ถูกเขาแกล้งก็เลยยังหวาดระแวงอยู่นั่นเอง

"ไม่แกล้งหรอก เชื่อเรานะทิว เราไม่แกล้งให้นายเสียขวัญแบบนั้นอีกแล้วล่ะ รู้ไหมว่าเราก็เสียใจเหมือนกันที่แกล้งนายแบบนั้น" บูมบอกด้วยสีหน้าเศร้า

ทิวจึงยอมปล่อยมือ

"เดี๋ยวเรามานะ"

บูมบอกแล้วก็เดินแกมวิ่งขึ้นไปบนชายหาด เขาจอดรถไว้ใกล้ๆ แถวนี้ บูมเข้าไปในรถสักพักก็เดินกลับมาด้วยเสื้อสีขาวแขนสั้นคล้ายๆ ชุดนักเรียนมัธยม เมื่อทิวเพ่งมองดีๆ ก็เห็นว่ามันเป็นเสื้อนักเรียนมัธยมจริงๆ ด้วย แต่เหมือนจะมีอะไรเขียนไว้เต็มไปหมดเลย

พอบูมเดินเข้ามาใกล้ทิวจึงได้เห็นว่ามันเป็นเสื้อนักเรียนของบูมที่ใส่สำหรับให้เพื่อนเขียนเฟรนด์ชิปในวันสุดท้ายก่อนจบนั่นเอง

"เหลือนายคนเดียวที่ยังไม่ได้เขียนให้เราเหมือนกัน เขียนให้เราด้วย" บูมบอกพลางส่งปากกาสำหรับเขียนให้ด้วย

"นายยังใส่ได้อีกเหรอ" ทิวถามพลางขำแล้วรับปากกามา

"เราไม่ได้อ้วนขนาดนั้นเสียหน่อย ก็ยังพอใส่ได้อยู่" บูมบอกแล้วก็ขำเล็กน้อย

ทิวนึกอยู่ไม่นานนักก็ค่อยๆ เขียนข้อความลงไปบนเสื้อนักเรียนของบูม พอเขียนเสร็จแล้วบูมก็ถาม

"นายเขียนว่าไง อ่านให้เราฟังด้วยสิ"

"อ่านเองสิ" ทิวบอกด้วยท่าทางเขินๆ

"ทำไมล่ะ คราวที่แล้วเรายังอ่านให้นายฟังเลย คราวนี้นายต้องอ่านให้เราฟังด้วยสิ นะ...ผลัดกัน"

ทิวมองบูมแล้วก็ยังลังเลเพราะรู้สึกเขินที่จะอ่านข้อความที่เขียนนั้น แต่เห็นบูมรอยู่ ทำให้ทิวรู้สึกกดดันจนสุดท้ายก็ต้องยอมอ่าน

"อุ่นใจเสมอถ้าโลกนี้...ยังมี...บูม"

ได้ฟังแค่รอบเดียวบูมก็น้ำตารื้นแล้ว อดที่จะกอดทิวไว้ด้วยความรักสุดหัวใจอีกไม่ได้ เขาจะไม่ปล่อยให้ชีวิตของทิวต้องอ้างว้างและเหน็บหนาวอีกต่อไป เราอยู่ตรงนี้แล้ว เราจะดูแลนาย เราจะดูแลกันและกัน ความรักของเราได้ผ่านพ้นกาลเวลาและอุปสรรคต่างๆ ไปหมดแล้ว เราจะอยู่เพื่อให้ความอบอุ่นกับนายไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ทิวกอดบูมตอบ อ้อมกอดของบูมยังคงอบอุ่นเสมอ กลิ่นหอมอุ่นๆ จากผิวกายของบูมก็ยังเหมือนเดิม แม้ว่าจะจากกันไปตั้งสองครั้งสองครา แต่ความรักก็ได้นำพาให้ผู้ชายที่แสนอบอุ่นคนนี้กลับมาหาเขาอีกครั้ง ชีวิตที่ไม่เหลือใครของทิวก็มีแต่บูมนี่แหละที่ยังคงเป็นที่พึ่งทางกายและใจให้เขามาตลอด

เมื่อทิวเพ่งมองดีๆ ก็พบว่ามีใครบางคนกำลังยืนมองเขากับบูมอยู่ เมื่อพิจารณาจากรูปร่างและเสื้อผ้าที่ใส่แล้วทิวก็เริ่มจำได้ แต๋งนั่นเอง แต๋งกำลังยืนมองดูเขากับบูมกอดกันอยู่!!!

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
beyonce
Guest

174. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #172
 
29-Apr-12, 00:10 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณ คุณ sarawatta เหลือเกินครับบบบบบบบบ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Tumi
Guest

175. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #172
 
29-Apr-12, 08:52 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับที่เขียนนิยายสนุกๆมาให้อ่าน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

176. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #175
 
29-Apr-12, 01:13 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

177. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #176
 
30-Apr-12, 01:51 AM (SE Asia Standard Time)
 
   Thanks Ja


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

178. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #177
 
30-Apr-12, 04:41 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

179. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #178
 
30-Apr-12, 09:02 AM (SE Asia Standard Time)
 
   รู้สึกใจหายที่เรื่องกำลังจะจบ...
ขอบคุณมากครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

180. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #179
 
01-May-12, 03:54 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ครับผม


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

181. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
01-May-12, 08:26 AM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   ตอนที่ 38

บูมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงค่อยๆ ปล่อยทิวออกจากอ้อมกอด เห็นทิวเหมือนกำลังมองอะไรอยู่ บูมจึงหันไปมองตาม ก็เห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เดาจากที่เห็นคาดว่าน่าจะอายุน้อยกว่าเขาสองคนอยู่ 2-3 ปี

"หมายความว่ายังไงครับพี่ทิว" แต๋งถามพลางพยายามสะกดกลั้นน้ำตาไว้ เขาจ้องหน้าทิวไม่วางตา

ทิวหน้าเสียเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะว่ากลัวหรอก แต่ไม่คิดว่าแต๋งจะตามมาเห็น

"อะไรเหรอทิว" บูมถามพลางมองหน้าทิวและแต๋งด้วยความสงสัย

"ผมขอคุยกับพี่ทิวสองคนได้ไหมครับ อ้อ...คุณคงไม่รู้สินะว่าผมกับพี่ทิวเป็นแฟนกัน เราคบกันมาได้เกือบปีแล้ว"

เสียงทุกอย่างเงียบลง เหลือแต่ท่าทางตกตะลึงของบูมกับทิว ทิวตกใจเพราะไม่คิดว่าแต๋งจะกล้าพูดแบบนั้นทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงเขาไม่เคยยอมรับเลยว่าเป็นแฟนกับแต๋ง ส่วนบูมตกใจเพราะเขาไม่คาดคิดว่าทิวจะไม่รักษาสัญญา เขาคิดมาตลอดว่าทิวจะมั่นคง ที่ผ่านมาทิวก็มั่นคงมาตลอดแม้ว่าจะไม่เคยสัญญา แล้วทำไมตอนนี้ทิวถึงได้ทำแบบนี้

"ไหนว่านาย..." บูมกลืนก้อนที่วิ่งขึ้นมาจุกที่คอลงไปอย่างยากเย็น

"บูม...มันไม่ใช่แบบนั้นนะ เราไม่ได้" ทิวพยายามจะบอกความจริง

แต่แต๋งก็รีบขัดขึ้นมาก่อนว่า "พี่ก็บอกเขาไปสิครับว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน"

ทิวอ้าปากค้าง "แต๋ง...แต๋งพูดแบบนี้ได้ยังไง พี่ไม่เคย"

ยังไม่ทันได้พูดจบ บูมก็เดินแกมวิ่งออกไปแล้ว

"บูม เดี๋ยวก่อน นายกำลังเข้าใจเราผิดนะ บูม" ทิวร้องเรียกตาม แต่บูมก็ไม่หยุด ทิวจึงตัดสินใจวิ่งตามไป

แต๋งรีบคว้ามือทิวไว้ ทิวหันมามองแล้วก็พยายามดึงมือออก

"แต๋ง ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้นะ" ทิวบอกเสียงดุ

"พี่ทิว เราต้องคุยกันนะครับ"

"ไว้ค่อยคุยกันได้ไหมแต๋ง พี่ไม่พร้อมจะคุยอะไรตอนนี้ทั้งนั้น" ทิวรู้สึกเหมือนใจจะขาด บูมเดินไปถึงรถแล้ว อีกไม่ช้าก็คงจะขับออกไป

"แต่เราต้องคุยกันนะครับ ทำไมพี่ไม่บอกผมว่าพี่มีคนอื่นแล้ว ปล่อยให้ผมบ้าบออยู่ได้ตั้งนาน" แต๋งเริ่มโมโหบ้าง

เสียงสตาร์ทรถทำให้ทิวถึงกับเข่าอ่อน เขาทรุดลงไปนั่งกับผืนทรายแล้วก็ร้องไห้ บูมขับรถออกไปแล้ว บูมกำลังจากไปพร้อมความเข้าใจผิดนั้น

"บูม เราไม่ได้ผิดสัญญา นายกำลังเข้าใจผิด เราไม่ได้ผิดสัญญา"

แต๋งค่อยๆ ปล่อยมือทิวเมื่อเห็นทิวร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสารแบบนั้น ทิวคงจะรักผู้ชายคนนั้นมาก ตอนแรกแต๋งนึกว่าผู้ชายคนเมื่อกี้นี้คงเป็นแฟนใหม่ของทิว เขาก็เลยโมโหทิวที่ไม่ยอมบอกความจริงกับเขา แต่เมื่อคิดทบทวนจากสิ่งที่เห็น ผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นคนที่ทิวเคยรักมากและรักกันมานานแล้ว

"พี่ทิว...แต๋งขอโทษ" แต๋งบอกพลางย่อตัวนั่งลงข้างๆ สีหน้าบ่งบอกว่าเขารู้สึกผิด

ทิวเบือนหน้าหนี ตอนนี้เขาไม่อยากฟังอะไรจากแต๋งทั้งสิ้น ความรักที่เขาอุตส่าห์เฝ้ารอคอยมานานแสนนาน กำลังเข้าใจกันได้ดีอยู่แล้ว แต๋งก็มาทำเรื่องให้ต้องผิดใจกันอีก

"พี่เคยบอกแต๋งแล้วใช่ไหม...ว่าพี่ไม่ได้คิดอะไรกับแต๋งมากกว่าเป็นเพื่อนกัน เพราะพี่รักใครไม่ได้อีกแล้ว...นอกจากผู้ชายเมื่อกี้นี้ พี่กับเขารักกันมาตั้งนานแล้ว เขากลับมาหาพี่ตามที่เราสัญญากันไว้ แต่..." ทิวพูดไม่ออก เขายังคงสะอื้นไห้ สายตามองไปที่ถนนเพื่อมองหาบูม แต่บูมก็จากไปแล้ว

"พี่ทิว...แต๋งขอโทษ แต๋งไม่ได้ตั้งใจ แต๋งขอโทษนะครับพี่..." เสียงของแต๋งค่อยๆ หายไป ตอนนี้คำขอโทษของเขาคงไม่มีความหมายอะไรมากนัก มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น คนที่ทิวรักก็จากไปแล้ว ส่วนเขากับทิวก็คงบาดหมางใจกันพอสมควร

-------------------------------------------------------------

ทิวกลับมาที่ห้องพักแล้วก็พยายามโทรหาบูม แต่บูมก็ไม่ยอมรับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา จนในที่สุดทิวก็เลิกความพยายามนั้น ตอนนี้บูมคงผิดหวังในตัวเขามาก จะว่าไปแล้วทิวก็ต้องโทษตัวเองเหมือนกันที่ไม่เด็ดขาดและปล่อยให้แต๋งเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตจนเกินขอบเขตแม้ว่าจะไม่ได้คิดอะไรกับแต๋งเลยก็ตาม เป็นบทเรียนครั้งสำคัญให้กับทิวที่จะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิต

เขาไม่ได้ผิดสัญญาหรอก ไม่ว่าจะทางใจหรือกาย บูมแค่เข้าใจเขาผิดเท่านั้น ทิวจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ เขารักบูมมากและก็รู้ว่าบูมรักเขามาก ทิวจะต้องขึ้นไปกรุงเทพ ไปหาบูมและปรับความเข้าใจกัน ถ้าไม่ติดว่าเขาทำงานอยู่ ทิวก็คงจะไปตอนนี้เลย แต่เขาจะต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนลา ยกเว้นว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีธุระด่วนจำเป็นคอขาดบาดตายจริงๆ

แล้วเขาจะต้องรออีกกี่วัน จะปล่อยให้บูมเข้าใจผิดอยู่แบบนี้อีกกี่วัน ภายในไม่กี่วันที่เขารอนี้อะไรก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เขาคงต้องเลือกแล้วล่ะว่าชีวิตของเขาตอนนี้อะไรสำคัญที่สุด

--------------------------------------------------------

บูมกลับมาถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน คนในบ้านส่วนใหญ่ก็นอนหลับกันหมดแล้ว มาถึงบูมก็ไม่พูดไม่จาเดินดุ่มๆ ตรงขึ้นไปบนห้องนอนเขาทันที ก่อนจะเข้าไปในห้องก็มีเสียงทักขึ้นมาว่า

"อ้าวบูม กลับมาแล้วเหรอ ทิวล่ะ"

บีมนั่นเอง พอดีเขาได้ยินเสียงรถของบูมวิ่งเข้ามาในบ้าน รู้สึกสงสัยเลยออกมาดู

"เขาคงไม่อยากกลับมากับผมแล้วล่ะครับ" บูมบอกสั้นๆ แล้วก็เข้าไปในห้องทันที เขารู้ว่าเป็นมารยาทที่ไม่ดีนัก แต่ตอนนี้เขาไม่อยากพูดคุยกับใครเลย

บีมมองตามอย่างงงๆ และสงสัย บูมรักทิวมาก แล้วทำไมทิวถึงไม่ยอมกลับมาด้วย หรือว่า...ทิวจะไม่เหมือนเดิมแล้ว จะเป็นไปได้หรือ ทิวเคยรอบูมได้ตั้งสี่ปีกว่า แต่ก็อย่างว่า...อะไรก็คงเกิดขึ้นได้ แต่ดูท่าทางบูมคงไม่อยากจะบอกอะไรเขาตอนนี้ บีมจึงเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง พรุ่งนี้เขาก็น่าจะรู้แล้วล่ะว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าบูมไม่บอกเขาก็คงต้องโทรไปหาทิวเอง

--------------------------------------------------------

รุ่งเช้า คุณทิพย์นภาเห็นบูมลงมาพร้อมกับชุดทำงานก็แปลกใจเพราะคิดว่าบูมน่าจะยังไม่กลับไวขนาดนี้ ที่สำคัญ ทิวก็ไม่ได้มาด้วย เธอจึงร้องถามไปว่า

"อ้าวบูม กลับมาแล้วเหรอลูก แล้วทิวล่ะ ทิวไม่กลับมาด้วยเหรอ"

บูมมีสีหน้าเครียดมากขึ้นทันที เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้วก็ตอบไปว่า "เขาคงไม่อยากกลับมากับผมหรอกครับแม่"

"มีอะไรหรือเปล่าบูม แม่ถามทิวเขาก็บอกว่าเขายังรักบูมอยู่นะลูก หรือว่า..."

บูมถอนหายใจอย่างหนักใจ เขาอุตส่าห์วาดฝันไว้อย่างดี เขาอุตส่าห์อดทนรอคอย เขาอุตส่าห์เก็บตัวเงียบ ตัดขาดจากสังคมภายนอกเพื่อที่จะให้แม่เห็นความมั่นคงในความรักของเขา จนกระทั่งแม่เข้าใจและยอมที่จะให้เขาพาทิวมาอยู่ด้วย ทิวไม่น่าทำแบบนี้เลย

"ทิว...เขามีแฟนใหม่แล้วครับแม่" บูมกัดฟันพูดออกไปพร้อมกับน้ำตาคลอ

คุณทิพย์นภาตกใจทีเดียวที่ได้ยินเช่นนั้น แล้วก็เกิดความสงสัยเช่นเดียวกับบีมว่าทำไมเมื่อก่อนทิวถึงรอได้ แต่คราวนี้กลับรอไม่ได้ ถ้ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ทิวก็คงไม่ผิดหรอก ทิวอาจจะคิดว่าบูมคงไม่กลับมาก็เลยตัดสินใจมีคนใหม่ คนที่ผิดก็น่าจะเป็นเธอเองที่กีดกันลูกจนทุกอย่างมันสายเกินไป

"แม่ขอโทษนะลูก มันเป็นความผิดของแม่เอง ถ้าแม่ไม่กีดกันบูม ป่านนี้ก็คง..."

"ไม่ใช่ความผิดของแม่หรอกครับ ใจคนก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ทิวเขาก็ไม่ผิด...มันอาจจะนานเกินไปจนทิวเขาคิดว่าผมคงไม่กลับมา"

คุณทิพย์นภามองลูกชายด้วยความสงสารและเห็นใจ สภาพของบูมตอนนี้ดูอิดโรยมากจนเธอไม่คิดว่าบูมจะไปทำงานได้

"บูม...แม่ว่าสภาพบูมตอนนี้คงไปทำงานไม่ได้หรอกนะลูก แม่ว่าบูมกินข้าวเช้าแล้วก็ขึ้นไปนอนพักผ่อนก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องของทิว...แม่จะจัดการให้"

บูมมองหน้าแม่ด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

"แม่เดาว่า...บางทีมันก็อาจจะเป็นการเข้าใจอะไรผิดกันก็ได้ ไม่รู้สิ...เท่าที่แม่คุยกับทิว แม่ไม่คิดว่าทิวจะเป็นแบบนั้น เขาอดทนรอบูมมาได้ตั้งหลายปีขนาดนั้น แม่ว่าทิวเขาก็มั่นคงกับความรักมากทีเดียว บูมแน่ใจนะลูกว่าไม่ได้เข้าใจอะไรทิวผิด ตอนนี้บูมกำลังโกรธอยู่ บางทีบูมอาจจะลืมตัวหรือลืมคิดอะไรบางอย่างไป แม่ว่าบูมคิดแล้วทบทวนดีๆ ก่อนดีไหมลูก วันนี้อย่าเพิ่งไปทำงานเลย ตอนนี้สภาพของบูมอิดโรยมาก แถมมีปัญหาแบบนี้บูมคงไม่มีสมาธิทำงานหรอกนะลูก"

"ครับแม่..." บูมรับคำ เขาก็รู้สึกว่าวันนี้เขาไม่ควรจะไปทำงานในสภาพนี้เลย แต่บางทีเขาก็คิดว่าการทำงานอาจจะช่วยให้เขาลืมอะไรหลายๆ อย่างได้ เขาทำแบบนี้จนเคยชินเสียแล้ว

บูมเงียบและครุ่นคิด นึกถึงตอนที่เขาได้ยินเสียงทิวตะโกนแว่วๆ มาว่าเขากำลังเข้าใจทิวผิด แต่ตอนนั้นเขามัวแต่โกรธอยู่ก็เลยไม่สนใจที่จะฟังอะไรทั้งนั้น ทิวหมดรักเขาแล้วหรือ... ตอนที่เขาแกล้งทิว ทิวเสียขวัญมาก เขายังรู้สึกผิดเลยที่แกล้งทิวแบบนั้น แต่เจ้าเด็กนั่นล่ะ เขาก็ประกาศชัดว่าทิวเป็นแฟนและคบกันมาเกือบปีแล้ว

ตอนนี้ภาพในหัวของบูมมีแต่ภาพที่ทิวกำลังเสียขวัญและกอดเขาแน่น และภาพที่เจ้าเด็กนั่นประกาศกร้าวว่าทิวเป็นแฟนเขา ตัดสลับไปสลับมา เมื่อได้คิดทบทวนแล้วบูมก็เริ่มรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะเข้าใจอะไรผิดก็ได้ แววตาของทิวที่ดีใจอย่างล้นเหลือเวลาที่ได้เจอเขา ภาพที่ทิวกำลังเสียขวัญและกอดเขาแน่น ยามที่กายสัมผัสกันเขาก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่น รับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดราวกับว่าจะไม่ให้อีกฝ่ายหนีหายไปไหนได้ รับรู้ได้ถึงความโหยหาและคิดถึง ที่สำคัญ...รับรู้ได้ถึงความรักที่แสดงผ่านออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ทิวทำในตอนนั้น สิ่งที่เจ้าเด็กนั่นพูดช่างขัดแย้งกับสิ่งที่ได้เขาได้สัมผัสด้วยตัวเองมากทีเดียว ทิวอาจจะยังรักเขามากอยู่ก็ได้ แต่ทิว...ผิดสัญญาหรือเปล่า

---------------------------------------------------

พอบูมกินอาหารเช้าและกลับขึ้นไปบนห้องแล้วคุณทิพย์นภาก็ออกไปทำงาน ระหว่างขับรถเธอก็ตัดสินใจโทรหาทิวเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่นานนักทิวก็รับสาย

"ทิว นี่ฉันเองนะ แม่ของบูม"

"อ๋อครับ สวัสดีครับ"

"ทิวสะดวกคุยไหมตอนนี้ ฉัน...เอ่อ...แม่อยากถามอะไรหน่อย" คุณทิพย์นภาตัดสินใจที่จะเรียกแทนตัวเองว่าแม่เพื่อให้ทิวรู้สึกถึงความใกล้ชิดคุ้นเคยมากขึ้น

"สะดวกครับ ตอนนี้ผมกำลังอยู่บนรถตู้ เดินทางไปกรุงเทพครับ"

"อ๋อ...ทิวจะมาหาบูมหรือเปล่า"

"ครับ พอดี...บูมเขาเข้าใจอะไรผมผิดนิดหน่อยครับ บูมไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมเลย ผมก็เลยอยากจะมาอธิบายให้บูมฟังด้วยตัวเองครับ"

"ดีแล้วล่ะทิว วันนี้บูมไม่ได้ไปทำงานนะ เมื่อเช้าเขาลงมาแล้วล่ะแต่แม่เห็นสภาพแล้วคิดว่าเขาคงทำงานไม่ไหว ก็เลยให้กลับขึ้นไปนอน ถ้าทิวมาถึงก็ขึ้นไปหาบูมได้เลย แม่จะบอกคนที่บ้านไว้ให้ หรือไม่ก็บอกแพรวว่ามาหาบูม"

ได้ยินชื่อแพรวแล้วทิวก็ตกใจ ทำไมแพรวถึงไปอยู่ที่บ้านบูมล่ะ หรือว่าจะเป็นคนละแพรวกัน

"แพรวเหรอครับ...แพรวที่เคยเป็นคู่หมั้นบูมหรือเปล่าครับ" ทิวถามพลางรู้สึกใจหาย หรือว่าบูมจะเปลี่ยนใจกลับมาแต่งงานกับแพรวแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย

"ใช่จ้ะ แพรวที่เคยเป็นคู่หมั้นของบูมนั่นแหละจ้ะ แต่ว่า...เขาไม่ได้แต่งงานกับบูมหรอกนะ เขาแต่งกับบีม"

"จริงเหรอครับ" ทิวถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่บีมจะแต่งงานกับแพรว สองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหน แต่ก็ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยแพรวก็ไม่ได้แต่งงานกับบูม เขาก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

"จ้ะ ถ้าทิวมาถึงแล้วก็ไม่ต้องเกรงใจนะ ขึ้นไปหาบูมได้เลย"

"ครับ...แม่" ทิวรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเรียกคุณทิพย์นภาว่า "แม่" แต่เห็นเธอเรียกแทนตัวเองแบบนั้น ทิวก็เลยเรียกตาม แต่เขาก็รู้สึกดีมากที่ได้เรียกแบบนั้น ทำให้เขานึกถึงแม่ที่จากไปนานแล้ว แต่ถึงจะนานแค่ไหนทิวก็ไม่เคยลืมแม่ ตอนนี้แม่ของเขาไม่อยู่แล้ว แต่ทิวอาจจะได้ "แม่สามี" มาทดแทนแม่จริงๆ ของเขาก็ได้

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

182. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #181
 
01-May-12, 12:13 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ทำงานอยู่ครับ แหะ แหะ แอบมาดันก่อน


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

183. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #182
 
01-May-12, 02:38 PM (SE Asia Standard Time)
 
   อ่านแล้ว จะให้เป็น แม่สามี เท่านั้น หรือครับ เป็น แม่ยาย ได้บ้างไหม?


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

184. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #183
 
01-May-12, 04:29 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | 1069plaza.com Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

185. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #184
 
01-May-12, 08:29 PM (SE Asia Standard Time)
 
   อยากให้เป็นแม่ยายด้วยอีกคน บูมขี้งอนยังกับผู้หญิง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

186. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
01-May-12, 10:28 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   จะแถมให้อีกตอนหนึ่งนะครับ เป็นทั้งตอนพิเศษและตอนจบไปในตัว
แล้วก็คงจบจริงๆ ครับ :monkeysad:

----------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 39

ทิวมาถึงบ้านของบูมก็ประมาณเกือบเที่ยง กดออดอยู่สักพักก็มีคนรับใช้มาเปิดให้ พอบอกว่าเขาชื่อทิว มาพบบูม ทิวก็สามารถเข้ามาในบ้านได้ไม่ยากนักเพราะคุณทิพย์นภาสั่งไว้แล้ว

ทิวไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้นานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายก็คืองานวันเกิดบูมเมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ว่าเขาก็พอจำได้บ้างเพราะตอนสมัยเรียนทิวเคยมาค้างที่บ้านบูมบ้าง แม้จะไม่ค่อยบ่อยก็ตาม

เมื่อคนรับใช้พาทิวเข้ามาในบ้านก็เจอกับแพรวที่กำลังเล่นกับน้องพีมอยู่พอดี เมื่อเห็นทิวแล้วแพรวก็พอจำได้ เธอยิ้มและร้องทักว่า

"ทิว...ไม่ได้เจอกันซะนานเลย สบายดีไหม"

ทิวยิ้มและเดินเข้าไปหาแพรวที่มุมโซฟาของบ้าน เห็นน้องพีมแล้วทิวก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นลูกสาวของแพรวกับพี่บีม

"สบายดีครับ แพรวคงสบายดีนะ นี่ลูกสาวเหรอครับ น่ารักเชียว ชื่ออะไรครับ" ทิวพูดพลางยิ้มอย่างเอ็นดู

"สบายดีจ้ะ นี่น้องพีมนะ อายุจะสองขวบอีกไม่กี่เดือนนี้แล้วล่ะ ทิวนั่งก่อนสิ แพรวจะเล่าอะไรให้ฟังนิดหน่อย" แพรวบอกเมื่อเห็นทิวยืนย่อตัวอยู่

ทิวจึงนั่งลงกับโซฟาที่ติดกับที่แพรวนั่งอยู่ เขามองไปรอบๆ บ้านก็ไม่เห็นบูม เหมือนแพรวจะเดาได้ว่าทิวกำลังมองหาอะไรอยู่ก็เลยชวนคุยเรื่องของบูมเสียเลย

"บูมเขาอยู่ในห้อง ดูท่าทางจะเสียใจมากอยู่เหมือนกัน ทิวมาก็ดีแล้วล่ะ ช่วยบูมหน่อยเถอะ รู้ไหมว่าที่บ้านของเรา เราเป็นห่วงบูมกันมากเลย" แพรวพูดไปพลางเล่นกันลูกสาวไปพลาง

"มีอะไรหรือแพรว" ทิวสงสัย

"ก็บูมน่ะสิ จะเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว เขาเก็บตัว ไม่ค่อยเข้าสังคมตั้งแต่ที่ไปเรียนโทแล้วล่ะ พอกลับมาทำงานที่เมืองไทย เขาก็ไม่ออกไปพบปะกับใครหรือมีสังคมเลย เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน เศร้าๆ ซึมๆ อยู่แบบนี้"

"ทำไมล่ะแพรว บูมเขาเป็นอะไรเหรอ"

"เขาคงอยากพิสูจน์ให้คุณแม่เห็นว่าเขารักทิวมากแค่ไหน ก็เลยตัดขาดจากสังคม วันๆ ก็อยู่แต่ในห้องแล้วก็ทำแต่งาน"

"จริงเหรอแพรว" ทิวครางด้วยความสะท้อนใจ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าบูมจะยอมทำเพื่อความรักมากขนาดนี้ มิน่าล่ะบูมถึงได้เสียใจมากที่แต๋งบอกว่าเป็นแฟนเขา สามปีที่ผ่านมาบูมรอเขามาตลอดและยอมที่จะทรมานตัวเองถึงขนาดนี้เพื่อความรัก ถ้าชีวิตนี้ทิวไม่รักผู้ชายคนนี้แล้วจะให้เขาไปรักผู้ชายคนไหนในโลกนี้

"จริงสิ ตอนนี้บูมก็คงนอนซึมอยู่บนห้องนั่นแหละ ทิวขึ้นไปหาบูมเลยก็ได้ แพรวก็มัวแต่ชวนคุย ช่วยเขาหน่อยละกันนะทิว"

"ครับ" ทิวรับคำแล้วก็มองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

"ทิวจำห้องบูมได้ใช่ไหม เห็นพี่บีมบอกว่าทิวเคยมาค้างที่นี่เหมือนกันสมัยเรียนมัธยม"

ทิวพยักหน้า

"ไปเถอะทิว บูมคงรอทิวอยู่" แพรวบอกพลางยิ้มให้กำลังใจ

"ไปก่อนนะแพรว เดี๋ยวค่อยคุยกัน" ทิวบอกแล้วก็ลุกเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

------------------------------------------------

ไม่นานนักทิวก็มายืนอยู่ที่หน้าห้องนอนของบูม เขาชั่งใจอยู่สักพักก็ตัดสินใจเคาะประตูห้อง ไม่นานนักบูมก็เดินเปิดประตูออกมาด้วยชุดนอน พอบูมเห็นทิวแล้วเขาก็ทำสีหน้าที่ทิวเองก็ตีความได้ยาก จะว่าดีใจก็ไม่เชิง จะว่าเฉยๆ ก็ไม่ใช่ จะว่าโกรธก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น

บูมหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องตามเดิม ทิวรีบปิดประตูแล้วก็เดินเข้าไปกอดบูมจากทางด้านหลังไว้ เขารักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ยิ่งรู้ว่าบูมเสียใจก็ยิ่งเป็นห่วง อยากมาหา อยากมาขอโทษและอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ฟังเพื่อให้เขากับบูมกลับมารักกันดังเดิม

"เรารักบูมนะ เราไม่เคยรักใครคนอื่น เรานอนไม่หลับ เป็นห่วงบูมทั้งคืนแล้วก็โทรหาตลอดเลย พอเช้าก็รีบมา คิดถึงบูมนะ"

ถ้าทิวยืนอยู่ตรงหน้าบูมก็คงเห็นเขาแอบยิ้มแล้วล่ะ แต่บูมก็ยังคงทำเป็นเงียบอยู่ เขาแกะมือทิวออกแล้วก็เดินกลับไปนอนบนเตียง หันหน้าไปอีกทาง ไม่พูดไม่จา

ทิวยืนงงอยู่สักพักก็เดินตามไป เขาไม่รู้ว่าควรจะขึ้นไปบนเตียงของบูมหรือเปล่าเพราะถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว ทิวยืนหันรีหันขวางอยู่สักพักก็ตัดสินใจขึ้นไปนั่งบนเตียงของบูม แต่บูมก็ยังทำเป็นนอนเงียบไม่รู้ไม่ชี้อยู่ ทิวจึงนอนลงข้างๆ แล้วก็กอดบูมไว้ทางด้านหลัง

"ขอบคุณบูมมากนะที่ทำเพื่อความรักของเรา นายเป็นผู้ชายที่เรารักที่สุดในโลกเลยรู้หรือเปล่า"

แต่บูมก็ยังเงียบอยู่ ทิวก็เลยเงียบบ้างแต่ก็ยังคงกอดบูมไว้อยู่แบบนั้น แต่เหมือนบูมคงจะเริ่มทนไม่ไหวก็เลยยอมเปิดปากพูดบ้าง

"ไม่กลับไปอยู่กับแฟนล่ะ ชอบมีแฟนเด็กไม่ใช่เหรอ"

ทิวแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เป็นครั้งแรกที่เห็นบูมงอนเขาแบบนี้ ดูไปก็น่ารักเหมือนเด็กๆ ทีเดียว

"ใครบอกว่าเราชอบมีแฟนเด็กล่ะ เราชอบมีแฟนเป็นผู้ใหญ่มากกว่า อบอุ่นดี กอดแล้วก็อุ่นดีด้วย" ทิวพูดพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นและซบหน้าบนไหล่ของบูม

บูมแอบยิ้มแต่ก็ยังทำเป็นเฉยๆ ทิวไม่เคยง้อเขาแบบนี้เลย นึกไปนึกมาก็สนุกดีเหมือนกัน

"เราไม่ใช่ผู้ใหญ่ซะหน่อย อายุก็เท่ากัน"

ในที่สุดทิวก็อดขำไม่ได้ แต่เขาก็หัวเราะเบาๆ เพราะเดี๋ยวจะทำให้บูมงอนอีก

"ไม่เห็นเป็นไรเลย เราก็ชอบคนอายุเท่ากันด้วย โดยเฉพาะคนที่เรากอดอยู่ตอนนี้ เรารักที่สุดในโลกเลยรู้เปล่า"

บูมแค่นเสียง "รักจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ พอเราไม่อยู่ก็แอบไปมีแฟนเด็ก"

เอาล่ะสิ แล้วทิวจะตอบว่าไงล่ะเนี่ย... ทำไมบูมงอนไม่เลิกเลยล่ะ

"เราไม่เคยมีแฟนเด็กเลยนะ เราไม่ได้ชอบเขา เขามาชอบเราเองต่างหาก เรารอแต่แฟนผู้ใหญ่...เอ๊ยไม่ใช่ๆ...แฟนอายุเท่ากันคนนี้เท่านั้นแหละ รอตั้งหลายปีแน่ะ กว่าจะได้เจอก็ตั้งนาน คิดถึงจนแทบใจจะขาด แต่พอเจอกันนะ แฟนคนอายุเท่ากันก็แกล้งเราใหญ่เลย เราน่ะใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยรู้เปล่า แต่ไม่เป็นไรหรอก เรารักแฟนคนที่อายุเท่ากันมาก ยอมให้แกล้งได้"

บูมได้ฟังแล้วสุดท้ายก็อดขำไม่ได้ แม้จะพยายามกลั้นไว้แต่ก็มีเสียงเล็ดรอดออกมา

"แต่นายก็ทุบเราจนเจ็บเลยนะ" บูมพูดแล้วก็พลิกตัวหันมาเผชิญหน้ากับทิว

"จริงเหรอ ไหนขอดูหน่อยสิ" ทิวพูดแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง เขาเลิกเสื้อยืดสีขาวที่บุมใส่นอนขึ้นเพื่อดูว่าหน้าอกของบูมมีรอยทุบจริงหรือเปล่า ทิวใช้มือลูบไล้ไปมาบนหน้าอกของบูมแล้วก็พูดว่า "ไม่เห็นมีรอยทุบเลย เราน่ะทุบแค่เบาๆ เองนะ เรารักของเราขนาดนี้ ใครจะกล้าทำแฟนคนอายุเท่ากันเจ็บล่ะ"

นี่คงจะเป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่บูมเกิดความรู้สึกปั่นป่วนกับการถูกกระตุ้นปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศ เขากุมมือทิวไว้ตรงหน้าอกของเขา ทิวเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน

"หายโกรธเราแล้วใช่ไหมบูม อย่าโกรธเราอีกเลยนะ นายเป็นที่พึ่งคนเดียวในโลกนี้ที่เรามีอยู่รู้หรือเปล่า ถ้านายโกรธ
เรา...เราก็ไม่เหลือใครเลยนะ" ทิวพูดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มมาคลอที่เบ้าตา

บูมใช้มือโอบไหล่และดึงทิวให้โน้มต่ำลงจนใบหน้าเกือบจะชิดกัน "ตอนแรกก็โกรธแหละ แต่ตอนนี้หายแล้ว แถมยังมีความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างด้วย"

"อะไร" ทิวพาซื่อ

"ก็นาย...ยั่วเราซะขนาดนี้...จะให้เรารู้สึกยังไงล่ะ" บูมยิ้มกรุ้มกริ่ม

พอทิวรู้ทันก็เลยตอบไปว่า "เดี๋ยวจะยั่วให้มากกว่านี้อีก"

พูดจบทิวก็ประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของบูม บูมดูตกใจเล็กน้อยที่ทิวเป็นฝ่ายรุกเขาก่อน แต่แล้วก็ปล่อยเลยตามเลย สงสัยคราวนี้...บูมคงจะต้องยอมทิวบ้างแล้วล่ะ ก็ดีเหมือนกันเผื่อจะได้เปลี่ยนรสชาติบ้าง

พอทิวถอนปากออก ต่างคนต่างก็หายใจหอบด้วยความตื่นเต้นวาบหวิว ต่างคนต่างห่างหายจากเรื่องนี้ไปนานหลายปีก็เลยทำให้ความต้องการพุ่งทะยาน

"บูม...วันนี้เราผลัดกันบ้างนะ ได้หรือเปล่า" ทิวถามเสียงหอบ

"เรารักนายขนาดนี้...ขออะไรก็ให้ได้ทั้งนั้นแหละ"

ทิวยิ้มดีใจ เขาก้มลงไปจุมพิตกับบูมแล้วก็บอกว่า "ที่รักของทิว"

บูมหัวเราะชอบใจใหญ่ "ครับ...คนดีของบูม อย่ามัวแต่ชักช้า...เดี๋ยวเปลี่ยนใจนะ"

ทิวจึงรีบถอดเสื้อของเขาออกเหลือแต่อกเปล่าเปลือย "อย่าท้าเรานะ ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก นายอาจจะติดใจจนลืมไม่ลงเลยก็ได้" ทิวบอกพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม เขาไม่เคยทำสีหน้าแบบนี้เลย บูมก็เลยขำเล็กน้อย

"โห..อย่าหัวเราะสิ คนยิ่งไม่มั่นใจอยู่ เสียเซลฟ์หมดเลย" ทิวบอกพลางทำหน้างอ

บูมจึงเงียบ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ทิวค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ บูม ก่อนจะลงมือก็บอกว่า "เป็นของเรานะบูม"

บูมอดขำอีกไม่ได้ แต่ทิวไม่สนใจแล้วล่ะ เขาไซร้บริเวณซอกคอแล้วค่อยๆ ไล่ไปที่ใบหู เหมือนที่บูมชอบทำบ่อยๆ นั่นแหละ บูมรู้สึกเสียวสะท้านจนต้องกอดทิวไว้แน่น ทิวเริ่มรู้สึกพอใจ อย่างน้อยเขาก็ยังพอคุมเกมส์ได้อยู่ เป็นงานแรกก็ต้องเข้าใจกันบ้าง

----------------------------------------------------------

จนเกือบบ่าย ทิวกับบูมจึงได้ยุติกิจกรรมที่แสนพิเศษนั้น

"เจ็บหรือเปล่าบูม" ทิวถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่ทิวก็เป็นฝ่ายนอนอยู่บนอ้อมอกของบูมในที่สุด ทิวรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องการความอบอุ่นจากบูมมากกว่า

"เพื่อคนที่เรารัก...เราทนได้อยู่แล้ว"

"บูม...เรารักนายจังเลย ไม่รู้จะบอกว่ารักยังไง พูดอีกล้านครั้งก็ไม่เท่ากับความรู้สึกของเราที่อยู่ข้างในหรอก" ทิวบอกพร้อมกับกอดและซุกหน้ากับอกบูมแน่น บูมเป็นคนดีเหลือเกิน ยอมได้แม้กระทั่งเรื่องนี้ เพียงเพราะอยากจะให้คนที่เขารักได้ลองมีความสุขอีกแบบหนึ่งบ้าง

"เรารู้...นายอย่าไปยุ่งกับเด็กอีกละกัน" บูมพูดติดตลก

"บ้า...นายนี่ คนกำลังซึ้งๆ เดี๋ยวก็ทุบให้อีกหรอก" ทิวพูดพลางลุกขึ้นและทำท่าจะทุบอกบูม

"เราล้อเล่นน่า" บูมยิ้มแล้วก็ลุกขึ้นมานั่งในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน

ทิวกลิ้งไปนอนบนบริเวณตักของบูม มีผ้าห่มปิดส่วนนั้นไว้อยู่

"บูม...แพรวบอกเราว่า...นายเอาแต่เก็บตัว ไม่ยอมออกไปไหนเลยเหรอ" ทิวถามพลางแหงนมองใบหน้าของบูม

"ก็...ถ้าไม่ทำแบบนี้...แม่ก็ไม่เห็นใจเราน่ะสิ เราน่ะ...อยากพิสูจน์ให้แม่รู้ว่าเรา...มั่นคงแค่ไหน ก็ไม่ได้อยากทำให้ใครเป็นห่วงหรอกนะ"

ทิวดึงมือบูมมากุมไว้บนอกของตัวเองด้วยสีหน้ารักใคร่ "ขอบคุณมากนะบูม นายได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า...นายทำทุกอย่างได้เพื่อความรักจริงๆ เราศรัทธาในตัวนายมาก นายทำให้เรา...รู้ว่ารักแท้เป็นแบบไหน จริงๆ เราก็มั่นใจมานานแล้วล่ะ แต่ครั้งนี้...เราเข้าใจรักแท้มากขึ้น"

"ขอบคุณนายด้วยนะที่รอเรา เรารู้ว่านายคงเหงา...ต้องการใครสักคน สามปีที่ต้องอยู่กับความเหงามันก็...โหดร้ายไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ แต่เรา...ก็ผ่านมันไปได้"

"เพราะเรามีรักแท้ไงบูม นายเคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่า ขอแค่ให้เรามั่นคง รักก็จะนำทางเราไปเสมอ จนสุดท้ายเราก็ได้มาเจอกันอีก"

"ก็หวังว่าเราคงจะไม่จากกันไปอีกแล้วเนาะ" บูมก้มลงมองใบหน้าทิวพลางยิ้ม เขาใช้มือลูบผมทิวเล่น

"เราก็หวังอย่างนั้น" ทิวยิ้มตอบด้วยความหวัง

"เมื่อไร...นายจะย้ายมาอยู่กับเราล่ะ เราอยากให้นายย้ายมาวันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ" บูมเปลี่ยนมาถามอีกเรื่องที่เขากับทิวควรจะต้องรีบทำให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด

"คงไม่เร็วขนาดนั้นหรอกบูม เราต้องยื่นใบลาออกอย่างน้อยหนึ่งเดือนล่วงหน้า ให้เขาหาคนก่อน ว่าแต่ว่า...ถ้าเรามาอยู่ที่นี่ นายจะให้เราทำอะไรล่ะ เราไม่อยากอยู่เฉยๆ ไม่มีงานทำ"

"นายอยากทำดครงการอีกไหม เรามีไอเดียเยอะแยะเลย ถ้านายยังชอบทำงานแบบนี้อยู่ เราก็จะเขียนโครงการให้ เราพอมีเครดิตจากการทำงานครั้งที่แล้วอยู่บ้าง ถ้าเรามีไอเดียอีกเขาก็ไม่น่าจะขัดข้อง เดี๋ยวชวนเอิร์ธกับวิทมาทำด้วย อ้อ...ลีน่ากับแอนเดอร์สันกลับไปแล้วนะ กลับไปได้เกือบสองปีแล้วล่ะ"

"อยากทำสิ...เราชอบงานแบบนั้น" ทิวตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"โอเค...เราจะเลิกเก็บตัวละ ช่วงที่นายยังทำงานอยู่ที่โน่น เราก็จะเขียนโครงการแล้วก็ชวนเพื่อนเราอีกสองคนมาช่วย เอิร์ธกับทิวคงอยากทำอยู่เพราะเขาเปรยๆ เอาไว้ ตอนนี้เราอยากนำความรู้เรื่องการทำธุรกิจเพื่อสังคมมาเผยแพร่ รู้สึกว่าตอนนี้ธุรกิจแบบนี้กำลังเป็นที่สนใจเลย เราอยากเอาแนวคิดแบบนี้มาช่วยให้คนที่ขาดโอกาสได้มีอาชีพมีรายได้"

"ดีๆ เราว่าโครงการแบบนี้ก็ดีนะ"

"ถ้านายชอบจริงๆ บางทีเราอาจจะช่วยตั้งเป็นองค์กร มูลนิธิหรือสมาคมให้ นายก็ทำตรงนั้นไป เราก็ทำงานบริษัทของพ่อ สานต่องานตรงนี้ แต่ยังไงเราก็จะมาช่วยนายทำโครงการด้วย หรือถ้านายอยากเขียนโครงการเป็น เราก็จะช่วยสอนให้ เอามั๊ย"

ทิวพยักหน้า "เอาสิ" แล้วก็พูดต่อไปว่า "เราโชคดีจริงๆ นะที่ได้เป็นแฟนกับคนที่อายุเท่าๆ กันที่มีจิตใจดีแบบนี้"

ได้ยินคำว่า "แฟนคนที่อายุเท่าๆ กัน" แล้วบูมก็ขำ มันกลายเป็นคำติดปากของทิวไปเลย

"เราพอมีความรู้ ช่วยคนอื่นได้เราก็ควรทำนะ เฮ้อ...ดีใจจังที่เราจะได้มาอยู่ด้วยกัน ช่วยกันทำงาน ผัวหาบ...เมียคอน"

"โห...ดูเปรียบเทียบเข้า นี่แน่ะ" ทิวว่าพลางใช้มือทุบไปบนอกบูมเบาๆ สองสามที แล้วต่างคนก็ต่างหัวเราะชอบใจ

คงจะหมดทุกข์หมดโศกเสียทีนะทิวกับบูม แม้จะเคยคิดว่าฟ้าคงไม่ได้ลิขิตให้เขาสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่พวกเขาก็เลือกและวางแผนที่จะลิขิตชีวิตให้ตัวเอง ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งและความรักที่มั่นคง สุดท้ายพวกเขาสองคนก็สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี แม้กระทั่งใจคนซึ่งเป็นอุปสรรคที่ยากที่สุดในบรรดาอุปสรรคทั้งหมด

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

187. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #186
 
02-May-12, 00:32 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมากครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

188. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #187
 
02-May-12, 09:08 AM (SE Asia Standard Time)
 
   จบแบบ Happy Ending
คงถูกใจแฟนคลับหลายคน...
แต่ผมอยากเห็นคุณเขียนแนวชีวิตจริงบ้างจัง ... แบบที่มันไม่ได้ Happy Ending ไปซะทุกเรื่องอะครับ

ขอบคุณมากนะครับ สำหรับความสุขที่มอบให้


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
ตามอ่าน
Guest

189. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #188
 
02-May-12, 02:40 PM (SE Asia Standard Time)
 
   >จบแบบ Happy Ending
>คงถูกใจแฟนคลับหลายคน...
>แต่ผมอยากเห็นคุณเขียนแนวชีวิตจริงบ้างจัง ... แบบที่มันไม่ได้
>Happy Ending ไปซะทุกเรื่องอะครับ
>
>ขอบคุณมากนะครับ สำหรับความสุขที่มอบให้

เห็นด้วยครับ เสียดายฝีมือ นักอ่านบางคนก็กดดันคนเขียนเกิ๊น
ขู่จะเลิกอ่านถ้าไม่จบตามที่คิด ทำเอาคุณคนเขียนเครียด แหม ใจร้ายจริงๆ
ไม่ได้หมายความว่าคุณ sarawatta ต้องเขียนเรื่องกร้านโลกถึงจะดีนะครับ แต่อยากให้เป็นตัวเอง
คิดว่าตอนจบจะเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ได้คบกันก็ดี ไม่ได้คบกันก็ยังมีชีวิตต่อไปได้
อาจพบรักใหม่ กับคนเก่าเป็นเพื่อนกันไป ไม่ได้คบกันแต่ยังมีความทรงจำดีๆ ฯลฯ
อย่างเช่นรักแห่งสยามเป็นที่จดจำเพราะสมจริงและมีมุมมองสดใหม่ครับ
ตรงนี้คือความท้าทายในการเล่าเรื่องเลยครับ ว่าทำไงเรื่องเราถึงจะไม่จำเจ เป็นที่จดจำ

อย่างตอนที่ทิวเกือบขายตัว ผมว่าต่อให้ขายตัวไปแล้วก็ไม่เป็นไร
ทิวอาจสำนึกผิดในสิ่งที่เสียไปแล้วหวนคืนไม่ได้อีกและทำให้คิดถึงบูมยิ่งขึ้น
หรือบูมอาจจะเคยมีอะไรกับแพรวแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ถ้าให้มุมมองที่ใกล้เคียงกับชีวิตมนุษย์จริงๆ จะยิ่งทำให้โดดเด่นนะครับ
นิยายก็เหมือนศิลปะที่สะท้อนจิตวิญญาณของคนเขียน
ถ้าคุณเขียนเพราะกดดันจากที่คนอื่นหวังจะให้เป็นโน่นเป็นนี่ มันจะออกมาไม่เป็นตัวคุณครับ

ชอบคุณ sarawatta ตรงที่แทรกมุมมองชีวิตครอบครัว การทำงาน หรือสิ่งละอันพันละน้อยไปด้วย
ทำให้งานดูมีมิติแตกต่างจากนิยายเกย์ทั่วไปครับ ชอบดราม่าหนักๆ ด้วย อ่านแล้วเข้มข้นดุเดือด
แต่รู้สึกผู้หญิงในเรื่องจะร้ายไปหน่อยนะครับ ยิ่งคุณทิพย์นภาผมงงมาก
ดูโพรไฟล์คาแรคเตอร์เธอแล้วไม่น่าจะทำตัวเสียผู้ใหญ่ได้ขนาดนั้น
ต่อให้ผิดหวังเรื่องลูกก็ตาม ดูเหมือนนางร้ายละครไทยเลยครับ

จะลองยกตัวอย่างจริงนะครับ อย่างผมเคยถูกที่บ้านจับได้ว่าเป็นเกย์
แม่ไม่พูดกับผมกดดันเป็นเดือนๆ ไม่ต้องโวยวายสักคำ ผมเคยเห็นแม่แอบร้องไห้เงียบๆ
มีแขวะเบาๆ บ้าง เช่น อยากเป็นอะไรก็เป็นไปฉันไม่สนแกแล้ว โคตรเจ็บเลยครับกว่าที่บ้านจะรับได้
วันหนึ่งแม่ก็เข้ามาคุยกับผมเอง บอกว่างๆ พาคนที่คบอยู่มาทานข้าวที่บ้านสิ
ไม่มีการคุยยาวๆ ใช้ภาษาสวยๆ แต่สีหน้า ท่าทาง คำพูดไม่กี่คำทำให้ผมเข้าใจกับแม่ได้
ถ้าออกแบบตัวละครให้ใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆ มีดำบ้างขาวบ้าง มีผิดบ้างถูกบ้าง
มีทั้งด้านอัปลักษณ์และงดงาม ผู้อ่านก็จะยิ่งอินในความสมจริงครับ

ส่วนบทบาทตัวละครเทียบกับเรื่องต้นสน พัฒนาขึ้นมากครับ มีการสรุปที่มาที่ไปตัวละครสมทบ
อาจไม่ถึงกับต้องตามเก็บทุกคนจนเลอะเทอะยืดยาว อย่างพี่พงษ์ก็เป็นที่รู้กันว่าลาออกแล้วก็คงไม่เจอกัน
แต่อย่างลีน่า แอนเดอร์สัน มีอิทธิพลกับช่วงชีวิตปัจจุบันของทั้งคู่ ก็สมควรไปลามาไหว้กับคนอ่าน
อ่านแล้วเคลียร์ ไม่ใช่โผล่มาสมทบเนื้อเรื่อง แล้วจู่ๆ ก็หายแบบลืมไปเลยอย่างพี่มั่นคงในต้นสน
เรื่องนี้คุณทำได้ยอดเยี่ยมครับ เก็บเนื้อหาในส่วนตัวละครสมทบได้เคลียร์

สุดท้ายคือเอกภาพในเรื่องครับ ผมชอบที่คุณใส่ใจแทรกรายละเอียดปลีกย่อยในเนื้อเรื่องครับ
แต่จะสมบูรณ์กลมกล่อมยิ่งขึ้นหากคุณสามารถเชื่อมโยงให้เป็นเนื้อเดียวกับเรื่อง
มันจะลื่นและดูดีทีเดียวครับ เช่น

ฉากบูมกับแพรวให้แขกในงานวาดรูปบ่งบอกความคิดภายในใจ
แล้วเฉลยกล่องคืออีโก้ ดอกไม้คือคนในครอบครัว พายุคือปัญหา
อ่านแล้วผมไม่เก็ตว่าคำเฉลยต้องการบอกอะไรกับผู้อ่าน จะว่าบรรยายสภาพแวดล้อมก็ไม่ใช่
ตรงนี้จะดีมากถ้าคุณทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ที่คุณใส่มามีสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องแบบมีจุดมุ่งหมาย
เช่น บูมอาจจะขอวาดด้วยคน แล้วแพรวอาจจะสังเกตเห็นภาพของบูมดูไม่ค่อยดี
จึงสะกิดถามว่าบูมมีปัญหาอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า
แบบนี้ก็จะทำให้ฉากกิจกรรมวาดรูปนั้นลื่นไหลและมีประเด็นให้คิดขึ้นมาเลยครับ

ติชมบ้างอย่าถือสาเลยครับ ผมชอบผลงานคุณครับถึงได้ตั้งใจวิจารณ์
ขอบคุณที่พิมพ์นิยายดีๆ ให้อ่านนะครับ คุณเป็นนักเขียนที่มีฝีมือ
มีไมตรีต่อนักอ่านและเป็นคนทำงานละเอียดมาก
หวังว่าจะได้อ่านนิยายที่สนุกเข้มข้นเรื่องต่อไปจากคุณครับอีกนะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

190. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #189
 
02-May-12, 06:18 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   >>จบแบบ Happy Ending
>>คงถูกใจแฟนคลับหลายคน...
>>แต่ผมอยากเห็นคุณเขียนแนวชีวิตจริงบ้างจัง ... แบบที่มันไม่ได้
>>Happy Ending ไปซะทุกเรื่องอะครับ
>>
>>ขอบคุณมากนะครับ สำหรับความสุขที่มอบให้
>
>เห็นด้วยครับ เสียดายฝีมือ นักอ่านบางคนก็กดดันคนเขียนเกิ๊น
>ขู่จะเลิกอ่านถ้าไม่จบตามที่คิด ทำเอาคุณคนเขียนเครียด แหม
>ใจร้ายจริงๆ
>ไม่ได้หมายความว่าคุณ sarawatta
>ต้องเขียนเรื่องกร้านโลกถึงจะดีนะครับ แต่อยากให้เป็นตัวเอง
>คิดว่าตอนจบจะเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ได้คบกันก็ดี
>ไม่ได้คบกันก็ยังมีชีวิตต่อไปได้
>อาจพบรักใหม่ กับคนเก่าเป็นเพื่อนกันไป
>ไม่ได้คบกันแต่ยังมีความทรงจำดีๆ ฯลฯ
>อย่างเช่นรักแห่งสยามเป็นที่จดจำเพราะสมจริงและมีมุมมองสดใหม่ครับ
>ตรงนี้คือความท้าทายในการเล่าเรื่องเลยครับ
>ว่าทำไงเรื่องเราถึงจะไม่จำเจ เป็นที่จดจำ
>
>อย่างตอนที่ทิวเกือบขายตัว ผมว่าต่อให้ขายตัวไปแล้วก็ไม่เป็นไร
>ทิวอาจสำนึกผิดในสิ่งที่เสียไปแล้วหวนคืนไม่ได้อีกและทำให้คิดถึงบูมยิ่งขึ้น
>หรือบูมอาจจะเคยมีอะไรกับแพรวแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
>ถ้าให้มุมมองที่ใกล้เคียงกับชีวิตมนุษย์จริงๆ
>จะยิ่งทำให้โดดเด่นนะครับ
>นิยายก็เหมือนศิลปะที่สะท้อนจิตวิญญาณของคนเขียน
>ถ้าคุณเขียนเพราะกดดันจากที่คนอื่นหวังจะให้เป็นโน่นเป็นนี่
>มันจะออกมาไม่เป็นตัวคุณครับ
>
>ชอบคุณ sarawatta ตรงที่แทรกมุมมองชีวิตครอบครัว การทำงาน
>หรือสิ่งละอันพันละน้อยไปด้วย
>ทำให้งานดูมีมิติแตกต่างจากนิยายเกย์ทั่วไปครับ ชอบดราม่าหนักๆ
>ด้วย อ่านแล้วเข้มข้นดุเดือด
>แต่รู้สึกผู้หญิงในเรื่องจะร้ายไปหน่อยนะครับ
>ยิ่งคุณทิพย์นภาผมงงมาก
>ดูโพรไฟล์คาแรคเตอร์เธอแล้วไม่น่าจะทำตัวเสียผู้ใหญ่ได้ขนาดนั้น
>ต่อให้ผิดหวังเรื่องลูกก็ตาม ดูเหมือนนางร้ายละครไทยเลยครับ
>
>จะลองยกตัวอย่างจริงนะครับ
>อย่างผมเคยถูกที่บ้านจับได้ว่าเป็นเกย์
>แม่ไม่พูดกับผมกดดันเป็นเดือนๆ ไม่ต้องโวยวายสักคำ
>ผมเคยเห็นแม่แอบร้องไห้เงียบๆ
> มีแขวะเบาๆ บ้าง เช่น อยากเป็นอะไรก็เป็นไปฉันไม่สนแกแล้ว
>โคตรเจ็บเลยครับกว่าที่บ้านจะรับได้
>วันหนึ่งแม่ก็เข้ามาคุยกับผมเอง บอกว่างๆ
>พาคนที่คบอยู่มาทานข้าวที่บ้านสิ
>ไม่มีการคุยยาวๆ ใช้ภาษาสวยๆ แต่สีหน้า ท่าทาง
>คำพูดไม่กี่คำทำให้ผมเข้าใจกับแม่ได้
>ถ้าออกแบบตัวละครให้ใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆ มีดำบ้างขาวบ้าง
>มีผิดบ้างถูกบ้าง
>มีทั้งด้านอัปลักษณ์และงดงาม
>ผู้อ่านก็จะยิ่งอินในความสมจริงครับ
>
>ส่วนบทบาทตัวละครเทียบกับเรื่องต้นสน พัฒนาขึ้นมากครับ
>มีการสรุปที่มาที่ไปตัวละครสมทบ
>อาจไม่ถึงกับต้องตามเก็บทุกคนจนเลอะเทอะยืดยาว
>อย่างพี่พงษ์ก็เป็นที่รู้กันว่าลาออกแล้วก็คงไม่เจอกัน
>แต่อย่างลีน่า แอนเดอร์สัน
>มีอิทธิพลกับช่วงชีวิตปัจจุบันของทั้งคู่
>ก็สมควรไปลามาไหว้กับคนอ่าน
>อ่านแล้วเคลียร์ ไม่ใช่โผล่มาสมทบเนื้อเรื่อง แล้วจู่ๆ
>ก็หายแบบลืมไปเลยอย่างพี่มั่นคงในต้นสน
>เรื่องนี้คุณทำได้ยอดเยี่ยมครับ
>เก็บเนื้อหาในส่วนตัวละครสมทบได้เคลียร์
>
>สุดท้ายคือเอกภาพในเรื่องครับ
>ผมชอบที่คุณใส่ใจแทรกรายละเอียดปลีกย่อยในเนื้อเรื่องครับ
>แต่จะสมบูรณ์กลมกล่อมยิ่งขึ้นหากคุณสามารถเชื่อมโยงให้เป็นเนื้อเดียวกับเรื่อง
>มันจะลื่นและดูดีทีเดียวครับ เช่น
>
>ฉากบูมกับแพรวให้แขกในงานวาดรูปบ่งบอกความคิดภายในใจ
>แล้วเฉลยกล่องคืออีโก้ ดอกไม้คือคนในครอบครัว พายุคือปัญหา
>อ่านแล้วผมไม่เก็ตว่าคำเฉลยต้องการบอกอะไรกับผู้อ่าน
>จะว่าบรรยายสภาพแวดล้อมก็ไม่ใช่
>ตรงนี้จะดีมากถ้าคุณทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า
>ที่คุณใส่มามีสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องแบบมีจุดมุ่งหมาย
> เช่น บูมอาจจะขอวาดด้วยคน
>แล้วแพรวอาจจะสังเกตเห็นภาพของบูมดูไม่ค่อยดี
>จึงสะกิดถามว่าบูมมีปัญหาอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า
>แบบนี้ก็จะทำให้ฉากกิจกรรมวาดรูปนั้นลื่นไหลและมีประเด็นให้คิดขึ้นมาเลยครับ
>
>ติชมบ้างอย่าถือสาเลยครับ
>ผมชอบผลงานคุณครับถึงได้ตั้งใจวิจารณ์
>ขอบคุณที่พิมพ์นิยายดีๆ ให้อ่านนะครับ
>คุณเป็นนักเขียนที่มีฝีมือ
>มีไมตรีต่อนักอ่านและเป็นคนทำงานละเอียดมาก
>หวังว่าจะได้อ่านนิยายที่สนุกเข้มข้นเรื่องต่อไปจากคุณครับอีกนะครับ

ขอบคุณมากๆ สำหรับความเห็นยาวๆ แบบนี้ครับ เป็นประโยชน์กับคนเขียนมากทีเดียวครับ
เรื่องใหม่คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เพราะอย่างเรื่องนี้ผมก็ใช้เวลาวางพล็อตเรื่องไว้เกือบปี จึงได้ลงมือเขียน

แต่ขอชี้แจงว่าไม่ได้ทำให้เรื่องจบแบบ Happy Ending เพราะคนอ่านกดดันครับ ผมตั้งใจไว้แบบนี้อยู่แล้ว
ตอนที่ทิวกับบูมเดินลงทะเลไป ผมตั้งใจจะให้คนอ่านเข้าใจว่าสองคนนี้คงจะฆ่าตัวตาย
และเขียนเหมือนกับว่าเรื่องมันจบแล้ว มีนักเขียนบางคนเขาบอกว่า "แกล้งคนอ่านคืองานของเรา"
ผมก็ตั้งใจแบบนั้นแหละครับ อิๆ

จริงๆ เรื่องนี้ที่ผมวางพล็อตไว้จะจบแบบไม่สมหวังครับ แต่บังเอิญช่วงวันหยุดสงกรานต์
กลับบ้านที่ระยองแล้วไปนั่งเล่นชายหาด คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ได้พล็อตเรื่องอีกแบบมา
ผมก็คิดอยู่หลายวันว่าจะยอมแลกกับอันเดิมดีไหม เพราะอันใหม่ที่คิดไว้ก็น่าสนใจ พอเห็นทางออกของปัญหา
ถ้าปัญหามันแก้ด้วยวิธีนี้ได้ ก็น่าจะลองดู ก็เลยตัดสินใจรื้อพล็อตตอนหลังทิ้งหมดแล้ววางใหม่ครับ

พล็อตเดิมก็คือว่า ในช่วงสามปีที่บูมไปเรียนต่อ บูมจะแอบกินยาชนิดหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายเขาเสื่อมสภาพลง
แล้วก็ค่อยๆ ตายในที่สุด แต่ก่อนตาย ก็จะได้เจอกับทิว แล้วแม่ก็สำนึกได้เมื่อสายเกินไป
แม่เรียกร้องขอชีวิตลูกคืนและยินดีจะทำทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้ชีวิตของลูกกลับคืนมา
แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป...ประมาณนี้ครับ ต้องการจะให้บทเรียนคนเป็นแม่
แต่ถ้าออกมาแบบนี้เรื่องมันจะหนักไปหมด ผมเครียดเพราะเขียนเรื่องนี้มากทีเดียว
เพราะว่าเวลาเขียน ถ้าเศร้า คนเขียนก็ต้องทำอารมณ์ให้เศร้า ถ้าเครียดก็ต้องเครียด
ถ้าซึ้งก็ต้องซึ้ง ถ้าร้องก็ต้องร้องตามไปด้วย ไม่งั้นมันจะเขียนไม่ได้อารมณ์ครับ
แต่เรื่องนี้มันมีตอนที่เครียดเยอะ คนเขียนก็เลยแทบจะบ้า ถ้าตอนจบเป็นแบบแรก คนเขียนคงแย่แน่ๆ เลย
ไม่รู้นักเขียนคนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ผมมักจะเขียนเวลาที่อารมณ์พวกนี้มันเกิดขึ้นมา
พอเรารู้สึกถึงอารมณ์เหล่านั้นเองก็ช่วยทำให้เขียนได้ลื่นไหลขึ้นครับ
มีหลายตอนที่ผมเขียนไปร้องไห้ไป โดยเฉพาะตอนที่ทิวจะฆ่าตัวตาย
แต่ก็ถามตัวเองเหมือนกันว่า "บ้าหรือเปล่า" เขียนเองก็ร้องเอง ก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ

ทีนี้พอได้พล็อตมาสองแบบ ผมก็ชั่งน้ำหนักระหว่างให้บูมกินยาที่ทำให้ค่อยๆ ตาย
กับให้บูมทรมานตัวเองโดยการเก็บตัวและซึมเศร้า
สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลังครับ จริงๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าผมหาข้อมูลยาแบบนั้นไม่ได้ด้วยครับ
ถ้าหาได้ บูมก็คงตายตอนจบครับ (พร้อมกับคนเขียนที่เสียสติไปด้วย)

สุดท้ายก็อยากจะขอบคุณสำหรับคำแนะนำต่างๆ ที่เขียนมาครับ
ถ้างานยังไม่เยอะเกินไป ถ้ายังพอนึกออกว่าจะเขียนอะไร
คำแนะนำเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับงานเขียนชิ้นต่อไปมากๆ ครับ

อีกวันสองวันจะเอาตอนจบที่ถือเป็นตอนพิเศษในตัวด้วยมาลงให้
ขอบคุณทุกๆ คนที่คอยติดตามผลงานมาตลอดครับ หวังว่าคงจะยังติดตามกันต่อไป

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Gap
Guest

191. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #190
 
03-May-12, 00:19 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมากๆครับสำหรับเขียนเรื่องดีๆให้ิอ่านให้ได้อมยิ้ม
แม้มีอยู่หลายครั้งที่อึ้ง ที่ต้องเสียนน้ำตาไปกับเรื่องนี้
แต่สุดท้ายก็ได้อมยิ้ม
คุณSarawatta เป็นนักเขียนที่น่ารักแฮะ
ที่สำคัญคือมีฝีมือเล่าเรื่องให้น่าติดตามตลอด และสามารถ
ทำให้ตัวละครทุกตัวมีบทบาท
ผมว่านักเขียนที่ใจร้ายมีมากว่านักเขียนที่ใจดีกับผู้อ่านนะ
การเขียนเรื่องให้ผู้อ่านมีความสุข และเป็นที่ประทับใจเป็นสิ่งที่ดีนะครับ
ชอบมากๆครับเรื่องนี้


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Ken
Guest

192. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #191
 
03-May-12, 00:25 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ตอนนี้ชอบมากอะ ทิิวได้จึ๊กๆๆบูม
ดูเ้ค้ารักกันจริง อิจฉาาาาา


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
อเทตยา
Guest

193. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #191
 
03-May-12, 11:22 AM (SE Asia Standard Time)
 
   สำหรับผมนะครับ ชีวิตจริงทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร เอาจบอย่างมีความสุขน่ะดีแล้วครับ

ตกลงได้ทานถั่วงอกดิบ ต้นกุ่ยช่าย และ หัวปลี นะครับ

ขอบคุณครับพ้ม

เทต


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Ong
Guest

194. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #193
 
03-May-12, 09:32 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบตอนนี้มากเลย เหมือนทุกอย่างจะลงตัว ที่สำคัญบูมเสร็จทิวด้วย
คุณSaraมีหยอดมุขด้วยตรงทิวถามว่าเจ็บไหม
ขำๅ
น่ารักจัง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Ong
Guest

195. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #193
 
03-May-12, 09:41 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบตอนนี้มากเลย เหมือนทุกอย่างจะลงตัว ที่สำคัญบูมเสร็จทิวด้วย
คุณSaraมีหยอดมุขด้วยตรงทิวถามว่าเจ็บไหม
ขำๅ
น่ารักจัง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
guest
Guest

196. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #193
 
03-May-12, 10:58 PM (SE Asia Standard Time)
 
  


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Bank
Guest

197. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #196
 
07-May-12, 07:01 PM (SE Asia Standard Time)
 
   รอตอนจบอยู่ นะครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

198. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
07-May-12, 09:03 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   วันนี้ได้ไปเจอน้องบูมมาด้วยครับ (คนที่ผมแอบปลื้มแล้วเอามาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้)
น้องน่ารักมากๆ เลย (เสียดายมีแฟนแล้ว) เราก็ได้แต่แอบชื่นชม แต่ไม่กล้าทำอะไรหรอก
เข็ดกับความรักแล้วแหละ แต่ก็ดีใจที่มีคนดีๆ แบบนี้อยู่ในโลก ดีใจที่ได้เจอกัน
ไม่ได้รักกันก็ไม่เป็นไร
ตอนนี้จบจริงๆ แล้วนะครับ คงไม่มีต่อแล้วเพราะช่วงนี้ผมงานเยอะจริงๆ ครับ
ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาตามอ่านและให้กำลังใจ
ถ้าหากมีสิ่งใดผิดพลาดไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หวังว่าจะได้มีโอกาสมาเขียนเรื่องใหม่ๆ ให้อ่านกันต่อไปครับ

-------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 40 (ตอนจบพิเศษ)

ตั้งแต่ทิวเข้ามาอยู่ที่บ้านเทพสถิตย์พิทักษาก็ดูเหมือนว่าจะทำให้บ้านหลังนี้มีคนสวนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ปกติบ้านนี้จะไม่มีคนสวนประจำแต่ใช้วิธีจ้างมาทำเป็นครั้งคราว ส่วนต้นไม้ที่ปลูกในบ้านก็ใช้วิธีติดสปริงเกอร์เพื่อให้น้ำแทน มีแม่บ้านเป็นคนคอยดูแลการเปิดปิด แต่พอทิวเข้ามาอยู่แล้ว ช่วงที่ยังว่างๆ ระหว่างรอโครงการอนุมัติเขาจึงช่วยจัดการดูแลสวนในบ้านเพราะชอบต้นไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณทิพย์นภากับคุณลิขิตดูจะถูกใจมากทีเดียว ถึงกับชมไม่ขาดปากว่าสวนสวยขึ้นมาก แขกไปใครมาก็ชมกันหลายคน คนที่ยิ้มไม่หุบก็คือทิว ส่วนอีกคนที่คอยแอบปลื้มอยู่ข้างหลังก็เป็นบูมนั่นเองเพราะคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าทิวจะเข้ากับคนในบ้านได้หรือไม่ ดีที่ว่าทิวเป็นคนน่ารัก เข้ากับคนได้ง่าย แถมยังขยันทำงาน คนในครอบครัวของบูมทุกคนจึงรักและเอ็นดูทิว ทำให้บูมโล่งใจไปมากทีเดียว

เย็นวันอาทิตย์วันหนึ่ง บังเอิญเป็นวันที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา บีมออกความเห็นว่าน่าจะออกมานั่งทานอาหารเย็นที่สวนหน้าบ้านกัน ทุกคนก็เห็นดีด้วย แถมยังช่วยกันทำอาหารคนละอย่างสองอย่าง แม่บ้านจึงสบายตัวไปหนึ่งวัน

"โครงการไปถึงไหนแล้วบูม รีบหางานทำให้ทิวเร็วๆ หน่อยนะลูก ก่อนที่ทิวจะเป็นคนสวนจนติดใจไม่ยอมทำงานอย่างอื่น" คุณทิพย์นภาเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีขณะที่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาบริเวณหน้าบ้าน

"ใกล้แล้วครับแม่ ปลายๆ เดือนนี้ก็น่าจะอนุมัติแล้วล่ะครับ" บูมตอบพลางหัวเราะและหันไปยิ้มกับทิวที่นั่งอยู่ข้างๆ

"คุณแม่ของแพรวมาเมื่อวานค่ะ ชมใหญ่เลยว่าสวนบ้านเราสวยขึ้น จำแทบไม่ได้เลย นึกว่าเข้าบ้านผิด ทิวเก่งนะคะเนี่ย" แพรวบอกแล้วหันไปยิ้มกับทิว

ใบหน้าของทุกคนเปื้อนด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศในบ้านเทพสถิตย์พิทักษาผ่อนคลายและเป็นกันเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่ทิวได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ บูมเองก็ดูมีความสุขมากขึ้น ไม่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ซึมเศร้าหงอยเหงาอีกต่อไป

"แล้วทิวไปเรียนจัดสวนมาจากไหนเหรอ" คุณลิขิตถามบ้าง

"อ๋อ...ผมชอบต้นไม้ครับ แล้วก็ชอบอ่านหนังสือพวกจัดสวน จัดบ้าน อะไรทำนองนี้ครับ เมื่อก่อนที่บ้านผม ผมก็ซื้อต้นไม้มาปลูกเต็มจนแทบไม่มีที่จะเดินเลยครับ" ทิวตอบ

"ใช่ๆ พี่จำได้ ตอนที่ไปส่งทิวที่บ้านตอนนั้นพี่ยังตกใจเลยว่านี่บ้านคนหรือป่า มองเข้าไปแทบไม่เห็นอะไรเลย" บีมพูดพลางขำ

"แม่ก็เคยว่าเหมือนกันครับว่าซื้อมาทำไมเยอะแยะ" ทิวบอก พูดถึงแม่ทีไรทิวก็รู้สึกใจหาย ทิวเคยเล่าเรื่องชีวิตของเขาให้คุณทิพย์นภากับคุณลิขิตฟัง ทั้งคู่ต่างก็เศร้าสะเทือนใจไปกับชะตาชีวิตของทิวกันมากทีเดียว โดยเฉพาะคุณทิพย์นภาที่ถึงกับน้ำตาซึมเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าทิวจะลำบากถึงขนาดนั้นหลังจากที่แม่จากไป

"ทิวไปทำบุญให้แม่บ่อยไหม" คุณทิพย์นภาเปลี่ยนเรื่องถาม

"ก็...เดือนละครั้งครับ"

"ดีแล้วล่ะ คนที่ไม่ลืมพ่อไม่ลืมแม่ ชีวิตไม่ตกอับหรอก ถึงเขาจะไม่อยู่แล้ว แต่เขาก็จะคอยดูเราอยู่ แม่เขาคงดีใจที่ทิวไม่เคยลืมเขา"

ฟังคุณทิพย์นภาพูดจบแล้วทิวก็ยิ้มและน้ำตาไหลเสียอย่างนั้น

"ทิวเป็นไรหรือเปล่า" บูมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

"เปล่าหรอก...คิดถึงแม่เฉยๆ"

บูมหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะอาหารมาให้ทิวซับน้ำตา บูมเองก็ยังนึกถึงคุณทิษณาอยู่เสมอเช่นกัน เมื่อก่อนเขาไปบ้านทิวบ่อยๆ กินนอนที่นั่น คุณทิษณาดูแลเขาเป็นอย่างดี แม่ของทิวใจดีมาก ทิวเองก็อยู่กับแม่มาเกือบตลอดชีวิต ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะติดแม่พอสมควร และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทิวเป็นเกย์โดยที่ไม่รู้ตัว

"ถ้าทิวไม่รังเกียจ...ก็ถือว่าพ่อกับแม่ก็เป็นเหมือนพ่อกับแม่ทิวละกัน" คุณลิขิตบอกพลางยิ้มให้กำลังใจ

ทิวหันไปยิ้มให้กับพ่อกับแม่ของบูม เขาเองก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนในบ้านนี้ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ตอนแรกๆ เขาก็กลัวๆ คุณทิพย์นภาบ้างเพราะเคยโดนเธอเล่นงานมาก่อน แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่เขาคิด นอกจากจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วคุณทิพย์นภาก็ดูเหมือนจะเอ็นดูทิวมากเป็นพิเศษอีกด้วยเพราะทิวเป็นคนขยัน แถมยังมีชีวิตที่น่าสงสาร จึงได้รับคะแนนเห็นใจไปมากทีเดียว

"ดูแลทิวดีๆ นะบูม ทิวบอกแม่ได้เลยนะถ้าบูมเกเร เดี๋ยวแม่จัดการให้" คุณทิพย์นภาพูดติดตลกเพื่อคลายบรรยากาศเศร้าหมองที่กำลังเกิดขึ้น

"โธ่แม่...ผมเคยเกเรที่ไหนล่ะครับ" บูมทำเสียงตัดพ้อ "ผมดูแลทิวดีจะตาย ดูสิครับ มีเนื้อมีหนังขึ้นตั้งเยอะ"

"ก็ไม่รู้ล่ะ แม่ก็พูดขู่ไว้ก่อน บูมจะได้ไม่กล้าไงล่ะ"

แล้วทุกคนก็หัวเราะชอบใจ บูมใช้มือที่ว่างคอยบีบให้กำลังใจทิวเพื่อส่งผ่านความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน ปกติทิวก็จะไม่อ่อนไหวมากนัก ยกเว้นเวลามีเรื่องมากระทบใจแบบนี้

"แม่ครับ...ทำไมเราไม่จัดงานแต่งงานให้ทิวกับบูมบ้างล่ะครับ" บีมเสนอขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนเงียบไปสักพัก

แล้วทุกคนก็หยุดและเงียบ หันมองหน้ากันไปมา ทิวกับบูมเองก็ตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่บีมเสนอ แต่ในใจลึกๆ ของบูมนั้นเขาก็อยากจัดเหมือนกัน เขาอยากให้เกียรติทิว อยากให้สังคมได้รู้ว่าคนที่เป็นเกย์ก็อยากแต่งงานเหมือนกับหนุ่มสาวทั่วไป

"มันจะดีเหรอบีม แม่ว่า..." คุณทิพย์นภาลังเล แม้ว่าเธอจะรับทิวเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วแต่เธอก็ยังไม่เคยประกาศให้ใครรู้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่การทำเช่นนี้ก็เท่ากับจะเป็นการประกาศให้คนอื่นๆ ได้รู้ว่าลูกชายของเธอเป็นแบบไหน แล้วบูมจะรับได้หรือเปล่า

"ดีสิครับแม่...ถ้าเรายังมัวแต่ปกปิดอยู่แบบนี้ เราก็จะไม่สบายใจซะเองเพราะคนมันก็จะสงสัยแล้วก็เอาไปซุบซิบต่างๆ นาๆ จะพูดกันไปแบบไหนก็ไม่รู้ สู้เราเป็นคนบอกเองเลยดีกว่าครับ บอกแล้วเราก็จะได้สบายใจ สมัยนี้เรื่องแบบนี้เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดกันแล้วล่ะครับ บูมกับทิวเองก็จะได้สบายใจด้วย ไม่งั้นมันก็จะเหมือนว่าเขาสองคนต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ"

"จริงด้วยสิคุณ ที่บีมพูดก็ถูก ตอนนี้คนก็เริ่มสงสัยกันเยอะแล้ว ปล่อยให้เขาพูดไปต่างๆ นาๆ ไม่ดีหรอก บูมกับทิวเองก็คงไม่สบายใจ ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนสงสัย เราไม่ได้ทำอะไรผิดนะคุณ จะอายทำไม ผมว่าจัดงานแต่งงานให้บูมกับทิวเลยดีกว่า จะได้รู้กันไปให้หมดเรื่องหมดราว พอคนรู้แล้วเขาจะคิดจะพูดอะไรก็ช่างเขา ถือว่าเราได้บอกความจริงไปแล้ว" คุณลิขิตสำทับ

"บูมกับทิวว่าไงล่ะลูก" คุณทิพย์นภาหันไปถามลูกชายกับลูกชายสะใภ้ ถ้าสองคนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเธอก็คงไม่ขัดข้อง

บูมกับทิวมองหน้ากัน แล้วบูมก็ถามเบาๆ ว่า "นายโอเคไหมทิว เราโอเคนะ เราอยากจัดงานนี้ให้นาย"

ทิวครุ่นคิดพลางเหลือบหันไปมองคนอื่นๆ ดูเหมือนทุกคนจะคอยลุ้นกันมากทีเดียว

"เราก็...โอเค" ทิวตกลงในที่สุด ทำให้ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุข

------------------------------------------------------------------

หลังจากกินข้าวและคุยกันจนดึกแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นไปนอน บูมกับทิวเองก็ขึ้นมานอนเช่นกัน แต่ดูเหมือนคืนนี้มีเรื่องที่จะต้องคุยกันหลายเรื่องทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องแต่งงานที่พี่บีมเสนอขึ้นมา

"ถ้าเราแต่งงานกัน เราก็จะเป็นเจ้าบ่าว...หรือเปล่า แล้วนายล่ะ นายจะเป็นอะไรล่ะทิว เจ้าสาวเหรอ...ไม่ใช่มั้ง นายไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา แล้วเกย์เวลาเขาแต่งงานกันเขาเรียกเจ้าบ่าว-เจ้าสาวเหมือนคนทั่วๆ ไปหรือเปล่า ทิวรู้เรื่องนี้ไหม" บูมถามทันทีเมื่อหัวถึงหมอน

ทิวตามลงมานอนข้างๆ แล้วก็ตอบไปว่า "ไม่รู้สิ...แต่เราให้นายเป็นเจ้าบ่าวแล้วกัน ส่วนเรา...จะเป็นอะไรดีน้า...เป็นเจ้าสาวล่ะมั้ง ไม่ดีกว่า...เราไม่ค่อยชอบให้เรียกแบบนี้เลย เป็นอะไรดี...นึกก่อน...หรือใช้ภาษาอังกฤษดีไหม นายก็เป็น Groom ส่วนเราก็เป็น Bride" ทิวเสนอความเห็น

"แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ แปลเป็นไทยมันก็เป็นเจ้าบ่าว-เจ้าสาวอยู่ดี"

"ต่างสิ...ก็มันเป็นภาษาอังกฤษไงก็เลยต่างกัน"

"กวนเราเหรอ เดี๋ยวเหอะ" บูมทำเสียงขู่พลางพลิกตัวขึ้นไปอยู่ข้างบนตัวทิว

"อย่านะ...เดี๋ยวเราฟ้องแม่จริงๆ นะ แม่บอกเราว่าถ้านายเกเรกับเรา ให้บอกแม่" ทิวขู่บ้าง

บูมพลิกตัวกลับไปนอนที่เดิมแล้วก็ขำใหญ่ "ไม่น่าเชื่อนะว่าแม่จะเอ็นดูนายขนาดนี้ สงสัยลูกแท้ๆ อย่างเราคงตกกระป๋องแน่ๆ เลยคราวนี้"

"แหงอยู่แล้ว" ทิวทำเสียงล้อเลียน "เรื่องชื่อเอาไว้ก่อนละกันนะ เอาไว้ค่อยคิด เดี๋ยวเราไปหาข้อมูลก่อน"

บูมหันไปมองหน้าทิวแล้วพยักหน้าเบาๆ "ครับ...ที่รัก" แล้วก็จุมพิตที่ปากทิวเบาๆ หนึ่งครั้ง

"บูม...เราถามอะไรหน่อยสิ" ทิวทำเสียงเป็นจริงเป็นจัง

"ว่ามาสิครับ...ที่รัก"

"นาย...ชอบเราตั้งแต่ตอนไหน นายจำได้หรือเปล่า"

"จำได้สิ...ตอนที่เราเลิกกับแป๋มไง นายจำแป๋มได้หรือเปล่า"

"จำได้...แล้วทำไมพอเลิกกับแป๋มแล้วนายถึงชอบเราล่ะ" ทิวสงสัย

"ก็...มันทำให้เราคิดได้ไงว่า...จริงๆ แล้วคนที่คอยดูแลเป็นห่วงเราจริงๆ เป็นใคร เราก็เห็นมีแต่นายนั่นแหละ แล้วตอนนั้นนายก็งอนเรา ไม่ยอมพูดกับเรา หลบหน้าเรา เราก็สงสัยเหมือนกันว่านายเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็แอบสงสัยนะว่านาย...ก็ชอบเรานั่นแหละ เราดูออก"

"จริงเหรอ...นายดูออกด้วยเหรอ"

"ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ ผู้ชายที่ไหนเขางอนกันเรื่องนี้" บูมขำเล็กน้อย "แล้วนายล่ะ...ชอบเราตอนไหน อย่าบอกนะว่าเจอปุ๊บก็ชอบปั๊บ เราจำได้ว่าเราไม่ชอบนายมากๆ เลย แล้วก็มีเรื่องกันด้วย ไม่ใช่ตอนนั้นใช่ไหม"

"ไม่ใช่..." ทิวขำแล้วก็พูดต่อไปว่า "ตอนนั้นน่ะนายน่ากลัวจะตาย หน้าก็บึ้งๆ บอกบุญก็ไม่รับ เราไม่กล้าคุยด้วยเลย ถ้านายไม่ตกบันไดวันนั้นนะ เราก็คงเป็นศัตรูกันจนถึงวันนี้ เดี๋ยวนะ...นึกก่อน เราว่า...เราน่าจะชอบนายตอนที่...นายกอดเราครั้งแรกนะ ที่นายแอบหลบไปร้องเพลงหลังโรงเรียน จำได้ไหม ตอนนั้นแหละ"

"อ๋อ...จำได้แล้ว ตอนเช้าๆ ใช่ไหม แล้วทำไม...พอเรากอดนาย นายถึงชอบเราล่ะ"

"ก็มันอุ่นดีไง" ทิวพูดพลางยิ้มเขิน

"อุ่นแบบนี้หรือเปล่า"

บูมพูดจบก็สวมกอดทิวไว้ พยายามทำความรู้สึกให้เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น วันที่ทิวทำให้บูมรู้สึกว่าที่ผ่านมาชีวิตเขาอ้างว้างเดียวดายเพียงใด ทิวเป็นเพื่อนคนแรกที่ดีกับเขามาก มากจนสามารถกุมหัวใจและความเชื่อใจจากเขาได้อย่างง่ายดาย

"แบบนี้แหละ ไม่ว่านายจะกอดเราแบบไหนมันก็อุ่นแบบนี้เสมอแหละ" ทิวพูดพลางกอดตอบ

บูมค่อยๆ คลายอ้อมแขนแต่ก็ยังกอดทิวไว้หลวมๆ อยู่

"อยากให้ถึงวันที่เราแต่งงานกันเร็วๆ จัง คนอื่นอาจจะบอกว่าไม่สำคัญ แต่เราคิดว่ามันสำคัญนะ เพราะเราอยากจะบอกให้คนอื่นๆ รู้ว่าเรา...รักนายแค่ไหน เราอยากให้คนรู้ว่านาย...เป็นคู่ชีวิตของเรา เหมือนที่คนอื่นๆ เขาก็มีคู่ชีวิตกัน"

ทิวยิ้มน้อยๆ แล้วก็พูดเบาๆ ว่า "เราก็รักนายนะ"

บูมยิ้มอย่างพอใจ ถึงจะไม่บอกด้วยคำพูดแต่บูมก็เห็นความรักในแววตาคู่นั้นของทิว

"อืม...ว่าแต่ว่า ถ้าเราแต่งงานกัน ใครจะเป็นเพื่อน Groom กับ Bride ดีล่ะ"

"ของนาย นายก็ให้เอิร์ธหรือวิทเป็นก็ได้ ส่วนของเรา เดี๋ยวเราให้ต้องเป็น"

ได้ยินชื่อต้องขึ้นมา บูมก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"ต้องเหรอ...เออมันเป็นไงบ้างตอนนี้ เราเคยคุยกับมันตอนที่กลับจากเมืองนอกใหม่ๆ เพื่อถามหานาย แล้วก็ไม่ได้คุยอีกเลย"

"มันมีแฟนแล้วล่ะ จะแต่งงานเร็วๆ นี้แหละ"

"จริงเหรอ แล้วแฟนมันเป็นผู้ชายหรือ...ผู้หญิง"

"ผ้หญิงสิ ไอ้ต้องมันคงไม่ได้เป็นแบบเราหรอก เราว่ามันคงสับสนนะตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ายังไง แต่มันก็จะแต่งงานกับผู้หญิงนั่นแหละ"

"เหรอ...ถ้างั้น...เราแต่งงานกันก่อนไอ้ต้องดีไหม มันจะได้มาเป็นเพื่อน Bride ก่อน"

"ต้องไปดูฤกษ์ก่อนไม่ใช่เหรอ ยังไม่ได้ไปดูเลย" ทิวแย้ง

"จริงด้วย ไม่เป็นไร...แต่งตอนไหนก็ไม่สำคัญหรอก ขอให้เราได้แต่งงานกัน แต่ไวหน่อยก็ดี เราอยากมีเมียแล้ว" บูมทำเสียงล้อเลียนตลกๆ ในตอนท้ายแล้วก็หัวเราะ

"แล้วทุกวันนี้เราไม่ได้เป็นเหรอ" ทิวทำสีหน้ากระเง้ากระงอด

"เป็นสิ...แต่ว่า...พอแต่งงานแล้ว ก็จะเป็นเมียโดยสมบูรณ์ไง" บูมรีบแก้ตัว

"เหรอ...ถ้างั้นแสดงว่าตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นเมียนายโดยสมบูรณ์ล่ะสิ ดีล่ะ ถ้างั้น...นายห้ามมาทำอะไรกับเรา จนกว่าจะแต่งงานกัน ดีไหม" ทิวได้ทีก็เลยเอาคืนบ้าง

"โห...เราก็มันจุกอกตายพอดีสิ มีเมียน่ารักๆ แบบนี้ จะให้นอนดูเฉยๆ ได้ยังไง จริงไหม"

บูมพูดแล้วก็พลิกตัวขึ้นไปอยู่ข้างบน เขาระดมจูบซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ริมฝีปากบ้างจนทิวหายใจหอบ

"ให้มันรู้ไปสิว่านายจะทนได้" บูมพูดพลางยิ้มเยาะน้อยๆ

ทิวหัวเราะพร้อมกับเขินอาย เขาก็พูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ เขาเองก็คงทนไม่ไหวหรอก มีสามีหล่อ หุ่นดี มีซิกแพ็คอยู่ใกล้ๆ แบบนี้จะไปทนยังไงไหว ถูกกระตุ้นหน่อยเดียวอารมณ์เขาก็กระเจิงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

"ทนไม่ไหวแล้วใช่ไหมล่ะ" บูมยิ้มกรุ้มกริ่มพลางจ้องตาทิวไม่กะพริบ

"บ้า" ทิวพูดพร้อมกับเอียงหน้าหลบด้วยความเขินอาย

"นายว่าเราหล่อไหมทิว สามีของนายเป็นคนหล่อไหม"

ทิวหันกลับมามองพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "อยากรู้จริงๆ เหรอ"

บูมพยักหน้า

"สามีของผมหล่อมากครับ" ทิวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

"ภรรยาของผมก็น่ารักที่สุดในโลกเลยครับ" บูมพูดประโยคคล้ายๆ กัน

คงจะไม่ต้องบรรยายอะไรอีกแล้วว่าบูมกับทิวรักกันมากแค่ไหน แม้ว่าอนาคตจะเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่ความรักของพวกเขาก็งดงามและมีคุณค่าสูงส่งอยู่ภายในใจของคนทั้งสองคน นี่แหละคือแรงยึดเหนี่ยวชั้นดีที่จะทำให้เขาทั้งสองคนรักกันไปตราบนานเท่านาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาทั้งสองคิดถึงความรักความผูกพัน คิดถึงวันคืนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข คิดถึงวันที่เคยจากกันอย่างทรมาน คิดถึงความรู้สึกดีใจอย่างหาที่สุดไม่ได้เมื่อได้กลับมาเจอกัน เขาทั้งสองคนก็จะรู้ว่าชีวิตนี้พวกเขาโชคดีที่สุดแล้วที่ได้มาเจอกัน ไม่จำเป็นต้องหาใครมาทดแทน เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะวิเศษที่สุดไปกว่าการที่โลกนี้มี "บูมกับทิว" แล้ว

จบบริบูรณ์

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
(-_-!)
Guest

199. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #198
 
08-May-12, 08:37 AM (SE Asia Standard Time)
 
   จบซะแล้ว...จบอย่างอิ่มเอมใจที่สุดเลย
แม้จะเป็นนิยายที่ดูสวยงามเกินจริง ... แต่หลายคนก็คงหวังอยากมีชีวิตแบบนี้
แม้จะเป็นแค่ความฝัน อย่างน้อยมันก็เป็นฝันที่ดี ตื่นมาแล้วสดชื่นใจ
เพื่อที่จะถอนหายใจเหือกใหญ่แล้วเผชิญกับความจริงที่เราต้องอยู่ในสังคมไทย
อย่างที่พอมีพออยู่ ทำจิตใจให้ปล่อยวางกับสิ่งรอบกาย แก้ปัญหาทุกอย่างให้ผ่านพ้นไปบนถนนของความเป็นเกย์อย่างพวกเรา

ขอบคุณมากครับคุณ Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
zusee
Guest

200. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #199
 
08-May-12, 10:31 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมากครับ คุณ Sarawatta จะรอผลงานดีๆ ของนายอีกครับ เป็นกำลังใจ
คราฟ ผม!


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Bank
Guest

201. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #200
 
08-May-12, 06:39 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณ มากครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Chaonangnoi
Guest

202. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #201
 
20-May-12, 02:48 AM (SE Asia Standard Time)
 
   น่ารักมากครับนานๆ จะมีเรื่องที่จบแบบ happy ending ซักครั้งแต่อ่านแล้วให้ความรู้สึกที่อิ่มเอมครับ ไม่ได้ติดตามเป็นตอนๆ แต่มาอ่านเอาแบบมีตอนจบ เพราะถ้าอ่านเป็นตอนๆ แล้วจะอดใจไม่ไหวที่ต้องรอ มันทรมานมากเลยนะสำหรับการรอคอย
บท drama ก็แน่นดีครับอ่านรู้สึกถึงความอึดอัด หดหู่ ท้อแท้ เรื่องราวอื่นๆ ก็มีลำดับขั้นตอนมีเหตุผลของมันอยู่ บทอัศจรรย์ไม่เยอะกำลังดีครับ หัดเขียนบ่อยๆ นะครับจะทำให้สามารถเขียนได้อย่างลื่นไหล อ่านแล้วจะทำให้รู้สึกไม่สะดุด และอีกอย่างบทพูดในครอบครัวมันเป็นแบบฟอร์มมากไป
แต่อย่างไรก็เป็นกำลังใจให้นะครับ อย่างน้อยตอนนี้ก็จำได้ว่าชื่อ sarawatta เป็นผู้แต่งที่ต้องติดตามทุกๆ เรื่อง


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
phant
Guest

203. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #198
 
12-Jun-12, 01:41 AM (SE Asia Standard Time)
 
   ขอบคุณมากจรืงๆนะครับ ผมไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วอินร้องไห้แบบนี้เลยนะครับ สุดยอดมากเลยครับ ขอบคุณที่เขียนสิ่งดีๆให้อ่านครับ


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
น้องน้อย
Guest

204. "RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
In response to message #0
 
16-Jun-12, 09:27 AM (SE Asia Standard Time)
 
   เป็นเรื่องที่ 2 แล้วที่ทำให้ร้องไห้ จิตตกมาก


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top

Conferences | Topics | Previous Topic | Next Topic

*** ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง
ห้ามโพสข้อความ รูปภาพ ไฟล์ที่มีลิขสิทธิ์ ที่สร้างความเสียหายให้แก่บุคคลอื่น
ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link "แจ้งลบข้อความ" ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือแจ้งมาได้ที่ ryubedroom@yahoo.com

Our Sponsor


Copyright Palm-Plaza,Inc. All Rights Reserved.


 free counters